18

ลงทุนกับความรัก


“ไม่น่าเป็นเรื่องแปลกใช่ไหมที่ผมจะชอบคุณหญิง”

คราวนี้หญิงสาวถึงกับนิ่งค้างไป เพราะไม่คิดว่าเขาจะจู่โจมแบบไม่อ้อมค้อม

“ผมคิดว่าปกติก็คงมีผู้ชายมาชอบคุณหญิงเยอะแยะ”

“ไม่...” พราวรัมภารีบส่ายหน้าเพราะเขากำลังเข้าใจผิด

“คุณกำลังจะบอกผมว่าเจ้าหญิงแสนสวยแห่งวังธาดาไม่มีผู้ชายมาสนใจเลยสักคนงั้นหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงคล้ายตกใจเล็กน้อย แต่สีหน้าบอกว่าไม่เชื่อ

พราวรัมภาได้ยินแล้วทอดถอนใจเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธแทนคำพูด เขาคงไม่เข้าใจหรอกว่าเธอไม่ใช่เจ้าหญิงอย่างที่เขาคิด เพราะหลายปีมานี้สถานะทางการเงินของวังธาดาไม่สู้ดีนักจนกระทั่งท่านชายชรินทรสิ้นท่ามกลางภาวะหนี้สินที่ยังคาราคาซัง คุณหญิงอย่างพราวรัมภาจึงแทบไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างเชิดหน้าชูตาในวงสังคมนับแต่เริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่ยังโชคดีที่เคยมีโอกาสได้ไปร่ำเรียนถึงประเทศอังกฤษตามที่บิดาวางแผนไว้ให้เพื่อไม่ให้ธิดาของท่านรู้สึกน้อยหน้าใคร

ส่วนชีวิตนอกเหนือจากนั้นก็ไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป หรืออาจจะแย่กว่าอย่างที่เคยบอกเขา เพราะครอบครัวที่มีหนี้สินมากมายต้องถือว่าอยู่ในภาวะติดลบ แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด คนในวงสังคมรู้กันแทบทั้งนั้นว่าคนในวังธาดากำลังมีปัญหาเรื่องการเงิน แล้วผู้ชายหน้าไหนกันเล่าจะอยากข้องแวะกับคุณหญิงผู้สูงศักดิ์แต่กำลังถังแตก!

“แต่ที่แน่ๆ ผมเห็นว่ามีอยู่คนหนึ่งที่สนใจคุณหญิง”

“ใครกันคะ” เจ้าตัวถามงงๆ

“คุณชายราเมศ”

“เราเป็นญาติกัน สนิทกันมากด้วย” พราวรัมภาว่าแล้วส่ายหน้า เพราะตนเองไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับราเมศ

“คุณหญิงไม่ได้สนใจเขาใช่ไหม” จัสตินรีบสรุป

“เขาเป็นพี่ชายของพราวค่ะ”

“ครับ” เขารีบพยักหน้าก่อนจะจ้องหน้าเธอนิ่งๆ แล้วถามว่า “ผมไม่คิดว่ามีแต่คุณชายราเมศที่สนใจคุณ”

“ใครจะมาสนใจคนอย่างพราวนักหนา ปกติก็แทบไม่ได้เจอใครเลยนอกจากเด็กๆ ที่โรงเรียน”

“ไม่มีเลยหรือครับ”

“พราวไม่รู้หรอกค่ะว่ามีรึเปล่า” พราวรัมภาตอบแล้วก้มหน้าลงมองอาหารบนโต๊ะเพื่อหยุดการสนทนา เธอรีบตักอาหารเข้าปากโดยหวังว่าเขาจะหยุดถามเรื่องนี้เสียที

“งั้นก็แปลว่าอาจจะมีก็ได้” จัสตินกลับไม่สนใจว่าใครจะหิวหรือไม่ เพราะตอนนี้อยากรู้ว่าเธอมีใครอยู่หรือไม่ โดยเฉพาะพ่อของเขาเอง

“คุณจะอยากรู้ไปทำไมคะ”

“เวลาที่ผมสนใจใครก็อยากรู้เรื่องคนนั้น” เขาตอบหน้าตาเฉย

“คุณจัสติน!” พราวรัมภาทำเสียงดุเพื่อปรามเขา

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ได้พูดเล่น ผมซีเรียสนะ” เขาบอกแล้วหยิบแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาจิบโดยแทบไม่สนใจอาหารตรงหน้า

พราวรัมภาแทบอยากวางช้อนลง เพราะเริ่มหมดอารมณ์ลิ้มรสอาหารอิตาลีน่าอร่อย ท่าทางเขาไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แล้วที่ชวนมากินข้าวก็คงเพราะเรื่องนี้เองกระมัง ปกติเขาคงจีบหญิงด้วยวิธีง่ายๆ แบบนี้ คุยกันไม่กี่คำแล้วพาไปดินเนอร์ ดื่มกันพอครึ้มๆ แล้วก็ไปจบที่เตียงตามสไตล์ฝรั่ง

“พราวซีเรียสกว่าที่คุณคิด แล้วตอนนี้ก็ไม่อยากเดตกับใครทั้งนั้น”

“ผม...ไม่ได้แค่อยากเดตกับคุณหญิงนะครับ ผมจริงจังมากกว่านั้น แต่ว่า...ผมไม่อยากเสียเวลาอ้อมค้อม” เขาอยากบอกว่ามีเวลาไม่มากแต่ก็พูดไม่ได้

“เราเพิ่งรู้จักกันนะคะ คุณแน่ใจแล้วหรือคะว่าพราวเป็นยังไง”

“ผมไม่แน่ใจหรอกครับ แต่ผมพอใจ” จัสตินบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วเห็นว่าหญิงสาวเงียบไป “ผมถึงอยากรู้เรื่องของคุณ”

