5

ศรศิลป์ไม่กินกัน


5

ศรศิลป์ไม่กินกัน

สิงหราชแวะมาปรึกษาพูดคุยกับสิขเรศเรื่องที่เขาจะพัฒนาจุดชมวิวบางจุดในไร่เรืองสิงห์ให้เป็นทุ่งดอกกระเจียวสีส้มซึ่งแปลกตาและหาดูยาก เพราะส่วนใหญ่จะมีแต่สีชมพูหรือไม่ก็สีขาว ทุ่งดอกกระเจียวสีส้มเขาเคยพบเห็นอยู่ที่เดียวคือที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ มันผลิดอกงดงามในช่วงปลายฤดูฝน น่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ใฝ่หาธรรมชาติและชื่นชอบการถ่ายรูปได้จำนวนไม่น้อย

คุยธุระเสร็จชายหนุ่มก็ขอตัวกลับไปกินข้าวกับย่า คุณนายสร้อยระย้าทำกับข้าวรอหลานรักทุกเย็น ได้เห็นหน้าเขาระหว่างรับประทานอาหารแค่นั้นคนแก่ก็มีความสุข กระชุ่มกระชวยหัวใจ พาให้นางอายุยืนยาวและสุขภาพแข็งแรง กระฉับกระเฉงคล่องแคล่วกว่าเพื่อนฝูงวัยเดียวกันหรือแม้แต่คนที่เกิดทีหลัง

แขกที่ไม่ยอมกลับเสียทีคือลูกสาวเสี่ยโต้ง หล่อนนั่งแช่ถ่วงเวลากระทั่งได้รับการเชื้อเชิญให้ร่วมรับประทานอาหารเย็นซึ่งตั้งโต๊ะกันตอนพลบค่ำ

“มาสิหนู มานั่งตรงนี้ ใกล้ๆ ฉันนี่” แม่เลี้ยงศรีดารากวักมือเรียกไอ้บัวที่ยืนเก้กัง นอกเหนือจากนายเสือ ทุกคนล้วนเป็นคนแปลกหน้า

“จะให้เด็กคนนี้ร่วมโต๊ะด้วยหรือคะ” พิริตามองเด็กบ้านนอกหัวจดเท้า ภาพที่เห็นลดความอยากอาหารลงไปกว่าครึ่ง คนรับใช้ที่บ้านของหล่อนแต่งตัวสะอาดกันทุกคน ตัดเล็บสั้น ผมหวีเรียบ พูดจาคะขา รู้จักประจบสอพลอเจ้านาย

“บัว ไหว้คุณตาลสิจ๊ะ คุณตาลเป็นเพื่อนของฉัน” แก้วกุดั่นเป็นคนแนะนำ แต่แล้วก็ต้องหน้าเจื่อน

ไอ้บัวไม่ยอมไหว้ มันเดินไม่รู้ไม่ชี้ไปนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ว่าง กับน้องของนายก็ไม่ได้อยากแข็งข้อ แต่เห็นสายตารังเกียจดูแคลนของผู้หญิงรูปสวยทาปากแดงแปร๊ดแล้วเกิดอาการมือหนัก ยกไม่ขึ้น

สิขเรศตาขึงตาปรามเด็กในปกครอง ส่งภาษาใบ้กับมันว่าให้หัดลดราวาศอกลงบ้าง มันเป็นเด็ก อย่างน้อยพิริตาก็เป็นผู้ใหญ่ อายุมากกว่ามันตั้งสิบกว่าปี

“น่ากินไหม” สตรีผู้มีอาวุโสที่สุดถามสมาชิกใหม่ของบ้าน

“น่ากิน บัวจะกินให้พุงกางเลยจ้ะ” มันเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองจากข้าเป็นบัว พูดจามีหางเสียงอีกต่างหาก

แม่เลี้ยงเมืองตากหัวเราะชอบใจ ไอ้บัวมันอยู่เป็น รู้จักอ่อนน้อมมีสัมมาคาราวะกับเธอ

“จะกินเป็นหรือจ๊ะ คนละแวกนี้เขาไม่กินอาหารสุกๆ ดิบๆ กันนะ ถ้ากินไม่ได้ก็แย่เลย ไม่มีหัวเผือกหัวกลอยให้เธอหาขุดเสียด้วยสิ แต่จะว่าไป กิ้งก่าจิ้งเหลนก็เห็นวิ่งพล่านอยู่เต็มไร่ไปหมด นกหนูงูแย้ก็พอมี จับเป็นหรือเปล่าล่ะ ถ้าจับเป็นก็หมดห่วง ไอ้ตัวพวกนั้นคงช่วยให้เธออิ่มท้องได้หลายมื้อ”

“ตาล” แก้วกุดั่นเรียกเพื่อนก็เพื่อเตือนสติ หล่อนมองพี่ชาย มองคุณป้า มองด้วยสายตาขอโทษ

สาวน้อยจากโป่งชะง่อนทำหูทวนลม มันได้ยินเสียงแหลมชัดเจนเต็มสองหู แต่ยังไม่อยากอาละวาด เห็นแก่หน้านาย เห็นแก่แม่ของนายที่ใจดีกับมันตั้งแต่แรกเห็น

