เพียงก้าวแรกที่ได้เหยียบคฤหาสน์สีเหลืองนวลสไตล์โมเดิร์นคลาสสิกผ่านบานประตูโค้งที่โอ่โถงราวกับปราสาท พริบพรีแทบอยากเปลี่ยนชื่อเป็นพจมานให้รู้แล้วรู้รอด เธอไม่ได้ถักเปีย ไม่ได้หอบหิ้วสัมภาระมาอยู่ในบ้านหลังนี้ แต่ความรู้สึกของคนธรรมดาที่กำลังเดินเข้าที่พักอาศัยหรูหราคงไม่ต่างกันเท่าไร
ผู้นำทางเธอคือสาวใช้ คฤหาสน์ตระกูลจันทรกานต์มีตราสัญลักษณ์รูปพระจันทร์ขนาดใหญ่บนรั้วโลหะสีขาวสลับทอง สลักคำว่าจันทรกานต์อยู่ข้างล่าง พริบพรีจึงมั่นใจว่าแท็กซี่พาเธอมาไม่ผิดบ้าน ที่เด่นเป็นสง่าหน้าตัวบ้านมหึมาคือประติมากรรมหินอ่อนรูปเทพบุตรประคองพระจันทร์เสี้ยวบนลานน้ำพุขนาดยักษ์ ซึ่งพริบพรีเชื่อว่าสมาชิกทุกคนในบ้านสามารถลงเล่นน้ำได้โดยไม่เบียดเสียดกัน
อะไรจะยิ่งใหญ่ปานนี้
ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้ประมาณสิบนาที พริบพรีกดออดเรียกคนในบ้าน จากนั้นก็มีเสียงออกมาจากเครื่องอินเตอร์คอมที่มีกล้องจับใบหน้าแขกผู้มาเยือน คำถามที่ส่งมาตามสายคือเธอต้องการมาพบใคร หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถาม เพียงแค่มองกล้อง แจ้งชื่อตัวเองและบอกว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร จากนั้นอีกฝ่ายก็เงียบไป
นาทีต่อมาชายรูปร่างผอมบางขับรถกอล์ฟออกมาเปิดรั้วให้ พริบพรีไหว้สวัสดีอีกฝ่าย ก่อนจะได้รับการเชื้อเชิญเข้าไปในบ้านหลังใหญ่โดยให้นั่งรถไปด้วยกัน ตลอดทางเข้าบ้านเธอสำรวจทั่วอาณาเขตที่ถูกล้อมรั้วด้วยความอึ้งทึ่ง เธอรู้ว่าพ่อเคยเป็นทายาทมหาเศรษฐีและเติบโตที่นี่ พ่อเล่าเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับตระกูลจันทรกานต์ให้ฟัง แต่ไม่เคยให้ดูรูปบ้าน ไม่เคยพามาเยือน พริบพรีไม่เคยรู้เลยว่าบ้านของพ่อยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้
ครอบครัวของพ่อรวยมาก รวยมากจริงๆ
หญิงสาวแทบลืมหายใจเมื่อย่างกรายเข้าไปด้านใน พยายามจำกัดสายตาแค่แผ่นหลังของสาวใช้ที่รับไม้ต่อจากคนขับรถ เพื่อจะได้ไม่ตกตะลึงกับสิ่งรอบกายจนขาดอากาศหายใจตายไปเสียก่อน บ้านหลังนี้ยิ่งกว่าคำนิยามทั้งหมดทั้งมวลของความหรูหราฟุ่มเฟือย การตกแต่งภายนอกสวยงาม ส่วนภายในนั้นเลอค่า พริบพรีไม่สามารถประเมินราคาวัสดุตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ที่ตนเห็นได้ แต่เดาว่าแจกันใบใหญ่หนึ่งใบอาจมีมูลค่าเทียบเท่ากับค่ารักษาพยาบาลของแม่เธอในเวลานี้
