ในสายตาของพริบพรี ธารทิพย์ดูเป็นผู้หญิงขี้อาย พูดน้อย ส่วนชวโรจน์เป็นคนช่างพูด เป็นกันเองมากกว่าบรรดาคุณปู่คุณย่า เขาถามถึงการงานของเธอโดยไม่สร้างความอึดอัดแม้แต่นิด ขณะตอบ พริบพรีรอลุ้นอยู่ตลอดว่าแม่ของธรณ์จะพูดอะไรกับเธอบ้างหรือไม่ แต่นอกจากหล่อนจะไม่พูดแล้วยังมองเธอตาใสอีก
ตอนที่ทุกคนลุกไปรับประทานอาหาร พริบพรีจึงผละจากธรณ์ไปทักทายคุณแม่เขาสักหน่อย
“สวัสดีค่ะคุณป้า”
ธารทิพย์สะดุ้งน้อยๆ
“ขอโทษค่ะ หนูทำให้คุณป้าตกใจเหรอคะ”
“ปละ...เปล่าค่ะ” คำปฏิเสธของหล่อนตรงข้ามกับท่าทีตื่นคนโดยสิ้นเชิง
“หนูเรียกคุณน้าดีกว่า คุณน้าดูอายุน้อยกว่าแม่หนูอีก” พริบพรีพูดความจริง เนื่องจากพิรยาทำงานหนักมาเสมอ ใบหน้าจึงดูอิดโรยและแก่กว่าวัย ส่วนธารทิพย์ยังผิวพรรณเปล่งปลั่ง ไม่มีผมหงอกสักเส้น รูปร่างดูจะผ่ายผอมไปสักหน่อย ถ้าบอกว่าอายุสามสิบต้นๆ เธอก็เชื่อ
“อ๋อ ได้ค่ะ”
พริบพรีรู้สึกว่าคุณน้าคนนี้แตกต่างจากผู้ใหญ่ทุกคนที่เคยรู้จัก ทั้งท่าทีถ่อมตนประหนึ่งว่าเธออายุมากกว่า แววตาระแวดระวังเหมือนกลัวเธอกระโจนกัด กลับบ้านไปเธออาจจะต้องส่องกระจกค้นหาท่าทางคุกคามของตนเองดูสักหน่อย
“หนูฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะคุณน้า”
ธารทิพย์เม้มปากเล็กน้อย ความลังเลระคนหนักใจปรากฏในแววตา ทำให้พริบพรีสงสัยว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับเธอกันแน่ มีอะไรในตัวเธอที่ว่าที่แม่สามีไม่ถูกใจหรือเปล่า
“พริบพรี”
หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียก ธรณ์พยักหน้าให้เธอเดินแยกออกมา เธอจึงค้อมศีรษะขอตัวจากธารทิพย์และเดินไปหาเขา
“อย่าเพิ่งเข้าใกล้แม่ฉัน”
“อ้าว ทำไมล่ะ” พริบพรีงงเป็นไก่ตาแตก ธรณ์ควรจะแนะนำให้เธอตีสนิทกับแม่เขาสิถึงจะถูก!
“ขอเวลาให้แม่ฉันหน่อย แม่ฉันตกใจมากที่จู่ๆ ก็มีลูกสะใภ้ ตอนนี้ก็ยังตกใจอยู่”
หน้าของธรณ์ไม่มีแววล้อเล่น แต่เธอก็ยังถาม
“จริงเหรอเนี่ย”
“เธอเองก็ควรจะเป็นห่วงแม่ของเธอเหมือนกันนะ การที่ฟื้นจากโคม่าแล้วพบว่าลูกสาวกำลังจะมีสามีไม่ใช่เรื่องที่ทำใจยอมรับกันได้ง่ายๆ”
“จริงด้วย...” พริบพรีพึมพำเมื่อนึกถึงแม่ที่ยังนอนอยู่ในไอซียู ถ้าพิรยาตื่นมารู้เรื่องนี้แล้วตกใจจนชักอีกรอบล่ะ เธอต้องรีบเตรียมคำพูดดีๆ ไว้บอกแม่ก่อนแล้ว
ธรณ์หยุดเดิน อีกคนจึงหยุดด้วย พอเหล่าผู้ใหญ่เดินห่างไประยะหนึ่งแล้วเขาก็พูดต่อ
“แต่แม่เธออาจจะยอมรับได้เร็วกว่า พอดีแม่ฉันค่อนข้างขี้กังวล ท่านกลัวว่าฉันจะไม่มีความสุข”
“นี่ฉันพอทำอะไรได้บ้าง หรือว่าได้แค่รอให้แม่เธอจับสังเกตพฤติกรรมฉัน แล้วค่อยๆ เชื่อใจฉันทีละนิด?”
