10

เป้าหมายใหญ่

การประชุมระหว่างผู้ถือหุ้นภายในห้องประชุมอันสวยงามโอ่โถงของวังธาดาเป็นไปอย่างไม่เคร่งเครียดนัก แม้ห้องประชุมจะมีขนาดใหญ่ แต่การตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงทำให้บรรยากาศโดยรวมผ่อนคลายและเป็นไปอย่างเนิบนาบตามสภาพความเป็นอยู่ของคนภายในวังแห่งนี้ อย่างที่คนภายนอกผู้มาใหม่ไม่อาจฝืนต้านทานได้

ทั้งคุณหญิงพราวรัมภาซึ่งมีบุคลิกเนิบนาบแบบผู้ดี ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวหรือเจรจา ยังไม่รวมถึงบรรดาข้ารับใช้ทุกคนที่มีกิริยาไม่ต่างไปจากเจ้านายมากนัก ทำให้คนที่เพิ่งเข้ามายังสถานที่ย้อนยุคแห่งนี้ต้องทำใจและปรับตัวตามอย่างช่วยไม่ได้

“สรุปว่าในเบื้องต้นเราน่าจะได้ออฟฟิศใหม่แล้ว รอแค่คุณหญิงปรึกษาคุณแม่ว่าจะเห็นด้วยไหม” รอนในฐานะที่ปรึกษาของผู้ถือหุ้นรายใหญ่เอ่ยสรุปหลังจากประชุมไปได้ไม่กี่นาที เพื่อคุยหัวข้อต่อไปอย่างไม่ยืดเยื้อ

“ไม่น่าจะมีปัญหาค่ะ จริงๆ แล้วแม่เป็นคนค่อนข้างทันสมัย อาจจะชอบที่บ้านดูคึกคัก ไม่เงียบเหมือนที่อยู่กันแต่พวกเรา”

ที่จริงพราวรัมภารู้สึกว่าตั้งแต่จัสตินมาถึงที่นี่ บรรยากาศวังธาดาดูคึกคักขึ้นมาทันทีเลยด้วยซ้ำ แม้ยังไม่ได้เปิดเป็นออฟฟิศ แต่เขาเพียงคนเดียวก็สร้างสีสันในการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาได้ในพริบตา คงเป็นเพราะบุคลิกมั่นใจอย่างคนตะวันตกและความเป็นนักธุรกิจเต็มตัวของเขาซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเนิบช้าของวังแห่งนี้ และทุกสิ่งคงเกิดขึ้นไม่ได้หากเขาไม่มีบุคลิกแห่งความเป็นผู้นำไปเสียทุกย่างก้าวอย่างที่เห็น

“ก่อนจะผ่านไปเรื่องอื่น ผมอยากเสนอให้ปรับปรุงตึกหลังเล็กเพื่อให้เหมาะกับการทำงาน คงใช้เวลาไม่เกินสองสัปดาห์ถ้าเราหาช่างที่พร้อมเข้ามาทำงานได้ทันที” จัสตินเสนอความคิดอย่างคนที่เต็มไปด้วยไฟในการทำงานและทุกอย่างต้องพร้อมสำหรับเขา

“เราจะปรับปรุงออฟฟิศตั้งแต่เริ่มต้นเลยหรือคะ” อรอินทุ์อดทักท้วงไม่ได้ เพราะนั่นหมายถึงรายจ่ายที่ต้องเกิดขึ้น และเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่างานก่อสร้างซ่อมแซมเป็นงานที่ต้องใช้เงินลงทุนไม่น้อยทีเดียว

“คงใช้เงินไม่มากหรอกครับสำหรับตึกหลังเล็กๆ” หนุ่มนักลงทุนว่าอย่างไม่เห็นเป็นสาระสำหรับเงินจำนวนเพียงเล็กน้อยในสายตาเขา

