14

-

14

ทันทีที่มือหนาของภูรินท์กอบกุมทรวงอกอวบ ร่างบางก็พลันสะดุ้งเฮือก มือบางที่สะเปะสะปะหาที่ยึดเหนี่ยวไปทั่วปัดไปโดนแก้วเซรามิกที่วางอยู่บนโต๊ะจนหล่นตกแตกเสียงดังลั่น

เพล้ง!!

ราวกับเสียงนั้นกระชากวิญญาณที่ปลิวหายไปเข้าสู่ร่างของคนทั้งสอง พิมพ์พิสุทธิ์ผละถอยห่างจากชายหนุ่มไปเกือบหนึ่งเมตร หันหลังให้เขาแล้วสำรวจเครื่องแต่งกายของเธอ เสื้อยืดถูกถกขึ้นมากองอยู่เหนือทรวงอกงามตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ บราเซียร์สีชมพูอ่อนออกมาโชว์หรายิ่งทำให้เธออยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เสียเดี๋ยวนี้...ดวงตากลมโตไหวระริกราวกับลูกกวางน้อยเฝ้าระวังภัย 

ภูรินท์ตั้งสติได้ก็อยากจะชกหน้าตัวเองยิ่งนัก นี่เขาทำอะไรลงไป คงจะจริงอย่างที่โบราณว่าอย่าปล่อยให้ผู้ชายอยู่ใกล้กับผู้หญิงสองต่อสองในที่รโหฐาน เพราะไม่ต่างอะไรกับน้ำตาลใกล้มด เมื่อเห็นร่างบางถอยห่างไปราวหนึ่งเมตรพร้อมกับหันหลังให้ เขาก็ยิ่งอึกอัก อยากจะพูดอะไรออกไป แต่ก็เหมือนคนน้ำท่วมปาก

นี่เขาขาด ‘เรื่องอย่างว่า’ มานานเกินไปหรืออย่างไร ถึงได้เกิดอารมณ์ขึ้นแม้กระทั่งกับคนที่เขาไม่ได้มีจิตพิศวาสเลย เขาหาเหตุผลมาให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดถึงล่วงเกินพิมพ์พิสุทธิ์เช่นนั้น ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ยั่วยวนเขาเลยแม้แต่น้อย

“เอ่อ...ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พริ้มขอตัวก่อนนะคะ” เสียงสั่นจากหญิงสาวทำให้ภูรินท์ขมวดคิ้วมุ่น

มือหนารีบยึดเรียวแขนเล็กไว้ แม้ว่าเธอจะแข็งขืนสักเพียงใด แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ “พริ้ม พี่ขอโทษ” เขาเอ่ยจากใจจริง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะผีห่าซาตานตัวไหนเข้าสิงถึงได้ทำแบบนั้นลงไป

“พี่ขอโทษที่ทำน่าเกลียดแบบนั้นกับพริ้ม” ยิ่งเธอไม่ตอบ เขาก็ยิ่งไม่รู้ว่าตอนนี้พิมพ์พิสุทธิ์รู้สึกอย่างไร

“พี่ขอโทษ และสัญญาว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก” 

ชั่วครู่เสียงเบาจากคนตัวบางก็เอ่ยขึ้น “ค่ะ พริ้มขอตัวนะคะ”

 เอ่ยจบพิมพ์พิสุทธิ์ก็ปลดแขนออกจากพันธนาการของเขา ก่อนจะเดินจ้ำอ้าวออกไปจากห้องครัวโดยไม่เหลียวกลับมามองอีกเลย ภูรินท์ได้แต่มองตามอย่างหนักใจ ก่อนที่มือหนาจะดึงทึ้งผมของตนเองราวกับเรียกสติ

“ไอ้เชี่ยภูโว้ย! แกทำอะไรลงไปวะเนี่ย” ชายหนุ่มดึงทั้งเส้นผมของตัวเองอยู่สองสามครั้งแรงๆ ก่อนจะหันไปเก็บกวาดเศษแก้วที่หล่นแตกอยู่ข้างๆ 

