3

ตอนที่ ๓



 

“ทำอย่างโน้นก็ไม่ได้ ทำอย่างนี้ก็ไม่ดี เธอติฉันทุกอย่าง ต่อว่าฉันฉอดๆ เก่งขนาดนี้แล้วทำไมสอนลูกฉันให้เอาดีไม่ได้ รู้ไหมว่าที่ฉันไล่เธอออกเพราะอะไร ก็เพราะว่าเธอดัดสันดานไอ้หนึ่งมันไม่ได้น่ะสิ โธ่...ทำเป็นพูดดี พูดน่ะง่าย แต่เธอก็ทำให้ไอ้หนึ่งมันเอาดีไม่ได้เหมือนกัน” 

“อะไรนะ คุณดามพ์ไล่คุณชื่นออกไปแล้ว”

สายวันต่อมาหลังจากแน่ใจว่าเจ้านายออกไปทำงานแล้ว สมประสงค์ก็ขับรถเข้ามาเพื่อขอพบผู้ช่วยที่สามารถเคลียร์ได้ทุกสถานการณ์ที่เกี่ยวกับเด็กหนุ่มซึ่งอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต

แต่แทนที่เขาจะได้พบนางฟ้าที่ช่วยแก้ปัญหา เขากลับได้รับคำตอบที่ทำให้หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มจากคุณแม่บ้านฉลวย

“ค่ะ ก็เพราะคุณดามพ์ไล่แม่ชื่นออกไปนี่ละค่ะ คุณหนึ่งถึงได้ปึงปังอาละวาดเสียจนห้องนอนคุณดามพ์พังพินาศ แล้วก็ทะเลาะกันจนคุณหนึ่งหนีออกจากบ้านไป”

สมประสงค์วิงเวียนจึงยกมือขึ้นมานวดขมับ “โอ๊ยๆ แล้วแบบนี้ผมจะทำยังไงดีครับป้าหลวย ไม่มีคุณชื่นคอยช่วยแล้วแบบนี้จะตามคุณหนึ่งกลับมาได้ยังไง” ทนายสมองไวคลึงขมับไปคิดไป ไม่กี่วินาทีดวงตาเขาก็เบิกกว้าง ก่อนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมา “ผมเคยขอเบอร์คุณชื่นเอาไว้นี่ ยังอยู่รึเปล่า ยังอยู่ไหม”

“อิฉันมีเบอร์แม่ชื่นนะคะ ถ้าคุณไม่มี” ฉลวยเอ่ยปากพร้อมช่วยเหลือ แต่ทันทีที่พูดจบ สมประสงค์ชายหน้าตี๋ตามเผ่าพันธุ์ฝ่ายพ่อก็ยิ้มจนเห็นตาเป็นเพียงขีดสองขีด

“ขอบคุณครับป้า แต่ผมหาเจอแล้ว”

เมื่อพบหนทางสว่างสมประสงค์ก็รีบเดินหน้าทันที เขากดเบอร์โทร. ไปหาชื่นจิตอย่างไม่รอช้า และรอเพียงไม่นานเสียงคุ้นหูก็ลอดเข้ามาตามสาย

“สวัสดีค่ะ”

“คุณชื่นใช่ไหมครับ นี่ผมสมประสงค์ครับ”

ปลายสายนิ่งไปไม่กี่วินาทีสมประสงค์ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจ

“น้องหนึ่งก่อปัญหาแล้วใช่ไหมคะ”

สมประสงค์หัวเราะแหะๆ ก่อนตอบ “ครับ อาละวาดจนห้องคุณดามพ์พังยับแล้วก็หนีออกจากบ้านครับ”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ”

“คุณหนึ่งคงไม่พอใจที่คุณดามพ์ไล่คุณชื่นออกครับ แหะๆ เอาเข้าจริงผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ ไม่กล้าถามคุณดามพ์จริงๆ ครับ ส่วนคุณหนึ่ง พอเจอหน้าผมก็สะบัดหน้าพรืด ไม่ยอมคุยด้วย”

