3
ทอดทิ้ง
เหนื่อย...เพลียเต็มที่ แต่กว่าจะข่มตาหลับสิขเรศต้องนับทั้งแกะทั้งแพะ นับถึงร้อยวนไปวนมาอยู่หลายรอบ พักผ่อนยังไม่ทันเต็มอิ่มก็พลันรู้สึกตัวตื่น แขนซ้ายเป็นเหน็บชาหมดทั้งแถบ สืบเนื่องจากถูกของหนักบางสิ่งกดทับเป็นเวลานาน
“เฮ้ย!” ร่างสูงทะลึ่งขึ้นนั่ง พร้อมๆ กับที่มีคนเผยอเปลือกตางัวเงีย เช้าตรู่แล้ว พอจะมองเห็นกันและกันเป็นเงาตะคุ่ม
“อะไรหรือนาย”
“มานอนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร กล้าดียังไงมานอนเบียดฉัน”
“ไม่ได้นอนเบียดเสียหน่อย ข้านอนบนตัวนายเลย เอาขาก่ายเอาไว้” บัวนั่งบ้าง เกาแขน เกาขา เกาคอ เกาดะไปทั่ว ออกอาการชัดว่ายังไม่หายง่วง
“ไอ้บัว!”
“ก็ดึกๆ มันหนาว ข้ากลัวนายหนาว ผ้าห่มมีผืนเดียวก็ต้องแบ่งๆ กันห่ม”
“ไปเลยนะ ไปอยู่ไกลๆ ตีน ถ้าไม่อยากเจ็บตัว กลับไปนอนบนแคร่ไม้ไผ่ของเธอโน่น ห้ามตีขลุมย่องมาทำมิดีมิร้ายฉันอีก ดื้อด้านนักประเดี๋ยวเหอะ ได้เลือดตกยางออกกันมั่ง”
“นายหนอนาย เห็นข้าซื่อบื้อเป็นควายเขาโง้งอยู่เรื่อย นายไม่กล้าตบตีข้าหรอก ถ้านายจะทำนายทำตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” อย่างคล่องแคล่วว่องไว ร่างเล็กยืนขึ้นก่อนจะบิดขี้เกียจ
“นายนอนต่อให้สบายใจเถอะ ข้าจะไปลำธารตักน้ำเอามาใส่ตุ่ม ที่ตักๆ เอาไว้พวกชาวบ้านที่มาช่วยงานใช้ไปหมดแล้ว จะหาเก็บพริกขุดข่าเอามาทำกับข้าวให้นายกับปู่กินด้วย”
“ยังมืดอยู่เลยนะ ฟ้ายังไม่ทันจะแจ้ง”
“นายห่วงข้ารึ”
“ไม่ห่วงสักนิด โดนเสือคาบไปฉีกกินในป่ายิ่งดี”
เด็กสาวหัวเราะสดใส ปะทะคารมกับหนุ่มหล่อรับอรุณ จากที่ง่วงมันหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
“นายน่ะปากร้ายใจดี เดี๋ยวดุเดี๋ยวตวาด จริงๆ ลึกๆ ก็ห่วงใยข้า ก็อย่างว่าแหละ ข้ามันคนน่ารักเจ้าเสน่ห์ ระวังนะนาย ระวังจะตกหลุมรักไอ้บัวจนนายโงหัวไม่ขึ้น”
สิขเรศสะบัดหน้าพรืด ถ้าทุกเช้าต้องตื่นมาเจอไอ้บัวนอนอยู่ข้างๆ ต่อล้อต่อเถียงกันด้วยเรื่องสัพเพเหระตั้งแต่ยังไม่ทันได้แปรงฟัน ชีวิตจะเป็นอย่างไร อเนจอนาถสุดขีด หรือจะเต็มไปด้วยสีสันบรรเจิดที่เขาไม่เคยพบพานมาก่อน
“ข้ารู้จักระมัดระวังตัวหรอกน่า ไม่ไปเหยียบงูเงี้ยวเขี้ยวขอให้มันฉกกัดเอาได้ ปู่ของข้าเคยเป็นพรานป่า ข้าตามปู่เข้าป่าตั้งแต่ยังเด็ก อสรพิษตัวไหนมันร้ายกาจนัก ข้าจะจับมันหักคอถลกหนังเอามาย่างไฟกิน”
“หึ! เก่งเหลือเกินแม่คุณ เก่งจนตกน้ำตกท่าเป็นลูกหมาตกน้ำ”
“ใช่ ข้าเก่ง ตกน้ำแทนที่จะตายกลับได้ผัวหล่อ สาวๆ โป่งชะง่อนอิจฉาข้ากันทั้งนั้น” ตอบโต้เสร็จมันก็ไป ทิ้งผู้ชายตัวโตไว้กับอารมณ์พลุ่งพล่าน
สิขเรศล้มตัวนอนหงายยกแขนก่ายหน้าผาก จะทนไม่ไหวแล้ว จะทนไม่ไหวแล้วโว้ย! พับผ่าสิ
นอนต่อก็นอนไม่หลับ จะเลิกนอนก็ไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำ จำต้องนอนพลิกตัวกระสับกระส่ายอยู่นานกว่าแสงสว่างยามเช้าจะสาดกระจายเข้ามาในห้อง