“พราวมีเรื่องเยอะค่ะ ถ้าคุณรู้แล้วอาจจะ...ไม่อยากคบเลยก็ได้” พราวรัมภาบอกเขาด้วยน้ำเสียงขำๆ แต่รอยยิ้มกลับจืดชืด

“ที่คุณบอกว่ามีภาระต้องรับผิดชอบเยอะใช่ไหม” เขาถามวกเข้าประเด็นเดิมอีกครั้ง

“ใช่ค่ะ แต่ยังไม่อยากเล่าตอนนี้”

“ไม่เป็นไรครับ ที่จริงผมสนใจเรื่องอื่นมากกว่า”

“เรื่องอะไรคะ”

“ตอนนี้คุณมีใครอยู่ไหม”

“จะอยากรู้ไปทำไม” พราวรัมภาวางช้อนส้อมแล้วหันไปหยิบแก้วน้ำมาดื่ม

“คุณหญิงไม่ดื่มไวน์หรือครับ” เขาบอกพลางเลื่อนแก้วไวน์แดงที่วางอยู่ข้างแก้วน้ำมาให้อย่างเอาใจ ก่อนจะตอบว่า “ผมอยากรู้ว่ามีใครบ้าง จะได้ประเมินสถานการณ์ได้ไงครับ”

“พูดเหมือนทำธุรกิจเลยนะคะ”

“ก็ผมเป็นนักลงทุน” เขายอมรับอย่างหน้าตาเฉย

“ไม่ต้องมาลงทุนกับพราวหรอกค่ะ” หญิงสาวหยิบแก้วไวน์มาดื่มทีเดียวพร่องไปเกือบครึ่งโดยแทบไม่รับรู้รสชาติ

“คุณหญิงปฏิเสธผมเพราะมีคนอื่น หรือเป็นเพราะไม่ชอบหน้าผมกันแน่”

“เปล่าค่ะ” พราวรัมภารีบส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะที่เขาพูดมาไม่ใช่สาเหตุเลยแม้แต่น้อย

“เปล่า หมายความว่าไม่ปฏิเสธผมใช่ไหม” จัสตินได้ทียิ้มกริ่ม

“เอ่อ...คือ...” โดนรวบรัดมาแบบนี้หญิงสาวถึงกับหน้าเหลอหลา

“ถ้าคุณหญิงยอมรับผมไว้พิจารณาอีกสักคน ถึงคุณจะมีใครอีกกี่คนผมก็ไม่สนใจ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มที่ว่าจะเอาชนะคู่แข่งได้ทุกคน

แต่คนฟังไม่รู้สึกคล้อยตาม แถมยังอ้าปากค้างด้วยความงงอีกด้วย

“พราวยังไม่ได้บอกนะคะว่าจะรับคุณไว้ แล้ว...ไม่เกี่ยวกับเรื่องมีใครหรือไม่มีใครด้วย”

“ตกลงว่าคุณหญิงมีใครอีกไหมนอกจากคุณชายราเมศ”

“ไม่มี!” พราวรัมภาตอบด้วยความรำคาญ

จัสตินได้ยินแบบเต็มๆ สองหูแล้ว แต่เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ พร้อมสายตาที่บอกว่ายังคลางแคลงใจ

“แล้วพี่เมศก็เป็นญาติ พราวเคยบอกคุณแล้วนี่คะ”

“ครับ ผมเข้าใจแล้วเรื่องคุณชายราเมศ แต่ว่า...มิสเตอร์บราวน์อีกคนนั่นล่ะ”

พราวรัมภาแทบไม่อยากเชื่อว่าเขาจะถามถึงชายสูงวัยคนนั้น เธอจำได้ว่าราเมศเอ่ยถึงมิสเตอร์บราวน์อีกคนต่อหน้าจัสตินในวันแรกที่ได้พบกัน หลังจากรู้ว่าเขาก็นามสกุลบราวน์เช่นกัน น่าแปลกมากที่เขายังจำเรื่องนี้ได้จนเก็บมาตั้งคำถาม

“เขามาที่วังธาดาทำไม”

“อยากรู้ไปทำไมคะ” พราวรัมภาขมวดคิ้วนิดๆ ด้วยความสงสัย เพราะเขาเองก็ยังไม่เคยเห็นหน้าหรือได้พบตัวจริงของ วิลเลียม บราวน์ เลยสักครั้ง ส่วนที่ถามถึงราเมศก็พอเข้าใจได้ว่าเคยเจอกันมาแล้วหนหนึ่ง

“ผมก็อยากรู้ว่ามีใครบ้างที่เป็นคู่แข่ง จะได้ประเมินสถานการณ์และวางแผนรับมือไว้ก่อนไงครับ” จัสตินตอบอย่างไม่อ้อมค้อม เพราะวันนี้ประกาศตัวชัดเจนแล้วว่าจะลงสนามแข่ง

แม้ว่าหญิงสาวที่ต้องการพิชิตหัวใจจะยังมีท่าทีลังเลไม่แน่ใจ แต่เขาไม่คิดจะถอยแน่นอน

“ฟังดูเหนื่อยนะคะ”

“ไม่นี่ครับ เป็นเรื่องปกติสำหรับผม”

“แต่พราวไม่คิดว่าการที่คนเราจะรักใครสักคนต้องวางแผนอะไรมากมาย” เธออดค้านความคิดและวิธีการของเขาไม่ได้ที่ทำให้ความรักกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก

“แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองมีคู่แข่งเยอะ ก็ต้องคิดเยอะ”

