16

ใครกันแน่ที่ต้องเสียใจ


เสียงเคาะประตูทำให้เจ้าของห้องลุกจากเตียงไปเปิดประตู จึงเห็นว่าหม่อมสุภัสสรมายืนรออยู่ในชุดเตรียมตัวเข้านอน

“ยังไม่นอนใช่ไหมคะ แม่มีเรื่องจะคุยด้วย”

หม่อมสุภัสสรเดินเข้ามาโดยไม่คิดจะรอฟังคำตอบ เพราะเรื่องที่จะคุยนั้นสำคัญอยู่ไม่น้อย ดวงตาคมงดงามไม่ต่างไปจากบุตรสาวจึงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างระงับไม่อยู่

“แม่มีเรื่องอะไรคะ”

“จะเรื่องอะไรอีก ก็วันนี้มีใครมาบ้านเราล่ะ” หม่อมสุภัสสรถามกลับพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“คุณจัสตินน่ะหรือคะ”

“ก็ใช่น่ะสิคะ ลูกหญิงขา...” หม่อมทำเสียงอ่อนหวานใส่ลูกสาวทันที

“ทำไมคะแม่”

“ได้ยินแม่ช้องกับยายนิ่มบอกว่า เขาไปช่วยหญิงพราวจัดสำนักงานใหม่ แล้วยังขอให้พาไปเดินชมสวนหลังบ้านอีกใช่ไหม”

“ค่ะ เขาเป็นฝรั่ง ไม่เคยเห็นต้นไม้บ้านเราก็เลยขอเข้าไปดู ไม่มีอะไรนี่คะ”

“แต่แม่ว่ามีนะ” หม่อมสุภัสสรเดินไปนั่งที่เตียงนอนโดยที่เจ้าของห้องยังยืนอยู่กลางห้อง

“มีอะไรคะ” พราวรัมภาถามทั้งที่ในใจเริ่มคิดตามไปเช่นกัน เพราะเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นใต้ต้นชมพู่ม่าเหมี่ยวทำให้สะกิดใจขึ้นมาอีกครั้ง

“นักลงทุนระดับนี้ไม่มีใครอยากไปเดินเล่นเข้าป่าเข้าพงหลังบ้านเราหรอกค่ะ ถ้าเขาไม่มีจุดประสงค์อะไรอื่นอีก”

“วันนี้เขามาดูสำนักงานใหม่ค่ะว่าไปถึงไหนแล้ว”

“เหรอ...” หม่อมสุภัสสรเลิกคิ้วสูงแบบไม่ค่อยเชื่อ “แค่สำนักงานเล็กๆ เขาจะต้องลงทุนมาดูเองทำไมคะลูก ได้ยินว่าเขามีทนายส่วนตัว เผลอๆ อาจจะมีเลขาฯ ส่วนตัวด้วยก็ได้”

“พราวก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”

“แม่ว่าเขาอยากมาที่วังนี้มากกว่า”

“แม่คะ” พราวรัมภาทำเสียงปรามก่อนที่มารดาจะคิดและพูดอะไรเลยเถิดไปไกลกว่านี้

“ผมแม่จะสองสีแล้วนะหญิงพราว มองไม่พลาดหรอกค่ะ”

“แล้วยังไงคะ” หญิงสาวไม่อยากเถียงอีกจึงได้แต่ถอนใจเบาๆ

ก่อนหน้านี้หม่อมสุภัสสรเคยเห็นดีเห็นงามหากลูกสาวตัดสินใจร่วมหอลงโรงกับคุณชายราเมศซึ่งเป็นญาติใกล้ชิด แต่เมื่อ วิลเลียม บราวน์ โผล่เข้ามา หม่อมก็เปลี่ยนใจหันมาเชียร์ว่าที่เขยฝรั่งวัยดึกอย่างออกหน้าออกตา เพราะหวังว่าจะสามารถปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหมดภายในพริบตา แล้วตอนนี้ก็มีหนุ่มมะกันนักลงทุนกระเป๋าหนักโผล่มาอีกคน ซึ่งหม่อมก็ดูเหมือนจะพออกพอใจเขาอยู่มากทีเดียว หลังจากได้ร่วมโต๊ะมื้อเย็นกันเป็นครั้งแรกในวันนี้