อาบน้ำและทำธุระส่วนตัวเสร็จชายหนุ่มก็ไม่รีรอชักช้า วันนี้เขาจะกลับไร่ พาเพื่อนๆ อีกสามคนออกไปจากชุมชนโป่งชะง่อนให้จงได้ ยอมเออออห่อหมกเข้าพิธีแต่งงานกับเด็กสาวแปลกหน้าก็เพื่อการนี้ ถ้าชาวบ้านจะกักขังหน่วงเหนี่ยวเขาไว้อีกก็ต้องเอาช้างร้อยเชือกมาฉุด ณ ตอนนี้ก็ใกล้แล้ว ใกล้จะเป็นบ้า
“นายกินข้าว ข้าตั้งสำรับเอาไว้ตรงชานกระท่อม”
“ฉันจะคุยกับปู่ของเธอ มีเรื่องสำคัญต้องคุย”
“เอาไว้อิ่มหนำแล้วนายค่อยชวนปู่คุย ปู่สวดมนต์อยู่ อีกนานแหละกว่าจะเสร็จ”
“ปู่ของเธอล่ะ ไม่กินพร้อมกันหรือไง”
“ปู่กินแล้ว กินบนแคร่ตอนที่นายไปอาบน้ำ”
“ฉัน...เอ่อ...ฉันไม่ค่อยหิว” เขาบ่ายเบี่ยง ห่วงกังวลเรื่องความสะอาด กับข้าวที่ไอ้บัวทำไม่น่าจะถูกสุขลักษณะ
“หิวไม่หิวก็ต้องกิน ละแวกนี้ไม่มีร้านขายข้าวแกงให้นายวิ่งไปซื้อหรอกนะ ฝีมือต้มผัดแกงทอดของข้าไม่เป็นสองรองใคร ลือกันสามบ้านแปดบ้านว่าอร่อยเหาะ”
“กินก็กิน” สิขเรศเบื่อจะฟัง
ไอ้เด็กขี้โม้! คุยโวโอ้อวดไปเสียทุกเรื่อง
ที่ว่าไม่หิวไม่ใช่ความจริง ท้องร้องจ๊อกๆ คร่ำครวญตั้งแต่เมื่อวาน นอกเหนือจากมื้อเช้าที่เขากับพลพรรคประกอบอาหารง่ายๆ กินร่วมกันตรงจุดกางเต็นท์ เขากล้าหยิบเข้าปากก็เฉพาะส้มสูกลูกไม้ ขนาดดื่มน้ำฝนจากขันอะลูมิเนียมยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจ
กับข้าวที่ไอ้บัวภาคภูมิใจนำเสนอคือ น้ำพริกข่า ผักสด ผักต้ม ผัดเผ็ดเนื้อสัตว์สับละเอียดอีกหนึ่งจาน
“จานนี้อะไร” สิขเรศพินิจแล้วพินิจอีก
“นาย นายเคยกินนกกระทาไหม”
“ไม่เคย แต่กินได้” ที่กินไม่ได้คือเนื้องู เนื้อสุนัข เนื้อสัตว์แปลกประหลาดที่มนุษย์ทั่วไปไม่นิยมบริโภค
“กินเยอะๆ นะนาย เพื่อนายข้าทุ่มเทสุดฝีมือ นายจะได้ติดใจเสน่ห์ปลายจวักไปไหนไม่รอด” คะยั้นคะยอไม่พอ บัวยังตักผัดเผ็ดโรยใบมะกรูดฉีกใส่จานให้ด้วย
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ แม่ครัวตัวจ้อยมีรสมือที่เด็ดดวงเอาเรื่อง เศรษฐีหนุ่มกินไปเผ็ดไป ลืมตัวไปกับความหิวและความอร่อยอันเลิศล้ำ ยอมวางช้อนก็ต่อเมื่ออิ่มเกือบจุก ข้าวสวยหุงนุ่มสองจานพูนๆ กับน้ำอีกครึ่งขันเป็นอะไรที่เกินความคาดหมายของเขาไปมาก กะจะกินรองท้องแค่พอมีแรงขับรถกลับไร่พันดาวไหว
“อร่อยไหมนาย”
“งั้นๆ ก็พอกล้อมแกล้มกินได้”
“กับข้าวถูกปากนายข้าก็ชื่นใจ กินง่ายอยู่ง่ายแบบนี้ข้ารักตายเลย ได้ยินมาว่าคนในเมืองเรื่องมากดัดจริต โน่นไม่เอานี่ไม่เอา สรรหาแต่ความฟุ่มเฟือยอวดมั่งมี” บัวชวนคุยพลางรวบรวมจานช้อนใส่ถาด จะยกไปเก็บ
“นายนอนกับพื้นกระท่อมได้ อาบน้ำตามลำธารก็ได้ กินผัดเผ็ดคางคกได้อีก เก่งจริงๆ สมแล้วที่เป็นผัวไอ้บัว”
“ผัดเผ็ดคางคก!” ร่างสูงลุกพรวดขึ้นยืนประดุจโดนไฟฟ้าชอร์ตหมื่นโวลต์ สองหูอื้ออึง ภาพผิวหนังตะปุ่มตะป่ำผุดพรายเต็มหัว คางคกเป็นสัตว์มีพิษ อันตรายของมันอยู่ที่ต่อมน้ำเมือกใกล้หู