พอได้ยินสมประสงค์บอกถึงกิริยาไม่น่ารักของอาทิตย์แล้วชื่นจิตก็อดยิ้มไม่ได้ เด็กเอ๊ยเด็ก เป็นหนุ่มแล้วแท้ๆ กลับทำท่างอนเป็นเด็กอยู่อีก

“ถ้าอย่างนั้นช่วยบอกให้น้องหนึ่งโทร. หาดิฉันได้ไหมคะ ดิฉันโทร. ไปหาหลายครั้งแล้ว แต่น้องหนึ่งไม่รับ ส่งข้อความไปก็ไม่อ่าน คราวนี้คงโกรธมาก พาลโกรธทุกคน”

“ว่าแต่คุณชื่นออกแล้วจริงๆ เหรอครับ ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ ถ้าผมจัดการคุณหนึ่งไม่ได้ยังไงจะได้ไปรับ คงต้องขอแรงเหมือนเคยนะครับ”

“ดิฉันกลับมาอยู่ที่ลำปางแล้วค่ะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าน้องหนึ่งพูดไม่รู้เรื่องจริงๆ ดิฉันจะกลับไปจัดการเอง”

ฟังคำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะแบบนี้แล้ว สมประสงค์ก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก “โล่งอก นี่ผมไม่รู้ว่าคุณดามพ์เขาคิดยังไงถึงได้ให้คุณชื่นออก รู้ทั้งรู้ว่ามีคุณชื่นคนเดียวที่เอาคุณหนึ่งอยู่ ตอนนี้ทุกข์เลยมาตกหนักอยู่ที่ผมนี่ ไม่รู้จะจัดการยังไง คุณหนึ่งดื้อแค่ไหนคุณชื่นก็รู้”

“เด็กขาดความรักก็แบบนี้ละค่ะ ดิฉันขอให้คุณพูดกับน้องหนึ่งดีๆ นะคะ ห้ามขึ้นเสียง ห้ามใช้กำลัง แต่หว่านล้อมให้โทร. มาคุยกับดิฉันแทน ดิฉันกลัวแกจะเตลิดไปไกล”

“ครับๆ ผมเข้าใจครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปหาคุณหนึ่งเลย ขอบคุณมากนะครับคุณชื่น”

“ยินดีค่ะ”

สมประสงค์กดวางสายพร้อมถอนหายใจยาว จากนั้นจึงปลุกปลอบใจตนเองด้วยการตะโกน “สู้เว้ย!” ออกมาดังลั่น

 

แก้วกาแฟลอยหวือเฉียดหน้าสมประสงค์ไปนิดเดียว หลังจากเขานำความไปบอกเจ้านายว่าตอนนี้ลูกของเจ้านายไม่ได้อยู่ที่คอนโดเพื่อนแล้ว

หนุ่มวัยยี่สิบแปดดีใจอย่างยิ่งเมื่อวันนี้เจ้านายดื่มกาแฟหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นเสื้อผ้าเขาอาจเปื้อนกาแฟเหมือนครั้งก่อนๆ ก็เป็นได้

“แล้วตอนนี้มันไปอยู่ที่ไหน”

“เพื่อนคุณอาทิตย์ไม่ยอมบอกครับ ผมคิดว่าคงต้องใช้วิธีสะกดรอยตาม ผมมั่นใจว่าคุณอาทิตย์คงอยู่ที่บ้านของเพื่อนคนใดคนหนึ่งแน่ๆ ครับ” สมประสงค์ตอบยาวๆ โดยบอกแผนที่คิดเอาไว้เพื่อสืบหาลูกเจ้านายให้เจ้านายฟังด้วย

และดูเหมือนวิธีการพูดอันรอบคอบของเขาจะได้ผล เพราะเจ้านายไม่ได้ตะโกนใส่หน้าเขาอีก เพียงแต่สั่งด้วยเสียงหนักๆ เท่านั้นว่า

“ดี ตามมันให้เจอแล้วลากมันกลับบ้านให้ได้ ถ้าไอ้เด็กเปรตนั่นยังไม่กลับบ้าน คุณก็ไม่ต้องมาให้ผมเห็นหน้าอีก”