พราวรัมภาเถียงไม่ออกจึงทำได้แค่ถอนหายใจ แล้วตอนนี้ก็ไม่รู้สึกว่าอยากให้ใครมาลงสนามแข่งขันใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเธอเองก็ยังไม่พร้อมจะเปิดใจรับใครเข้ามาทั้งนั้น ด้วยปัญหาและภาระส่วนตัวที่แบกอยู่เต็มบ่าในเวลานี้ทำให้ไม่มีใจนึกถึงเรื่องความรักแม้แต่น้อย

“ถ้ามันต้องเหนื่อยขนาดนั้น คุณจัสตินน่าจะเลือกคนอื่นนะคะ พราวอาจจะไม่เหมาะ” เธอบอกอย่างที่รู้สึกจริงๆ เพราะไม่อยากให้คนหนุ่มอนาคตไกลอย่างเขาต้องมาเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทุกวันนี้เขามีหน้าที่การงานมากมายต้องรับผิดชอบ ก็สมควรเอาเวลาไปใส่ใจเรื่องสำคัญในชีวิตมากกว่า

“ทำไมไม่ให้โอกาสผมบ้างล่ะครับ” เขาจ้องดวงตาโตงดงามอย่างจดจ่อรอคอยคำตอบ

จัสตินไม่เคยเริ่มต้นกับหญิงสาวคนใดด้วยวิธีการนี้มาก่อน และไม่เคยมีใครปฏิเสธเขาเลยสักคน พราวรัมภาเป็นคนแรกที่พยายามบอกปัดบ่ายเบี่ยงให้เขาเลิกสนใจเธอ

เมื่อครู่ก่อนหน้านี้เขาคิดว่านั่นเป็นวิธีการเรียกร้องความสนใจของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์อย่างคุณหญิง ซึ่งผู้ชายบางคนเมื่อถูกปฏิเสธก็จะยิ่งวิ่งเข้าหา แต่เมื่อได้เห็นทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของเธอ เขาเริ่มรู้สึกว่าเธออาจไม่ต้องการให้เขาเข้าไปข้องเกี่ยวกับเธอจริงๆ อย่างที่บอก หาใช่เทคนิคการเรียกร้องเพื่อเพิ่มราคาให้ตัวเองไม่

“พราวไม่ใช่คนที่คุณจะมาทุ่มเทหรือเสียเวลาด้วย บางอย่างมันก็อาจไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเห็นนะคะ”

พราวรัมภาอยากบอกว่า ภาพเจ้าหญิงแสนสวยที่เขาอาจเพ้อฝันถวิลหาอยู่นั้นเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะชีวิตจริงของเธอไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย

ชายหนุ่มที่สมบูรณ์แบบเพียบพร้อมอย่างเขาควรได้เจอคนที่คู่ควร ไม่ใช่มารับรู้ความเป็นไปในชีวิตของคุณหญิงที่แม้แต่เปลือกก็แทบจะหลุดล่อนกะเทาะออกหมดไม่มีเหลือ พราวรัมภาอับอายเกินกว่าจะให้ใครมาร่วมรับรู้หรือมีส่วนร่วม ถ้าเป็นไปได้เธอต้องการใช้ชีวิตเพียงลำพัง จึงพยายามเก็บเนื้อเก็บตัวมาตลอดโดยไม่คิดเปิดโอกาสให้ใครเข้ามา

กระทั่ง วิลเลียม บราวน์ โผล่เข้ามาพร้อมกับข้อเสนอที่สามารถทำให้วังธาดากลับฟื้นคืนมาอีกครั้ง

“ผมกับคุณชายราเมศถูกปฏิเสธเพราะเหตุผลนี้รึเปล่า” เขาถามตรงประเด็นหลังจากที่พอสรุปความได้จากคำพูดของเธอ รวมไปถึงเรื่องราวเบื้องลึกที่เคยรู้มาจากนักสืบเอกชน

“พราวไม่พร้อมจะคบกับใครตอนนี้ค่ะ” หญิงสาวบอกเขาไปตามตรง

“แล้วมิสเตอร์บราวน์คนนั้นล่ะ คุณปฏิเสธเขาไปรึยัง”

จัสตินวกกลับมาเข้าเรื่องที่อยากรู้ แล้วก็เห็นว่าพราวรัมภานิ่งไปชั่วครู่คล้ายลังเลในคำตอบ ทำให้เขารู้ว่าเธอไม่ได้ปฏิเสธพ่อของเขาแน่ๆ ชายหนุ่มจึงสูดลมหายใจเข้ายาวกว่าปกติพลางครุ่นคิดเพื่อประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว

‘ตกลงว่าตอนนี้คุณหญิงกำลังเทคะแนนไปที่พ่อ!’

แต่เขาไม่เชื่อว่าเธอรักและอยากร่วมชีวิตกับผู้ชายอายุเกือบหกสิบอย่างพ่อ เท่าที่ได้รู้จักพบเจอกันมาแม้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เขาก็สังเกตเห็นได้ไม่ยากว่า เธอแทบไม่มีอาการของหญิงสาวที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาหรืออารมณ์แห่งความรักแม้แต่น้อย บางครั้งดวงตากลมโตกลับแฝงความวิตกและเหนื่อยล้าด้วยซ้ำไป

 

พราวรัมภาดื่มไวน์แดงรสนุ่มอีกหนึ่งแก้วเพราะเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพียงชนิดเดียวที่คุ้นเคย เธอไม่ตอบคำถามเขาเรื่อง วิลเลียม บราวน์ เพราะเห็นว่าไม่จำเป็นต้องตอบ ในเมื่อเป็นเรื่องส่วนตัวและยังไม่มีอะไรแน่นอน