“นายเป็นอะไร” สาวน้อยเงยหน้าขึ้นถาม ดวงตาบ้องแบ๊วช่างดูใสซื่อ
“กับข้าวจานนั้น ผัดเผ็ดที่เธอผัดให้ฉันกิน เอาตัวอะไรมาทำ” สิขเรศถามช้าและชัด หายใจเข้าออกแรงจนอกกระเพื่อมด้วยโมโห
กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขเตือนแล้วเตือนอีกว่าห้ามรับประทานคางคก หรือแม้แต่ไข่ของมัน สารพิษ บูฟากิน บูโฟท็อกซิน และบูโฟเทนนิน มีฤทธิ์ต่อระบบประสาท มีผลต่อระบบทางเดินอาหาร ถึงขั้นเสียชีวิตได้
“ก็คางคกไง ตัวคล้ายๆ กบแต่คนละสี กบสีเขียว คางคกสีน้ำตาล ไม่รู้จักหรือนาย”
“ไอ้บัว!” มือหนาเอื้อมไปกระชากคอเสื้อพื้นเมืองสีซีด ดึงร่างน้อยให้ยืนขึ้นประจันหน้า
“ฉันถามเธอแล้วนะ ถามว่าจานนั้นเนื้ออะไร เธอบอกว่านกกระทา ฉันถึงกิน”
“ข้าไม่ได้ตอบ”
“อย่ามาไขสือนะ”
“ไขสือแปลว่าอะไร”
“โว้ย!” ชายหนุ่มหัวฟัดหัวเหวี่ยง ง้างกำปั้นค้างกลางอากาศ ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิงจะต่อยเต็มหมัด เอาให้เบ้าตาแตก
ไอ้บัวไม่ยักกลัว มันยิ้มระรื่นชื่นบานเหมือนอย่างเคย
“ข้าแค่ถามนายว่านายเคยกินนกกระทาไหม นายก็ว่านายไม่เคยกิน ที่นายถามข้าว่าจานนี้อะไร ข้ายังไม่ได้ตอบ”
หนุ่มหน้าเข้มกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ พะอืดพะอมขยักขย้อน ท้องไส้ปั่นป่วนยิ่งกว่าเมาเหล้า
“หน้าบูดเป็นตูดเป็ดอีกแล้วนาย จะอะไรนักหนา กินก็กินไปแล้ว รังเกียจนัก ข้าจะล้วงคอให้ นายจะได้อ้วก”
“เออ! ทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเอ็งอย่าโวยก็แล้วกัน” เขาผลักสาวน้อยจอมเล่นลิ้นจนเซหัวทิ่ม เดือดดาลแค่ไหนก็ต้องระงับ กฎของลูกผู้ชายคือไม่รังแกผู้หญิง แม้ผู้หญิงบางคนจะน่ากระทืบ
“ข่าวออกโครมๆ ว่ากินคางคกแล้วตาย อะไรที่ควรรู้หัดรู้ซะมั่ง เรื่องไม่ควรรู้กลับสู่รู้” เช่นเรื่องของนายสิงห์แห่งไร่เรืองสิงห์เป็นต้น
“กินคางคกฝีมือคนอื่นอาจจะตาย แต่กินคางคกฝีมือไอ้บัว กินอีกร้อยหนก็ไม่ตาย ข้ากับปู่กินมานักต่อนักแล้ว” มันถลามายืนเถียง ถึงแม้ความสูงไม่สมดุล ต้องแหงนหน้าจนเมื่อยคอก็ไม่ยอมลดราวาศอก
“ข้าจะเตือนนายเอาไว้นะ อย่าคิดว่าข้าตัวเล็กกว่าแล้วจะหงอ นึกอยากดุก็ดุ นึกอยากข่มก็ข่ม หนุ่มๆ โป่งชะง่อนคนไหนปากเสีย กล้าแซว กล้าดูหมิ่นเหยียดหยามข้า ข้าเตะร่วงผล็อยมาหลายคนแล้ว คนอย่างไอ้บัวถึงสู้ไม่ได้ก็จะสู้ ต่อให้นายเป็นผัว ถ้านายย่ำยีน้ำใจข้า นายกับข้าจะเห็นดีกัน”
“ฉันไม่ใช่หนุ่มๆ โป่งชะง่อน ไม่ใช่ไอ้ขี้แพ้ที่จะกลัวเสียงตวาดแว้ดๆ ของเธอ” รวดเร็วเท่าความคิด สิขเรศจิ้มหน้าผากโหนกนูนด้วยปลายนิ้วชี้ ออกแรงสั่งสอนมากหน่อย กระทั่งดวงหน้าเล็กเรียวผงะหงาย
ไอ้บัวกัดริมฝีปากล่าง เพิ่งเตือนนายรูปหล่อไปหยกๆ ว่าอย่าบังอาจคิดรังแก นายไม่ฟัง ถึงฟังก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
“โอ๊ย!”