คฤหาสน์หลังนี้คือแหล่งรวมความมั่งคั่งที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนทั้งชีวิต
พริบพรีเริ่มมองเห็นผู้คน สาวใช้ในชุดยูนิฟอร์มสีดำกับผ้ากันเปื้อนสีขาวแบบเดียวกันออกมายืนต้อนรับด้วยความสนอกสนใจ แต่ที่ตรึงสายตาเธอไว้คือหญิงวัยกลางคนในชุดกระโปรงเรียบหรูสีครีม หล่อนเดินลงบันไดมาในท่วงท่าสง่างามพร้อมพ่อบ้านหนึ่งคน สายตาของหล่อนจับจ้องที่พริบพรีเพียงคนเดียว
“สวัสดีค่ะ” พริบพรีหยุดยืนหน้าบันได กล่าวคำทักทายพร้อมน้อมตัวทำความเคารพเจ้าของบ้านอย่างมีมารยาท เธอเดาว่าตรงหน้าเธอคือญาติคนใดคนหนึ่งของพ่อ
“หนูเป็นลูกสาวคนโตของพลใช่ไหม” หล่อนถาม ก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าเธออย่างไม่อยากเชื่อสายตา “พริบพรี”
“ค่ะ คุณผู้หญิง”
“ไม่ๆ อย่าเรียกอย่างนั้น ป้าเป็นพี่สาวของพ่อหนู ชื่อเนตรลดา เรียกคุณป้าได้เลย”
พริบพรีพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มโล่งใจที่อีกฝ่ายมีท่าทีต้อนรับมากกว่าขับไล่ไสส่ง ตลอดทางมา เธอกลัวว่าการปรากฏตัวในฐานะลูกสาวของดนุพลจะทำให้คนที่นี่รังเกียจและสมเพช แต่ดูเหมือนว่าจะกังวลมากไปหน่อย
“พริบพรี...” เนตรลดาพรูลมหายใจ ไม่สามารถสรรหาคำใดมาอธิบายความรู้สึกในเวลานี้ได้ “เราเข้าไปคุยกันในห้องรับแขกดีกว่า... อรุษ เธอขึ้นไปตามคุณพ่อกับคุณแม่เดี๋ยวนี้เลย”
หล่อนสั่งพ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านหลัง อรุษพยักหน้ารับคำสั่งและกลับขึ้นไปด้านบนอีกครั้ง
พริบพรีเดินตามผู้เป็นป้าไปยังปีกขวาของคฤหาสน์ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องรับแขก ด้านข้างมีห้องครัวขนาดเล็กสำหรับเตรียมของว่างและเครื่องดื่ม เธอคงไม่รู้ว่าเป็นห้องครัวถ้าประตูไม่เปิดค้างไว้ มองเข้าไปด้านในเห็นสาวใช้กำลังเตรียมของรับรองแขกอย่างรู้หน้าที่
เมื่อทั้งสองคนนั่งลงบนโซฟาหุ้มผ้ากำมะหยี่สีน้ำตาล พริบพรีก็เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา
“หนูรู้ว่าคงฟังดูไม่ดีเลย ถ้าหนูบอกว่าหนูมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือ เพราะก่อนหน้านี้หนูไม่เคยมา”
“ไม่หรอก ป้าดีใจที่หนูนึกถึงพวกเรา” เนตรลดาคลี่ยิ้มยินดี ในแววตาปรากฏความเอ็นดูเด็กอายุน้อยกว่า
พริบพรีเดาไม่ออกว่าพี่สาวของพ่ออายุเท่าไร หล่อนดูอ่อนวัยกว่าแม่ของเธอเสียอีก
“หนูอายุเท่าไรแล้วล่ะ”
“ยี่สิบห้าแล้วค่ะ ปีนี้จะยี่สิบหก เอ่อ...คุณป้าอยากได้หลักฐานยืนยันหรือเปล่าคะว่าหนูเป็นลูกพ่อ หนูจะให้ดูสำเนาสูติบัตร...”