“แม่ต่างหากที่ต้องถามหญิงพราว”

“แม่...” พราวรัมภาทำเสียงเหนื่อยหน่ายกับประเด็นใหม่ที่ผุดขึ้นมาอีกจนได้

หรือว่า...เธอควรตัดสินใจแต่งงานกับเศรษฐีวัยคราวพ่ออย่างมิสเตอร์บราวน์ เรื่องทุกอย่างจะได้จบเสียที อย่างน้อยมารดาก็ไม่ต้องมาเสียเวลานั่งคิดว่าลูกสาวควรจะแต่งกับใครหรือคนไหนดี

“เขาสนใจหญิง มันเห็นชัดๆ อยู่แล้ว”

“แม่คะ เขาเป็นฝรั่งยังหนุ่มแน่นอายุแค่สามสิบสามเท่านั้นเอง พอเห็นผู้หญิงไทยสวยหน่อยก็ออกอาการแบบนี้แหละค่ะ เขาคงไม่ได้ทำแบบนี้กับพราวคนเดียวหรอก แล้วทั้งหนุ่มทั้งรวยขนาดนี้ แม่ยังคิดว่าเขาจะโสดสนิทอีกหรือคะ เผลอๆ อาจจะนั่งนับกันแทบไม่ถ้วนก็ได้ ผู้หญิงไทยยิ่งเห่อฝรั่งอยู่ด้วย”

“แสดงว่าหญิงก็รู้ว่าเขามีท่าที” หม่อมสุภัสสรดักคอลูกสาว

“พราวไม่รู้หรอกค่ะ เพราะเขามาที่นี่ด้วยเหตุผลเรื่องงานทุกครั้ง”

“มิน่าเล่า ถึงได้บอกให้ย้ายออฟฟิศมาไว้ที่ตึกเล็ก” หม่อมสุภัสสรเริ่มรู้ทัน

“ทำไมแม่ต้องสนใจคุณจัสตินด้วยคะ ในเมื่อแม่อยากให้พราวแต่งกับคุณบราวน์ ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ยังเชียร์เขาอยู่เลย” คนเป็นลูกอดถามไม่ได้

“แม่เชียร์ แต่ไม่เคยคิดบังคับใจลูกตัวเอง แล้วถ้าหญิงพราวมีทางเลือกที่ดีกว่า ทำไมแม่จะไม่ยินดีด้วยล่ะ”

“แม่ขา...ถ้าพราวเลือกได้จริงๆ ก็ดีสิคะ” พราวรัมภาทำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ

“แล้วทำไมถึงจะเลือกไม่ได้ล่ะลูก”

“ถ้าเลือกได้จริงๆ พราวขออยู่คนเดียวค่ะ ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับใคร”

“ตายแล้ว...เป็นสาวเป็นแส้อย่าพูดอย่างนั้นสิคะลูกขา แม่ฟังแล้วใจเสียกันพอดี หญิงพราวเป็นความหวังเดียวในชีวิตของแม่”

เสียงอ่อนหวานของหม่อมสุภัสสรทำให้บุตรสาวทอดถอนใจ ที่ต้องทนรับสภาพอย่างทุกวันนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะมารดา แล้วอีกครึ่งหนึ่งก็คือวังธาดา ลำพังตนเองนั้นพราวรัมภาแทบไม่ได้นึกถึง

“แต่ยังไงแม่ก็เป็นห่วงหญิงพราว ไม่มีแม่คนไหนไม่อยากให้ลูกมีความสุขหรอกจริงไหม”

“แม่ไม่ต้องเป็นห่วงพราวหรอกค่ะ”

“ไม่ห่วงได้ยังไง แม่รู้นะว่าหญิงพราวไม่อยากแต่งงานกับคุณบราวน์เพราะเขาอายุเยอะกว่าท่านพ่ออีกใช่ไหม”