แค่พริบตาเดียวสถานการณ์ก็พลิก จากผู้กระทำเป็นผู้ถูกกระทำ ท่อนแขนแข็งแรงโดนมือบางจับบิดเต็มรัก ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นเป็นริ้วจากข้อมือจดหัวไหล่ เรี่ยวแรงของสาวสิบหกมีมากเกินตัว
“เก่งน่ะเก่ง แต่เก่งแล้วเหลิงไม่คณามือฉันหรอกนะ” สิขเรศไม่ยอมพ่ายแพ้ง่ายๆ ตอบโต้แก้เกมกระทั่งแขนขาพัวพันกันอุตลุด ขืนยกธงขาวให้เด็กเพิ่งเกิด ต่อไปมันจะยิ่งได้ใจ
ต่างคนต่างมุ่งมั่นจะเอาชนะ ฝ่ายชายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะกลัวไอ้บัวเจ็บ ต้องออมแรงคอยระมัดระวังไม่ให้พลั้งมือ ดื้อด้านแก่นกะโหลกแค่ไหนมันก็เป็นผู้หญิง เป็นเพศที่อ่อนแอกว่า
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมของพ่อเฒ่าทองเอี่ยมช่วยแยกมวยคู่เอกให้ผละออกจากกัน
“ผัวหนุ่มเมียสาวพลอดรักกะหนุงกะหนิงกันแต่เช้า เมื่อคืนคงชื่นมื่นน่าดู”
ไอ้บัวยิ้มแหย เสไปเก็บสำรับกับข้าวต่อ
“พ่อเฒ่ามาก็ดีแล้ว ผมมีเรื่องจะคุยด้วย คุยต่อหน้าพรานบุญ”
ชายชราผู้ถือไม้เท้าอันใหญ่หัวเราะหึๆ อารมณ์ดี
“เอ็งอยากจะไปจากโป่งชะง่อนใจจะขาดแล้วสินะ เอ้า! คุยก็คุย แต่ข้าจะเข้าไปทักทายพรานบุญก่อน อีกสักเดี๋ยวเอ็งค่อยตามเข้าไป”
ไม่ต้องมีใครเชื้อเชิญ ผู้นำชุมชนเดินผ่านเข้าประตูกระท่อมไปอย่างคุ้นเคย
“นาย”
สิขเรศมองดวงหน้ารูปไข่ที่ก้มงุดคางเกือบชิดอก แม่เสือสาวที่เขาสู้รบตบมือด้วยอันตรธานไปแล้ว เหลืออยู่ตอนนี้คือดรุณีน้อยที่ดูไร้พิษสง จอมแสบจะมาไม้ไหนอีก ตัวกระจ้อยร่อย แต่ลูกล่อลูกชนหลายร้อยเล่มเกวียน
“อะไร”
“จะทิ้งข้าหรือนาย”
ก็ไม่รู้ทำไมต้องใจแกว่ง สะดุดหูกับเสียงขึ้นจมูกอย่างคนจะร้องไห้
“ข้าไม่มีพ่อแม่ ไม่มีพี่ป้าน้าอาเหมือนคนอื่นๆ ปู่บอกข้าเมื่อเช้าว่าปู่กำลังจะตาย จะอยู่กับข้าอีกแค่ห้าวันเท่านั้น นายรู้ไหม ที่ข้ายิ้ม ที่ข้าหัวเราะ ในอกของข้ามีแต่น้ำตา นายอยากกลับบ้านข้ารู้ แต่ในยามที่ข้าอ่อนแอ ข้าอยากให้นายอยู่ด้วย สองหัวยังไงก็ดีกว่าหัวเดียว”
ร่างสูงยืนทื่อเป็นหิน หนักหน่วงในหัวใจชอบกล รู้สึกขมในคอจนต้องเบือนหน้าไปมองกิ่งไม้ข้างกระท่อม
“บ้าน่า! เชื่อเป็นตุเป็นตะไปได้ ปู่ของเธอยังดูแข็งแรงอยู่เลย ลุกได้นั่งได้ ข้าวปลาอาหารก็กินเป็นปกติ ยังไม่ตายง่ายๆ หรอกนะ คนจะตายป่านนี้พร่ำเพ้อพูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว”
“ปู่ของข้าทำนายอนาคตแม่นยำนัก ไม่เคยทายพลาด”
“ปู่ของเธอแก่มากแล้ว ความจำอาจจะเลอะเลือน วิชาความรู้อาจจะถดถอย ไอ้ที่เคยแม่นวันนี้อาจจะไม่แม่น” สิขเรศถนอมน้ำใจผู้ฟังจนสุดความสามารถ
เขาไม่เชื่ออย่างที่ไอ้บัวเชื่อ เห็นเป็นเรื่องงมงายหาสาระไม่ได้ ถ้าพรานบุญล่วงรู้อนาคตโดยไม่แหกตาชาวบ้าน คงไม่ทำนายว่าหลานสาวของแกคือคู่แท้ของเขา หนีกันไม่พ้น น้ำกับน้ำมันไม่มีทางผสมรวมเป็นหนึ่งเดียว