“ไม่จ้ะ ไม่ หลักฐานอยู่บนใบหน้าของหนูแล้ว”
ใครต่อใครต่างก็บอกว่าพริบพรีหน้าเหมือนพ่อที่สุด ส่วนน้องสาวและน้องชายมีลักษณะใบหน้าคล้ายคลึงกับแม่มากกว่า
หญิงสาวนำมือที่จับกระเป๋าผ้าบรรจุเอกสารกลับมาวางบนตักเช่นเดิม จวบจนนาทีนี้เธอยังรู้สึกแปลกแยกจากทุกอย่างที่รายล้อม แม้ว่าพ่อจะมาจากที่นี่ แต่บ้านหลังนี้ไม่ใช่ที่ของเธออย่างแน่นอน
“ป้าเคยเห็นหนูในงานศพของพล ต่อให้ผ่านมาสิบกว่าปีแล้วก็ยังจำหนูได้”
คำบอกเล่านั้นทำให้พริบพรีรู้สึกผิด ในงานศพของดนุพลมีสมาชิกของจันทรกานต์มาร่วมงานจำนวนไม่น้อย แต่เธอจำพวกเขาไม่ได้สักคน เพราะตอนนั้นเธออายุเพียงแค่สิบขวบ
“มีอะไรที่พวกเราพอช่วยหนูได้บ้าง” เนตรลดาถามหลังจากสาวใช้เข้ามาวางของว่างบนโต๊ะอย่างพินอบพิเทา
“คือ...” หัวใจของพริบพรีสั่นไหวไม่มั่นคงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น มันทวีความเลวร้ายอย่างรวดเร็วจนเธอและน้องตั้งตัวไม่ทัน “เมื่ออาทิตย์ก่อน แม่ของหนูชักจนหมดสติค่ะ ตอนนั้นไม่มีใครอยู่บ้าน กว่าหนูจะกลับถึงก็เกือบสายไปแล้ว หมอบอกว่าแม่มีเนื้องอกในสมอง ต้องผ่าตัดอย่างเร่งด่วน ตอนนี้การผ่าตัดผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่แม่ของหนูยังไม่ได้สติค่ะ”
รอยยิ้มพลันเลือนหายไปจากใบหน้าของเนตรลดา หล่อนเผยอปาก อยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่พูดไม่ออก ทำได้เพียงแค่ส่งสายตาแสดงความเห็นใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้น
“หนูก็เลย...มีปัญหาเรื่องเงิน” พริบพรีละอายใจที่จะพูดปัญหาออกมาตรงๆ แต่ก็ต้องพูดอย่างไม่มีทางเลือก นึกขอบคุณความเอื้ออาทรจากคู่สนทนาที่ทำให้พอคลายความกังวลว่าจะถูกมองไม่ดีลงได้บ้าง
“ค่ารักษาแม่ใช่ไหม ไม่มีปัญหาเลย แต่ขอป้าไปเยี่ยมแม่หนูหน่อยนะ แล้วก็พบน้องๆ ของหนูด้วย พวกเขาสบายดีหรือเปล่า”
“น้องๆ สบายดีค่ะ พริ้งเรียนอยู่ ม. หก ส่วนพฤกษ์เรียนอยู่ ม. สาม” พริบพรีกระตือรือร้นกับการตอบคำถาม
“พริบพรี พริ้งพราย พฤกษ์” เนตรลดาทวนชื่อที่จำได้ พลางนึกถึงบรรยากาศหดหู่ในงานศพของน้องชาย “ป้าเห็นพฤกษ์ตอนที่เขายังตัวแดงๆ อยู่เลย น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับพ่อของเขา”
“ค่ะ พริ้งเองก็ใช่ว่าจะจำพ่อได้ ตอนนั้นพริ้งอายุแค่สองขวบ”
มีเพียงแค่พริบพรีที่จำดนุพลได้ ต่อให้ภาพช่วงเวลาที่สองพ่อลูกมีร่วมกันจะเลือนรางแค่ไหน แต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และสัมผัสของพ่อยังกระจ่างชัดในความทรงจำของเธอ
“ที่ผ่านมา หนูลำบากมากหรือเปล่า”
พริบพรีเงียบ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธความจริงที่ว่าเธอพบเจอความลำบากมามาก สาหัสที่สุดคือช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ที่ไม่บอกอีกฝ่ายเพราะไม่อยากทำตัวให้น่าสงสารไปมากกว่านี้ เธอไม่เคยถือโทษโกรธเคืองจันทรกานต์ที่ไม่เหลียวแลครอบครัวเล็กๆ ของเธอ เพราะรู้ดีว่าเป็นการตัดสินใจของพ่อกับแม่ที่เลือกจะปลีกตัวออกมาจากตระกูลใหญ่ เหตุผลคือพวกเขาไม่เห็นด้วยกับความรักของชายหญิงที่ฐานะแตกต่างกันเกินไป
ทัศนคตินั้นทำให้เธอไม่อยากข้องเกี่ยวกับตระกูลจันทรกานต์ด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังประทับใจในตัวพ่อที่ตัดสินใจแยกตัวออกมาสร้างครอบครัวกับแม่ พริบพรีเคยคิดว่าคนในจันทรกานต์ต่างถือตัวและมีนิสัยดูถูกคน แต่การพบกับเนตรลดาเปลี่ยนความคิดของเธอครั้งใหญ่
“เนตร นั่น...”