“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะคะ ในเมื่อเขาช่วยเราได้” พราวรัมภาตอบเสียงเบา

“ลูกขา...” ผู้เป็นแม่ลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหาโอบกอดลูกสาวไว้ด้วยท่าทางรักใคร่ทะนุถนอม “ถ้าวันไหนหญิงมีทางเลือกที่ดีกว่า แม่จะดีใจมากที่สุด เพราะความสุขของลูกก็คือความสุขของแม่”

“ขอบคุณค่ะแม่”

หม่อมสุภัสสรเดินออกจากห้องลูกสาวกลับมาที่ห้องส่วนตัวได้ไม่กี่นาทีก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น จึงหยิบมารับสาย

“สวัสดีค่ะ คุณสารัช” เธอทักทายปลายสายด้วยน้ำเสียงสดใสและเป็นกันเองอย่างที่เคยพูดคุยกัน

หม่อมสุภัสสรเป็นสาวสังคมคนหนึ่ง จึงเป็นคนที่มักเจรจาน่าฟังและเก็บอารมณ์เก่ง ไม่ว่าจะทุกข์ใจหรือมีเรื่องให้ขุ่นข้องแค่ไหนเธอก็มักเก็บงำความรู้สึกเหล่านั้นไว้ได้อย่างมิดชิด บวกกับพื้นฐานเป็นคนนิสัยร่าเริงชอบสังสรรค์ จึงทำให้มีเพื่อนฝูงมากหน้าหลายตา แม้ในยามตกอับก็ยังแทบไม่เคยห่างหายไปจากแวดวง เพราะมีคนรักมากกว่าคนเกลียดนั่นเอง

สารัชก็เป็นคนหนึ่งที่เข้ามาพัวพันกับหม่อมสุภัสสรหลังจากที่ท่านชายชรินทรสิ้น เขาแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าต้องการข้องเกี่ยวกับหม่อมสุภัสสรในสถานะมากกว่าเพื่อน แม้ว่าปัจจุบันฐานะการเงินของหม่อมกำลังง่อนแง่นเต็มทีก็ตาม เรื่องนี้หม่อมสุภัสสรยังคงสงวนท่าที แต่ไม่เคยตัดไมตรีแต่อย่างใด เพราะท่านชายชรินทรเพิ่งจากไปได้เพียงสองปีเท่านั้น จึงเกรงว่าหากตัดสินใจเร็วไปจะกลายเป็นที่ครหาของผู้คนได้

“สวัสดีครับหม่อม เป็นยังไงบ้างเอ่ย” พ่อม่ายวัยกลางคนถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

“จะเป็นยังไงล่ะคะ ก็อย่างที่รู้ๆ กันนั่นแหละ”

“ผมเพิ่งวางสายจากคุณบราวน์ โทร. ปรึกษากันเรื่องการลงทุนน่ะครับ ก็เลยอยากรู้เรื่องว่าทางหม่อมเป็นยังไงบ้าง” สารัชเกริ่นเข้าเรื่องเพื่อไม่ให้เสียเวลาตามนิสัยนายธนาคารผู้ช่ำชอง

เมื่อหลายเดือนก่อน เขาเป็นคนแนะนำให้หม่อมสุภัสสรได้รู้จักกับ วิลเลียม เจ. บราวน์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกันที่หลงใหลความเป็นไทยจนคิดจะมาพำนักที่ประเทศไทยในช่วงบั้นปลายชีวิต เขามีพร้อมทุกอย่าง ขาดเพียงอย่างเดียวคือครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่คนวัยหลังเกษียณทุกคนโหยหา เพราะคงไม่มีใครอยากใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายอย่างเดียวดายเป็นแน่