“คุยกันแบบเปิดอกเลยนะ ฉันมีโลกของฉัน มีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ต้องดูแลเกื้อกูลคนงานในไร่พันดาวนับร้อยชีวิต จะอยู่เรื่อยเปื่อยกับเธอไปวันๆ ที่โป่งชะง่อนไม่ได้”
“ข้ารู้” เสียงมันอ่อย หน้ามันหมอง
สิงหราชพูดถูก สังคมชนบทแห่งนี้เคร่งครัดเรื่องรักนวลสงวนตัว แต่งกันแล้วตามประเพณีของท้องถิ่น ถ้าอยู่ๆ เขาหายตัวไปเด็กสาวจะตกที่นั่งลำบาก พาไปอยู่ไร่พันดาวด้วยกัน หางานให้ทำหรือไม่ก็ส่งเสียให้เรียนหนังสือน่าจะเป็นทางออกที่ดี
“ไปอยู่กับฉันไหม ไปวันนี้เลย พาปู่ของเธอไปด้วย”
รู้ว่าเป็นเหาแล้วคันหัว เขายังบ้าจับเหาใส่หัวตัวเอง จะปัดภาระได้อย่างไรในเมื่อใครต่อใครในชุมชนโป่งชะง่อนเข้าใจว่าไอ้บัวมีผัวแล้ว ไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นสาวพรหมจรรย์
สาวน้อยส่ายหน้าหวือ แววตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวเต็มไปด้วยความรักและความเทิดทูน
“ปู่จะตายที่นี่ สั่งเสียไว้หมดแล้วว่าข้าต้องทำอะไรบ้าง ถ้านายอยู่ไม่ได้ นายก็ไปเถอะ เมื่อข้าเหลือตัวคนเดียวแล้วข้าจะไปหานาย”
“หาทางส่งข่าวไปก็ได้ ฉันจะส่งคนมารับ”
บัวจ้องมองผู้ชายที่ปู่บอกให้ตนฝากชีวิตให้เขาดูแล นายมีรถคันโก้ ขับก็ขับเป็น แต่นายจะให้คนอื่นมารับ ไม่อยู่เคียงข้างในยามที่เด็กสาวต้องการกำลังใจ ปล่อยให้เผชิญความเศร้าอันเกิดจากการสูญเสียพลัดพรากเพียงลำพัง
วันนี้บัวเชื่อปู่ เห็นใจสิขเรศว่าเพิ่งถูกมัดมือชก แต่วันหน้าเด็กสาวจะพิสูจน์หัวใจนายเสือแห่งไร่พันดาวให้ถ่องแท้ ถ้าค้นพบแล้วว่าหัวใจของเขาเป็นหัวใจทอง บัวจึงจะยอมละทิ้งพยศเป็นเมียที่ดี ทำตัวน่ารัก น่าทะนุถนอมชิดเชย เฉกเช่นผู้หญิงอ่อนหวานคนอื่นๆ
ใกล้เที่ยงกระบะโฟร์วีลสี่ประตูขับตามหลังกันสองคันออกจากชุมชนโป่งชะง่อน คันหน้าผู้เดินทางคือสิขเรศกับสิงหราช คันหลังต้นนทีรับหน้าที่เป็นสารถีให้วิศรุตนั่งโดยสารอยู่บนเบาะข้างคนขับในลักษณะคอพับคออ่อน เส้นทางขรุขระทุรกันดาร เต็มไปด้วยหลุมบ่อและดินโคลนเฉอะแฉะในหลายต่อหลายจุด แต่หนุ่มร่างอ้วนทั้งหลับทั้งกรนเสียงดังสนั่นรถ เนื่องด้วยร่างกายอุดมไขมันอ่อนระโหยจนไม่อาจฝืนลืมตาขึ้นได้
สิงหราชนั่งเงียบเพราะรู้ว่าสิขเรศต้องใช้สมาธิกับเส้นทางที่ค่อนข้างวิบาก จนกระทั่งพ้นจากถนนดินดำเข้าสู่ถนนลาดยางมะตอยบทสนทนาจึงเริ่มต้นขึ้น
“แปลก”
“ยังไง”
“แค่นายผายปอดช่วยเหลือเด็กบัว ผู้เฒ่าทองเอี่ยมกับชาวบ้านถึงขั้นบีบบังคับให้นายแสดงความรับผิดชอบ ต้องแต่งกับเด็กบัวเพราะถือเป็นการผิดผี ถ้าไม่แต่งเด็กบัวจะเสียหาย มีมลทินติดตัวไปตลอดชีวิต แต่นี่ตบแต่งกันตามประเพณีแล้ว ถึงไม่มีอะไรกันเด็กนั่นก็ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียนายแล้ว รู้กันทั้งตำบล”
“อือฮึ”