ชายหนุ่มประสานสายตากับแววตาจริงจังของคู่สนทนา พริบพรีไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองมุ่งมั่นกับการหาทางออกของปัญหานี้มากแค่ไหน
จังหวะนั้นธรณ์เกือบผุดยิ้ม แต่ยังคงรักษามาดขรึมเอาไว้ได้เพื่อทดสอบจิตใจเธอ
“เธอมีเวลาที่โต๊ะกินข้าว แสดงให้แม่ฉันเห็นว่าเธอสามารถดูแลฉันได้ดี จากนั้นแม่จะค่อยๆ คลายกังวลลง แต่ถ้าเธอยังคิดว่าฉันคือภาระของเธอ ก็ไม่จำเป็นต้องทำ”
พริบพรีเกือบลืมว่าเมื่อวานเธอนิยามว่าธรณ์เป็นภาระ ในวันนี้เธอรู้สึกว่าเขาห่างไกลจากคำนั้นมาก อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำนั้นมาตั้งแต่แรก
“ฉันจะพยายาม หวังว่าท่านจะไม่มองฉันด้วยอคติ”
“นี่ พริบพรี เมื่อวานฉันก็บอกแม่ว่าเธอเป็นคนที่น่ารักนะ”
คำว่า ‘น่ารัก’ ที่หลุดออกมาจากปากธรณ์ทำให้คนฟังหน้าเห่อร้อนขึ้นมา
“และเช้านี้ ฉันเพิ่งรู้ว่าแม่ไม่ได้เป็นห่วงแค่ฉันหรอก พอดีฉันอยากให้แม่เก็บเบอร์เธอเอาไว้ ก็เลยขอโทรศัพท์แม่มาเมมเบอร์ แต่บังเอิญกดเข้าผิดแอป ดันไปกดเข้าอินเทอร์เน็ต”
“อาฮะ” พริบพรีพยักหน้าตั้งใจฟัง
“เธอจะเชื่อไหมไม่รู้ แต่แม่ฉันเซิร์ชหาวิธีการเป็นแม่สามีที่ดี”
“...”
“พริบพรี” ธรณ์เรียกชื่อคนที่กำลังตกตะลึงเสียงเข้ม “ฉันขอสั่งไม่ให้เธอขำแม่ฉัน”
“ฮึบ!” คนถูกปรามเม้มปากแน่นสนิททันควัน ไหล่สั่นสะท้านจากการที่ก้อนขำติดกลางลำคอ เมื่อออกทางปากไม่ได้ก็ทำท่าจะขึ้นไปยังโพรงจมูก “ฉะ...ฉัน ฉันไม่ได้ขำ ฉัน...คิก รู้สึกอะเมซิงมาก”
แม่สามีที่ดีเนี่ยนะ จ้อจี้แน่ๆ!!!
ภาพธรณ์ที่ยืนนิ่งกับพริบพรีที่ยืนก้มหน้าแถมยังไหล่สั่นทำให้ภิญญาที่หันกลับไปมองขมวดคิ้ว บ่นด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจ
“เขาคุยอะไรกัน ธรณ์ดุหนูพริบพรีเหรอ”
“ตัวสั่นขนาดนั้นร้องไห้แน่ๆ เลย” ดวงฤดีเป็นกังวลตาม เกรงว่าธรณ์กำลังก่อให้เกิดความบาดหมาง
ธารทิพย์ที่หันไปมองจุดเดียวกันใจหายวาบ เมื่อกี้พริบพรีเข้ามาทักทายหล่อนก่อนจะถูกธรณ์เรียกไป หรือว่าลูกชายจะคิดว่าแม่โดนกลั่นแกล้งจึงเรียกพริบพรีไปดุ...