แต่หญิงสาวสองคนเหลือบสบตากันอย่างไม่ค่อยแน่ใจ แม้ว่าเพิ่งได้เงินมาจากการลงทุนร่วมหุ้นเป็นจำนวนนับร้อยล้าน แต่ก็ควรใช้ในเรื่องจำเป็นเร่งด่วนเสียก่อน

“ตึกไม่ได้ทรุดโทรมอะไรมาก แค่ทำความสะอาด ทาสีใหม่ก็น่าจะพอนะคะ” พราวรัมภาออกความเห็นแบบพบกันครึ่งทาง

“ผมคิดว่าสถานที่ทำงานเป็นเรื่องสำคัญครับ โดยเฉพาะการทำงานที่เกี่ยวกับงานศิลปะหรืองานออกแบบ ถ้าเรามีทีมงานที่ดีก็ต้องมีสถานที่เหมาะสมกับการทำงานด้วย” จัสตินยังคงยืนกรานความคิดของตนเอง เพราะเขามีมุมมองแบบฝรั่งซึ่งมองว่าการลงทุนในปัจจัยพื้นฐานเป็นเรื่องสำคัญ

“ผมเห็นด้วยกับจัสติน เอาเป็นว่าผมจะช่วยหาผู้รับเหมาที่เคยทำงานให้โรงแรมมาดูแลให้ ราคาพอจะตกลงกันได้ครับ เพราะโรงแรมของเราเป็นลูกค้าประจำ ส่วนเรื่องฝีมือไว้ใจได้เลยครับ”

“ถ้าคุณสองคนคิดว่าจำเป็นก็ตามนั้นค่ะ” อรอินทุ์ยอมโอนอ่อนตาม เพราะดูเหมือนสองหนุ่มจะมีหัวก้าวหน้าพอกัน และอาจจะติดหรูคล้ายๆ กันด้วยตามประสาคนมีเงิน

“คุณหญิงเป็นเจ้าของสถานที่ ตกลงว่าจะอนุญาตให้ปรับปรุงได้ไหมครับ” จัสตินถามย้ำอีกหนเพื่อความแน่ใจ

“ค่ะ ถ้าเห็นว่าเหมาะก็ทำเถอะ”

“ผมไม่ได้คิดเปลี่ยนแปลงอะไรนะครับ แค่ปรับภายในให้เป็นออฟฟิศที่พร้อมทำงานเท่านั้นเอง ส่วนข้างนอกก็อาจจะแค่ทาสี” จัสตินมองใบหน้าที่ยังมีแววกังวลอยู่บ้างแล้วรีบอธิบายว่า “ผมจะให้ช่างมาคุยกันที่นี่นะครับ ให้คุณหญิงเป็นคนพิจารณาว่าจะปรับตรงไหนได้บ้างดีไหม”

“ค่ะ”

“คุณหญิงไม่ต้องห่วงนะครับ เราจะไม่ให้ช่างทุบทำลายอะไรที่เป็นของเก่าแน่นอน ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำแบบนั้น แถมยังทำให้เสียบรรยากาศอีกด้วย”

หญิงสาวทั้งสองคนจึงมีสีหน้าดีขึ้น เพราะฟังๆ ดูแล้วไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงใหญ่โต เพียงปรับให้เหมาะสมเท่านั้น

“ที่ผมคิดว่าเราต้องเตรียมสถานที่ให้พร้อม ก็เพราะผมต้องการจ้างทีมการตลาดมืออาชีพเข้ามาทำงานให้เราในระยะหนึ่งปีหลังจากนี้ รวมถึงงานออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่อาจต้องจ้างนักออกแบบเข้ามาช่วยคุณอรอินทุ์อีกสักคนหรือสองคนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับผลิตสินค้าส่งออก”

“อินเห็นด้วยค่ะ ถ้าขยายงานการผลิต อินคงออกแบบคนเดียวไม่ไหว แต่ที่จริงแล้วหญิงพราวก็มีไอเดียด้านออกแบบเคยช่วยอินอยู่บ่อยๆ ค่ะ”