เสียงแหบเครือของหญิงสูงวัยเรียกสายตาของป้าหลาน พริบพรีรีบไหว้สวัสดีคู่สามีภรรยาที่พากันเดินเข้ามา ทั้งสองมองเธอตาไม่กะพริบ
“พริบพรี นี่คุณปู่คุณย่าของหนู” เนตรลดาแนะนำทั้งคู่
หญิงสาวจำได้ ปู่ของเธอมีชื่อว่าลือชา ส่วนย่าชื่อมาลัย และนอกจากเนตรลดาซึ่งเป็นพี่สาวแล้ว พ่อยังมีน้องชายฝาแฝดชื่อว่าดลวัฒน์ คนที่เธออยากพบหน้าที่สุด เพราะเขามีใบหน้าเหมือนพ่อของเธอราวกับแกะ เธออยากรู้ว่าถ้าพ่อมีชีวิตอยู่ถึงปัจจุบันจะมีหน้าตาเป็นเช่นไร
มาลัยปิดปาก ก่อนจะซบไหล่สามีแล้วสะอื้นฮัก พริบพรีไม่เข้าใจปฏิกิริยาของผู้เป็นย่าว่าเกิดจากความรู้สึกใดกันแน่ เช่นเดียวกับสายตาหม่นหมองของชายชราที่ทอดมองเธอ เนตรลดาลุกไปปลอบใจทั้งคู่ ก่อนที่มาลัยจะแยกตัวจากไปดื้อๆ โดยมีสาวใช้รี่เข้ามาช่วยประคอง
ส่วนลือชาเดินเข้ามาหา เผยรอยยิ้มอบอุ่นพร้อมกับสำรวจใบหน้าพริบพรี คำพูดของท่านเป็นสิ่งที่หญิงสาวคนหนึ่งผู้ซึ่งคิดมาเสมอว่าตนเองไม่เป็นที่ต้องการของญาติมิตรไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน
“ยินดีต้อนรับสู่จันทรกานต์นะ พริบพรี”
เนื่องจากแพทย์จำกัดให้เข้าเยี่ยมผู้ป่วยไอซียูได้แค่สองคน พริบพรีจึงรออยู่หน้าห้องกับเนตรลดา เหม่อมองแม่ที่หลับใหลไม่ได้สติภายใต้หน้ากากออกซิเจนด้วยความเศร้าสร้อย พิรยากลายเป็นเจ้าหญิงนิทรามาสี่วันแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น
ด้านในห้องไอซียูมีน้องๆ ของเธอที่เพิ่งกลับมาจากโรงเรียน พริ้งพรายเซื่องซึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ส่วนพฤกษ์ยังเคร่งขรึมและดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุเหมือนเดิม เขาไม่เคยร้องไห้ให้ใครปลอบ พริบพรีมองเห็นความต้องการของน้องชายที่จะเป็นที่ยึดเหนี่ยวของแม่และพี่ๆ มาแต่ไหนแต่ไร
หลังจากได้เยี่ยมผู้ป่วย เนตรลดาก็ไปจัดการค่ารักษาพยาบาลซึ่งเป็นปัญหาหนักของพริบพรีให้แล้วเสร็จ จากนั้นก็ขับรถพาหลานทั้งสามไปรับประทานอาหารข้างนอก พริ้งพรายกับพฤกษ์ลอบมองป้าอยู่เป็นระยะเพื่อคาดเดาความคิดของหล่อนที่มีต่อพวกเขา เกรงว่าความเมตตาอารีที่มอบให้มาจะเป็นของปลอม แต่ก็จับสังเกตอากัปกิริยาด้านลบไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