รู้ตัวอีกทีธารทิพย์ก็ก้าวเร็วๆ ไปประชิดตัวทั้งคู่
“ธรณ์ ไม่เอาสิลูก”
ธรณ์มองมารดาอย่างไม่เข้าใจ เช่นเดียวกับพริบพรีที่สงสัยว่าธารทิพย์ปรามลูกเรื่องอะไร มิหนำซ้ำสีหน้าของหล่อนยังดูทุกข์ใจมาก
“อย่าดุพริบพรี เขาไม่ได้ทำอะไรแม่”
ทั้งพริบพรีและธรณ์มั่นใจว่าต้องมีการเข้าใจผิดเกิดขึ้น ยังไม่ทันมีใครพูดอะไร ธารทิพย์ก็ใช้มือเรียวบางคว้ามือพริบพรีมาจับ มองเธออย่างขอโทษขอโพย พร้อมเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงโอบอ้อมอ่อนโยน
“หนูมากับน้าดีกว่าค่ะ”
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว พริบพรีแสร้งสูดน้ำมูกสั้นๆ สองทีก่อนพยักหน้า “ค่ะคุณน้า”
เธอขยิบตาให้ธรณ์หนึ่งครั้งก่อนจะเดินตามธารทิพย์ไป
นอกจากว่าที่แม่สามีที่ดีแล้ว สิ่งที่ทำให้พริบพรีทึ่งเป็นลำดับต่อมาคือยำผักกูดบนโต๊ะกินข้าวที่ย้ำเตือนว่าธรณ์เอาจริงกับการประชันฝีมือแม่ครัว หลังจากที่สาวใช้ตักข้าวให้ครบทุกคนแล้ว พริบพรีก็รอให้ผู้อาวุโสเริ่มรับประทานก่อนถึงจะเริ่มจับช้อนส้อมบ้าง และเมนูแรกที่เธอตักคือยำผักกูด
แต่ก่อนที่จะตักใส่จานตัวเอง เธอตักใส่จานธรณ์ก่อน จงใจให้เป็นจังหวะที่ธารทิพย์มองมาพอดี
ชายหนุ่มเหล่มองคุณหนูแห่งจันทรกานต์ที่กระหยิ่มยิ้มย่อง แล้วก้มมองยำผักกูดในจานข้าวของตน ต่อด้วยสีหน้าของธารทิพย์ที่ดูจะแปลกใจนิดๆ ไม่ใช่แค่แม่เขาที่เห็นการกระทำของพริบพรีเมื่อครู่ แต่คนอื่นก็มองอยู่เช่นกัน
“อืม...เผ็ดกว่าแฮะ” พริบพรีวิจารณ์อาหารทันทีหลังจากกินไปแล้วหนึ่งคำ ระดับเสียงแค่พอให้ธรณ์ได้ยิน “รสชาติดีนะ”
“สู้ป้าแหววของเธอได้ไหม”
“ฉันรักป้าแหววแล้ว ไม่เปลี่ยนใจ”
ธรณ์ระบายลมหายใจด้วยรอยยิ้ม แล้วเริ่มกินข้าวบ้าง
“เธอสั่งแม่ครัวทำเหรอ” พริบพรีถาม พยักพเยิดไปยังจานยำผักกูด
“ไม่ใช่ฉันแล้วจะใครล่ะ ฉันบอกแม่ครัวไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าเมนูนี้ห้ามพลาด ทำให้สุดฝีมือ แต่เธอดันเป็นพวกรักเดียวใจเดียวไม่เปลี่ยนใจ ความพยายามของแม่ครัวฉันเลยสูญเปล่า”
รักเดียวใจเดียวไม่เปลี่ยนใจ...