แล้ว วิลเลียม บราวน์ ก็ถูกชักพามาที่วังธาดาโดยการแนะนำจากสารัชที่ไม่ได้ทำตัวเป็นเพียงที่ปรึกษาด้านการลงทุนเท่านั้น แต่พยายามเป็นที่ปรึกษาชีวิตให้มหาเศรษฐีอย่างมิสเตอร์บราวน์อีกด้วย สารัชได้กระซิบบอกหม่อมสุภัสสรว่า เขาอยากให้หม่อมได้ปลดเปลื้องภาระหนี้สินหลายร้อยล้าน โดยมีคุณหญิงพราวรัมภาเป็นสะพานเชื่อมไปสู่ถนนสายทองคำของ วิลเลียม บราวน์

แน่นอนว่าสาวสังคมผู้เจนจัดอย่างหม่อมสุภัสสรย่อมไม่ขัดข้อง วิลเลียมจึงได้เข้ามาที่วังธาดาเพื่อพบหม่อมและบุตรสาวพร้อมๆ กัน แล้วทุกอย่างก็ดูเหมือนจะลงล็อกอย่างที่สารัชคาดการณ์ไว้

“ทางนี้เรียบร้อยดีค่ะ คุณสารัชไม่ต้องห่วง”

“ท่าทางคุณบราวน์เกรงว่าคุณหญิงจะเปลี่ยนใจน่ะสิครับ”

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ เอ...วันก่อนคุณบราวน์โทร. หาฉันก็ไม่เห็นพูดอะไรนี่คะ หรือว่าคุณสารัชจะเป็นกังวลเรื่องหญิงพราวเสียเอง”

“พูดอะไรอย่างนั้นครับ หม่อมเองก็รู้เสียยิ่งกว่ารู้ว่าผมน่ะหวังดีต่อหม่อมและคุณหญิงขนาดไหน”

“ขอบคุณมากค่ะคุณสารัช”

“ทั้งๆ ที่ผมก็พอรู้ว่าคุณหญิงไม่ค่อยพอใจผมสักเท่าไรที่เข้ามาเกี่ยวพันกับคุณแม่ของเธอ”

“หญิงพราวไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับคุณสารัชเลยนะคะ แล้วเรื่องคุณบราวน์ก็ต้องถือว่าคุณสารัชมีบุญคุณต่อเราสองคนมากเหลือเกินที่ทำให้ได้รู้จักกับคนดีๆ แบบนี้ ถ้าไม่มีคุณสารัชฉันก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองกับลูกสาวจะหาทางออกยังไงดี”

“ได้ยินอย่างนี้ผมค่อยสบายใจขึ้นบ้างครับ แต่ยังไงเรื่องคุณหญิง หม่อมคงต้องคอยดูแลบ้างนะครับ”

ปลายสายยังคงย้ำหนักหนาเรื่องพราวรัมภาราวกับว่าตนเองมีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ด้วย จนหม่อมสุภัสสรเองก็เริ่มสงสัยว่าเขาจะได้อะไรหรือ ถ้าหากว่ามิสเตอร์บราวน์ได้สมปรารถนาอย่างที่ใจหวังไว้ทุกอย่าง หรือว่าเขาแค่เป็นห่วงเป็นใยหม่อมกับลูกสาวที่มีหนี้สินจำนวนมหาศาลที่หาเงินทั้งชาตินี้ก็คงไม่มีปัญญาใช้หนี้ได้หมด หากว่าไม่ได้ผู้อุปถัมภ์อย่าง วิลเลียม บราวน์

“ไม่ต้องห่วงค่ะ เราคุยกันอยู่ตลอด”

“ผมเองก็อยากให้หม่อมสบายใจเสียที ผมเป็นห่วงนะครับ”

น้ำเสียงอ่อนโยนของชายวัยกลางคนที่สนิทสนมกันมานานนับปีทำให้หม่อมสุภัสสรคลี่ยิ้มออกมาได้ ในยามทุกข์หากมีเพียงเพื่อนสักคนก็อาจทำให้ชีวิตพอมีความหวังขึ้นมาบ้าง

“ขอบคุณคุณสารัชมากค่ะที่เป็นห่วงฉันเสมอ แบบนี้ใช่ไหมคะที่เขาเรียกว่าเพื่อนในยามยาก”