เก็บกวาดไป ภูรินท์ก็ขบคิดไปด้วยว่าถ้าหากเมื่อครู่นี้ไม่มีเสียงแก้วหล่นตกแตก เขาและเธอจะเดินทางไปถึงจุดไหนกัน  เพียงแค่คิดร่างหนาก็วาบหวิว ใจเต้นระส่ำราวกับเพิ่งออกกำลังกายอย่างหนักมา

ภูรินท์สะบัดศีรษะแรงๆ สองสามที 

“ท่าจะอาการหนักว่ะกู ทำตัวอย่างกับเด็กใจแตก ริรองรักครั้งแรก” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างปลงๆ ติดตลก ส่วนเรื่องของพิมพ์พิสุทธิ์ไว้พรุ่งนี้ค่อยขอโทษอีกทีแล้วกัน

เฮ้อ อารมณ์ค้างแบบนี้ แล้วคืนนี้เขาจะนอนหลับลงได้ยังไงล่ะเนี่ย

 

 ทางด้านพิมพ์พิสุทธิ์หลังจากกลับขึ้นห้องมาแล้วก็ยังไม่หายตกใจกับการกระทำเมื่อครู่ของชายหนุ่ม เธอไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วทำไมเธอถึงไม่ผลักไสเขาหรือปฏิเสธเขาไปตั้งแต่แรก จนกระทั่งเขาสัมผัสถึงเนื้อนวลของทรวงอกงามถึงได้มาตื่นตระหนัก

และถ้าหากว่ามือเธอไม่บังเอิญไปปัดแก้วตกแตกเสียงดัง เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุการณ์เมื่อครู่จะไปหยุดอยู่ตรงไหน

คิดแล้วใบหน้างามก็ร้อนวูบวาบราวกับกำลังเผชิญกับอากาศร้อนอบอ้าว พวงแก้มอิ่มแดงระเรื่อเมื่อคิดถึงรสจูบหอมหวานชวนหลงใหลล่อหลอกให้เธอเพลิดเพลิน ขณะเดียวกันนั้นก็เสพความหอมหวานอย่างดื่มด่ำ ประสบการณ์ที่ช่ำชองของเขาแพรวพราวและหล่อหลอกเธอให้ลุ่มหลงได้ไม่ยากนัก ราวกับเป็นสารเสพติดที่พอได้ลิ้มลองครั้งหนึ่งแล้วก็อยากจะลิ้มรสอีก

มือเรียวบางยกขึ้นแตะริมฝีปากอิ่มที่เมื่อครู่ถูกริมฝีปากบางร้ายกาจครอบครองอย่างถือดีราวกับเป็นเจ้าของ ยิ่งที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือเธอไม่ได้ปฏิเสธเขาตั้งแต่แรก นั่นจึงเป็นเหตุให้ชายหนุ่มเข้าใจได้ว่าเธอยินยอมและพร้อมใจ

เธอไม่เคยระวังตัวเองเลยด้วยซ้ำเวลาที่อยู่กับชายหนุ่ม ไม่ว่าจะเหตุผลอะไร เรื่องแบบนั้นก็ไม่สมควรเกิดขึ้นอีก เพราะภูรินท์และเธอไม่ได้รักกัน เรื่องแบบนี้จึงไม่สมควรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะบรรยากาศพาไปหรืออารมณ์ชั่ววูบก็แล้วแต่ เธอต้องอย่าให้มันเกิดขึ้นอีกเด็ดขาดนะพิมพ์พิสุทธิ์

หญิงสาวได้แต่บอกตัวเองอย่างย้ำๆ ก่อนจะพยายามข่มตานอนให้หลับ แม้ว่าจะพยายามข่มตานอนสักเพียงใด ร่างบางก็หงุดหงิดอย่างไม่รู้สาเหตุและหัวใจเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล ทว่ากว่าที่ร่างบางจะเคลิ้มหลับก็เกือบล่วงเลยเข้าวันใหม่ไปแล้ว