ธรณ์แค่พูดไปอย่างนั้น หารู้ไม่ว่ากระแทกใจพริบพรีเข้าอย่างจัง หญิงสาวเบนสายตาไปยังจานอาหาร ก้มหน้ากินเงียบๆ พยายามไม่คิดถึงอดีตตอนนี้ เมื่อมีผู้ใหญ่ชวนคุยก็ยินดีที่จะกระโจนเข้าสู่บทสนทนา
พริบพรีคุยเพลินจนแทบไม่ได้ตักอาหาร ทำไมต้องตักในเมื่อมีคนตักให้เรื่อยๆ จนต้องแอบบีบต้นขาเขาแทนการบอกกล่าวว่าพอก่อน ธารทิพย์จะกลุ้มใจตรงที่เขาเอาแต่ตักอาหารให้เธอนี่แหละ!
หลังมื้ออาหาร ชวโรจน์สั่งลูกชายให้ไปส่งแขกที่บ้านก่อนที่ฟ้าจะมืดไปมากกว่านี้ ธรณ์รับคำอย่างไม่อิดออด จากนั้นภิญญาก็ฝากขนมตาลสูตรดั้งเดิมที่ใช้น้ำตาลโตนดแทนน้ำตาลทรายให้พริบพรีนำกลับไปฝากมาลัยกับเนตรลดา เพราะจำได้ว่าทั้งสองชอบรับประทาน หญิงสาวได้ลองชิมไปแล้วหนึ่งชิ้น สำหรับเธอรสชาติออกจะหวานไปหน่อย
“ขับรถระวังๆ นะลูก”
ธารทิพย์เตือนลูกชายด้วยความเป็นห่วง พริบพรีที่ได้ยินอย่างนั้นรู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องขับรถดึกดื่น
“ครับแม่” รับคำมารดาแล้วธรณ์ก็เดินนำแขกไปที่รถ เปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้และยืนรอเธอเข้าไปนั่ง ทว่าหญิงสาวยังไม่เข้าไป
“เธอไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้นะ ฉันเปิดปิดประตูรถเองได้”
“ได้ ฉันจะไม่ทำแบบนี้ถ้าอยู่ข้างนอก แต่ถ้าอยู่ในอาณาเขตบ้านฉันหรือไม่ก็บ้านเธอ ฉันจำเป็นต้องทำ”
“ค่ะ คุณสุภาพบุรุษ” พริบพรีกลอกตาไปมา ก่อนจะเข้าไปนั่งในรถ อาศัยความเร็วแย่งปิดประตูเองโดยที่ธรณ์ไม่ทันตั้งตัว
ร่างสูงอ้อมรถมานั่งประจำตำแหน่งสารถี กดปรับแอร์และเลือกเพลงเปิดฟังระหว่างทาง
“เธอชอบฟังแนวไหน มีวงในดวงใจไหม”
“สุนทราภรณ์”
ธรณ์ไม่คิดว่าจะได้ยินคำตอบนี้ แต่ก็ไม่ได้ออกความเห็นอะไร ส่งโทรศัพท์ให้พริบพรี “เอาเลย อยากฟังอะไรก็ฟังเลย”
“จริงๆ ไม่ต้องฟังหรอก เปลืองแบตเปล่าๆ ฉันอยากคุยกับเธอแบบไม่มีเสียงเพลงแทรกมากกว่า” หญิงสาวหย่อนโทรศัพท์ลงในช่องคอนโซลกลาง ก่อนจะแปลกใจที่เห็นธรณ์อมยิ้ม ประโยคธรรมดาๆ ของเธอมีอะไรน่าขำกัน หรือเขาขำสุนทราภรณ์?