“จานนี้เต้าหู้ไข่ทรงเครื่อง ฉันเข้าครัวทำเอง ลองชิมดูเผื่อจะถูกปาก จานอื่นๆ น่ะฝีมือแม่ครัว บ้านนี้มีแม่ครัวสองคนชื่อแม่น้ำอ้อยกับแม่รำพึง เก่งกันคนละอย่าง แม่น้ำอ้อยถนัดอาหารคาว แม่รำพึงทำขนมอร่อย โดยเฉพาะขนมไทย”

“อร่อยจ้ะ อร่อยมาก บัวเพิ่งเคยกินครั้งแรก” สโรชาเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ ยืนยันคำชมว่ามาจากใจจริง ไม่ได้เสแสร้ง

“อร่อยก็กินเยอะๆ จะได้โตเร็วๆ”

แม่เลี้ยงศรีดารายิ้มแย้มแจ่มใสกระทั่งมีคนริษยา เธอต้อนรับเพื่อนหลานสาวไม่เคยขาดตกบกพร่อง เป็นเจ้าบ้านที่ดี แต่ก็ตามมารยาทเพียงเท่านั้น

“มูมมามน่าเกลียด กินเอาๆ เหมือนคนตายอดตายอยาก”

พิริตาส่งค้อนข้ามโต๊ะให้แก่ดรุณีที่หยิบจับทำอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด ลืมตัวไปชั่วขณะว่าบ้านทรงไทยประยุกต์หลังใหญ่โตโอ่โถงหลังนี้ไม่ใช่บ้านของปะป๊า เสี่ยโต้งรักลูกสาวมากก็ตามใจมาก หล่อนจะออกฤทธิ์แผลงเดชแค่ไหนบิดามักไม่ค่อยถือสา

“ป้าเสนอตัวกับเสือไว้แล้วว่าจะอบรมขัดเกลาหนูบัวให้เป็นสุภาพสตรีมากกว่าตอนนี้ ยายกวางจะช่วยป้าอีกแรง หนูตาลไม่ต้องลำบากคอยจับตาหรือคอยตักเตือนหรอกนะจ๊ะ ประเดี๋ยวจะหงุดหงิดใจเสียเปล่าๆ เด็กเพิ่งมาจากหมู่บ้านติดชายป่า แค่พูดจากันรู้เรื่องก็ดีถมแล้ว ไม้อ่อนยังดัดง่ายอยู่ ไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรง”

“ค่ะ คุณป้า” หญิงสาวยิ้มจืด รู้ตัวว่าโดนตำหนิแบบนิ่มๆ เข้าให้แล้ว

สิขเรศรับประทานอาหารเงียบและเร็ว เมื่ออิ่มก็ขอตัวเข้าห้องทำงานและขลุกอยู่ในนั้นร่วมสามชั่วโมง

จบมื้อเย็นแม่เลี้ยงศรีดาราชวนเด็กบัวไปเดินเล่นกันสองคน พาดูต้นไม้ขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่ปลูกเอาไว้รอบบ้าน สังเกตอุปนิสัยใจคอของสาวน้อยที่จับพลัดจับผลูมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน

“ก่อนเข้านอน อาบน้ำสระผมเสียหน่อยนะหนู จะได้สบายเนื้อสบายตัว”

“แม่นายเหม็นสาบบัวหรือจ๊ะ”

“แม่นาย นึกยังไงเรียกฉันแบบนี้”

“แม่ของนายก็ต้องเรียกแม่นายสิจ๊ะ น้องของนายบัวก็จะเรียกน้องนาย”

“เอาเถิดจ้ะ สะดวกแบบไหนก็เรียกไปก่อน”

“แม่นายใจดีจัง บัวชอบ อยู่ใกล้ๆ แม่นายบัวคิดถึงปู่ อยากให้ปู่มาเข้าฝันบ้างปู่ก็ไม่มา”

“โถแม่คุณ เกิดแก่เจ็บตายไม่มีใครหนีพ้นหรอกนะ หนูต้องหักห้ามใจ ทำใจให้เข้มแข็งเอาไว้ กว่าจะแก่เท่าฉันชีวิตของหนูยังต้องเจอะเจอเรื่องราวทุกข์สุขอีกมาก”

“บัวยังไม่ขัดขี้ไคลออกได้ไหมจ๊ะ ปล่อยผมให้เป็นสังกะตังเอาไว้ก่อน”

“อ้าว! ทำไมล่ะ ไม่อยากสวยขึ้นหรือจ๊ะ จะได้ไม่มีใครเขาดูถูกหนูได้”

“ปู่เคยบอกบัวว่าปู่แก่แล้ว แค่จะลุกจะนั่งก็ลำบาก ถ้าความสวยความน่ารักของบัวไปเตะตาคนไม่ดีเข้า ปู่จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนปกป้องหลาน ความขี้เหร่ ความมอมแมมน่ารังเกียจนี่แหละคือเกราะป้องกันภัยชั้นหนึ่งของลูกผู้หญิง”