เช้าวันจันทร์พิมพ์พิสุทธิ์รีบตื่นแต่เช้า และก็เป็นเวลาที่เช้ากว่าปกติอยู่มาก หญิงสาวอาบน้ำแต่งตัวเสร็จตั้งแต่หกโมงเช้า ก่อนจะรีบดิ่งไปรับอาหารเช้าก่อนที่ภูรินท์จะลงมา

เมื่อวานทั้งวันเธอก็พยายามหลบหน้าเขาตลอด แม้ว่าชายหนุ่มจะเอ่ยขอโทษเธอไปแล้วก็ตาม แต่เรื่องแบบนี้จะให้เธอกลับมาสนิทใจเหมือนแต่ก่อนก็คงจะไม่ง่ายนัก ในเมื่อเขาจูบเธอเสียดูดดื่มและลึกซึ้ง ยิ่งกว่านั้นเธอยังไปคล้อยตามและพยายามตอบสนองเขาอีก แล้วแบบนี้จะให้เธอมองหน้าเขาอย่างปกติได้อย่างไร

 

พิมพ์พิสุทธิ์รีบตักข้าวต้มกุ้งเข้าปากและรีบเคี้ยวอย่างรวดเร็วราวกับกำลังแข่งกินมาราธอน เนื่องเพราะกลัวว่าหากเธอช้าไปกว่านี้จะต้องเจอกับภูรินท์...เธอยังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าเขา

เธอวานให้คนงานในบ้านขับรถไปส่งเธอที่บริษัทของชายหนุ่ม แม้ว่าตอนแรกคนงานจะทำหน้างงๆ แล้วเอ่ยถามเธออย่างสงสัยว่า

... 

‘ทำไมคุณพริ้มไม่รอไปพร้อมนายภูล่ะครับ'

‘เอ่อ คือวันนี้พอดีพริ้มรีบน่ะค่ะ มีงานด่วนต้องไปทำ'

‘อ๋อ ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ’ เพราะเหตุนี้นายจง คนงานในบ้านจึงจำต้องขับรถมาส่งเธอที่บริษัท

...

พิมพ์พิสุทธิ์มาถึงบริษัทราวเจ็ดโมงได้ พนักงานที่มาถึงแล้วก็มีบ้างบางตา ขณะที่เธอเดินผ่านห้องแพนทรีก็พบเลขาฯ หนุ่มของภูรินท์ จึงเดินเข้าไปทักทาย

“สวัสดีค่ะพี่เดช มาแต่เช้าเชียวนะคะ”

ชายหนุ่มที่สาละวนกับการชงกาแฟดำเอี้ยวตัวหันมามองคนทัก “อ้าวน้องพริ้ม! ทำไมวันนี้มาถึงเช้าจังเลยล่ะครับ รับกาแฟสักถ้วยมั้ย เดี๋ยวพี่ชงเผื่อ” 

“ไม่เป็นไรค่ะพี่เดช พริ้มทานข้าวต้มมาแล้ว ตอนนี้อิ่มแปล้เลยละค่ะ”

“อ้าว แล้วคุณภูล่ะครับ ไม่ได้มาด้วยกันหรอกหรือ”

“เอ่อ เปล่าหรอกค่ะ พอดีวันนี้พริ้มตื่นเช้าน่ะค่ะ ก็เลยมาบริษัทก่อน”

“อ้าว เหรอครับ ปกติพี่เห็นคุณภูกับน้องพริ้มไปไหนมาไหนด้วยกัน ตัวติดกันราวกับปาท่องโก๋” อัครเดชเอ่ยแซวหญิงสาวตรงหน้า หลังจากที่ได้กาแฟดำเข้มสำหรับเช้าวันนี้แล้ว ก่อนจะชวนหญิงสาวออกเดินไปที่โต๊ะของเขา

“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อยค่ะ พี่เดชเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว” เธอปฏิเสธเสียงสูง แม้ว่าใบหน้าจะร้อนซู่เพราะคำแซวนั้น