“อยากคุยอะไรล่ะ” คนถามขับรถออกจากโรงจอด ยามฟ้ามืดรอบตัวบ้านมีแสงไฟสีส้มส่องสว่าง บ่อน้ำพุหน้าบ้านมีไฟประดับเช่นกัน ทำให้รูปปั้นเทพบุตรดูสวยงามและมีมนตร์ขลัง
“เรื่อง...เอ่อ ผู้นำตระกูล ฉันเพิ่งรู้ว่ามีอะไรแบบนี้ด้วย”
ธรณ์เงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนถาม “เธออยากให้ฉันได้ตำแหน่งนั้นหรือเปล่า”
“ไม่นะ ฉันไม่ได้โตมาแบบคนรวย ฉันไม่รู้ว่าไอ้การเป็นผู้นำตระกูลมันดียังไง มันฟังดูเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ระดับชาติ แอบน่ากลัวยังไงไม่รู้”
“คุณปู่เคยบอกว่าฉันไม่มีภาวะผู้นำเลย เราตกลงกันตั้งนานแล้วว่าฉันขอใช้ชีวิตของฉันแบบนี้ และจะไม่โกรธคุณปู่ถ้าท่านอยากให้หลานคนอื่นมารับช่วงต่อจากพ่อฉัน ตอนนี้พ่อเป็นประธานกรรมการบริหาร บ้านตกเป็นของพ่อแล้ว ถ้าท้ายที่สุดแล้วพ่อต้องหยิบยื่นสองอย่างนั้นให้ลูกพี่ลูกน้องของฉัน ฉันก็จะไม่ติดอะไรเลย”
พริบพรีพยักหน้าเข้าใจ เธอชอบที่ธรณ์เป็นคนแบบนี้มากกว่าเป็นคนกระหายอยากได้ทุกอย่าง เขาไม่ใฝ่ฝันอยากไปยืนอยู่บนจุดสูงสุด ไม่หาภาระใส่ตัวเพราะพอใจกับชีวิตในตอนนี้แล้ว ปล่อยให้ตำแหน่งนั้นไปอยู่ในมือคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและต้องการมันจริงๆ
แต่เขาน่ะหรือไม่มีภาวะผู้นำเลย พริบพรีคงต้องสังเกตสักหน่อย
“แต่พอมีเธอเข้ามา ฉันคิดว่าคุณปู่คงให้ฉันเป็นผู้นำต่อจากพ่อ” น้ำเสียงของธรณ์บอกว่าเขากำลังลำบากใจ “มันไม่ใช่แค่ว่าฉันต้องการตำแหน่งนั้นหรือเปล่า มันเป็นเรื่องของการให้เกียรติกันระหว่างสองตระกูล”
“อืม ฉันเข้าใจ ถ้าเธอได้เป็นผู้นำแล้วก็ต้องเปลี่ยนงานด้วยใช่ไหม”
“ใช่ ฉันต้องไปทำกับพ่อ”
“ฉันเข้ามาเปลี่ยนชีวิตเธอหลายเรื่องเลย ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน” พริบพรีถอนหายใจเบาๆ “เธอเคยโกรธฉันไหม พูดได้ตามตรงเลยนะ”
“ฉันไม่โกรธเธอหรอก ตราบใดที่เธอไม่ใช่คนบังคับให้ฉันทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ”
“ฉันจะไม่มีวันเป็นคนนั้น เราสองคนควรช่วยให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่สุด”
“อืม” ธรณ์ครางรับ สายตายังจดจ่อกับเส้นทางตรงหน้า “แล้วเธอโกรธฉันไหม ฉันกำลังทำให้เธอไม่มีแฟนตลอดชีวิต”
พริบพรีเค้นเสียงหัวเราะ “รู้ไหม ฉันตั้งใจไว้ว่าจะไม่มีแฟนอีกแล้ว”
“หือ ทำไมล่ะ” เขาปรายตามองคนตอบเล็กน้อย
“ความรักที่ผ่านมาของฉันมันไม่โอเคเท่าไร”
ธรณ์เงียบ ไม่ขอให้เล่าต่อเพราะรู้สึกได้ว่าเธอไม่อยากพูดถึง
“เธอล่ะ ไม่เสียดายหรือไงที่จะไม่ได้เลือกคนรักด้วยตัวเอง ตลอดชีวิตเลยนะ”