แม่เลี้ยงอดหัวเราะไม่ได้ เพ่งพิศดีๆ ไอ้บัวของสิขเรศก็จิ้มลิ้มเอาเรื่อง ตัวมันผอมแห้ง แต่ปากแก้มคิ้วคางได้รูปทรงไปหมดทุกส่วน ยิ่งดวงตายิ่งสวยระยับ ดำขลับแวววาวและเป็นประกาย

“แสดงว่าหนูมั่นใจว่าถ้าเนื้อตัวของหนูสะอาดหมดจดหนูจะสวย”

“บัวมั่นใจนิดเดียว แต่ปู่มั่นใจมาก”

คนฟังหัวเราะอีก อยู่ใกล้เด็กกระเตาะเธอรู้สึกอารมณ์ดี

“เมื่อก่อนกับตอนนี้มันไม่เหมือนกัน ตอนนี้หนูเป็นเด็กในปกครองของนายเสือเขาแล้ว เขาปกป้องหนูได้แน่ ถ้ามีภัยอันตรายมากล้ำกรายเขาจะช่วยขจัดมันออกไป หนูอาบน้ำได้ สระผมได้ แต่งตัวสวยๆ ได้ตามชอบใจ ไม่ต้องกังวลว่าใครในไร่จะกล้าคิดมิดีมิร้าย”

“บัวอยากมั่นใจกว่านี้ ขอดูน้ำใจของนายให้ถ่องแท้อีกสักเจ็ดวัน แม่นายทนเหม็นหน่อยนะจ๊ะ”

“เจ็ดวันก็เจ็ดวัน ฉันอยากเห็นดักแด้จากโป่งชะง่อนลอกคราบออกมาเป็นผีเสื้อ”

ไอ้บัวไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ได้ยิน แต่มันก็ยิ้ม รอยยิ้มบริสุทธิ์ของมันถูกชะตาคนที่จ้องมองอยู่

“เช้าวันมะรืนฉันจะไปนอนวัดป่าที่สิงห์บุรี ไปปฏิบัติธรรมกับกลุ่มเพื่อนๆ สามวันสามคืน กลับจากปฏิบัติธรรมฉันจะสอนหนูอย่างเข้มงวดเรื่องกิริยามารยาทและการเข้าสังคม นายเสือก็จะจ้างครูมาสอนหนังสือหนูที่บ้าน มีครูต่างชาติด้วยนะ ระหว่างที่ยังไม่เริ่มเรียนหนูจะเที่ยวเล่นให้ทั่วไร่ก่อนก็ได้ ในไร่มีกิจกรรมสนุกๆ ให้ทำตั้งเยอะ หัวสมองจะได้ปลอดโปร่ง เตรียมเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ที่หนูจะต้องเรียนรู้อีกมาก”

“แม่นายไปนอนวัดตั้งหลายวัน บัวจะคุยกับใคร วันๆ นายเสือเอาแต่ทำงาน ถึงอยู่บ้านก็เข้าถึงตัวยาก คำก็ไล่ สองคำก็ไล่”

“ฉันไม่อยู่ คุณกวางก็อยู่ รายนั้นน่ะใจดี แทบจะเป็นแม่พระอยู่แล้ว”

เด็กสาวหลุบตามองกระถางดินเผาปลูกเทียนกุหลาบซึ่งออกดอกสีชมพูกลีบซ้อนบานสะพรั่ง น้องนายอาจจะใจดี แต่เพื่อนของน้องนายมีแววตาที่เป็นอริ

คนอย่างไอ้บัวไม่กลัวชะนีหน้าวอกคนไหนอยู่แล้ว ซัดมาซัดกลับสองเท่า แต่ลางสังหรณ์บางอย่างสะกิดใจว่าพิริตาไม่ประสงค์ดี กว่าแม่นายจะกลับจากปฏิบัติธรรม ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถ้านายเสือจะปกป้องเด็กผู้หญิงสักคนเขาย่อมทำได้ อยู่ที่ว่าเขาจะเลือกอยู่ข้างใคร ข้างที่ถูกหรือข้างที่ผิด

 

ทำงานเหนื่อยเพลียมาทั้งวัน เมื่ออาบน้ำเสร็จก็อยากทิ้งร่างลงนอนเอกเขนกบนเตียงขนาดใหญ่ แต่เสียงกุกกักจากระเบียงหลังห้องทำให้สิขเรศต้องเดินตรงดิ่งไปค้นหาต้นตอของเสียง พอเปิดประตูกระจกออกกว้างก็เจอกับดวงหน้ามีรอยยิ้มเผล่ของไอ้บัว สบโอกาสมันก็รีบวิ่งปรู๊ดลอดใต้ท้องแขนของเขาเข้าสู่พื้นที่ส่วนตัวซึ่งไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่มย่าม ยกเว้นคนงานซึ่งมีหน้าที่ทำความสะอาด

“โห! ห้องนายสวยจัง ใหญ่กว่าบ้านพ่อเฒ่าทองเอี่ยมทั้งหลังเสียอีก”

“มาได้ยังไง” สิขเรศถามเสียงเนือย เบื่อจะดุด่าว่ากล่าวจอมทโมนจากชนบท จะเอาอะไรมากมายกับเด็กสิบหก ความคิดความอ่านของมันย่อมเด็กตามอายุ