“ตอนนี้เราอยู่กันสามคนในบ้านน่ะเหรอ”
เนตรลดาถามขณะรับประทานอาหารมื้อใหญ่ พฤกษ์กับพริ้งพรายกินไม่ยั้งเพราะโอกาสดีๆ แบบนี้แทบไม่มีเข้ามาในชีวิต ส่วนพริบพรียังพอสงวนท่าทีไว้ได้
“ค่ะ”
“ป้าว่าให้พริ้งกับพฤกษ์เข้าไปไหว้คุณปู่คุณย่าหน่อยก็ดีนะ พวกท่านต้องอยากเจอแน่เลย”
คาดเดาจากสถานการณ์เมื่อกลางวันแล้ว พริบพรีเดาว่ามาลัยคงไม่อยากเห็นหน้าหลานสักเท่าไร แต่ก็พยักหน้าตอบรับ
“ไว้เป็นเสาร์หรือไม่ก็อาทิตย์นะคะ”
“จ้ะ หนูมีเบอร์ป้าแล้ว จะมาเมื่อไรติดต่อมาได้เสมอนะ” เนตรลดาพูดทั้งรอยยิ้ม เมื่อนึกเรื่องสำคัญได้ก็รีบถาม “ป้าสงสัยเรื่องหนึ่ง หนูมีแฟนหรือยัง”
พริบพรีไม่รู้ว่าทำไมเนตรลดาถึงสงสัยเรื่องนี้ขึ้นมาได้ แต่ก็ตอบตามตรง “ตอนนี้โสดค่ะ”
“น่าเสียดายความสวย”
อ้อ อย่างนี้นี่เอง
พริบพรีไม่กล้าคิดหรอกว่าตัวเองสวย แต่ช่วยไม่ได้ที่เงาในกระจกคอยบอกย้ำอยู่ทุกวัน เธอมีหน้าผากโหนกนูน คิ้วเรียวยาว ตาสองชั้นขนาดไม่โตมาก จมูกเชิดรั้นโดยธรรมชาติ ปากอวบอิ่มสมดุลกับสัดส่วนทั้งหมด ตั้งแต่เล็กจนโตเธอไม่อยากปรับเปลี่ยนอะไรบนใบหน้าของตัวเองทั้งนั้น
“แล้วทั้งสามคนรู้อะไรเกี่ยวกับจันทรกานต์บ้าง เรื่องของครอบครัวฝั่งพ่อเคยถูกเล่าเป็นนิทานก่อนนอนบ้างหรือเปล่า” เนตรลดาข้ามไปประเด็นต่อมา
สามพี่น้องมองหน้ากัน ก่อนที่พริ้งพรายกับพฤกษ์จะส่ายหน้า ยังคงเงียบป็นส่วนใหญ่ ปล่อยให้พี่สาวเป็นตัวหลักในการดำเนินบทสนทนา
“หนูจำได้ว่าพ่อเคยเล่าเรื่อง...เอ่อ ตระกูลแห่งเทพพระจันทร์ให้ฟังค่ะ” มันเป็นนิทานก่อนนอนจริงๆ พริบพรีคิดอย่างนั้นมาเสมอ ตอนนี้จึงรอการยืนยันจากป้าที่กำลังอมยิ้ม
ในความทรงจำของพริบพรี ดนุพลเป็นทนายความผู้เก่งกาจ โหมงานหนักเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ครอบครัว แต่ก็ยังแบ่งเวลามาดูแลลูกสาว เล่าเรื่องต่างๆ นานาให้ฟัง บางเรื่องมีหลักฐานพิสูจน์ได้ แต่บางเรื่องก็ฟังดูเหมือนเทพนิยายเกินกว่าจะเป็นความจริง
“ใช่ ตระกูลเรามีเชื้อสายเทพ” เนตรลดากล่าวอย่างภาคภูมิใจในนามสกุลของตน ทว่าสร้างความประหลาดใจให้อีกสามคนที่เหลือ
ตอนที่พริบพรีเป็นเด็ก เรื่องนี้ฟังดูน่าตื่นตาตื่นใจ ทว่าตอนนี้กลับฟังดูพิลึก
“เทพอะไรครับ” พฤกษ์มุ่นคิ้ว