จัสตินเลิกคิ้วนิดๆ แล้วหันไปหาคนที่ไม่ช่างพูดและมักไม่ค่อยมีความเห็นใดๆ ซึ่งค่อนข้างแปลกในความรู้สึกของคนที่มาจากอีกซีกโลกที่ผู้คนต่างเต็มไปด้วยความคิดเห็นและพร้อมจะนำเสนอ

“ดูเหมือนคุณหญิงจะทำได้หลายอย่างเลยนะครับ ทั้งเป็นครูสอนดนตรี ดูแลด้านบัญชีการเงิน แถมยังออกแบบสินค้าได้อีก” เขาเริ่มมองเธอแบบทึ่งๆ ขึ้นมา จากที่เห็นว่าเป็นคนเงียบๆ เรียบเรื่อยราวกับทำอะไรแทบไม่เป็นเลยสักอย่าง

“หญิงพราวทำได้สารพัดละค่ะ ขอให้บอกเถอะ เห็นเงียบๆ ไม่พูดไม่จา แต่ถามอะไรก็ทำได้หมด” อรอินทุ์เอ่ยยกย่องญาติสาวอย่างไม่อ้อมค้อม เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เกิดจึงมั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร

“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ หนูอินก็พูดเกินไป”

“เขาว่ากันว่าคนเงียบๆ มักจะเป็นคนมีของ” รอนว่ายิ้มๆ เพราะโหงวเฮ้งของพราวรัมภาก็บอกว่าเป็นเช่นนั้น “คุณหญิงไม่ค่อยพูดแต่ฟังเยอะ เลยเก็บรายละเอียดได้เก่งรึเปล่าครับ”

“คุณรอนพูดถูกเลยค่ะ อย่างหญิงพราวต้องเรียกว่าเป็นประเภทพูดน้อยต่อยหนัก” อรอินทุ์ว่า แล้วหัวเราะขำเสียเองเมื่อเห็นพราวรัมภาหน้าเป็นสีชมพูขึ้นมาทันตา ช่วยให้บรรยากาศในการประชุมกลายเป็นครื้นเครงไปในทันที

“ไม่ได้เป็นนักมวยนะ จะต่อยหนักไปทำไม” พราวรัมภาว่าแล้วยิ้มขำๆ ปนเขิน

จัสตินจึงเพิ่งได้เห็นรอยยิ้มเป็นธรรมชาติของหญิงสาวก็หนนี้เอง ปกติเธอมักจะยิ้มให้เขาตามมารยาทอันควรเท่านั้น ใบหน้าของเธอจึงดูอ่อนหวานน่ารักขึ้นไปอีกในยามนี้ เพราะแก้มเป็นสีชมพูเรื่อๆ ให้ความรู้สึกตื่นตาจนเผลอมองนานอย่างช่วยไม่ได้

“คุณหญิงไม่ค่อยนำเสนอตัวเองเลยนะครับ หลบมุมตลอด” รอนว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพราะเข้าใจว่าธรรมชาติของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนก็ชอบสร้างผลงานและบอกให้ชาวโลกได้ประจักษ์ แต่มีคนบางประเภทที่ชอบทำงานอยู่ในมุมเงียบๆ อย่างมีความสุข

“ไม่ได้หลบนะคะ ก็แค่ทำตามหน้าที่ มีอะไรก็ทำไปค่ะ”

“แล้วทำอะไรได้อีกครับ” จัสตินถามด้วยความอยากรู้หลังจากจ้องมองเพลินอยู่หลายนาที

“เป็นพรีเซนเตอร์ให้สินค้าของเราไงคะ คุณจัสตินลืมแล้วเหรอ” อรอินทุ์รีบบอกงานสำคัญของพราวรัมภา

“ผมหมายถึงที่ไม่เกี่ยวกับงานน่ะครับ” จัสตินถามโดยเหลือบมองหน้าพราวรัมภาราวกับต้องการให้เธอเป็นคนตอบ