รู้ไหม...บางทีการถูกนายตะโกนใส่หน้าก็น่ากลัวน้อยกว่าการที่นายพูดนิ่งๆ แต่ข้อความโคตรเหี้ยมเป็นไหนๆ

 

สามวันแล้วที่ทนายหน้าอ่อนนั่นไม่โผล่หน้ามารายงานข่าว

ดามพ์ตบโต๊ะทำงานแรงจนเจ็บมือ เขากวาดสายตาไปมา ไม่รู้จะโฟกัสอะไร เหมือนกับความคิดที่ตอนนี้สับสนไปหมด ไม่รู้จะไปหาไอ้ลูกตัวแสบได้ที่ไหน

มันเงียบหายเหมือนตายจาก...นี่มันคงไม่คิดจะประชดประชันเขาด้วยการฆ่าตัวตายไปแล้วหรอกนะ

พอความคิดเลวร้ายเช่นนี้ผุดขึ้นมาในสมอง หัวใจคนเป็นพ่อก็เหมือนหล่นวูบลงเหว ความรู้สึกเลวร้ายสุดขั้วกลับมาเยือนเขาอีกครั้ง เมื่อปีก่อน...เวลาใกล้เคียงกันนี้ เขาได้รับข่าวร้ายจากตำรวจ ข่าวการตายของเมียเก่าและลูกคนเล็ก

‘ไม่นะ มันต้องไม่เป็นแบบนั้นอีก หนึ่งจะตายไม่ได้’

หนุ่มใหญ่ลนลานหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมาแล้วกดโทร. ไปหาสมประสงค์ทันที

แม้จะรอเพียงไม่นานทนายหนุ่มคนนั้นก็รับสาย แต่สำหรับคนใจร้อนแล้วดามพ์แทบทนรอไม่ไหว

“นี่ฉันเอง ลูกชายฉันล่ะ คุณตามหาไปถึงไหนแล้ว นี่มันสามวันแล้วนะที่ไม่มีข่าว”

สมประสงค์ทีกำลังเดินหาบ้านเพื่อนของอาทิตย์ตามที่อยู่ซึ่งไปสืบมาได้ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ ตอนนี้ตะวันตรงหัวเขายังไม่พอ แต่ความร้อนใจของคนเป็นพ่ออาทิตย์ยังพ่นใส่หูเขาจนแก้วหูแทบแตกอีก

“ผมกำลังตามหาคุณอาทิตย์ตามบ้านเพื่อนอยู่ครับ ผมไปหาที่บ้านเพื่อนสนิทมาครบทุกคนแล้วแต่ไม่เจอ เลยต้องขยายขอบเขตการค้นหามาเป็นเพื่อนที่เคยคบ”

“แล้วเมื่อไหร่จะเจอตัว สามวันแล้วที่มันไม่กลับ ไม่ไปโรงเรียน นี่ถ้าเป็นแบบนี้มิถูกโรงเรียนไล่ออกอีกรอบเหรอ”

“ผมกำลังพยายามอย่างเต็มที่อยู่ครับ แต่...”

“ไม่มีคำว่าแต่ ภายในวันนี้คุณต้องเอาตัวมันกลับมาให้ได้ เข้าใจไหม”

“เข้าใจครับ แต่อาจทำไม่ได้” เพราะความร้อนของอากาศผนวกกับความร้อนของมนุษย์พ่อ มนุษย์ทนายที่เดินหาบ้านใครก็ไม่รู้งกๆ จึงระเบิดออกไปบ้าง ความร้อนทำให้คนเป็นบ้าได้ สมประสงค์เข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วในวันนี้

“ผมไม่ใช่ผู้วิเศษนะครับ ที่จะตรัสรู้ว่าคุณอาทิตย์ไปอยู่ที่ไหน ผมไม่ใช่คุณชื่นที่อ่านใจคุณอาทิตย์ออก ผมต้องไล่หาเพื่อนคุณอาทิตย์ไปทีละคนๆ บางคนกว่าจะกลับบ้านก็ดึกดื่น บางคนพ่อแม่ก็ไม่อนุญาตให้คุยด้วย การหาตัวใครสักคนที่ต้องการหลบหน้าเรามันไม่ง่ายเลยนะครับคุณดามพ์”