“ถ้านายกลับไร่แล้วไม่ย้อนกลับมารับเด็กบัวจะเสียหายหนักกว่าเดิม บ่าวสาวเข้าหอกันชาวบ้านก็ต้องเข้าใจว่าเด็กบัวเสียตัวให้นายแล้ว หนักข้อกว่าเสียจูบเสียอีก”
“อืม”
“นายกับเด็กบัวเพิ่งแต่งงานกันเมื่อวาน แต่งอย่างฉุกละหุก วันนี้พรานบุญกับพ่อเฒ่าทองเอี่ยมยอมปล่อยพวกเราให้เดินทางออกจากโป่งชะง่อนได้โดยสวัสดิภาพ ทั้งๆ ที่ไม่มีหลักประกันอะไรเลย นอกเหนือไปจากคำสาบาน”
สิขเรศขมวดคิ้วหน้ายุ่ง ใช่ หลังมื้อเช้าเขาเปิดอกคุยกับพรานบุญประสาลูกผู้ชาย คุยต่อหน้าพ่อเฒ่าทองเอี่ยม ชี้แจงกับปู่ของไอ้บัวว่ามีความจำเป็นต้องกลับไร่ หน้าที่การงานรอเขาอยู่ที่นั่น เพื่อนๆ อีกสามคนก็อยากกลับบ้าน
ชายชราทำทีว่าเข้าใจ ไม่เหนี่ยวรั้ง ไม่เรียกร้องทรัพย์สินเงินทองเอาไว้ใช้สอยแม้แต่บาทเดียว แกว่าแกใกล้ตายแล้วจึงปฏิเสธที่จะย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย ไม่ปรารถนาการดูแลรักษาจากสถานพยาบาล แต่ประสงค์จะสิ้นลมหายใจอย่างสงบ ไอ้บัวก็จะอยู่ดูใจปู่ของมัน ทำหน้าที่หลานกตัญญูจวบจนวินาทีสุดท้าย
ประการเดียวที่เขาต้องทำเพื่อแลกอิสรภาพ คือต้องกล่าวคำสาบานกับคนแก่ใกล้ตายว่าจะดูแลไอ้บัวไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่ทิ้งขว้างเด็ดขาด
“นายจะบอกอะไรฉัน”
“คนแก่สองคนให้ความสำคัญกับคำสาบานของนายมาก ดูเชื่อมั่นไว้วางใจ ไม่บังคับให้ทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร เหมือนว่าถ้านายกล่าวคำสาบานต่อหน้าพรานบุญแล้วจะไม่มีทางบิดพลิ้วได้เลย”
“ไม่มีอะไรหรอกสิงห์ ความเชื่องมงายกับสังคมที่ความเจริญยังเข้าไม่ถึงมันเป็นของคู่กัน อีกอย่างแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวฉันเป็นที่พึ่งให้มันได้แน่ ก็อย่างที่นายว่า เลี้ยงมันไว้เอาบุญ จะสิ้นเปลืองก็ไม่กี่มากน้อย”
“ตลอดชีวิตนะเสือ ตลอดชีวิตมันยาวนานไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี อะไรที่นายไม่คาดคิดก็อาจจะเกิดขึ้นได้”
“นายก็รู้จักฉันดี สาบานไปก็เท่านั้น ฉันไม่เชื่อไม่ศรัทธา เห็นแก่มนุษยธรรม ฉันจะอุปการะไอ้บัวไม่ให้มันตกระกำลำบาก ถ้าปู่มันตาย ฉันจะเป็นผู้ปกครองให้มันเอง”
สิงหราชพยักหน้าช้าๆ ความเชื่อของเขากับความเชื่อของสิขเรศคล้อยตามกันอยู่เสมอ อุปนิสัยใกล้เคียงกันจึงคบกันเป็นเพื่อนรัก สนิทสนมไปมาหาสู่กันตั้งแต่ยังเยาว์ แต่หนนี้กลับรู้สึกกังขาอยู่ในใจชอบกล
ปู่ของเด็กบัวต้องการคำสาบาน และสิขเรศก็สาบานไปแล้ว สำหรับเขาถ้าจะดูแลผู้หญิงสักคนไปตลอดชีวิต ผู้หญิงคนนั้นต้องสลักสำคัญเป็นอย่างมาก เป็นเมีย เป็นแม่ของลูก ไม่ใช่เด็กสาววัยกระเตาะที่เพื่อนเกลอออกปากว่าน่ารำคาญยิ่งกว่าแมลงหวี่ แต่ละวีรกรรมของเด็กบัวชวนปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นที่สุด