ชายหนุ่มหัวเราะอย่างขำขันพลางยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม ก่อนจะชวนหญิงสาวพูดคุยเรื่องอื่น เมื่อหญิงสาวเอ่ยถามเกี่ยวกับเรื่องงานที่ยังมีส่วนที่หญิงสาวไม่เข้าใจนัก

 

ภูรินท์แต่งตัวเสร็จตามเวลาเดิม หลังจากที่กินข้าวต้มไปได้ไม่นานเขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติว่าจวนจะถึงเวลาไปทำงานแล้ว แต่พิมพ์พิสุทธิ์ยังไม่ลงมา หรือจะไม่สบาย คิดดังนั้นก็เรียกเด็กรับใช้ในบ้านให้ไปตามหญิงสาวที่ห้องด้านบน แต่เด็กรับใช้บอกว่า

“อ๋อ คุณพริ้มเธอตื่นไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้วค่ะคุณภู ตาจงแกเป็นคนไปส่งคุณพริ้มที่บริษัทค่ะ”

“อะไรนะ!” ภูรินท์ตกใจ นี่พิมพ์พิสุทธิ์เป็นอะไร เมื่อวานก็หลบหน้าหลบตาเขาทั้งวัน แถมวันนี้ยังมาทำแบบนี้อีก 

สาวใช้เห็นท่าทางหงุดหงิดของผู้เป็นนายก็อยากจะจรลีหนีไปซะเดี๋ยวนี้ ภูรินท์ก็ได้แต่โบกมือให้ออกไป

ชายหนุ่มหงุดหงิดในหัวใจนิดๆ ก่อนจะฝืนตักข้าวต้มเข้าปากต่ออีกสองสามคำแล้ววางช้อน เพราะไม่มีความอยากอาหารแล้ว

เขาขับรถไปทำงานอย่างอารมณ์ไม่ดีแต่เช้า พิมพ์พิสุทธิ์ตั้งใจจะหลบหน้าเขาชัดๆ ทั้งๆ ที่เขาก็ขอโทษไปแล้ว ก็ไม่น่าจะเคืองโกรธกันถึงขนาดต้องหลบหน้ากันแบบนี้

 

พอถึงบริษัท ภูรินท์ก็เห็นคนที่เอาแต่หลบหน้าเขามานั่งคุยหัวร่อต่อกระซิกกับเลขาฯ หนุ่มของเขาอยู่หน้าห้อง รอยยิ้มกว้างและหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสของพิมพ์พิสุทธิ์สะกิดหัวใจเขาให้หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก...ทีกับเขานะหน้ามุ่ยใส่ตลอด

เขาพยายามไม่สนใจภาพตรงหน้า ก่อนจะเปิดประตูเข้าห้องไป พอวางกระเป๋าเสร็จ เขาก็กวาดตามองไปยังโต๊ะรับแขกตัวเล็กซึ่งเป็นที่ประจำของหญิงสาวที่ใช้เรียนรู้งาน บัดนี้กองเอกสารต่างๆ ได้อันตรธานไปแล้ว

นี่อย่าบอกนะว่าเธอตั้งใจจะย้ายโต๊ะออกไปนั่งกับอัครเดชน่ะ ชักจะมากเกินไปแล้วนะ คิดจะทำอะไรก็ทำเหรอ เห็นว่าเขาไม่กล้าดุด่าว่ากล่าวหรืออย่างไรถึงทำตัวไม่น่ารักแบบนี้ เห็นทีเขาคงต้องดุหญิงสาวให้เชื่อฟังเขาและอยู่ในโอวาทบ้างเสียหน่อยแล้วกระมัง จะได้ไม่เหิมเกริมแบบนี้อีก

ตลอดช่วงเช้าภูรินท์ทำงานอย่างขะมักเขม้นจนกลายเป็นเคร่งขรึม จนเลขาฯ หนุ่มที่ทำงานมาด้วย[M2] อดแปลกใจไม่ได้ที่วันนี้เขาทำงานไม่ถูกใจผู้เป็นนายเลย และโดนเจ้านายเหวี่ยงอยู่หลายครั้ง 