“วาดรูป แต่งบ้าน จัดสวน เขียนหนังสือ อ้อ...นอกจากเล่นดนตรีแล้วยังร้องเพลงเพราะด้วยค่ะ” อรอินทุ์บอกแล้วทำท่านึกเหมือนว่ายังไม่หมด

“พอแล้วละหนูอิน” พราวรัมภาส่ายหน้าเพราะกลัวคนฟังจะหาว่ายกยอกันเองจนเลิศลอย คงไม่มีใครมาชื่นชมความสามารถที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรมากนัก เป็นเพียงสิ่งละอันพันละน้อยที่ทำเล่นๆ เท่านั้น แต่ปรากฏว่าคนฟังทั้งสองคนถึงกับอ้าปากค้างไปเรียบร้อยแล้ว

“ผมไม่อยากจะเชื่อเลย” จัสตินอุทานเบาๆ

“หนูอินพูดเว่อร์ไปน่ะค่ะ” พราวรัมภารีบออกตัว

“เว่อร์ที่ไหนเล่า แล้วดนตรีที่เล่นได้น่ะตั้งกี่อย่าง ไม่ใช่แค่เปียโนหรอกนะคะ”

“จริงหรือครับคุณหญิง” รอนเป็นฝ่ายถามบ้างด้วยความทึ่ง

ส่วนจัสตินเมื่อหายอึ้งแล้วก็เริ่มรู้สึกว่าไม่น่าแปลก เพราะเธอเป็นถึงคุณหญิงแห่งวังธาดา ก็ต้องมีอะไรที่ไม่ธรรมดาดาษดื่น ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถดึงดูดความสนใจจาก วิลเลียม บราวน์ พ่อของเขาได้เป็นแน่

“พราวเรียนจบด้านดนตรีสากล ก็ต้องเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชิ้นเป็นเรื่องปกติค่ะ”

ก่อนจะกลับมาสู่การประชุมเรื่องงานอีกครั้ง จัสตินอดคิดไม่ได้ว่า ‘พ่อตาถึง’ ที่เลือกพราวรัมภา แต่สุดท้ายเขาต้องรีบปัดความรู้สึกชื่นชมนี้ออกไป ถึงแม้พ่อจะตามีแววขนาดไหนที่เลือกสาวสวยเพียบพร้อมมาเป็นศรีภรรยา แต่ถ้าเธอไม่ได้รักพ่อเลยสักนิด คุณสมบัติที่แสนเพียบพร้อมนั้นก็คงหาประโยชน์อันใดไม่ได้

“ถ้าจ้างทีมมาร์เกตติงกับนักออกแบบมืออาชีพ ก็ควรมาทำงานรวมกันที่นี่เพื่อความสะดวกในการประสานงาน รวมไปถึงฝ่ายแอดมินและการเงินด้วยครับ” จัสตินกลับมาเข้าเรื่องงานได้อย่างไม่สะดุด เพราะเป็นคนสมาธิดีเกี่ยวกับการงานมาโดยตลอด “ผมถึงอยากให้ปรับปรุงตึกหลังเล็กของคุณหญิงเพื่อรองรับคนที่จะเข้ามาใหม่ ส่วนโรงงานผลิตกับแวร์เฮาส์ก็ควรจะอยู่ที่เดียวกัน”

“ค่ะ ควรจะเป็นอย่างนั้น ตอนนี้แวร์เฮาส์ที่เราเช่าอยู่บนถนนบางนา-ตราดค่ะ ถ้าคุณจัสตินมีเวลาว่างวันไหนอินจะพาไปดูสถานที่ค่ะ”

“ผมเห็นภาพจากรายงานของผู้ตรวจบัญชีแล้วครับ แต่คงต้องไปดูด้วยตัวเองอีกครั้ง”

“เป็นยังไงบ้างคะ”

“ดูจากแผนที่การเดินทางแล้ว ทำเลถือว่าดีนะครับ เพราะมีทางด่วนไปลงใกล้ๆ แล้วแถวนั้นยังพอมีที่ว่างให้ตั้งโรงงานไหมครับ”