ตอนนี้พราวรัมภากำลังชั่งใจระหว่างการยอมรับความช่วยเหลือจากมิสเตอร์บราวน์แต่ต้องแลกด้วยอิสรภาพของตนเองทั้งชีวิต กับการขายวังเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้ทั้งหมดอย่างที่อรอินทุ์แนะนำ ซึ่งหลังจากใช้หนี้แล้วก็อาจจะเหลือเงินสักก้อนหนึ่งสำหรับหาซื้อที่อยู่ใหม่และแบ่งให้หม่อมสุภัสสรเก็บเอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว ส่วนตนเองนั้นสามารถทำมาหากินเลี้ยงตัวเองได้สบายๆ จากธุรกิจโรงเรียนสอนดนตรีและเบอร์รีแบ็กที่กำลังดำเนินไปด้วยดี

จัสตินขับรถพาพราวรัมภากลับมาส่งที่วังธาดาเกือบสามทุ่ม ภายในรั้ววังยามค่ำเงียบสงัด ต่างจากบรรยากาศภายนอกรั้วสูงอย่างสิ้นเชิง คงเป็นเพราะพื้นที่หลายไร่ที่มีรั้วรอบขอบชิด ทำให้รู้สึกเหมือนเข้ามาในนี้แล้วถูกตัดขาดจากโลกภายนอกทันที

“ขอบคุณที่มาส่งค่ะ พาไปเลี้ยงมื้อเย็นด้วย” พราวรัมภาหันมาบอกเจ้าของรถที่เพิ่งขับเข้ามาจอดหน้ามุขทางขึ้น

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ”

“ทำไมคะ” เธอเลิกคิ้วด้วยความสงสัย ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายเสียทั้งเงินและเวลา

“ขอบคุณที่ยอมไปนั่งทานข้าวกับผม”

“ค่ะ พราวไปก่อนนะคะ”

“เดี๋ยวครับ เอ่อ...ผม...” เขาเรียกไว้ก่อนที่เธอจะเปิดประตูลงไป

พราวรัมภาหันมาหา แต่เขากลับพูดไม่ออก นี่คงเป็นครั้งแรกที่มีผู้หญิงคนหนึ่งทำให้รู้สึกขาดความมั่นใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ทั้งที่ปกติเขาแทบไม่เคยคิดหรือรู้สึกอะไรมากนักในการสร้างความสัมพันธ์กับหญิงสาวสักคน

“มีอะไรรึเปล่าคะ”

“ผมยังไม่อยากกลับ” เขาต้องบอกไปตามตรง เพราะหาคำพูดที่ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

“ว่าไงนะคะ” หญิงสาวมองเขางงๆ

“คือผมอยากได้กาแฟสักถ้วย คงดื่มไวน์เยอะไปหน่อยเลยรู้สึกง่วง”

“อ้อ...งั้นก็เชิญค่ะ”

หนุ่มอเมริกันที่ผ่านหญิงสาวมามากหน้าหลายตาถึงกับแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ตนสามารถยื้อเวลาอยู่กับเธอต่อไปได้อีกนานนับชั่วโมง

เขาเหลือเวลาไม่มาก จึงต้องทำทุกทางเพื่อเข้าถึงพราวรัมภาให้ได้เร็วที่สุดก่อนที่พ่อจะเดินทางมากรุงเทพฯ อีกครั้งตามกำหนด

จัสตินลงจากรถเดินตามเจ้าของวังขึ้นบันได แล้วเลี้ยวไปทางปีกตึกด้านขวาซึ่งเป็นห้องโถงรับแขกหรูหราโอ่โถงอย่างที่เคยทำให้เขาตกตะลึงมาแล้วในครั้งแรก แต่ตอนนี้เขาเริ่มชินกับบรรยากาศภายในวังเพราะมาบ่อยๆ จนรู้สึกคุ้นเคย

หลังจากรับกาแฟรสเข้มไปหนึ่งถ้วยเพื่อแก้ง่วง จัสตินจึงขอออกมาเดินเล่นริมสระน้ำหน้าตึกโดยมีพราวรัมภาออกมาเดินเป็นเพื่อน ริมสระมีเพียงโคมไฟสองดวงที่ให้แสงสว่างไม่มากนัก

“วันนี้ผมรบกวนคุณหญิงจนดึกเลย” เขาเอ่ยตรงริมสระกว้างซึ่งมีดอกบัวขึ้นอยู่ประปราย

“ปกติพราวไม่ได้นอนแต่หัวค่ำหรอกค่ะ”

“ผมยังอยากคุยกับคุณต่อ เหมือนเรายังพูดกันไม่จบ” เขาบอกไปตามความรู้สึกในตอนนี้ แม้จะฟังดูไม่ค่อยมีเหตุผลนัก

“มีอะไรอีกหรือคะ”

“ผมเป็นคนใจร้อน ทำให้คุณอึดอัดรึเปล่าครับ”

“ดูเหมือนคนที่อึดอัดจะเป็นคุณจัสตินเองนะคะ”

“ครับ” เขายอมรับแต่โดยดี “ก็คุณหญิงไม่สนใจผม”

“พราวบอกไปแล้วไงคะว่าตอนนี้ยังไม่พร้อม”

“ทำไมครับ”

“พราวมีปัญหาหลายเรื่องค่ะ”

“เรื่องอะไรบ้างครับ”

“เรื่อง...” พราวรัมภาไม่กล้าพอจะเอ่ยปาก แม้เขาจะไม่ใช่คนแปลกหน้าอีกแล้วในเวลานี้ แต่เขาก็เป็นเพียงเพื่อนร่วมงานทางธุรกิจเท่านั้น

“ผมพร้อมจะฟังปัญหาของคุณหญิงนะครับ ไม่ต้องเกรงใจหรือกลัวว่าผมจะรู้สึกแย่ เพราะในชีวิตผมก็เจอปัญหาอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน”