“ฉันไม่เคยมีแฟน ไม่รู้หรอกว่าต้องเสียดายอะไร”
“จริงเหรอ” หญิงสาวเบิกตาโต ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ขอพูดแบบไม่ได้อวยนะ เธอหน้าตาดี ฐานะก็ดี เป็นคนดีด้วย หรือเธอจืดชืดเกินไปเลยไม่มีสาวเข้าหา เธอจีบสาวไม่เป็นด้วยใช่ไหมล่ะ เอ๊ะ หรือเธอเป็นเกย์ที่จีบหนุ่มไม่เป็น”
“ไม่ใช่ คือเมื่อก่อนฉันตั้งใจเรียนมาก ชอบอ่านหนังสือ เรียนรู้โปรแกรมในคอมพิวเตอร์ ฉันใส่แว่นหนาเตอะตั้งแต่ ม. ต้น ไม่ค่อยออกกำลังกาย เกลียดกีฬา ก็เลยเป็นเด็กอ้วน เข้ามหาวิทยาลัยแล้วยังอ้วนอยู่เลย”
พริบพรีลองจินตนาการภาพตอนที่ธรณ์น้ำหนักเกินมาตรฐาน แต่เธอนึกไม่ออกจริงๆ เพราะตอนนี้เขาหุ่นดีเหมือนเรื่องที่เล่ามาเป็นเรื่องโกหก แล้วเขาก็ไม่ได้สวมแว่นด้วย
“ฉันรวยแล้วไง มหา’ลัยที่ฉันเรียนอยู่มีคนรวยเยอะแยะ ดูดีกว่าอีก เหตุผลแค่นี้เพียงพอไหมที่จะทำให้ฉันไม่มีแฟน”
“พอๆ แต่ฉันอยากรู้ว่าจุดเปลี่ยนของเธอจากเด็กแว่นตัวอ้วนเป็นเธอในตอนนี้คืออะไร”
“ตอนอยู่ปีสี่ ฉันรู้สึกว่าฉันเหนื่อยง่าย ป่วยบ่อย พ่อเลยบอกให้ไปออกกำลังกาย ฉันที่ไม่เคยศึกษาเรื่องการออกกำลังกายมาก่อนเริ่มจากไปด้อมๆ มองๆ ในยิมของมหา’ลัย แล้วก็มีเด็กวิทย์กีฬาปีสี่คนหนึ่งเดินมาทัก บอกว่าเขากำลังฝึกงานเป็นเทรนเนอร์ แล้วก็ชวนฉันเทรนแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย”
“โห! ดีจังเลย ได้เทรนฟรีด้วย แล้วนี่พริ้งต้องทำแบบนั้นไหม”
“ฉันคิดว่าไม่นะ เพราะน้องเธอไปสายสปอร์ต คนนั้นเขาอยู่สายฟิตเนส”
“อ๋อ เล่าต่อๆ”
“เขาบอกว่าจะทำโปรแกรมเทรนให้ฉัน ซึ่งถ้าน้ำหนักฉันลดตามเป้าหมาย เกรดของเขาก็จะออกมาดี ฉันเกรงใจเขาสุดๆ ก็เลยให้ความร่วมมือเต็มที่ ไม่ใช่แค่ออกกำลังกาย แต่คุมอาหารด้วย ภายในสี่เดือนฉันลดไปสิบกว่าโล”
“โอ้โห แสดงว่าเธอต้องเป็นคนขยันและมีวินัยมากเลยน่ะสิ แล้วเด็กวิทย์กีฬาคนนั้นได้เกรดเอไหม”
“ได้ ตอนนี้เขาเป็นเทรนเนอร์อยู่ที่ฟิตเนสแถวสุขุมวิท ฉันแวะไปเยี่ยมเขาสองสามครั้งต่อสัปดาห์ ก็ไปออกกำลังกายนั่นแหละ ถือเป็นกิจกรรมพักสายตาจากจอคอม”
“แล้วตาเธอ...”
“ฉันทำเลสิกหลังเรียนจบ”
“อย่างนี้นี่เอง แล้วหลังจากที่เธอดูดีตั้งแต่หัวจดเท้าแล้วไม่มีใครสนใจบ้างเลยเหรอ ไม่มีใครมาขายอ้อยขายขนมจีบบ้างหรือไง”
“ทำไมต้องเป็นอ้อยกับขนมจีบ”
“ตายแล้ว...” พริบพรีเอามือลูบหน้า เขาสรรหาเรื่องน่าแปลกใจมาให้เธอไม่หยุด ล่าสุดคือไม่รู้ความหมายเชิงซ้อนของอ้อยกับขนมจีบ “ฉันหมายถึงอ่อยกับจีบ”
“อ๋อ” ธรณ์หัวเราะในลำคอ “ฉันขอไม่ตอบนะ อยากให้เธอรู้ด้วยตัวเอง”
“หือ?”