“พริ้ม วันนี้คุณภูอารมณ์ไม่ดีเหรอ เหวี่ยงใส่พี่ตั้งแต่เช้าเลย” อัครเดชบ่นอุบทันทีหลังออกมาจากห้องเจ้านาย

“เอ่อ ไม่รู้สิคะ” เธอตอบออกไปอย่างแปลกใจเช่นกัน

“นี่ถ้าคุณภูมีแฟนนะ พี่คงคิดว่าทะเลาะกับแฟนมาแหงๆ อ้ะ เหวี่ยงใส่พี่หลายเรื่องเลย ไม่รู้ไปอารมณ์เสียมาจากไหน”

พิมพ์พิสุทธิ์ได้ยินแล้วก็เพียงยิ้มแหยๆ ปลอบใจเลขาฯ หนุ่ม ครู่ต่อมาก็เป็นหญิงสาวที่ต้องสะดุ้งตกใจเพราะเสียงเรียกจากภูรินท์ที่จู่ๆ ก็เปิดประตูห้องออกมา

“พิมพ์พิสุทธิ์ เข้ามาพบผมหน่อย” สั่งเสร็จก็ผลุบหายกลับเข้าห้องไป

พิมพ์พิสุทธิ์หยัดตัวลุกขึ้นยืน แต่ยังอิดออด ไม่อยากเข้าไปพบชายหนุ่มตามที่เขาเรียก

“รีบไปสิพริ้ม คุณภูยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ เดี๋ยวก็โดนดุหรอก” อัครเดชเร่งหญิงสาว 

พิมพ์พิสุทธิ์รู้สึกกลัวไม่น้อย ราวกับตัวเองเป็นเด็กเล็กที่ก่อเรื่องไม่ดีไว้แล้วถูกผู้ใหญ่จับได้ และกำลังจะโดนไม้เรียวหวดก้นยังไงยังงั้น

เธอยังไม่พร้อมจะพบหน้าเขา จูบคืนนั้นยังตามหลอกหลอนเธอตลอด ความร้อนรุ่มที่เขาฝากไว้ยังตราตรึงไม่เสื่อมคลาย ไม่ๆ เธอห้ามหลงใหลเขาเด็ดขาดนะพิมพ์พิสุทธิ์ หญิงสาวย้ำกับตัวเอง ก่อนจะฮึดสู้ แข็งใจเดินไปพบภูรินท์

 มือบางยกขึ้นเคาะประตูเรียกสองสามครั้ง ก่อนจะได้ยินเสียงตอบรับดังแว่วมาว่าอนุญาตให้เข้ามาได้ ร่างบางลอบกลืนน้ำลายเหนียวฝืดคอลง ก่อนจะค่อยๆ ก้าวย่างไปหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานของภูรินท์

“เอ่อ คุณภูมีอะไรหรือเปล่าคะ” เธอเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ยิ่งคนตรงหน้าเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารและเซ็นเอกสารอย่างเดิม ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายเรียกเธอมาพบ ก็งสร้างความไม่ชอบใจให้แก่พิมพ์พิสุทธิ์

หลังจากแผ่รังสีน่ากลัวไปแล้ว ภูรินท์ก็เอ่ยขึ้น 

“เมื่อเช้าทำไมไม่รอ”

“เอ่อคือ...” พิมพ์พิสุทธิ์ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะเรียกเข้ามาเพื่อถามคำถามนี้ ก่อนจะรีบหาเหตุผลแก้ตัวออกไป “พอดีพริ้มตื่นเช้าน่ะค่ะ ก็เลยมาทำงานก่อนเวลา”

“แล้วทำไมถึงย้ายของออกไปนั่งกับอัครเดช ถามผมหรือยังว่าอนุญาตหรือเปล่า”

“ขอโทษค่ะ” 

“กำลังหลบหน้าผมอยู่หรือเปล่า” 