“พราวไม่ได้เป็นเจ้าหญิงอย่างที่คุณคิดหรอกค่ะ เพราะวังธาดามีปัญหาเรื่องหนี้สินมานานแล้ว ตอนนี้พราวกำลังคิดว่าจะแก้ปัญหายังไง”

หลังจากบอกไปแล้วพราวรัมภาก็รู้สึกโล่งอก อย่างน้อยเขาก็คงไม่มาเซ้าซี้ถามอะไรอีก เผลอๆ อาจจะหายหน้าหายตาไปเลยก็ได้ ในเมื่อรู้ความจริงแล้วว่าผู้หญิงที่ตนคิดจะจีบกำลังถังแตก

“เรื่องนี้เองหรือครับที่ทำให้คุณหญิงไม่กล้าคบกับใครเลยสักคน”

“พูดให้ถูกคงต้องบอกว่าไม่มีใครอยากคบกับพราวมากกว่า” หญิงสาวบอกเขาด้วยน้ำเสียงขำๆ เพราะทำใจได้มานานแล้วว่าชีวิตตนเองมีทางเลือกไม่มากนัก

“ผมว่าคุณคิดไปเอง”

“อย่าว่าแต่หนุ่มๆ เลย ทุกวันนี้พราวมีเพื่อนแค่ไม่กี่คนเองนะคะ”

“ก็เพราะคุณไม่ยอมออกไปเจอใคร แล้วจะมีเพื่อนได้ยังไง” เขาเถียงเพราะคิดต่างกันคนละมุม “ผมรู้เรื่องแล้วยังไม่เห็นรู้สึกว่าคุณหญิงไม่น่าคบตรงไหนเลย”

“ถ้าคุณยังรู้สึกดี เราก็เป็นเพื่อนกันได้ค่ะ” พราวรัมภาบอกอย่างมีมิตรไมตรีเท่าที่พอจะเป็นไปได้ ในเมื่อเขาไม่แสดงออกว่ารังเกียจคนมีหนี้สินพะรุงพะรัง

“ผมไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อนของคุณหญิงนะครับ” จัสตินรุกทันทีที่มีโอกาสเพราะเวลาของเขามีจำกัด

“พราวไม่เหมาะกับคุณหรอกค่ะ อย่ามาเสียเวลาเลย”

“ทำไมถึงไม่เหมาะ หรือว่า...คุณหญิงมีคนรักอยู่แล้ว” เขาถามด้วยความคลางแคลงใจ “อย่าบอกนะครับว่ามิสเตอร์บราวน์คนนั้นเป็น...”

“ไม่ใช่หรอกค่ะ เขา...ก็แค่มาที่นี่” พราวรัมภาไม่รู้จะบอกเขาอย่างไรเกี่ยวกับชายสูงวัยคนนั้น

เพียงแค่จะพูดความจริงออกมายังรู้สึกละอายถึงขนาดนี้ แล้วถ้าต้องแต่งงานกับมิสเตอร์บราวน์ เธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร ไม่ใช่เพราะว่าอับอายที่เขาอายุคราวพ่อ แต่เป็นเพราะว่าเธอไม่ได้รักเขาต่างหากเล่าที่ทำให้ต้องละอายใจ และคงปฏิเสธไม่ได้หากจะมีใครตราหน้าว่าเธอเป็นผู้หญิงเห็นแก่เงิน

“เขามาหาคุณหญิงหรือครับ” จัสตินรีบเข้าเรื่องสำคัญ

“ค่ะ เขา...สนใจพราว”

“แล้วคุณหญิงล่ะสนใจเขาไหม” เขารีบรุกทันที

พราวรัมภาเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่เพิ่งตั้งคำถามด้วยความสับสน เธอมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจนนักภายใต้แสงสลัวจากโคมไฟที่อยู่ห่างออกไปหลายเมตร

“ว่าไงครับ”

“เปล่าค่ะ” พราวรัมภาส่ายหน้านิดๆ ก่อนจะถอนหายใจอย่างหนักอก

การได้เล่าหรือระบายเรื่องราวต่างๆ ให้ใครสักคนรับรู้ถือว่าเป็นเรื่องดีอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยก็เป็นการทบทวนความคิดและความรู้สึกของตนเองว่าที่จริงแล้วต้องการอะไรกันแน่

“ไม่สนใจแต่ทำไมทำหน้าเหมือนหนักใจ หรือว่าเขาตื๊อ เอ่อ...เหมือนที่ผมกำลังพยายามอยู่ตอนนี้” เขาพูดแล้วหัวเราะเบาๆ คล้ายกับขำตนเอง

“ไม่หรอกค่ะ คุณบราวน์เป็นผู้ใหญ่ แล้วเป็นสุภาพบุรุษมากด้วย”

“งั้นหรือครับ” จัสตินเลิกคิ้วสูง เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำยกย่องชายแก่จากปากของหญิงสาววัยคราวลูก

เขาคาดว่าจะได้ยินเธอพูดถึงผู้ชายแก่ๆ อย่างพ่อของเขาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายหรือรังเกียจรังงอนเสียอีก

“สรุปว่าเขาเป็นคู่แข่งของผมใช่ไหม”

“ท่าทางคุณจัสตินชอบการแข่งขันนะคะ ถึงได้มองหาแต่คู่แข่งอยู่ตลอดเวลา” เธออดท้วงไม่ได้เพราะเริ่มหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ

“แล้วเขายังมาที่วังนี้อีกไหม”

“ไม่แน่ใจค่ะว่าจะมาอีกรึเปล่า ต้องถามแม่ เพราะเขาไม่เคยติดต่อพราวโดยตรง” พราวรัมภาบอกไปตามจริง ก่อนจะยิ้มนิดๆ เมื่อนึกได้ว่ามิสเตอร์บราวน์ชอบคุยกับแม่มากกว่าลูกสาว คงเพราะวัยใกล้เคียงมากกว่ากระมัง เลยคุยกันถูกคอมากกว่าเด็กๆ อย่างเธอ