ได้ระเบิดออกไปแล้วสมประสงค์รู้สึกดีขึ้นมานิด และกังวลขึ้นมาอีกหน่อย การระเบิดอารมณ์ใส่เจ้านายจะทำให้เขาถูกไล่ออกหรือเปล่านี่ ‘โอ๊ย สมัยนี้งานยิ่งหายากๆ อยู่’

“เอ่อ...ผม...ขอโทษนะครับ คือ...ผมก็เครียดอยู่เหมือนกัน” เพราะยังไม่อยากตกงาน ทนายหนุ่มจึงรีบเอ่ยขอโทษทันทีที่สำนึกได้

แต่ปลายสายเงียบ...เงียบจนน่ากลัว

“คุณดามพ์ครับ ยังอยู่ไหมครับ”

“คุณคิดว่ายายพี่เลี้ยงนั่นอาจรู้ว่าอาทิตย์อยู่ที่ไหนงั้นเหรอ”

เมื่อเรื่องที่อีกฝ่ายตอบกลับมาไม่เกี่ยวกับเรื่องเดิม ทว่าวกกลับไปสู่เรื่องที่ควรพูดถึงมากกว่า สมประสงค์จึงรีบเอออวย

“ครับ คุณชื่นเป็นคนที่รู้จักคุณอาทิตย์มากที่สุด นี่รายชื่อเพื่อนผมก็ได้มาจากคุณชื่น ผมคิดว่า...”

ยังไม่ทันที่สมประสงค์จะพูดจบ สัญญาณปลายสายก็ขาดหายไป ทนายหนุ่มไม่รอช้า รีบกดโทรศัพท์กลับ แต่เจ้านายกลับไม่ยอมรับสาย

หัวใจของคนที่อาชีพการงานและรายได้กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายเต้นไม่เป็นจังหวะ สมประสงค์ทำอะไรไม่ได้นอกจากยกมือขึ้นพนมแล้วบนบาน

“คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วยเถิด ขออย่าให้คุณดามพ์ไล่ลูกออกเล้ย ขอให้ลูกหาคุณหนึ่งพบและพากลับบ้านได้ด้วยเถิด ถ้าลูกช้างทำได้ ลูกช้างจะเต้นซุมบ้าถวายกลางตรอกนี้เลย”

 

ในที่สุดเสียงโทรศัพท์ของชื่นจิตก็ดังขึ้นมาเสียที หญิงสาวซึ่งกำลังกวาดห้องรับแขกของบ้านขนาดกะทัดรัดวางไม้กวาดแล้ววิ่งไปยังโซฟาสีเข้ม คว้าโทรศัพท์มือถือบนโซฟาขึ้นมาดูแล้วก็ขมวดคิ้ว เมื่อเบอร์ที่โทร. มานั้นไม่ใช่เบอร์ของคนที่เธอกำลังรอสาย แต่เป็นเบอร์ของพ่อเด็ก

ชื่นจิตใจหายวูบ สมองคิดแต่เรื่องไม่ดีจนมือที่กดรับโทรศัพท์สั่นพอๆ กับเสียง “เกิดอะไรขึ้นคะ น้องหนึ่งเป็นอะไร”

“อาทิตย์หายตัวไป ไม่มีร่องรอย ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง ไม่มีใครติดต่อได้เลย”

หัวใจชื่นจิตเต้นช้าลงหน่อยเมื่อดามพ์โทร. มาบอกเรื่องที่เธอรู้นานแล้ว “อ้อ...นี่ยังไม่เจอน้องหนึ่งเหรอคะ”

“ยัง...สมประสงค์บอกว่าเธออาจเป็นคนเดียวที่รู้ว่าอาทิตย์อยู่ไหน”

“ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าน้องหนึ่งอยู่ไหนแน่ แต่ก็พอเดาๆ ได้ น้องหนึ่งมีเพื่อนสนิทไม่กี่คน”