“มีค่ะ เป็นที่ว่างเปล่าของเจ้าของแวร์เฮาส์ อินเคยสอบถามแล้ว เขาอยากขายมากกว่าให้เช่าค่ะ อยู่ลึกหน่อยแต่มีถนนเข้าไปถึงข้างใน” อรอินทุ์ให้ข้อมูลเพิ่มเติม

“น่าสนใจครับ”

“คุณจัสตินคิดว่าเราควรจะซื้อที่ดินเพื่อสร้างโรงงานหรือคะ” พราวรัมภาถามอย่างไม่แน่ใจนัก

“ถ้าเป็นไปได้ก็ควรทำครับ เพราะที่ดินทำเลดีๆ หายากขึ้นทุกวัน ลองสังเกตจาก...เอ่อ...อินดัสเตรียลเอสเตต ภาษาไทยว่ายังไงนะครับ” หนุ่มอเมริกันเริ่มคิดคำไม่ทัน แม้บางคำเคยผ่านหูมาหลายหนแต่เขาก็จำไม่ได้ทั้งหมด เพราะอ่านภาษาไทยไม่ได้นั่นเอง

“นิคมอุตสาหกรรมค่ะ” พราวรัมภาตอบพร้อมกับยิ้มบางๆ เมื่อเห็นว่าคนที่พูดไทยปร๋อเริ่มติดๆ ขัดๆ ขึ้นมาแล้ว

“นั่นละครับ พื้นที่ส่วนนี้จะถูกผลักห่างจากกรุงเทพฯ ออกไปเรื่อยๆ เพื่อขยายการผลิต แต่ทำเลที่ผลิตสินค้าของเบอร์รีแบ็กไม่ควรอยู่ไกลจากตัวเมืองมากเกินไป”

“คุณหมายความว่าถ้าเราไม่ซื้อที่ดินตอนนี้ อีกหน่อยเราอาจต้องไปอยู่นอกเมืองไกลๆ ใช่ไหมคะ” พราวรัมภาพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดซึ่งเป็นความคิดเห็นของคนที่มองการณ์ไกล

“แน่นอน เราอาจหาเช่าที่หรือโรงงานได้ในวันนี้ แต่เจ้าของจะไม่ต่อสัญญากับเราเมื่อไหร่ก็ได้ มันไม่มีอะไรการันตี”

“ค่ะ อินเห็นด้วย ถ้าเราจะลงทุนทำโรงงานก็คงต้องหาที่ทางแบบถาวร”

“เงินทุนตอนนี้อาจจะพอซื้อที่กับสร้างโรงงาน แต่อาจไม่เหลือไว้หมุนเวียนในกิจการ”

พราวรัมภายังคงรอบคอบเรื่องเงินทอง เพราะเคยเห็นประสบการณ์จากการทำธุรกิจของบิดาที่ต้องสูญเสียเงินไปจำนวนมากโดยไม่จำเป็น

“คุณหญิงไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถ้าเรามีหลักทรัพย์หรือบิสเนสแพลนที่ดี หาเงินมาหมุนเวียนจากที่ไหนก็ได้” จัสตินยังคงยืนยันและให้ความมั่นใจไปพร้อมๆ กัน

“ด้วยการกู้หรือคะ” พราวรัมภาถามแล้วทำหน้าเบ้แบบไม่ได้ตั้งใจ ทุกวันนี้ตัวเองก็มีหนี้สินล้นตัวอยู่แล้วจนรู้สึกขยาดกับคำว่าหนี้เหลือเกิน

“คุณหญิงไม่ต้องห่วงเรื่องแคชโฟลว์ของบริษัทหรอกครับ ผมรับรองได้เลยว่าไม่มีปัญหาเรื่องนี้แน่ๆ” รอนแทรกขึ้นมาแล้วทำหน้ายิ้มๆ ราวกับว่าเรื่องเงินทองเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขาเหลือเกิน

“ไม่ต้องห่วง?”