“ปีนต้นลำไยขึ้นมา จะลงให้ตรงห้องนายต้องใช้เชือกโรยตัวลงจากกิ่ง” เด็กสาวยืดอกตอบ ภาคภูมิใจในความสามารถแนวเดียวกับลิง

“ตกต้นลำไยขาหักอย่ามาร้องโอดครวญก็แล้วกัน จะสมน้ำหน้าเป็นคนแรก” ร่างสูงเดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ ปล่อยให้ร่างเล็กเดินสำรวจไปทั่ว

“ประตูห้องก็มี ไม่เดินมาเคาะ”

“กลัวคนอื่นเห็น นายจะถูกนินทาว่าโดนเด็กผู้หญิงหน้าตาขี้ริ้วย่องมาปล้ำ” เสียงใสแจ๋วปานระฆังเงินคือเสียงแขวะ ประชดประชันอยู่ในที

“โดนเด็กผู้หญิงบ้องตื้นปีนหน้าต่างเข้าหาก็ตกเป็นขี้ปากคนงานได้เหมือนกัน หนักข้อกว่าเข้าประตูหน้าเสียด้วยซ้ำ”

“ไม่มีใครเห็นหรอกนาย ไอ้บัวเสียอย่าง สบายไปแปดอย่าง” สโรชามองเตียง ทำท่าว่าอยากนอนแผ่

“อย่าแม้แต่จะคิด”

“ขี้หวง” สโรชาเดินมานั่งแปะบนพื้นไม้สักขัดเงาวับเบื้องหน้านายเสือ ชันขาขึ้นสูงก็เพื่อใช้เข่าเป็นที่วางคาง

“เป็นอะไรอีกล่ะ”

“คิดถึงปู่ ห้องที่นายให้พักมันกว้างเกินไป อยู่คนเดียวในห้องมองไปทางไหนก็หาปู่ไม่เจอ กระท่อมที่บัวเคยอยู่หลังเล็กนิดเดียว พื้นที่แคบๆ แบบนั้นจะหันซ้ายหันขวาก็เจอหน้าปู่ มันอุ่นใจดี”

สิขเรศนั่งเงียบก็เนื่องด้วยไม่รู้จะพูดอะไร เด็กสาวแรกรุ่นต้องการไออุ่นจากใครสักคน ในฐานะผู้ปกครองเขาควรเป็นคนคนนั้นดีหรือไม่ มันเสี่ยงต่อการถูกเข้าใจผิด เผลอๆ อาจผิดพลาดติดคุกหัวโต โดนข้อหาพรากผู้เยาว์เล่นงานหนักจนเสียผู้เสียคน เสียการปกครองต่อคนงานในไร่

สโรชาเพ่งมองดวงหน้าสมบูรณ์แบบอย่างชั่งใจ ลึกๆ เด็กสาวเหงา อ้างว้าง และเดียวดายเหลือเกิน ไม่มีพรานบุญเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรคุ้มหัวอีกต่อไปแล้ว ผู้ชายที่ปู่ไว้ใจยกเป็นหลานเขยรับปากจะดูแลทุกข์สุขจนกว่าจะเติบโตเป็นสาวเต็มตัว แต่ก็ในฐานะอื่น ไม่ใช่เมีย

แต่อย่างน้อยคืนนี้ดวงตาคู่คมก็ไม่ปรากฏประกายรังเกียจ ดูอ่อนโยน เห็นอกเห็นใจต่อการสูญเสียอันยิ่งใหญ่

“มาตรงนี้” เขาตบมือลงบนหัวเข่า

“ได้หรือนาย” สโรชาถาม แต่ก็รีบขยับมาซบหน้าแนบหัวเข่าของนายเสือ ไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่ในยามที่อุ้งมือหนักวางลงบนศีรษะสกปรก น้ำตาเด็กกำพร้าก็เอ่อท้นขึ้นมาเต็มเบ้า

“ช่างเหอะ จะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมก็ช่างหัว” ชายหนุ่มหลับตา หงายศีรษะพิงพนักเก้าอี้ อยู่ๆ ก็ใจอ่อนเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลน อีกหน่อยไอ้บัวมันคงรู้แกว ออดอ้อนงอแง ขอนั่นขอนี่เป็นว่าเล่น

น้ำอุ่นๆ แทรกซึมผ่านกางเกงนอนผ้าฝ้ายจนชุ่มเป็นดวง สัมผัสเนื้อแน่นของบุรุษที่บัดนี้คิดอะไรไม่ค่อยออก หัวสมองตีบตันไปชั่วขณะ

อยู่ด้วยกันโดยไม่มีใครพูดอะไรอยู่ครู่ใหญ่เด็กสาวก็เป็นฝ่ายขยับตัวก่อน จากนั้นก็ผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

“ง่วงแล้ว กลับห้องไปนอนดีกว่า”

“พรุ่งนี้ฉันกับนายสิงห์จะไปร่วมทำโป่งเทียมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่อำเภออุ้มผาง อยากเที่ยวน้ำตกไหม จะให้ติดรถไปด้วย”