เขาหันไปหาเธออีกครั้งเมื่อรถจอดอยู่หน้าไฟแดง
“นัดครั้งต่อไปของเรา ฉันจะพาเธอไปบริษัทที่ฉันทำงานอยู่”
คืนนี้พริ้งพรายขอเข้ามานอนห้องเดียวกับพี่สาว พริบพรีบอกให้น้องนอนก่อนเพราะเธอกับผู้จัดการส่วนตัวต้องทำตารางงานด้วยกัน คะน้าเขียนเดดไลน์งานแปลทั้งหมดลงในปฏิทินที่เจ้าตัวหามาได้ งานประชุมที่พริบพรีต้องไปเป็นล่าม รวมถึงงานเลี้ยงต่างๆ ที่ได้รับคำเชิญ วันอาทิตย์นี้จะมีงานแต่งงานของรุ่นพี่ที่จบจากคณะเดียวกันและสนิทกันพอสมควร หญิงสาวตอบตกลงแล้วว่าจะไปร่วมงาน
“วันศุกร์นี้ว่าง” เธอชี้วันศุกร์ที่อยู่หลังเดดไลน์ส่งงานหนึ่งวัน “คะน้าเขียนไว้ว่าไปบริษัทธรณ์”
“นี่เขาตั้งใจจะให้พี่ไปเรียนรู้ชีวิตเขาเหรอ เดี๋ยวชวนไปบ้าน เดี๋ยวชวนไปที่ทำงาน” พริ้งพรายที่นอนแผ่หลาบนเตียงถามขึ้นมา
“คงงั้นละมั้ง ก็ดีแล้วนี่ ดีกว่ากีดกัน”
“อ้าว ทำไมกีดกันไม่ดีล่ะ” คนน้องลุกขึ้นนั่ง สบตาพี่สาวตรงๆ “พี่วางแผนเอาไว้ว่าจะต่างคนต่างอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“ก็ต่างคนต่างอยู่ แต่ก็ควรจะรู้จักชีวิตส่วนตัวกันบ้าง เธอจะให้พี่ปิดหูปิดตาไม่รับรู้ว่าสามีทำงานอะไรที่ไหนน่ะเหรอ อับอายคนอื่นเขาแย่”
“พี่พริบเอาจริงว่ะ” พริ้งพรายทิ้งตัวนอนลงไปเหมือนเดิม “พริ้งไม่อยากเชื่อเรื่องแต่งก่อนรักนะ แต่จะเชื่อแล้ว”
“ไม่ได้รัก!” พริบพรีเถียงทันที
“แหม อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้นะคะ แต่งก่อนรักมีจริงค่ะ คะน้าเคยเห็น” คะน้าวางปฏิทินลงบนโต๊ะ เธอเพิ่มดอกจันตัวโตๆ ในช่องวันศุกร์ที่จะถึงและเขียนข้อความกำกับว่า ไปบริษัทคุณธรณ์
“ถ้าจะรักก็คงรักเหมือนเพื่อน” พริบพรียังคงมั่นใจว่าความรู้สึกของเธอจะไม่ไปไกลกว่านี้
“ทำไมมั่นใจนักล่ะคะคุณพริบพรี”
“เอาละ คะน้า ไปพักผ่อนได้แล้ว ฉันกับน้องจะนอนแล้วนะ”
เจ้าของห้องลุกไปเปิดประตูให้ ฝ่ายสาวใช้จึงต้องยอมเดินออกจากห้องแต่โดยดี ในแววตามีความเสียดายที่ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงต่อ
เมื่อประตูปิด ไฟก็ถูกปิดตาม พริบพรีเดินไปนอนบนที่ว่างเคียงข้างน้องสาว ดึงผ้าห่มมาคลุมตัว
“พี่พริบ ถามอะไรหน่อย”
พริบพรีหลับตาปี๋ ร้องขอในใจว่าอย่าพูดถึงคนคนนั้น อย่า...