“แปลก เขาจะคุยกับหม่อมทำไมครับ ในเมื่อเขาอยากแต่งงานกับคุณ” จัสตินชักงงกับพฤติกรรมของพ่อขึ้นมาตงิดๆ

“ไม่รู้สิคะ เขาชอบโทร. คุยกับแม่ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเขาอยากแต่งงานกับพราว”

“เดาไม่ยากหรอกครับ เขาก็คงคิดเหมือนผม ไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อนกับคุณหญิงหรอก”

พราวรัมภาฟังแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพราะยังไม่ชินกับคนที่พูดแบบไม่คิดจะอ้อมค้อมเลยสักนิด แต่ก็น่าแปลกที่เธอกลับรู้สึกว่าคุยกับเขาแล้วสบายใจ ไม่ต้องแปลความกันมากมาย

“หม่อมอยากให้คุณหญิงแต่งงานกับมิสเตอร์บราวน์ใช่ไหมครับ”

“แม่ไม่ได้บังคับพราวหรอกนะ”

“งั้นก็ดีเลยครับ คุณหญิงควรจะปฏิเสธเขา” จัสตินรีบตัดบทสรุปง่ายๆ

“ทำไมคะ”

“คุณหญิงไม่ได้รักเขาแล้วจะไปแต่งงานกับเขาทำไม”

“ก็จริงค่ะ แต่บางทีคนเราก็เลือกไม่ได้”

“คุณเป็นหนี้อยู่เท่าไร” จัสตินถามพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้

“เอ่อ...” พราวรัมภายังตั้งตัวไม่ทัน

“ผมไม่รู้หรอกว่ามิสเตอร์บราวน์คนนั้นเขาเสนออะไรให้คุณบ้าง” เขายื่นมือมาจับต้นแขนเธอไว้ทั้งสองข้างแล้วดึงตัวเข้าไปหา

พราวรัมภามองเขาด้วยความตกใจอย่างคาดไม่ถึง แถมบริเวณริมสระยังมืดสลัวอีกด้วย

“คุณจัสตินคะ”

“คุณเลิกสนใจเขาได้เลย เพราะผมช่วยคุณได้”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ” เธอส่ายหน้าทันที

“ทำไมล่ะครับ ไหนลองบอกมาสิว่าคุณมีหนี้อยู่เท่าไร”

“ฉันไม่ได้เล่าให้คุณฟังเพื่อจะให้คุณมาใช้หนี้แทนนะคะ” พราวรัมภาต้องรีบบอกเขาก่อนที่จะเข้าใจผิดกันไปมากกว่านี้

“หมายความว่าคุณจะไม่รับความช่วยเหลือจากมิสเตอร์บราวน์ด้วยใช่ไหม”

“คงจะไม่แล้วละค่ะ ฉันไม่อยากรบกวนใคร”

“แล้วคุณจะทำยังไง” จัสตินมองหญิงสาวด้วยสายตาไม่เข้าใจ แม้เห็นหน้ากันไม่ชัดมากนัก แต่เขาก็รู้ว่าเธอกำลังสับสน

ตอนนี้พราวรัมภาอาจกำลังรู้สึกผิดที่คิดจะแต่งงานกับผู้ชายวัยคราวพ่อเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้ เหตุเพราะมีคนมาตั้งคำถามกระทุ้งความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แต่ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเธอจะไม่เปลี่ยนใจเมื่อเวลานั้นมาถึง เพราะเขามองแทบไม่เห็นความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งจากหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ เธอจะฟันฝ่าอุปสรรคไปเพียงลำพังได้หรือ

“ยังไม่รู้ เอ่อ...นี่ก็ดึกแล้วนะคะ”

เขายังนิ่งทำเหมือนไม่ได้ยิน พราวรัมภาจึงขยับตัวจะหนีออกห่าง แต่เขากลับบีบต้นแขนสองข้างของเธอแน่นขึ้นอีก จนคนที่ถูกจับตัวไว้เริ่มกลัว

“คุณจัสติน...” พราวรัมภายกมือขึ้นมาแตะหลังมือข้างหนึ่งของเขาเพื่อบอกให้เขาปล่อยมือได้แล้ว

“ผมถามว่าคุณเป็นหนี้อยู่เท่าไร ทำไมไม่บอกล่ะครับ” เขาก้มหน้าลงมาถามใกล้ๆ

“สองร้อยล้าน!”

พราวรัมภาคิดว่าบอกไปแล้วเขาจะผงะถอยทันที แต่เปล่าเลย...เขากลับดึงเธอเข้าไปใกล้อีกจนแทบยืนชิดกัน

“ผมเดาว่ามิสเตอร์บราวน์คนนั้นจะใช้หนี้ให้คุณสองร้อยล้านใช่ไหม” เขาถามเสียงคาดคั้น

“เรายังไม่ได้คุยอะไรกัน แต่คุณปล่อยพราวก่อนดีกว่าค่ะ”

“ถ้าเขาให้เงินคุณสองร้อยล้าน คุณก็จะแต่งงานกับเขา?”