“มีพ่อมดการเงินมานั่งอยู่ตรงหน้าจะต้องกลัวอะไรอีกล่ะครับ”

พราวรัมภาได้ยินแล้วต้องแลสบตาญาติสาวเป็นเชิงปรึกษา ดูเหมือนอรอินทุ์ก็ไม่แน่ใจเช่นกัน เธอจึงต้องหันไปมองหน้าชายหนุ่มชาวอเมริกันตาสีฟ้าที่มีใบหน้าคมเข้มคล้ายมีเลือดผสมจากชนชาติอื่นที่ไม่ใช่คนขาว แต่เจ้าตัวกลับทำหน้าเฉยๆ แบบไม่รู้ไม่ชี้ที่เพื่อนซี้ยกย่องเขาว่าเป็นมืออาชีพด้านการเงิน หรือไม่อีกนัยก็คือมีเงินจนล้นเหลือเกินพอที่จะสร้างโรงงานเล็กๆ ให้เบอร์รีแบ็ก

แต่ถึงอย่างไรคำว่า ‘พ่อมด’ ก็ฟังดูไม่ค่อยน่าไว้ใจนักในความรู้สึกของพราวรัมภาซึ่งเคยรับรู้ความผิดพลาดทางการเงินของบิดามาหลายครั้งหลายคราว กระทั่งกลายเป็นปัญหาตกทอดมาถึงรุ่นลูกในวันนี้

“คุณหญิงกังวลเรื่องแคชโฟลว์หรือว่าเรื่องหนี้” จัสตินถามแบบไม่อ้อมค้อมเพื่อความกระจ่างทั้งสองฝ่าย

“ทั้งสองเรื่องนั่นแหละค่ะ”

จัสตินมองเห็นว่าตาโตดำขลับมีแวววิตกจริงอย่างที่บอก ใบหน้าสวยหวานที่ตกแต่งบางเบากำลังครุ่นคิด เขามองแล้วถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว ดูเหมือนพราวรัมภาเป็นคนค่อนข้างวิตกเรื่องเงินทอง ทั้งที่อายุแค่ยี่สิบหกเท่านั้น ซึ่งเป็นวัยที่ควรมีโลกสดใสมากกว่าการหมกมุ่นครุ่นคิดแต่เรื่องเงินทองและหนี้สิน

‘นี่นายกำลังเห็นใจคุณหญิงใช่ไหม!’

จัสตินถามตัวเองด้วยความตกใจเล็กน้อยที่เริ่มมีใจเอนเอียง เป็นห่วงคนที่กำลังคิดหาทางรอดให้ครอบครัวโดยใช้บิดาของเขาเป็นสะพานไปสู่การปลดแอกหนี้สิน

“ไม่ต้องคิดมากหรือกังวลไปก่อนล่วงหน้า เอาเป็นว่าถ้าทุนที่เรามีอยู่ตอนนี้หมด ผมยินดีจะเป็นแหล่งเงินกู้ให้ก็ได้”

“จริงหรือคะ” อรอินทุ์ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ตรงกันข้ามกับพราวรัมภาที่มองเขาแบบไม่มั่นใจ

“จริงสิครับ เพราะผมเห็นแล้วว่าพวกคุณมีลูกค้ารอซื้อของอยู่จนทำออกมาขายแทบไม่ทัน ผมจะกลัวอะไร”

จัสตินบอกด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เขายินดีช่วยคนที่ตั้งใจทำมาหากินแบบสุจริต เพราะครั้งหนึ่งตนเองก็เคยผ่านช่วงเวลาก่อร่างสร้างตัวมาแล้ว

“ผมคิดว่าภายในหกควอร์เตอร์นับจากนี้ ยอดขายน่าจะถึงห้าร้อยล้านบาท”