ที่ที่เขาจะไปคือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันออก โป่งเป็นแหล่งดินที่มีรสเค็ม อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลากหลายชนิด เช่น โซเดียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส ฯลฯ ปัจจุบันโป่งตามธรรมชาติลดน้อยลงมาก มีไม่เพียงพอต่อความต้องการของเหล่าบรรดาสัตว์

“ไป บัวไป” สโรชารีบตอบรับปากคอสั่น ไม่เปิดโอกาสให้ชายหนุ่มเปลี่ยนใจถอนคำชวน

“ขากลับต้องกลับกับนายสิงห์นะ ฉันจะทำธุระอื่นต่อ กว่าจะกลับเข้าไร่ก็มืดค่ำ”

“ได้ กลับกับนายสิงห์ก็ได้ นายสิงห์ใจดีจะตาย”

สิขเรศชี้นิ้วไปที่ประตูห้อง แต่สาวน้อยส่ายหน้ายิ้มแป้นแล้น

“จะกลับทางเก่า ปีนต้นไม้เล่นสนุกดี”

ไม่ถึงห้านาทีในห้องนอนส่วนตัวของสิขเรศก็เหลือเพียงแค่เจ้าของห้อง เขาไม่ควรยินยอมให้หลานสาวพรานบุญติดสอยห้อยตามไปไหนมาไหน มันสร้างความผูกพัน สร้างสายใยบางอย่างที่เขาไม่แน่ใจนักว่ามันคืออะไร คงเป็นความสงสาร ความเอื้ออาทรที่ผู้ปกครองที่ดีควรจะมีให้แก่เด็กสาวในอุปการะ ไอ้บัวมันเก่ง มาอยู่ไร่พันดาวแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ทำให้เขาไขว้เขว เห็นใจมัน อยากปลอบใจมันเมื่อเห็นความเศร้าสะท้อนอยู่ในดวงตาคู่สวย

บางทีเด็กสาวอาจไม่ใช่ตัวซวยอย่างที่เขาเคยคิดในคราแรก ฟ้าอาจจะส่งมันมาเป็นน้องสาว เป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวสิงควรรณ ถ้าเด็กมันรักดีก็ไม่แน่ ในอนาคตเขาอาจจะขอร้องแม่เลี้ยงศรีดาราให้รับดรุณีจากท้องถิ่นทุรกันดารเป็นลูกบุญธรรม

 

เมื่อแอบรักข้างเดียวย่อมไม่มีสิทธิ์หึงหวงหรือแม้แต่น้อยใจ แก้วกุดั่นรู้กฎข้อนี้ดี แต่ก็ยังไม่วายว้าวุ่น วันทั้งวันทำงานแทบไม่รู้เรื่อง สิงหราชไม่ค่อยสุงสิงกับเพศตรงข้ามนัก สิขเรศก็เช่นกัน แต่กับสโรชาดูเหมือนจะเป็นข้อยกเว้น ขนาดไปต่างอำเภอสองหนุ่มเพื่อนซี้ยังชักชวนบุคคลที่สามไปด้วย

เด็กบัวกระดี๊กระด๊าแต่เช้าที่จะได้ไปเที่ยว แม่เลี้ยงศรีดาราก็สุดแสนจะใจดี สั่งแม่ครัวห่อข้าวห่อขนมให้เด็กสิบหกหิ้วไปกินเผื่อหิวระหว่างทาง ท่าทางร่าเริงของเด็กสาวเต็มไปด้วยความสุข ตื่นเต้นออกนอกหน้าจนน่าหมั่นไส้

หมั่นไส้!

อพิโธ่เอ๋ย หล่อนไม่เคยหมั่นไส้ใคร ความรักทำสับสน คิดอ่านสะเปะสะปะมั่วไปหมด อารมณ์ริษยาที่ไม่เคยมีก็เริ่มคุกรุ่นอยู่ในหัวอก ยิ่งคุยโทรศัพท์กับพิริตายิ่งโดนเสี้ยมให้เกลียดชังเด็กในอุปการะของพี่ชาย

เลิกงานกลับบ้านยังต้องเจอภาพบาดตา สิงหราชเป็นคนขับรถมาส่งเด็กบัวที่ไร่พันดาว เดินทางด้วยกันตามลำพังสองต่อสอง ถึงจุดหมายปลายทางยังลงมายืนคุยกันต่อข้างรถยนต์ แม่สาวน้อยหน้าซื่อหอบข้าวของพะรุงพะรังเต็มอ้อมแขน หัวร่อต่อกระซิกกับผู้ชายที่สาวๆ จังหวัดตากหลายคนได้แต่มองตามหลังตาละห้อย

“ขอบคุณนะนาย นายสิงห์ใจดีที่สุด เสื้อผ้าพวกนี้ราคาไม่ใช่ถูกๆ”

“เล็กน้อยเท่านั้นเอง อย่าคิดมาก” เขายิ้มอ่อนโยน จำเป็นต้องฉกฉวยความดีความชอบใส่ตัว คนควักกระเป๋าจ่ายเงินตัวจริงคือสิขเรศ ไอ้หมอนั่นอยากปิดทองหลังพระ ไม่อยากให้เด็กบัวรู้เท่าทันนายเสือว่าแอบใจดีกับมัน เป็นห่วงเป็นใย กลัวจะแต่งตัวซอมซ่อแล้วโดนลูกสาวเสี่ยโรงงานน้ำตาลพูดจาดูถูก