“เทพแห่งพระจันทร์ที่จุติมาเป็นมนุษย์ ทุกคนในตระกูลเราเกิดมาพร้อมความโชคดี อันมาจากคำอวยพรของเทพีผู้ปกครองท้องฟ้า”
แกร๊ง
พริ้งพรายทำช้อนร่วงกระทบจานกระเบื้องโดยไม่ได้ตั้งใจ มองเนตรลดาด้วยสายตามีคำถาม
นี่ป้าเล่นต่อมุกกับพี่พริบเหรอ
“อ้อ...ค่ะ” พริบพรีรับคำมึนๆ จำได้คร่าวๆ ว่าเคยฟังเรื่องเทพีแห่งท้องฟ้า ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยเธอลืมไปหมดแล้ว
พฤกษ์ยังคงทำหน้าพิลึกพิลั่น แต่ก็ไม่ถามอะไรออกไป
เนตรลดาหัวเราะน้อยๆ เมื่อสังเกตสีหน้าหลานแต่ละคน “ป้ารู้ สำหรับคนนอกมันฟังดูเหลือเชื่อ ถ้าพวกหนูไม่ใช่คนในครอบครัวป้าคงไม่เล่าให้ฟัง”
“คนในครอบครัวเหรอคะ” พริ้งพรายทำหน้าไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยินคำนั้น และป้าของเธอพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“พริบพรี พริ้งพรายและพฤกษ์ เป็นคนของจันทรกานต์”
“เท่าที่หนูรู้คือพ่อหนูขอออกจากตระกูลของแล้ว พ่อกับแม่เปลี่ยนนามสกุลใหม่ทั้งคู่ แม่เลี้ยงหนูตัวคนเดียวหลังจากที่พ่อเสีย หนูไม่คิดว่าพวกเราเป็นส่วนหนึ่งของพวกคุณนะคะ”
“พริ้ง” พริบพรีปรามน้องสาว พริ้งพรายมีนิสัยพูดโผงผาง ไม่ค่อยระมัดระวังคำพูดและน้ำเสียงโดยเฉพาะเวลาของขึ้น สิ่งที่พริ้งพรายควรระลึกไว้เสมอคือเงินก้อนใหญ่ที่จะพาสามพี่น้องผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้มาจากเนตรลดา การให้ความเคารพหล่อนจึงเป็นสิ่งที่สมควรทำ
พริ้งพรายพ่นลมหายใจสั้นๆ ก่อนเสมองไปทางอื่น
“แต่เราไม่ได้โชคดี เราคงไม่ใช่จันทรกานต์” พฤกษ์พูดด้วยเสียงเนิบนาบ
เนตรลดามองว่าเด็กหนุ่มคนนี้น่าสนใจ มีลักษณะของผู้นำตั้งแต่ยังเด็ก วางตัวสุขุมเหมือนคนเป็นพ่อไม่มีผิด
“ก็แค่มาเป็นส่วนหนึ่งของเรา ป้าเชื่อว่าพฤกษ์จะโชคดี สมความปรารถนาทุกอย่าง”
พฤกษ์ระบายยิ้มนิดๆ ไม่ได้สนใจประโยคที่ฟังดูเหมือนข้อเสนออันล่อตาล่อใจ
“ป้าเพิ่งนึกได้ว่าวันเสาร์ที่จะถึงนี้เราจะจัดพิธีบวงสรวงเทวรูปเทพี ตามธรรมเนียมของสองตระกูล จันทรกานต์กับสูรยกานต์ ป้าอยากให้ทั้งสามคนร่วมพิธีด้วย”
สูรยกานต์...พริบพรีจำนามสกุลนี้ได้ ดนุพลเคยเล่าว่าเป็นตระกูลที่เกิดพร้อมจันทรกานต์ เปรียบเสมือนพี่น้องตระกูลเดียวกันแม้ไม่มีสายเลือดเกี่ยวข้อง แน่นอนว่าหากมีเทพแห่งพระจันทร์ก็ต้องมีเทพแห่งพระอาทิตย์ สูรยกานต์มีเชื้อสายจากเทพจุติเช่นกัน