“ฉันอยากให้เธอกลับมาช่วยหาอาทิตย์หน่อย ไม่ต้องห่วง ฉันมีค่าเสียเวลาให้”

จริงๆ แล้วถ้าเปลี่ยนจากการใช้เงินตบหัวมาเป็นการขอร้อง ชื่นจิตคงเต็มใจที่จะไปช่วยอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่นี่...คนอะไร พูดจาไม่น่ารักเลย คิดหรือว่าเธอหิวเงิน พ่อเธอไม่ได้ยากจนนะ แม้เธอจะเป็นลูกที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่พ่อก็เจียดเงินเข้าธนาคารให้ทุกเดือนตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเรียนจบปริญญา นี่ยังไม่นับบ้านหลังนี้และที่ดินที่แม่บอกว่าพ่อเพิ่งโอนให้ไม่นานนี้ด้วย

เฮอะ...ถึงเธอจะไม่อยากได้สมบัติ ไม่อยากได้เงินของพ่อ แต่ทุกสิ่งที่พ่อให้ตามหน้าที่ก็ทำให้เธอกับแม่มีกินมีใช้ไม่อดอยาก ไม่จำเป็นต้องคลานกลับไปให้ใครจิกหัวใช้แบบไม่เห็นคุณค่า

ชื่นจิตอ้าปากแล้วหุบ อ้าแล้วหุบ เพราะแม้จะโกรธแค่ไหนเธอก็ยังมีสติ มีสติจนสำนึกได้ว่าเหนือกว่าความโกรธแล้วเธอมีความห่วงใยอาทิตย์มากกว่า

“ได้ค่ะ ฉันจะกลับไปช่วยคุณ แต่ฉันไม่ได้กลับเพราะเห็นแก่เงินค่าเสียเวลาอะไรนั่น ฉันจะกลับเพราะเป็นห่วงน้องหนึ่ง ขอให้คุณเข้าใจเอาไว้ตามนี้ด้วย”

“ยังไงก็ได้”

ปลายสายดูเหมือนจะไม่สำนึกว่าตนไม่ควรพูดเลย น้ำเสียงเช่นนั้นทำให้ชื่นจิตฉุนขึ้นมาอีก ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะได้โต้ตอบอะไรกลับไป ฝ่ายนั้นก็สวนกลับมาก่อน

“เอาเป็นว่ารีบมาก็แล้วกัน ฉันจะบอกให้คนเปิดประตูให้”

‘โอ๊ย นี่ถ้าเราสามารถปิดโทรศัพท์มือถือแบบกระแทกแรงๆ ให้ปลายสายได้รับรู้ถึงความไม่พอใจของเราได้แล้วละก็ ป่านนี้นายดามพ์นั่นคงแก้วหูลั่นไปแล้ว เสียดายชะมัด’

 

ทันทีที่ชื่นจิตก้าวลงมาจากรถ แม่บ้านฉลวยก็วิ่งหน้าเริดมารับพร้อมยื่นซองขาวให้เธอหนึ่งซอง

ภายในซองจดหมายสีขาวนั้นไม่ใช่เงิน ไม่ใช่จดหมายไล่ออก แต่เป็นคำสั่ง คำสั่งให้เธอออกตามหาอาทิตย์ทันที

นี่เขากล้าดีอย่างไรถึงมาสั่งเธอ ตอนนี้เธอไม่ได้เป็นลูกจ้างของเขาแล้ว

ชื่นจิตยิ้มขอบคุณแม่บ้านทั้งที่ใจเดือดปุดๆ เธอขอตัวเอาของไปเก็บที่ห้อง โดยระหว่างเดินไปยังเรือนคนรับใช้ก็ท่องไปด้วยว่า ‘โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ตอนนี้สิ่งสำคัญคือน้องหนึ่ง ใจเย็นเอาไว้ชื่นจิต’ เดินไปท่องไปครบยี่สิบรอบเธอก็ถึงห้องนอนเก่าพอดี