“บัวจะใส่อย่างถนอม จะระมัดระวังไม่ให้สกปรก” สโรชาเห่อของใหม่ กางเกงยีนหลายตัว เสื้อยืดใหม่เอี่ยมก็ตั้งหลายสี ซื้อจากห้างสรรพสินค้า ไม่ใช่ตลาดนัดแบกับดิน

“ก่อนใส่ซักก่อนล่ะ”

“จ้ะนาย”

“ขึ้นบ้านเถอะ ฉันจะกลับแล้ว”

แก้วกุดั่นยืนอยู่หลังซุ้มดอกอัญชัน เมื่อชายหนุ่มในฝันแยกย้ายกับเด็กสาวจากโป่งชะง่อน หล่อนก็มองตามท้ายรถสปอร์ตจนแล่นหายไปลับตา หัวใจเต้นแรงเหลือเกิน หงุดหงิดขุ่นมัวอย่างบอกไม่ถูก

 

เดินถึงห้องสโรชาก็รื้อเสื้อผ้าเอาออกมาดูทุกถุง วางพาดบนเตียงบ้าง บนพนักเก้าอี้บ้าง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะใจก็ชอบกางเกงยีน สวมใส่คงดูทะมัดทะแมงเหมาะกับบุคลิกของตน เมื่อน้องนายเปิดประตูเข้ามาโดยไม่เคาะจึงได้เห็นสภาพห้องที่เป็นเหมือนห้องลองชุด

“เยอะแยะไปหมด เอาเงินที่ไหนซื้อ”

“นายสิงห์ซื้อให้บัว ซื้อให้ทั้งหมด” เด็กสาวตอบซื่อๆ หลานสาวแม่เลี้ยงศรีดาราอารมณ์ไม่ดีหรืออย่างไรก็ไม่ทราบจึงหน้าตึง พูดจากระชากเสียงห้วน

“ไปเที่ยวก็ได้ไป ยังอ้อนพี่สิงห์ให้ซื้อเสื้อซื้อข้าวของให้อีก คุณป้ารู้เข้าเธอจะโดนเอ็ด”

“บัวไม่ได้อ้อน นายสิงห์คงสงสารว่าบัวมีแต่ชุดเก่าๆ ใส่ไปไหนก็อายคน ผู้ใหญ่ให้ของ บัวเป็นเด็กก็ต้องรับเอาไว้”

“ถามจริงๆ เถอะบัว เธอชอบพี่สิงห์ใช่ไหม ชอบเขาหรือเปล่า”

“ชอบสิ ชอบมากเลยด้วย”

“เธอ...” แก้วกุดั่นหน้าซีดสลับแดง ขึ้งเคียดจนเกิดอาการปวดศีรษะ

“น้องนายเป็นอะไร โกรธอะไรบัวหรือจ๊ะ”

หญิงสาวกะพริบตา เพิ่งได้สติว่าหล่อนกำลังงี่เง่าพาลพาโล เป็นแค่น้องสาวเพื่อน อยู่นอกสายตาฉันชู้สาวของสิงหราชเสมอมา สโรชาไม่รู้เหนือรู้ใต้ด้วยเลย ไม่รู้ว่าหล่อนแอบรักเจ้าของไร่เรืองสิงห์ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาจวบจนปัจจุบันอยู่ในวัยทำงานแล้ว ก็คงงงงวยว่าน้องนายประเดี๋ยวผีเข้าผีออก

“ฉันขอโทษ ฉันมันบ้า ทำตัวทุเรศแบบนี้ได้ยังไง” แก้วกุดั่นวิ่งผลุนผลันออกจากห้อง บ้านทั้งหลังใหญ่โตกว้างขวาง แต่กลับกลายเป็นว่าหายใจแทบไม่ออก อึดอัดฟุ้งซ่านจนต้องหาที่ยืนหลบมุมข่มใจให้สงบ น้ำตาเอ่อท้นปริ่มขอบตา

รักข้างเดียวมาหลายปี เคยบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าต้องตัดใจ แต่จะตัดอย่างไรด้วยวิธีไหนหัวใจไม่รักดีจึงจะเป็นอิสระ

 

สิขเรศเพิ่งเข้านอน กำลังเคลิ้มๆ ใกล้จะหลับ แต่ก็ต้องงัวเงียลุกจากเตียงมาเปิดประตูกระจกบานเลื่อนให้แก่นางมารน้อยวัยสิบหกที่ชอบปีนป่ายต้นลำไยเป็นว่าเล่น หนนี้มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง หาที่เหมาะเจาะได้ก็นอนตะแคงข้างงอขาอยู่บนพื้นไม้กระดาน

“จะทำอะไร”

“บัวนอนไม่หลับ ขอนอนเล่นห้องนายสักพักนะ ให้หนังตาหย่อนนิดนึงก่อน”