พริ้งพรายมองหน้าปรึกษาพี่สาว พริบพรีสบตาตอบเล็กน้อยก่อนจะถามเนตรลดา
“อ่า...คุณป้าแน่ใจเหรอคะ ยังไงพวกเราก็รู้สึกว่าเป็นคนนอกอยู่ดี”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิพริบพรี วันนั้นเป็นวันดี ทั้งสามคนจะได้เข้าไปไหว้คุณปู่คุณย่า ถือว่าเห็นแก่ป้านะ”
คงเพราะประโยคหลังที่ทำให้ไม่มีใครกล้าหาข้ออ้างมาปฏิเสธอีก พวกเธอไม่ได้เห็นแก่ป้าหรอก เห็นแก่เงินของป้าที่ช่วยเหลือแม่ต่างหาก
เมื่อมาถึงบ้าน พริ้งพรายโยนกระเป๋าเป้ใส่โซฟาและทิ้งตัวนั่งอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน ขณะที่พริบพรีวางกระเป๋าผ้าของเธอลงบนโต๊ะด้วยท่าทีสงบ พลางนึกในใจว่าคิดถูกแล้วที่เดินทางไปคฤหาสน์จันทรกานต์ตามลำพังหลังน้องๆ ไปโรงเรียน เพราะถ้าไปกันครบสามคน น้องทั้งสองอาจจะพูดจาหรือแสดงอากัปกิริยาไม่เหมาะสมต่อหน้าปู่กับย่าด้วย แค่กับป้าคนเดียวเธอก็ร้อนๆ หนาวๆ แล้ว
“เจอของแปลกเข้าแล้วไง นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย” พฤกษ์วางเป้ลงบนโซฟาตัวเดียวกับที่พริ้งพรายนั่ง ก่อนจะถอดรองเท้านักเรียนเก็บใส่ตู้ มองไปทางหน้าต่างก็เห็นรถของเนตรลดาเคลื่อนตัวห่างจากหน้าบ้านไป
ก่อนหน้านี้จินตนาการของเขาไม่ต่างจากพี่สาวทั้งสอง คนที่บ้านปู่กับย่าควรจะถือตัวสูงส่ง ไม่เห็นหัวคนฐานะไม่ดี ยิ่งพ่อยอมทิ้งสมบัติทุกอย่างเพื่อแม่ที่ไม่มีอะไรติดตัวเลยสักอย่าง ทุกคนในจันทรกานต์ยิ่งต้องหัวเราะเยาะพริบพรีด้วยความสมเพชตอนที่เธอโผล่หน้าไปขอความช่วยเหลือ
แต่นอกจากจะต้อนรับและให้ความช่วยเหลือด้วยความเอื้ออาทรแล้ว ยังมีความเชื่อแปลกๆ มาเล่าให้ฟังอีก
“เทพแห่งพระจันทร์ เขาดูเซเลอร์มูนกันมากไปหรือเปล่า”
พริ้งพรายนวดขมับ พฤกษ์หันไปพยักหน้าเห็นด้วย
“กำลังจะพูด”
“เขาอุตส่าห์ช่วยเรา ได้ยินอะไรแปลกๆ ก็เออออไปก่อนเถอะ” พริบพรีถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในที่สุดความเครียดที่สั่งสมมาหลายวันก็ทุเลาลงเสียที ง่ายกว่าที่คิดจนนึกว่าฝันไป “พริ้ง พฤกษ์ ฟังนะ ตอนนี้ป้าเนตรเขาอยากให้ทำอะไรก็ทำไปก่อน ท่องไว้ว่าเพื่อแม่ เพื่อแม่ เกิดแม่มีเลือดออกในสมองจนต้องผ่าตัดอีก อย่างน้อยเราก็มีแหล่งทุน”