“คุณจัสติน...นี่มันอะไรกันคะ คุณจะอยากรู้เรื่องเขาไปทำไม” พราวรัมภาเริ่มเอะใจสงสัย

“ผมจะใช้หนี้ให้เอง คุณติดหนี้ธนาคารไหนบอกมาเลย”

“นี่คุณบ้าไปแล้วเหรอ เงินตั้งสองร้อยล้านนะ ไม่ใช่สองสามหมื่น”

ทั้งสองคนจ้องหน้ากันอยู่ชั่วครู่ด้วยสายตาคลางแคลงใจ เขาแปลกใจที่พราวรัมภาไม่รีบตะครุบสิ่งที่เขาเพิ่งเสนอให้ หรือว่าเธอยังหวังเงินก้อนนี้จากพ่อ

ส่วนหญิงสาวมองใบหน้าที่เห็นอยู่ในเงามืดสลัวแล้วก็ชักไม่แน่ใจว่าเขายังเมาไวน์อยู่รึเปล่า จนอาจจะฟังตัวเลขผิดจากสองร้อยล้านเป็นสองหมื่นหรือสองแสนก็เป็นได้

“คุณปล่อยพราวก่อนดีกว่า กลับไปพักผ่อนเถอะ” เธอพยายามแกะมือเขาออก แต่ดูเหมือนไม่ง่ายนัก

“เรายังคุยกันไม่จบเลย คุณหญิงเองก็คงยังไม่ง่วง”

“จะมาใช้หนี้ให้กันง่ายๆ ได้ยังไง เราเพิ่งรู้จักกันนะ” เธอเตือนสติเขาเผื่อว่ายังมึนงงจากฤทธิ์แอลกอฮอล์

“ก็แค่สองร้อยล้าน”

“นี่คุณพูดเล่นรึเปล่า ตั้งสองร้อยล้านต่างหากล่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณหญิง เพื่อมิตรภาพ”

ปากพูดว่าเพื่อมิตรภาพ แต่สิ่งที่ทำกลับตรงกันข้าม จัสตินรวบเอวหญิงสาวไว้หลวมๆ เมื่อเธอพยายามแกะมือข้างหนึ่งของเขาอีกครั้ง

“พราวไม่เอาเงินของคุณหรอก ปล่อยได้แล้วค่ะ”

“จะเป็นเงินของใครก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน”

“คุณหมายความว่ายังไง”

เขาก้มหน้าลงมาใกล้ๆ อีกครั้งเพราะอยากเห็นหน้าเธอชัดๆ ว่ากำลังรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ แล้วก็เห็นตาโตๆ มองตอบกลับมาอย่างสับสน เขาอยากมองให้เห็นชัดกว่านั้นจึงหมุนร่างในอ้อมแขนไปยังที่ที่แสงโคมไฟส่องสว่างมากพอ จนมองเห็นว่าดวงตาของพราวรัมภากำลังเบิกค้างด้วยความตกใจ

“จะเป็นเงินผมหรือเงินของพ่...มิสเตอร์บราวน์ มันก็ไม่ต่างกันหรอก ถ้าคุณแค่ต้องการเงินไปใช้หนี้ เอาจากใครก็ได้” เขารวบรัดสรุปแบบง่ายๆ

พราวรัมภามองหน้าที่ก้มลงมาห่างไม่ถึงสองคืบด้วยความตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าเขาจะคิดและพูดออกมาแบบนี้ ตอนนี้เธอกลายเป็นผู้หญิงหิวโซในสายตาของใครๆ ไปแล้วใช่ไหม โดยเฉพาะเขา ถึงได้บอกว่าเอาเงินจากใครก็ได้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น

“ปล่อยพราวค่ะ คุณกลับไปได้แล้ว” พราวรัมภาเอ่ยปากไล่เพราะตอนนี้ทั้งโกรธและอาย แต่ยังต้องรักษามารยาท ทั้งที่การกระทำและคำพูดของเขาในตอนนี้ไม่คิดจะเกรงใจกันเลยแม้แต่น้อย

“คุณจะโกรธผมทำไม ในเมื่อผมพยายามจะช่วยคุณ”

“ช่วย...แต่เงินมันเยอะขนาดนั้น แล้วพราวจะหาที่ไหนไปใช้คืนให้คุณได้”

“ไม่มีก็ไม่ต้องคืน ผมให้เฉยๆ ไม่ต้องทำสัญญาอะไรทั้งนั้น”

“คุณจัสติน...คุณเมารึเปล่าคะ” พราวรัมภาตัดสินใจถามตรงๆ

“ผมกินไวน์สองสามแก้วไม่เมาหรอก ถ้าคุณหญิงตกลง พรุ่งนี้เราก็ไปแบงก์ด้วยกัน”

“ไม่...”

“ทำไมไม่ไป ดอกเบี้ยมันขึ้นทุกวัน คุณจะรออะไร”

“ไม่มีใครให้เงินใครฟรีๆ คุณต้องการอะไรกันแน่”

“ผมจะช่วยคุณ บอกแล้วไงว่าไม่ต้องทำสัญญาอะไรเลย แค่คุณให้โอกาสผมเท่านั้นแหละ” จัสตินเริ่มหว่านล้อมเพื่อให้ทุกอย่างลงล็อกเร็วที่สุด เขามีเวลาอีกเดือนเศษๆ เท่านั้นก่อนที่พ่อจะบินกลับมา

“โอกาสอะไร” พราวรัมภาถามพร้อมกับขยับตัวอย่างอึดอัด เพราะตอนนี้ทั้งท่าทางและคำพูดของเขาดูคล้ายกำลังคุกคามมากกว่าช่วยเหลือ

เขาพยายามบีบให้เธอรับเงินสองร้อยล้านจากเขาไปใช้หนี้!