“ไปเที่ยวเต้นแร้งเต้นกามาทั้งวัน หัวถึงหมอนก็น่าจะหลับปุ๋ย ตื่นอีกทีเช้า นี่อะไร ยังมีแรงมาก่อกวนฉันอีก เปลี่ยนห้องกันเลยดีไหม ฉันย้ายไปอยู่ห้องโน้น เธอย้ายมาอยู่ห้องนี้ โรคนอนไม่หลับอ้อนมะเหงกจะได้หายขาด” สิขเรศทิ้งตัวนอนหงายบนเตียง ตวัดแขนขึ้นก่ายหน้าผาก

“นาย ที่ปู่อยากให้นายดูแลบัว ไม่ใช่เพราะนายร่ำรวยมีเงินทองเยอะแยะหรอกนะ”

คนฟังนอนเงียบ อยากเพ้ออะไรก็เชิญเพ้อ ขี้เกียจขัดคอ!

“เมื่อห้าปีที่แล้ว ตอนนั้นบัวยังเด็กกว่าตอนนี้มาก เส้นทางเข้าออกโป่งชะง่อนทั้งเปลี่ยวทั้งขรุขระกันดาร แต่ก็มีคนกลุ่มใหญ่ฝ่าความลำบากมาหาปู่ที่กระท่อม กอดขาปู่ อ้อนวอนปู่ให้ช่วยขับไล่งูจงอางตัวเมียที่ตามล่าจะเอาชีวิตคน เห็นว่ามีคนตายทุกวัน วันละศพสองศพ ล้วนแต่โดนงูพิษฉกที่คอจนอกสั่นขวัญแขวนกันทั้งหมู่บ้าน ลูกเด็กเล็กแดงอยู่ไม่เป็นสุข ที่เกิดเรื่องขึ้นก็เพราะชาวบ้านช่วยกันแผ้วถางที่ดินรกร้างจะสร้างโรงเรือนเพาะเห็ดนางรม จะใช้เป็นโรงเรือนต้นแบบ คนนึงในกลุ่มเจองูตัวผู้แผ่แม่เบี้ยใส่ก็ทุบจนหัวเละด้วยท่อนฟืน ตั้งแต่นั้นก็เกิดเรื่องร้ายไม่หยุดหย่อน จนคนพวกนั้นเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด”

“นิทานหลอกเด็ก” ว่าจะฟังเฉยๆ แต่อดไม่ไหว สัตว์เลื้อยคลานตัวยาวแปรสภาพเป็นกับแกล้มจานอร่อยของพวกคนงานในไร่หลายต่อหลายหน ไม่เห็นมีใครเคยเจออาถรรพ์งูอาฆาต

“อะไรที่นายไม่เคยเจอหรือไม่เคยเห็นไม่ได้แปลว่ามันไม่มี” สาวน้อยสวนทันควัน เคยตามปู่เข้าป่าล่าสัตว์ย่อมรู้ดีว่าสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ ที่ชาวบ้านจำนวนมากนับถือปู่ก็เพราะปู่เก่งและมีจิตใจที่ปราศจากความโลภครอบงำ ถ้าปู่เรียกค่าบูชาครูหรือค่าเหนื่อยจากพวกตกทุกข์ได้ยากก่อนตายคงรวยเละ รับทรัพย์อื้อซ่าชนิดที่กินใช้มือเติบอย่างไรก็ไม่หมด

พรานบุญไม่ใช่คนหิวเงิน พร่ำสอนหลานสาวอยู่เสมอว่าความจนไม่น่ารังเกียจเท่ากับความเลว

“ปู่สงสารปู่ก็เลยช่วย คืนนั้นปู่จุดธูปเทียนนั่งสมาธิทั้งคืน พอรุ่งเช้าก็บอกให้คนพวกนั้นพากันกลับบ้าน กลับไปแล้วให้ลงขันกันทั้งตำบลสร้างราวบันไดโบสถ์เป็นรูปพญานาคแผ่เศียรเจ็ดเศียร ให้หมั่นเข้าวัดทำบุญ คิดดีทำดีอยู่เสมอ ตัวปู่เองก็เลิกฆ่าสัตว์นับแต่นั้นมา มีก็แต่บัวนี่แหละที่ยังต้องฆ่า แต่ก็ฆ่าแค่พออิ่มท้อง”

“จบรึยัง” เสียงถามบ่งชัดถึงความเบื่อหน่าย ใส่อรรถรสเพิ่มอีกนิด เติมฉากบู๊ล้างผลาญเพิ่มอีกหน่อย มีพระเอกนางเอกเป็นตัวดำเนินเรื่อง ก็หนังอภินิหารดีๆ นี่เอง

“กำนันทวีเป็นกำนันตำบลเนินยายม่อม ร่ำรวยมีหน้ามีตา เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่โดนงูจงอางตามไล่ล่าจะเอาชีวิต ไปจากโป่งชะง่อนแล้วกำนันทวีกับลูกบ้านย้อนกลับมาหาปู่ที่กระท่อม ขนข้าวของมากมายจะเอามาไหว้ขอบคุณปู่ เพราะหลังจากคืนนั้น...คืนที่ปู่นั่งสมาธิจนถึงเช้า ไม่มีใครพบเห็นงูอาฆาตตัวนั้นอีก ปู่รับเอาไว้ก็แค่มาลัยดอกไม้สดพวงเดียว อย่างอื่นไม่รับ”