สองสาวได้ยินแล้วต่างหันมองหน้ากันอย่างแทบไม่อยากเชื่อหูว่านักลงทุนข้ามชาติอย่าง จัสติน บราวน์ จะเชื่อมั่นในธุรกิจเล็กๆ ของพวกเธอมากถึงขั้นนี้ ที่ผ่านมาสามปีเศษนับตั้งแต่วางจำหน่ายสินค้าครั้งแรกทางอินเทอร์เน็ตจนถึงวันนี้ มียอดขายรวมแล้วประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบล้านบาท ซึ่งในระยะหนึ่งปีแรกนั้นมียอดขายไม่มากนักเพราะยังไม่เป็นที่รู้จัก และมีการขายแค่ทางออนไลน์ช่องทางเดียว

แม้จะมียอดขายสูงในปีที่สาม แต่ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว เพราะมีการเปิดร้านถึงสามแห่งภายในเวลาเพียงปีเศษๆ หุ้นส่วนทั้งสองคนจึงยังไม่ได้รับเงินปันผลจากส่วนแบ่งกำไรไปเป็นกอบเป็นกำ เพราะต้องใช้เงินจากกำไรหมุนเวียนทำธุรกิจต่อไปเพื่อขยายงานให้เติบโต ที่หนุ่มนักธุรกิจจากสหรัฐอเมริกาทำนายหรือตั้งเป้าว่าจะมียอดขายถึงห้าร้อยล้านภายในเวลาเพียงปีครึ่งนั้นน่าจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าทำได้ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาธุรกิจแบบก้าวกระโดด

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรีบหาสถานที่แล้วสร้างโรงงาน เพื่อให้ได้ยอดขายตามเป้าที่ตั้งไว้” รอนออกความเห็นด้วยน้ำเสียงมั่นใจในเป้าหมายแม้เป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง

“ถ้าเราหาที่ได้เร็วก็อาจสร้างโรงงานเสร็จภายในสองควอร์เตอร์แรก แล้วอีกสี่ควอร์เตอร์ที่เหลือก็เร่งผลิตเพื่อขาย ช่วงระหว่างสร้างโรงงานต้องหาลูกค้าเพื่อส่งออก รวมทั้งเร่งทำการตลาดในประเทศ อาจต้องเปิดร้านเพิ่มอีกสักสองหรือสามสาขา” จัสตินวางแผนงานอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการทำงานแข่งกับเวลาอย่างที่เขาคุ้นเคย

“เวลาแค่ปีเดียวหลังจากสร้างโรงงานเสร็จ เราจะผลิตสินค้าเพื่อขายได้ถึงห้าร้อยล้านเชียวหรือคะ” อรอินทุ์ซึ่งเชี่ยวชาญในธุรกิจด้านนี้มาก่อนยังกังขากับเป้าหมายที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ตั้งไว้อย่างแสนท้าทาย

จัสตินไม่ตอบในทันที แต่มองหน้าหญิงสาวที่มีหน้าตาสะสวยทั้งคู่ แล้วค่อยคลี่ยิ้มออกมาพร้อมสายตาที่อ่อนโยนลง เขาไม่เคยคิดว่าจะต้องมาสอนใครทำธุรกิจในประเทศไทย แต่ตอนนี้ก็กึ่งๆ จะเป็นทั้งผู้ถือหุ้นและเป็นครูไปด้วยพร้อมๆ กัน โดยมีลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นนักออกแบบผลิตภัณฑ์และอีกคนเป็นนักดนตรี

แล้วตอนนี้คุณหญิงพราวรัมภาก็กำลังมองหน้าเขาเหมือนว่าเพิ่งได้ยินเรื่องเพ้อฝันที่สุดในชีวิต

“คุณอรอินทุ์เคยได้ยินบ้างไหมครับ ไม่ว่าจะตั้งเป้าหมายเล็กหรือใหญ่ก็เหนื่อยพอๆ กัน” หนุ่มอเมริกันตั้งคำถามกลับแทนที่จะตอบ