“ผมชอบคุณ อยากให้คุณเปิดโอกาสให้ผมบ้าง แล้วถ้าจะให้ดีก็เลิกสนใจคนอื่นให้หมด” จัสตินให้เหตุผลแบบรวบรัดตัดความ

“ชอบเหรอคะ” พราวรัมภามองเขาแบบไม่แน่ใจ ปากบอกว่าชอบ แต่ท่าทางเหมือนกำลังขู่กรรโชก

“ใช่ คุณอาจรู้สึกว่าผมใจร้อนไปหน่อย แต่ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมสนใจคุณจริงๆ”

“ด้วยการให้เงิน คุณทำแบบนี้บ่อยๆ เหรอ” พราวรัมภาเริ่มรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจ บางทีเขาอาจใช้เงินหว่านซื้อผู้หญิงจนติดเป็นนิสัย พออยากได้ใครก็ทำตัวเป็นพ่อบุญทุ่ม แล้วก็คงจะสำเร็จมาแล้วทุกราย

“ไม่ ผมเห็นคุณเดือดร้อน แล้วปกติผู้หญิงส่วนใหญ่ก็คงชอบผู้ชายที่พึ่งพาได้ใช่ไหมครับ”

“ค่ะ แต่ว่าพราวคงรับไว้ไม่ได้หรอก”

“ทำไม” เขาถามเสียงเครียด “แล้วถ้าเป็นเงินของมิสเตอร์บราวน์คุณจะรับไว้ไหม”

“เขาไม่เคยมายัดเยียดให้พราวรับเงินจากเขา”

“แล้วเขาทำยังไงคุณถึงได้...สนใจ พูดยกย่องเขาอยู่ตลอดเวลา” ฝ่ายที่เป็นลูกเริ่มหงุดหงิดเมื่อผู้เป็นพ่อทำคะแนนไว้ดีกว่า ซึ่งผิดไปจากที่คาดไว้

เขาคิดไว้ว่าพราวรัมภาคงรังเกียจตาแก่อย่างพ่อจนแทบไม่อยากเอ่ยชื่อ แต่ที่ต้องข้องแวะกันอยู่ก็ด้วยเหตุผลเรื่องเงินเท่านั้น พอมีตัวเลือกที่ทั้งหนุ่มและหล่อกว่าเข้ามาด้วยข้อเสนอใกล้เคียงกัน เธอก็น่าจะรีบตะครุบเขาไว้ทันที แล้วเขี่ยตาแก่วัยใกล้หกสิบอย่าง วิลเลียม บราวน์ ทิ้งไปอย่างไม่ไยดี

แต่พราวรัมภากลับไม่เคยแสดงออกหรือพูดจาในแง่ลบเกี่ยวกับพ่อของเขาเลยสักครั้ง ออกอาการปกป้องเสียด้วยซ้ำเมื่อเขาพูดจาก้าวล่วงไปถึงมิสเตอร์บราวน์ ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายของจัสตินอย่างแทบไม่น่าเชื่อ

พ่อทำอะไร คุณหญิงถึงได้ทำท่าเหมือนติดใจ!

“บอกมาสิคุณหญิง เขาทำยังไง” ตอนนี้จัสตินเริ่มฟิวส์ขาดที่ตนเองประเมินสถานการณ์ผิดพลาด

“ปล่อยนะ!”

เมื่อเขาเริ่มใช้คำพูดคาดคั้น ฝ่ายที่ถูกคุกคามจึงเกิดความกลัวขึ้นมา พราวรัมภาพยายามแกะมือเขาออกจากเอวแต่กลับถูกโอบแน่นขึ้นอีกจนเข้าไปยืนเบียดชิดกัน

“คุณจัสติน!”

“ผมนึกว่าคุณอยากได้คนมาใช้หนี้ให้ซะอีก”

เสียงที่ฟังดูเหมือนเยาะหยันทำให้พราวรัมภาเม้มปากอย่างลืมตัว เพียงเพราะไม่มีเงินก็ต้องโดนดูถูกเหยียดหยามอย่างนั้นหรือ อารมณ์กรุ่นๆ พลุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วทั้งที่ปกติแล้วเธอแทบไม่เคยโกรธใครเลยก็ว่าได้

“มันไม่ใช่เรื่องอะไรของคุณ” หญิงสาวบอกเขาเสียงดังด้วยความโมโห

ถ้าเป็นคนที่รู้จักพราวรัมภาแล้วมาได้ยินเสียงแบบนี้ต้องรู้กันแทบทั้งนั้นว่าเธอกำลังโกรธจัด แต่เขากลับมองเฉยๆ เหมือนไม่รู้สึกรู้สา

“เพิ่งรู้ว่าคุณก็โมโหเป็นด้วย” เขายิ้มเหมือนขำที่ทำให้เธอโกรธได้ขนาดนี้

“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!” ตอนนี้พราวรัมภาไม่คิดจะรักษามารยาทกับคนอย่างเขาอีกแล้ว

“ถ้าผมไม่ปล่อย คุณจะทำยังไง” เขาถามอย่างไม่ทุกข์ร้อนก่อนจะโอบเธอแน่นขึ้น “จะอาละวาดใส่ผมรึเปล่า คงไม่หรอกใช่ไหม”

“ถ้าคุณไม่ปล่อย ฉันจะร้องให้คนช่วย”

“ก็ลองดู” จัสตินตอบกลับแบบเป็นไงเป็นกัน

“คุณทำแบบนี้ทำไมคะ” พราวรัมภามองเขาอย่างเหลือเชื่อ

บทจะรวนขึ้นมาเขาก็แทบกลายเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องเสียดื้อๆ คนอย่างนี้เธอไม่เคยเจอมาก่อนเลยในชีวิต

“อ้าว...ไม่ร้องให้คนช่วยเหรอครับ”

“ก็ได้” คุณหญิงรับคำท้า

เขาจะได้รู้ว่าคนอย่างพราวรัมภาก็ไม่ยอมใครง่ายๆ เหมือนกัน!

แต่เมื่อเธออ้าปากจะส่งเสียงเรียกให้คนมาช่วย เขากลับเป็นฝ่ายหยุดเสียงนั้นเสียเอง…

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น