อาการของพิรยาจะว่าพ้นขีดอันตรายก็ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ หมอบอกว่าต้องดูอาการไปสักระยะ ต้องให้พิรยารู้สึกตัวก่อนถึงจะบอกได้ว่ามีแนวโน้มไปในทางที่ดี
“ถ้าแม่ฟื้น แม่ต้องดุพี่พริบแน่ๆ” พริ้งพรายกอดอกมองพี่สาวที่ยืนทำหน้าเหน็ดเหนื่อยกับชีวิตอยู่ตรงหน้า
“แล้วเธอสองคนจะปกป้องพี่ไหมล่ะ เราไม่มีทางเลือกมากนักหรอกนะ พี่ไม่สามารถหยิ่งยโสได้ในช่วงเวลาความเป็นความตายของแม่”
“รู้ เราคุยกันแล้ว” พฤกษ์กลอกตา จำได้ว่าเมื่อคืนสามพี่น้องนอนดึกแค่ไหน ครึ่งค่อนคืนเสียไปกับการเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของการบากหน้ากลับไปหากลุ่มคนที่พ่อหันหลังให้
“พี่ละอยากให้พวกเธอไปเห็นคฤหาสน์นั้น ใหญ่มาก! อย่างกับพระราชวัง มีรูปปั้นเทพแห่งพระจันทร์เด่นเป็นสง่าอยู่หน้าบ้าน ระยะห่างจากรั้วถึงตัวบ้านนี่ต้องใช้รถกอล์ฟมารับเลยนะ ข้าวของข้างในบางชิ้นแพงกว่าบ้านเราทั้งหลังอีก”
พริบพรีเล่าด้วยความทึ่ง นึกถึงสิ่งที่เห็นมาแล้วก็ตกตะลึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอเป็นคนเดียวที่เห็นบ้านหลังนั้นด้วยตาตนเอง หลังจากนั้นก็เดินทางไปโรงพยาบาลกับเนตรลดา พริ้งพรายกับพฤกษ์ตามไปสมทบที่นั่น
ทว่าน้องทั้งสองกลับเฉยชาใส่เรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจของพริบพรี
พริ้งพรายเห็นพี่สาวดูผิดหวังที่ไม่มีใครมีอารมณ์ร่วม จึงโยนคำถามให้ “พี่เจอใครบ้าง นอกจากป้าเนตร”
“ปู่ ย่า คนใช้ พ่อบ้าน โอ้โห พี่นับไม่ถ้วนเลย”
“ปู่ย่าว่ายังไงบ้าง” พฤกษ์เป็นคนถาม
“ปู่ต้อนรับพี่นะ แต่ย่าร้องไห้แล้วก็เดินหนีไป ป้าเนตรบอกว่าย่าเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวง่าย”
“อย่างนี้ถ้าเจอพริ้งกับพฤกษ์น่าจะปล่อยโฮ” พริ้งพรายพึมพำคนเดียว
“พี่เจอแฝดพ่อไหม” พฤกษ์ถามต่อ เคยได้ยินมาจากแม่ว่าพ่อมีฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกันมาก
พริบพรีส่ายหน้า “ป้าเนตรบอกว่าอาดลอยู่บ้านอีกหลัง แต่ถ้าเราไปงานบวงสรวง เราก็จะได้เจออาดล”
จากนั้นก็เกิดเป็นความเงียบ ราวกับว่าดลวัฒน์เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้พริ้งพรายกับพฤกษ์ยอมไปร่วมงานนั้น ทั้งสองคนไม่มีความคิดที่จะหาทางบ่ายเบี่ยงอีก
ความคิดเห็น |
---|