“พี่ลืมพี่รันต์ได้ยัง”
นั่นไง
“รันต์ไหน” เธอแกล้งเฉไฉ ทำเสียงงัวเงียเหมือนกำลังผล็อยหลับไปด้วย
“การันต์เอกญี่ปุ่น แฟนเก่าพี่” พริ้งพรายขยายความชัดเจน
“ป่านนี้เขามีแฟนใหม่ไปแล้วมั้ง”
“พริ้งถามพี่ ไม่ได้ถามถึงเขา”
“แล้วถามทำไม”
“ก็ไม่อยากให้ปิดกั้นไง พริ้งว่าพี่ดูมั่นใจเกินไปว่ายังไงก็จะไม่รักพี่ธรณ์ เลยเดาว่าพี่ไม่คิดจะรักใครอีกแล้ว”
พริ้งพรายเดาถูกทุกอย่าง พริบพรีไม่เถียงแม้แต่คำเดียว
หลังจากที่ความรักเมื่อสี่ปีก่อนพังลง พริบพรีสิ้นศรัทธาในความรักจนไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก ทว่าผู้ชายคนนั้นยังอยู่ในใจเธอเสมอ ทุกช่วงเวลาที่มีกับเขาและทุกสิ่งที่เขาทำให้ยังชัดเจนในความทรงจำ ตามหลอกหลอนเธอในความฝันบ้างเป็นครั้งคราว ยามที่นึกถึงจะมีทั้งความสุขและความเศร้า ที่มากที่สุดคือความรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นฝ่ายปล่อยมือเขาไป
“พริ้ง เราจะพูดเรื่องนี้แค่คืนนี้แล้วเหยียบให้มิดเลยนะ”
“อือ”
“ก็อย่างที่รู้ว่าตอนนี้เรารวยแล้ว ถ้าพี่ไม่ต้องแต่งงานกับธรณ์ พี่จะกลับไปหารันต์ ไปบอกแม่เขาว่าพี่ไม่จนแล้ว พี่จะไม่เป็นภาระของเขาอีกแล้ว และพี่จะดูแลเขาเหมือนที่เขาดูแลพี่มาตลอด...ฮึก”
“พี่พริบ!” พริ้งพรายทะลึ่งตัวลุกขึ้น ภายใต้แสงสลัวของโคมไฟข้างเตียง เธอเห็นน้ำตาของพี่สาวไหลออกมาจากหางตาทั้งสองข้าง จึงช่วยเช็ดให้ด้วยความตื่นตกใจ “ไม่ร้องๆ”
“เธอก็อย่าพูดถึงเขาสิ”
“ขอโทษนะพี่”
“พริ้ง พี่อยากให้คนที่อยู่กับพี่ตอนที่พี่ลำบากอยู่ตอนที่พี่สบายด้วย เธอดูสิ พ่อก็ไปแล้ว แม่ก็ไม่ฟื้นเสียที ส่วนรันต์...พี่กลับไปหาเขาไม่ได้แล้ว”
พริ้งพรายกอดพี่สาวที่สะอึกสะอื้นอย่างหนัก ตลอดคืนพริบพรีใช้ไปกับการระลึกถึงช่วงเวลาที่เรียกได้ว่าวิกฤตที่สุดของครอบครัว พิรยาไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าเทอมของลูกทั้งสามคนได้จนต้องขายสมบัติทิ้งหลายอย่าง อีกทั้งยังวางแผนจะกู้เงิน พริบพรีตระเวนทำงานพิเศษจนเสียการเรียน ไม่ยอมกินข้าวเพื่อประหยัดเงิน นอนวันละห้าชั่วโมงเป็นอย่างมาก
ซึ่งถ้าเวลานั้นไม่มีการันต์คอยช่วยประคับประคอง เธอคงเรียนไม่จบ
เขาทำเพื่อเธอหลายอย่าง ขณะที่เธอไม่เคยทำอะไรเพื่อเขาเลย แค่ชีวิตตัวเองยังเอาไม่รอด แถมปัญหาชีวิตของเธอยังพลอยทำให้เขาเครียดตามไปด้วย
เธอทำให้เขาเป็นห่วง ไม่มีความสุขเหมือนคู่รักคู่อื่นๆ
นั่นคือเหตุผลง่ายๆ ที่ทำให้เธอเป็นฝ่ายบอกเลิก และเดินจากมาทั้งที่ยังรักเขาหมดหัวใจ
ความคิดเห็น |
---|