“สำหรับหม่อม ผมยินดีช่วยเหลือเสมอครับ” เขาบอกก่อนจะเอ่ยลาแล้ววางสายไป

หลังวางสายจากสารัชได้เพียงชั่วครู่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เจ้าของรีบหยิบขึ้นมาดูหน้าจอ เมื่อเห็นว่าใครโทร. มาจึงรีบกดรับสายทันที

 

“วันนี้มีอะไรคืบหน้าไหม”

รอนถามเมื่อเห็นเพื่อนรักนั่งเอกเขนกทำหน้าครึ้มอกครึ้มใจอยู่นานแล้วโดยไม่พูดไม่จาสักคำนับแต่เข้ามาในไนต์คลับ

“เยอะเลยละ” หนุ่มอเมริกันว่าพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้นจากท่านั่งที่จมลงไปในเบาะนุ่มของเก้าอี้ตัวใหญ่

“ต้องมีอะไรเกิดขึ้นที่วังธาดาแน่ๆ” รอนเริ่มเดาสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว

“มี แต่ฉันคงเล่าให้นายฟังไม่ได้” จัสตินยิ้มกริ่มเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายอยากรู้เต็มที่

“ทำไม”

“ก็มันเป็นเรื่องระหว่างฉันกับคุณหญิง นายเข้าใจใช่ไหมรอน ไพรเวตสตอรี” เขายักไหล่นิดๆ อย่างที่เคยทำจนติดเป็นนิสัย

“ทำท่ามีความลับ” รอนส่ายหัวอย่างรำคาญ แต่ที่จริงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ “วันนี้นายบุกไปที่วังธาดาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้ว...นายจูบคุณหญิงใช่ไหม”

คนที่พยายามรูดซิปปากไว้ให้สนิทถึงกับหัวเราะที่เพื่อนพยายามเดาไปต่างๆ นานา

“นายจะอยากรู้ไปทำไมรอน ฉันยังไม่เห็นอยากรู้เลยว่านายกับคุณหนูอินไปถึงไหนกันแล้ว”

“เออ ไม่ถามก็ได้”

รอนต้องยอมจำนน เพราะหากตนเพิ่งจูบกับผู้หญิงสักคนก็คงไม่คิดจะไปเล่าให้ใครฟังแน่ๆ อย่างน้อยก็เป็นการให้เกียรติหญิงสาวคนนั้น แต่ที่เขาอยากรู้เรื่องเพื่อนกับพราวรัมภามากเป็นพิเศษทั้งที่ก่อนหน้านี้จัสตินจะไปทำอะไรกับใครมาสักกี่คนก็ไม่เคยคิดจะสนใจ เป็นเพราะว่าเธอคือว่าที่แม่เลี้ยงของเพื่อนนั่นเอง แล้วงานนี้อาจกลายเป็นประเด็นให้เปิดศึกระหว่างสองคนพ่อลูกขึ้นมาเพียงเพราะน้ำผึ้งหยดเดียว

“เอาเป็นว่างานนี้ฉันมีโอกาสชนะสูงเกินเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วละ” จัสตินประเมินเป็นตัวเลขคร่าวๆ ด้วยความเคยชินราวกับคุยเรื่องธุรกิจ

“แน่ใจเหรอ แล้วที่ว่าชนะนี่คือชนะพ่อตัวเองงั้นสิ” รอนอดดักคอไม่ได้

“เปล่า ฉันไม่ได้ทำเพื่อเอาชนะพ่อ บอกแล้วไงว่าที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะพ่อคนเดียว”

“นายกำลังจะบอกว่าถ้าตัวเองชนะ พ่อนายก็ชนะด้วยใช่ไหม ส่วนคนที่แพ้ในเกมนี้ก็คือคุณหญิง” รอนพยายามเรียบเรียงความคิดของอีกฝ่ายออกมาให้เข้าใจง่ายๆ