คุยบ้างเงียบบ้าง กระทั่งรถยนต์เลี้ยวเข้าสู่อาณาบริเวณส่วนบุคคล สุดลูกหูลูกตาคือไร่อันอุดมสมบูรณ์ พันดาวเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรประจำจังหวัด ปลูกผักผลไม้หลากหลายสายพันธุ์โดยมุ่งเน้นว่าต้องปลอดสารพิษ ไม่ใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ผลผลิตหนึ่งในสามส่วนส่งขายต่างประเทศ อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย ที่เหลือส่งตรงให้ร้านอาหาร ซูเปอร์มาเกต โรงงานอุตสาหกรรม และเปิดร้านออร์แกนิกไว้ภายในไร่เพื่อจำหน่ายพืชผลให้แก่นักท่องเที่ยว ที่ปัจจุบันตื่นตัวและหันมาใส่ใจสุขภาพกันมาก
“ขึ้นบ้านไปนอนพักสักงีบก่อนสิ เย็นๆ ค่อยกลับไร่เรืองสิงห์”
“เอาไว้วันหน้าดีกว่า ทิ้งงานมาหลายวันแล้ว คิดถึงย่าด้วย ไม่ได้ยินเสียงบ่นจุกจิกจู้จี้ก็เหมือนชีวิตขาดอะไรไปอย่าง” ผู้ฟังหัวเราะ ผู้พูดพลอยหัวเราะตาม คุณนายสร้อยระย้ารักหลานโทนยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจ นางเลี้ยงดูอุ้มชูของนางมาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กน้อย ขนาดว่ารักมากก็ยังไม่วายงัดข้อกันอยู่เนืองๆ
“นั่นสินะ หลานชายไม่อยู่ ป่านนี้ย่าสร้อยคงเฉาแย่”
สิงหราชจอดรถสปอร์ตอเนกประสงค์เอาไว้ที่ไร่พันดาว ขนถ่ายสัมภาระขึ้นรถตัวเองเสร็จ ชายหนุ่มก็สนทนากับเพื่อนรักอีกเพียงเล็กน้อยแล้วเอ่ยปากขอตัว
คนหนึ่งเดินขึ้นบ้านทรงไทยประยุกต์ใต้ถุนโปร่ง อีกคนเปิดประตูพาหนะคันโปรด กำลังจะก้าวขึ้นไปนั่ง
“พี่สิงห์ กลับมาแล้วหรือคะ”
เจ้าของชื่อหันหน้ามาเจอหญิงสาวโฉมสะคราญถึงสองคน แก้วกุดั่นเป็นลูกพี่ลูกน้องกับสิขเรศ เมื่อบิดามารดาของหล่อนประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แม่เลี้ยงศรีดาราก็รับหลานกำพร้าเอามาดูแล เธอรักใคร่เอ็นดูบุตรีของน้องชายเสมือนลูก
พิริตาเป็นเพื่อนค่อนข้างสนิทของแก้วกุดั่น เคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน จบคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีเหมือนกัน
“เมื่อวานยายกวางแกงยอดมะพร้าวอ่อนใส่ไก่สุดฝีมือเลยค่ะ อร่อยมาก แกงรอพี่สิงห์กับพี่เสือกลับมากินแต่ก็รอเก้อ” พิริตาส่งเสียงเจื้อยแจ้วทำตัวเป็นแม่สื่อ
ในขณะที่แก้วกุดั่นก้มหน้างุด พวงแก้มสองข้างแดงระเรื่อ หล่อนขี้อาย อีกทั้งยังไม่ใช่คนกล้าแสดงออก
“ธุระติดพันนิดหน่อยน่ะครับ จำเป็นต้องค้างคืนต่อกันอีกคืน”
“เจอพี่สิงห์ก็ดีแล้ว พี่สิงห์ขา ตาลกับกวางชอบปั่นจักรยานกินลมชมวิวกันค่ะ ปั่นรอบไร่พันดาวมาเป็นเดือนก็เริ่มเบื่อ อยากเปลี่ยนบรรยากาศไปปั่นที่ไร่เรืองสิงห์บ้าง จะได้ไหมคะ”
“ยินดีครับ”
“แต่ว่า...ผู้หญิงสองคนปั่นกันตามลำพังคงเด๋อๆ ด๋าๆ น่าดู ไม่รู้ตรงไหนมีอะไรน่าเที่ยวบ้าง ถ้าพี่สิงห์สละเวลาปั่นเป็นเพื่อนละก็ จะรีบไปปั่นพรุ่งนี้เลยค่ะ”
“พี่ขอดูหน้างานก่อนนะครับ ถ้างานไม่ยุ่งมากนักก็พาน้องๆ เที่ยวได้”