ภูรินท์เอ่ยถามพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองสบดวงตากลมโตคู่สวย ซึ่งปฏิกิริยาที่ไหววูบจากคนตรงหน้าช่วยผ่อนคลายอารมณ์ขุ่นมัวตั้งแต่เช้าของชายหนุ่มให้เบาบางลง

“ปะ...เปล่าค่ะ” พิมพ์พิสุทธิ์ตอบตะกุกตะกัก อีกทั้งดวงหน้างามเริ่มขึ้นสีระเรื่อ ยิ่งสร้างความชอบใจให้คนตรงหน้ายิ่งกว่าเดิม

“ถ้าไม่ได้ตั้งใจหลบหน้าจริงๆ ก็ทำตัวให้เป็นปกติเหมือนเดิม” ภูรินท์วางปากกาด้ามหรูลงบนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นยืน ไม่นานก็มายืนอยู่หน้าพิมพ์พิสุทธิ์ที่เผลอถอยหลังไปอย่างอัตโนมัติทันทีเมื่อเขาเข้ามาใกล้

“หรือว่าที่หลบหน้าผมเพราะแอบคิดอะไร” ภูรินท์ถามเสียงเจ้าเล่ห์ ก่อนจะโน้มหน้าลงไปหาร่างบางที่ตอนนี้ดวงตากลมตาสั่นไหวราวกับลูกกวางน้อย

“มะ...ไม่ใช่อย่างที่คิดสักหน่อย!” 

ปฏิกิริยาตื่นกลัวของคนตรงหน้ายิ่งทำให้ภูรินท์เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ดวงตาคู่สวยไหววูบไม่กล้ามองสบตาเขาเมื่อเขาจ้องตอบ 

“ผมขอโทษจริงๆ สำหรับเรื่องคืนนั้น” ภูรินท์เอ่ยจุดประสงค์ที่เขาเรียกหญิงสาวมาพบ

ร่างบางยืนนิ่งหน้ามุ่ยเมื่อเขาเอ่ยถึงเรื่องคืนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะตอบรับคำขอโทษเสียงเบา “ค่ะ”

“ผมสัญญาว่าเรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก” เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย ภูรินท์พูดต่อในใจ เขาเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดถึงไม่มั่นใจในตัวเองเท่าไรนักว่าจะไม่ล่วงเกินหญิงสาวแบบคืนนั้นอีก อาจจะเป็นเพราะความหอมหวานและรสละมุนที่ติดปลายลิ้นจากริมฝีปากอิ่มนั่น ซึ่งเขาได้ลิ้มรสแล้วเกิดชื่นชอบเข้าให้

พิมพ์พิสุทธิ์เงยหน้าขึ้นมองคนพูด ดวงตากลมโตมีเสน่ห์นั้นสั่นไหวเล็กน้อยราวกับเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่สุดท้ายก็พยักหน้าเบาๆ 

“ถ้าหายโกรธแล้วก็ไปเก็บของกลับมานั่งที่เดิมได้แล้ว โต๊ะนายเดชเล็กนิดเดียวก็ยังจะไปนั่งเบียดอีก” ชายหนุ่มบอกอย่างเป็นนัยๆ ว่าให้กลับมานั่งที่โต๊ะรับแขกเล็กของเขาได้แล้ว เพราะลึกๆ แล้วการที่เธอไปนั่งกับอัครเดชแบบนั้นขวางหูขวางตาเขาพิกล

พิมพ์พิสุทธิ์รับคำ ก่อนจะเอ่ยขอตัวไปเก็บของเพื่อย้ายกลับเข้ามานั่งในห้องชายหนุ่มเหมือนเดิม ทำให้บรรยากาศมาคุตลอดช่วงเช้ากลับมากระจ่างใสเหมือนเดิม 

ถึงแม้พิมพ์พิสุทธิ์จะเข้ามานั่งในห้องเหมือนเดิมแล้ว แต่ก็ยังไม่วายนั่งเอียงข้างหันหลังให้เขาอยู่ดี

เอาเถอะ โกรธได้โกรธไป...ถ้าเขาผิด เขาพร้อมขอโทษและง้อเสมอละ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น