แม้ชื่นจิตจะถูกจัดให้อยู่ที่เรือนคนรับใช้ แต่ที่ทางซึ่งจัดให้นั้นเทียบเท่าแม่บ้านของคฤหาสน์หลังนี้

ห้องของเธออยู่ชั้นล่าง ในมุมด้านซ้ายสุดของตึกสองชั้น ชั้นบนซอยเป็นสี่ห้องสำหรับคนรับใช้หกคน ส่วนชั้นล่างแบ่งออกเป็นสองห้อง ฝั่งซ้ายคือห้องเธอ และฝั่งขวาเป็นของครอบครัวแม่บ้าน

ภายในห้องของชื่นจิตตกแต่งอย่างเรียบง่าย พอเปิดประตูเข้าไปจะเห็นห้องรับแขกซึ่งมีโซฟานั่งสบายและโทรทัศน์ขนาดใหญ่วางเอาไว้เพื่อให้ความเพลิดเพลิน ทางซ้ายมือติดตั้งครัวเล็กๆ และโต๊ะรับประทานอาหารขนาดสองที่นั่งเอาไว้ มุมนี้อาทิตย์เคยมานั่งรับประทานอาหารกับเธอบ่อยๆ

เมื่อคิดถึงเด็กหนุ่มที่หายไป ชื่นจิตก็กวาดตามองห้องลวกๆ แล้วลากกระเป๋าเข้ามาในห้องด้านในซึ่งเป็นส่วนของห้องนอนและห้องน้ำ ปิดประตูแล้วหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมากดโทร. ออกไปยังหมายเลขล่าสุดที่โทร.เข้ามา

“สวัสดีค่ะคุณดามพ์ ฉันกลับมาแล้วค่ะ”

“ดี เริ่มทำงานได้เลย”

“งานเหรอคะ” ชื่นจิตตวัดเสียงสูงด้วยอารมณ์ ก่อนนี้เธอเป็นลูกจ้างเขาจึงต้องระวังปากระงับอารมณ์ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ “ฉันมาที่นี่ก็เพราะน้องหนึ่ง ฉันไม่ได้มาทำงานให้คุณ แต่มาสอนงาน เอาละ ข้างตัวคุณมีกระดาษกับปากการึเปล่า เตรียมให้พร้อม”

ผู้ที่นั่งทำงานอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ขมวดคิ้ว งงเมื่อถูกสั่ง นานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครมาสั่งเขาแบบนี้

“เอ็ม” ชื่นจิตเอ่ยชื่อเพื่อนคนหนึ่งของอาทิตย์ออกมา “เป็นเด็กที่เรียนอยู่ในโรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนเก่าที่น้องหนึ่งเคยเรียนมาตั้งแต่เด็ก เขาเคยสนิทกันมาก แต่เด็กคนนี้ไม่ใช่เด็กดีนัก พอน้องหนึ่งย้ายโรงเรียนก็ห่างๆ กันไป แต่เวลาที่น้องหนึ่งเดือดร้อน ไม่ต้องการให้ใครตามตัวได้ ฉันคิดว่าคนที่น้องหนึ่งอาจไปหา ไปขอให้ช่วยก็คือเด็กคนนี้ ฉันให้คุณสมประสงค์ไปตามถึงบ้านเด็กคนนี้แล้ว คุณสมประสงค์บอกว่าเอ็มไม่ได้กลับบ้านมาสามวันแล้วเหมือนกัน ดังนั้นเรื่องที่ฉันคาดจึงน่าจะไม่ผิด เขาน่าจะอยู่กับน้องหนึ่ง”

“แล้วไง เธอรู้ก็รีบไปตามหาสิ”

“มันไม่ใช่เรื่องของฉัน นี่ลูกคุณ เรื่องของคุณ คุณก็ต้องหาเองสิ”

ดามพ์ตบโต๊ะปัง ลุกขึ้นยืนเพราะฉุนจัด “เธอก็รู้ว่าฉันไม่ว่าง” เขาตะโกน

ชื่นจิตก็ลุกขึ้นจากโซฟา โก่งคอตะโกนกลับไปในแบบที่อยากทำมาตั้งนานแล้วแต่ระงับอารมณ์เอาไว้ “ไม่ว่างก็ต้องว่าง อะไรจะสำคัญเท่าลูกของคุณเอง”