“ถูกต้อง” จัสตินพยักหน้ารับทันที แล้วก็เห็นว่าเพื่อนซี้ทำท่าถอนหายใจเฮือก

“ทำไมนายต้องพยายามหาทางทำให้คนที่พ่ายแพ้คือคุณหญิงด้วยล่ะ มันยุติธรรมดีแล้วเหรอ” รอนเริ่มไม่มั่นใจ เพราะตนเองกลายเป็นแนวร่วมไปแล้วตอนนี้ และทำท่าว่าจะถอนตัวไม่ทันเสียด้วย

“มันเป็นแค่การพิสูจน์”

“แต่นายกำลังพยายามทำให้คุณหญิงหลงรัก แล้วปฏิเสธการแต่งงานกับพ่อนาย”

“หลงรักเหรอ” จัสตินทวนคำแล้วส่ายหน้า เขาไม่คิดว่าตนเองจะได้รับความรู้สึกนั้นจากเธอแม้แต่น้อย จนถึงตอนนี้ที่คาดว่าตนจะได้รับชัยชนะในเกมนี้ ก็ยังไม่เคยคาดหวังว่าจะได้รับความรักที่แท้จริงจากพราวรัมภา

“ก็นายกำลังพยายามทำให้เธอเปลี่ยนใจไม่ใช่หรือเพื่อน”

“ใช่ ก็แค่เปลี่ยนใจ มันคนละเรื่องกับความรัก”

“นายคิดว่าคุณหญิงจะเปลี่ยนใจจากพ่อนายเพราะอะไร” รอนเริ่มสับสนกับความคิดของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะซับซ้อนและเข้าใจยาก

“เพราะเงื่อนไขที่ดีกว่าไงเล่า”

“คิดแบบพ่อค้าชัดๆ” รอนส่ายหน้าอีกหนแบบไม่เห็นด้วย

“นายกำลังเข้าข้างคุณหญิงอยู่นะรอน”

“ไม่ได้เข้าข้างใคร” รอนปฏิเสธทันที มองอีกฝ่ายอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วเอ่ยว่า “นายไม่มีหัวใจก็อย่าคิดว่าคนอื่นเขาไม่มี”

“เฮ้! นี่มันกล่าวหากันชัดๆ เลยนะเพื่อน” จัสตินโวยเบาๆ แล้วรีบย้ำสาเหตุอีกครั้ง “นายลืมไปแล้วหรือว่าคุณหญิงกำลังจะแต่งงานกับพ่อของฉันเพราะอยากได้แค่เงินจากผู้ชายแก่ๆ ไปใช้หนี้ แล้วยังจะคิดอีกหรือว่าเธอมีหัวใจ”

“ใจคนเรามันตีค่าหรือคิดคำนวณออกมาเป็นสูตรเหมือนอย่างวิชาคณิตศาสตร์ไม่ได้หรอกนะจัสติน มันมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น แล้วสักวันนายจะเสียใจ”

“โอเค...” จัสตินรับคำเหมือนยอมจำนน “ฉันจะคอยดูว่าใครกันแน่ที่เข้าใจผิด”

“แต่ฉันขอฟันธงไว้ตั้งแต่วันนี้เลยว่า สุดท้ายคนที่แพ้ก็คือนายนั่นแหละ” รอนบอกราวกับเป็นหมอดูชื่อดังที่หยั่งรู้อนาคตใครต่อใครล่วงหน้า ทำให้คนฟังนิ่งไปชั่วขณะ

ภาพเหตุการณ์ในสวนใต้ต้นชมพู่ม่าเหมี่ยวหวนกลับมาอีกครั้งอย่างไม่ได้ตั้งใจ จัสตินเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองคิดถึงเหตุการณ์นั้นด้วยความตื่นเต้นเพียงใดกับความรู้สึกหวิวไหวเมื่อได้สัมผัสเรือนร่างบอบบางนั้น ราวกับว่าเขาไม่เคยแตะต้องสาวๆ มาก่อน

ตอนนี้เขาเริ่มอยากรู้แล้วว่า แท้จริงพราวรัมภารู้สึกอย่างไร นอกจากความประหม่าและตื่นตกใจที่ปรากฏออกมาทางดวงตาคู่นั้นซึ่งเขาไม่อาจรู้แน่ชัดว่าเธอรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ



รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น