“เอ่อ...ไม่เคยค่ะ” หญิงสาวยอมรับ เพราะแท้จริงตนชำนาญเรื่องงานศิลปะการออกแบบเสียมากกว่าจะสนใจด้านปรัชญาการทำธุรกิจ

“เป้าหมายใหญ่ก็ต้องเหนื่อยกว่าสิคะ” พราวรัมภาค้านด้วยสีหน้าสงสัย

“ไม่มากครับ แค่นิดเดียวเท่านั้นเองที่ต่างกัน เพราะอย่างนี้เรามองไปที่เป้าหมายใหญ่เลยดีกว่า เสียเวลาแค่หนเดียวโดยไม่ต้องค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไป” จัสตินว่าอย่างคนที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วในชีวิต

สองสาวหันมามองหน้ากันแบบไม่มั่นใจ แต่สุดท้ายอรอินทุ์ก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะถึงตั้งเป้าไว้แล้วแต่ทำไม่ได้หรือได้น้อยกว่านั้นไปบ้างก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ดีกว่าทำงานโดยไม่มีเป้าหมายใดๆ เลย

“ทำได้น้อยกว่าเป้าหมายนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรนี่ครับ คุณหนูอิน”

รอนหันมาบอกพร้อมกับส่งยิ้มให้กำลังใจ ทั้งรอยยิ้มและชื่อที่เขาใช้เรียกทำให้หญิงสาวยิ้มรับขำๆ เพราะปกติมีเพียงคนในครอบครัวและญาติสนิทเท่านั้นที่เรียกเธอว่า ‘หนูอิน’

แล้วอยู่ๆ ก็มีพ่อหนุ่มหน้ามนมาเรียกอย่างสนิทสนม แถมไม่ขออนุญาตก่อนเสียด้วย จากที่ยิ้มขำๆ ก็เกือบจะกลายเป็นเขินขึ้นมาหน่อยๆ อย่างช่วยไม่ได้

ท่าทีของสองหนุ่มสาวที่ส่งยิ้มให้กันอยู่ในตอนนี้ทำให้อีกสองคนหยุดมองด้วยความสนใจ โดยเฉพาะพราวรัมภาที่จับสังเกตได้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่า หนุ่มลูกครึ่งเจ้าของโรงแรมดังระดับห้าดาวนั้นสนใจญาติสาวของตน

“ผมขออนุญาตเรียกคุณหนูอินนะครับ” รอนบอกหลังจากที่เรียกไปแล้ว เขาไม่เปิดโอกาสให้เจ้าของชื่อปฏิเสธ ด้วยการส่งยิ้มกว้างกว่าเดิมให้เธอในแบบฉบับของเขา

“ค่ะ” อรอินทุ์รับคำสั้นๆ แล้วจึงหันกลับมาสนใจการประชุมต่อ “ตอนนี้เราก็พอมีรายชื่อลูกค้าที่อยู่ต่างประเทศ เขาเคยติดต่อเข้ามาขอซื้อทั้งรองเท้าและกระเป๋าค่ะ แต่ดูเหมือนตลาดรองเท้าจะใหญ่กว่ากระเป๋าถือ”

“ดีครับ ผมคิดว่าเราต้องเดินหน้าหาลูกค้าใหม่ๆ ตั้งแต่วันนี้เลย อาจจะเหนื่อยหน่อยช่วงแรก แต่ถ้างานเดินแล้วจะเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลกำไร”

“แล้วคุณจัสตินจะไปดูที่ดินเมื่อไรดีคะ อินจะได้นัดกับเจ้าของไว้ล่วงหน้า” อรอินทุ์กลับมาเข้าประเด็นเรื่องสร้างโรงงานซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของงานนี้

“วันไหนก็ได้ครับ ปกติผมไม่ได้เข้าไปทำงานที่บริษัทนอกจากมีประชุมสำคัญ”

“ค่ะ อินจะนัดกับทางโน้นก่อนแล้วค่อยแจ้งคุณจัสตินนะคะ”

“ขอบคุณครับ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น