“งานไง ไม่มีงานก็ไม่มีเงิน”

“ถ้าอย่างนั้นคุณมีงาน มีเงิน แต่ไม่มีลูกก็ได้ใช่ไหม” ชื่นจิตแทงสวนกระบี่เดียวทิ่มตัดขั้วหัวใจ

ดามพ์ได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบๆ พูดอะไรไม่ออก

“น้องหนึ่งออกจากบ้านไปหลายวันแล้ว จะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ ฉันต้องการให้คุณใช้อำนาจ ใช้เงินของคุณให้เป็นประโยชน์ ไปที่บ้านของเอ็ม บอกพ่อกับแม่เอ็มว่าถ้าเอ็มบอกได้ว่าน้องหนึ่งอยู่ที่ไหนและคุณตามไปเอาตัวมาได้ คุณจะให้เงินหรือให้ประโยชน์แก่พ่อหรือแม่ของเอ็ม”

ดามพ์หรี่ตา “นี่คิดจะให้ฉันติดสินบนคนที่อยู่ข้างกายอาทิตย์งั้นเหรอ...ฉลาดมาก”

ชื่นจิตยิ้มกว้าง “เรื่องนี้คุณสั่งให้คุณสมประสงค์ทำไม่ได้ เพราะเขาไม่มีอำนาจในการต่อรองและไม่น่ากลัวพอ ฉันแนะนำให้คุณเอาเขี้ยวเล็บที่มีทั้งหมดไปใช้กับพ่อแม่ของเอ็ม จะบีบก็ดี จะใช้เงินก็ช่าง ทำยังไงก็ได้ หาน้องหนึ่งให้เจอก่อนที่...น้องหนึ่งจะถลำตัวทำเรื่องเลวร้าย”

“เรื่องเลวร้ายงั้นเหรอ” ดามพ์ทวนประโยคแสนน่ากลัวนั่นก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน หยิบปากกากับสมุดบันทึกที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานเสมอขึ้นมา “เอาละ บอกที่อยู่บ้านเด็กคนนั้นมา”

“ตอนนี้พ่อกับแม่เอ็มคงไม่อยู่ที่บ้านค่ะ พ่อเอ็มเปิดร้านขายมอเตอร์ไซค์อยู่ที่...”

ดามพ์ตวัดปากกาในมืออย่างรวดเร็ว เมื่อได้ที่อยู่เรียบร้อยเขาก็รีบเดินออกไปจากห้องทำงานโดยไม่ลืมแวะบอกเลขาฯ หน้าห้องด้วยว่าเขาจะไม่กลับเข้ามาอีกแล้ว

 

ดามพ์กลับบ้านเร็วกว่าทุกวันเพราะวันนี้ช่วงบ่ายเขาไม่ได้ทำงาน เมื่อมาถึงเขาก็เรียกพบชื่นจิตทันที และเธอก็มาพบเขาอย่างรวดเร็วจนเขาหาเรื่องตำหนิเธอไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

“ฉันไปพบพ่อของเด็กนั่นมาแล้ว เขารับปากว่าพรุ่งนี้เขาจะมีคำตอบให้”

ชื่นจิตยิ้มนิดๆ เธอไม่ถามว่าเขาใช้วิธีไหน เนื่องจากเธอไม่อยากรู้เรื่องเลวๆ ของเขานักหรอก

“แล้วถ้ารู้ว่าอาทิตย์อยู่ไหน ฉันต้องตามไปลากตัวมันกลับมาเองด้วยรึเปล่า ฉันว่าเรื่องนี้ให้เธอหรือสมประสงค์จัดการน่าจะดีกว่า เพราะถ้าฉันเจอไอ้เด็กเปรตนั่นตอนนี้ต้องตุ้บตั้บมันหลายทีแน่ ไอ้เด็กบ้า อายุแค่นี้ริหนีออกจากบ้าน นี่เมื่อก่อนมันเคยทำแบบนี้บ้างรึเปล่า”