“เฮ้อ...จบเสียที”

เด็กสาวยังคงเล่าต่อ แสร้งไม่รู้ไม่ชี้ว่าผู้ชายตัวโตอยากหลับ ไม่อยากฟัง

“กำนันทวีอยู่กินกับเมียตั้งแต่หนุ่มยันแก่ก็ยังไม่มีลูก แกเห็นบัวกำพร้าพ่อแม่ก็อยากจะขอไปเลี้ยง ลงทุนอ้อนวอนปู่ตั้งหลายหน พาเมียมาโป่งชะง่อนด้วยก็พามา แต่รบเร้าอ้อนวอนเท่าไรปู่ก็ไม่ยกให้ บอกแค่ว่าถ้าบัวกับกำนันมีวาสนาต่อกัน สุดท้ายโชคชะตาจะนำพาให้เอง ให้ใจเย็นๆ ไม่ต้องร้อนใจ”

“สองมาตรฐาน” ยิ่งคิดเปรียบเทียบยิ่งน่าโมโห ทีเขาพรานบุญไม่เอ่ยสักแอะว่าให้รอโชคชะตาหรือฟ้าเบื้องบนขีดลิขิต ร่วมมือกับผู้เฒ่าทองเอี่ยมบีบบังคับจะข่มเขาโคขืนให้กินหญ้าอ่อนสถานเดียว

หญ้าอ่อนกอนี้ก็ใช่ย่อย มันแสบสันขยันป่วนเอาเรื่อง ส่งเสียงเจื้อยแจ้วรบกวนโสตประสาทแม้ในยามวิกาล

“ได้ข่าวว่านายสิงห์ซื้อชุดใหม่ให้ตั้งหลายชุด”

“ฮื่อ”

“ก็แล้วทำไมไม่ใส่”

“ก่อนใส่ก็ต้องซักก่อน ใส่ก่อนซักประเดี๋ยวก็คันคะเยอตัวเป็นตุ่ม”

“ขี้เกียจอาบน้ำก็คันคะเยอได้เหมือนกัน สกปรกซกมกมากๆ ระวังเถอะ ขี้กลากขี้เกลื้อนจะถามหา”

สาววัยรุ่นนอนอมยิ้มแก้มตุ่ย ไม่เถียงและไม่อธิบายเหตุผลใดๆ ออกมา ได้ยินเสียงบ่นของสิขเรศก่อนนอนกลับใจชื้น อุ่นใจว่ามีคนห่วงใย ถึงแม้ความห่วงจะปะปนกับความระอาก็ตามที

ไร่พันดาวกว้างใหญ่เหลือเกิน คนงานมากหน้าหลายตาก็ล้วนเป็นคนแปลกหน้า จะมีก็แต่แม่ของนายที่ไม่มองเห็นสโรชาเป็นตัวประหลาด คอยถามไถ่อยู่เสมอว่าขาดเหลืออะไรบ้าง

“พรุ่งนี้แม่เลี้ยงไม่อยู่บ้าน ไปสิงห์บุรี อย่าออกฤทธิ์ออกเดชให้มากนักล่ะ จนกว่าแม่เลี้ยงจะกลับจากปฏิบัติธรรม คุณกวางจะเป็นคนดูแลบ้าน อย่าดื้อ อย่าซน อย่าก่อเรื่องให้เธอปวดหัว”

“ก็แล้วถ้าคนก่อเรื่องไม่ใช่บัวล่ะนาย ใครจะเป็นคนจัดการ”

“ฉัน” เขาตอบสั้นๆ จากนั้นก็ปิดเปลือกตา

“นาย” สโรชาเรียกเสียงเบา

สิขเรศได้ยิน แต่แกล้งนอนเฉยทำทีว่าหลับ

“คนทั้งไร่บัวเชื่อใจแค่นายกับแม่นาย แม่นายไม่อยู่ก็เหลือแค่นายคนเดียว นายอย่าเป็นไม้หลักปักขี้เลนให้บัวเคืองนะ ถ้านายทำบัวเจ็บใจ นายก็นายเหอะ อย่าคิดว่าคนอย่างไอ้บัวจะไม่กล้าหือ”

ไม้หลักปักขี้เลน!

ไอ้เด็กบ้านป่าหน้ามอมรู้จักเล่นสำบัดสำนวน นายเสือแห่งไร่พันดาวมันยังกล้าปรามาสอย่างมันปาก จ้างคนงานทำงานเป็นร้อยเป็นพันคนยังสามารถปกครองได้ ลูกน้องรักใคร่ยำเกรง ไม่เคยงัดข้อต่อกร ชาวบ้านก็นิยมชมชื่น กับแค่แม่เลี้ยงศรีดาราไม่อยู่บ้านสามวันเขาไม่อนาทรร้อนใจอยู่แล้ว แก้วกุดั่นก็เป็นผู้ใหญ่ มีวุฒิภาวะ ปัญหาหยุมหยิมขี้หมูราขี้หมาแห้งย่อมไม่เกินความสามารถของหล่อนที่จะขจัด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น