“เย้! เห็นไหมยายกวาง พี่สิงห์ของเธอใจดีจะตาย” พิริตายิ้มแฉ่ง ยัดเยียดสิงหราชให้เป็นพี่สิงห์ของแก้วกุดั่นหน้าตาเฉย
“ขอบคุณค่ะพี่สิงห์” สาวเรียบร้อยยกมือกระพุ่มไหว้ หัวใจเต้นแรงระรัวอย่างผู้หญิงที่กำลังตกหลุมรัก
“พี่ไปนะครับ ฝากสวัสดีคุณป้าดาราด้วย”
สิงหราชขึ้นรถและขับออกไป เหลือสองสาวยืนอยู่ด้วยกันใต้ต้นปีบ
“ผิดคำฉันพูดเสียที่ไหน ด้านได้อายอด นี่ก็รุดหน้าไปก้าวหนึ่งแล้ว อยากเป็นหลานสะใภ้คุณนายสร้อยระย้าเธอต้องกล้ามากกว่านี้ อย่ามัวแต่เหนียม เลิกกระมิดกระเมี้ยนสนิมสร้อยได้แล้ว ถ้าพี่สิงห์มาปั่นจักรยานด้วยก็ต้องแกล้งรถล้มข้อเท้าแพลงเดินไม่ไหว ให้เขาช่วยอุ้ม หรืออย่างน้อยที่สุดก็ช่วยประคอง”
แก้วกุดั่นยิ้มแหย เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก โจ่งแจ้งนักก็ดูไม่งาม ซุกซ่อนเอาไว้เป็นความลับก็อัดอั้นตันใจ
“ฉันช่วยเธอแล้วเธอก็ต้องช่วยฉันบ้าง คืนวันเสาร์ไปนั่งฟังเพลงชิลๆ ในตัวจังหวัดกัน ชวนพี่เสือไปด้วยนะ บอกเขาว่าไปกันแต่ผู้หญิงกลัวจะโดนพวกขี้เมาลวนลาม หรือจะหาข้ออ้างอื่นก็ได้ เอาที่เข้าท่าหน่อย”
“จะดีหรือตาล”
“ดีสิ ต้องดีอยู่แล้ว ฉันเป็นเพื่อนเธอนะกวาง เหมาะจะเป็นพี่สะใภ้เธอมากกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ เป็นเพื่อนกันด้วย เป็นญาติกันด้วย เราสองคนจะได้เกี่ยวดองกันสองชั้น” ดวงตาคมเฉี่ยวทอประกายวาดฝัน
ลูกสาวคนเดียวของเสี่ยโรงงานน้ำตาลอยากได้อะไรก็แค่ออดอ้อนออเซาะ บิดามารดาจะรีบสรรหาเอามาปรนเปรอ ขนาดว่าเรียนจบปริญญาตรีเป็นบัณฑิตแล้วยังไม่ต้องประกอบสัมมาอาชีพ วันๆ ลอยชายไปมาสบายใจเฉิบ
แก้วกุดั่นสงบปากสงบคำ สิขเรศกับหล่อนไม่ได้คลานตามกันออกมาก็จริง แต่เขาก็เป็นพี่ชาย นายเสือแห่งไร่พันดาวเสน่ห์แรง เป็นที่หมายปองของสาวๆ ทั่วจังหวัดตาก ที่มีอายุหน่อยก็สนใจในคุณสมบัติอันเพียบพร้อมไปด้วยความรู้และทรัพย์ศฤงคาร อยากอ้าแขนรับเป็นลูกเขยเข้าร่วมวงศ์ตระกูล ถ้าเขาจะปักใจรักใครตัวเลือกย่อมมีมากมายหลายทาง
พิริตาสะสวย แต่งตัวเก่ง พรมน้ำหอมกลิ่นจรุงเย้ายวนอยู่เสมอ แต่สวยจับจดเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ แม่เลี้ยงศรีดาราไม่ปลื้มอยู่แล้ว ตัวสิขเรศเองยิ่งแล้วใหญ่ เขาไม่ชอบด้วยซ้ำที่หล่อนคบหาสมาคมกับพิริตา โดนเพื่อนจูงจมูกและกดให้เป็นลูกไล่ ถึงไม่เคยออกปากตำหนิ แต่พี่น้องกันแค่มองตาก็อ่านใจออก
อย่าว่าแต่ลูกสาวเสี่ยโรงงานน้ำตาลจะหมดสิทธิ์สมหวัง แก้วกุดั่นก็รู้ตัวดี สิงหราชจะไม่มีวันคิดเกินเลยกับหล่อนฉันชู้สาว เขาเอ็นดูเพราะเห็นว่าเป็นน้องเพื่อน คุ้นเคยกันมาช้านาน ถ้าไม่ถูกยุยงเป่าหูอยู่ทุกวันหล่อนก็แค่อยากเห็นหน้าเขาบ้าง รับรู้ความเป็นไป ได้ละเมอเพ้อฝันด้วยจิตปรารถนาดีแค่เพียงเท่านี้ก็ชื่นใจแล้ว
ความคิดเห็น |
---|