ก่อนจะตอบคำถาม ชื่นจิตหลุบตามองโซฟาเดี่ยวสีเหลืองสดซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ โซฟายาวสไตล์โมเดิร์นที่ดามพ์นั่งอยู่แล้วถาม

“นี่คุณไม่คิดจะเชิญให้ฉันนั่งก่อนเหรอคะ แต่เอาเถอะค่ะ ไม่เป็นไร คุณไม่เชิญฉันนั่งเองก็ได้” เธอพูดเองเออเอง นั่งเองเสร็จสรรพแล้วจึงหันไปมองหน้าอดีตเจ้านายที่มองเธอด้วยสายตาแปลกๆ

คงแปลกใจละสิที่วันนี้เธอไม่หงอให้เขาเหมือนแต่ก่อนแล้ว

“เรื่องหนีออกจากบ้าน น้องหนึ่งไม่เคยทำค่ะ เมื่อตอนอยู่กับพี่ฤดี แกอาจเป็นเด็กแข็งอยู่สักหน่อย แต่ก็อยู่ในโอวาท...ถ้าเรามีเหตุผลกับแก” ชื่นจิตพูดกระทบกระเทียบดามพ์เล็กน้อยจนเขาชักสีหน้าใส่ ก่อนถามต่อ “คุณทะเลาะอะไรกับน้องหนึ่งคะ น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ คุณฉลวยบอกฉันว่าน้องหนึ่งขึ้นไปทำลายห้องนอนคุณก่อนหนีไปด้วย”

ดวงตาคมเหลือบมองคนถามแล้วเมิน เขาไม่มีวันบอกหรอกว่าทะเลาะกันด้วยเรื่องของเธอ เดี๋ยวแม่คนนี้จะได้ใจถ้ารู้ว่าตัวเองสำคัญสำหรับไอ้ลูกไม่รักดีของเขาแค่ไหน

“ก็ไม่ใหญ่อะไร แค่บอกว่าจะให้มันไปเรียนโรงเรียนประจำ จะได้โตและมีความรับผิดชอบมากขึ้นก็เท่านั้น”

ชื่นจิตพยักหน้า ยอมเชื่อคำปดของดามพ์อย่างไม่คิดอะไรมาก “ถ้าอย่างนั้นตอนคุณไปรับน้องหนึ่ง กรุณาช่วยเคลียร์เรื่องนี้ด้วย คุณได้เสนอความคิดของคุณออกไปแล้ว และน้องหนึ่งใช้การอาละวาด การหนีออกจากบ้านเป็นคำตอบแล้วว่าจะไม่ยอมไปเรียนโรงเรียนประจำเด็ดขาด คุณต้องบอกน้องหนึ่งให้กลับมาสู้ปัญหา ไม่ใช่หนีปัญหา”

ดามพ์ทำหน้าเบื่อและหงุดหงิด การพูดจาประสาดอกไม้ไม่ใช่นิสัยเขา เขาเป็นคนแข็งกร้าว เด็ดขาด ไม่เคยอ่อนให้ใคร

“ในเมื่อเธอรู้ว่าควรพูดกับอาทิตย์ยังไง เธอก็ไปตามมันมาสิ เดี๋ยวฉันพูดผิดหูมันก็เตลิดไปอีก ขี้เกียจตาม”

“คนเป็นพ่อเป็นแม่ขี้เกียจไม่ได้ค่ะ เพราะหน้าที่ของพ่อแม่คือการประคับประคองลูกให้เติบโตอย่างงดงาม” ชื่นจิตสอน ตามด้วยการท้าทาย “คุณเป็นผู้บริหาร สามารถปกครองพนักงานเป็นร้อยๆ ชีวิตได้ แต่ไม่สามารถปกครองลูกคนเดียวได้เหรอคะ คุณจะบอกว่ายอมแพ้เด็กอย่างน้องหนึ่งอย่างนั้นเหรอคะ”

“ไม่ได้ยอมแพ้ แต่รำคาญ”

“คนเป็นพ่อเป็นแม่รำคาญลูกไม่ได้ค่ะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น