8

ฉากสำคัญ

บทที่ 8 ฉากสำคัญ

 

สหรัฐไม่ต้องให้ใครดูแลตอนไปนอนกลางวัน คนรู้จักเด็กชายเป็นอย่างดีจะรู้เรื่องนี้ ภาคภูมิไม่ได้สนิทสนมกับเด็กมากก็ยังรู้เรื่องนี้ แต่เมื่อเจ้านายสั่งเขาก็ทำตาม พร้อมกับรักษาความสุขุมเอาไว้ได้สมกับการเป็นเลขาฯ มืออาชีพ แม้ในใจจะคันยิบๆ อยากรู้ว่าสหกรณ์กับกังสดาลเกี่ยวข้องกันอย่างไร

ใช่แล้ว เลขาฯ อันดับหนึ่งของบริษัทจงทรัพย์ไม่เคยได้มีโอกาสรู้เรื่องลับๆ ของเจ้านายเลย สหกรณ์ตั้งกำแพงป้องกันความอยากรู้อยากเห็นด้วยสายตาเย็นชาและคำพูดที่ว่า ‘เรื่องส่วนตัวของผมไม่เกี่ยวกับงาน’ ต่อให้หัวใจสอดรู้ของภาคภูมิคันยิบๆ เขาก็ต้องเห็นความสำคัญของเงินเดือนเอาไว้ก่อน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ตรอมตรมขมขื่นเรื่อยมา เลขาฯ เปรียบประดุจพี่เลี้ยง แม่นม หรือไม่ก็พ่อบ้าน ควรจะรู้ทุกเรื่องส่วนตัวของเจ้านายสิ แล้วในที่สุดวันนี้ความฝันของภาคภูมิก็เริ่มเข้าใกล้ความจริง เขากำลังจะได้รู้เรื่องลับๆ ของเจ้านายแล้ว

“อาภูมิไปทำงานเถอะครับ ผมจะนอนแล้ว” สหรัฐปีนขึ้นโซฟาเบดแล้วหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มนอนด้วยตัวเอง ก่อนจะบอกด้วยเสียงเล็กน่ารัก แต่สกัดฝันภาคภูมิอย่างเด็ดขาด

ห้องทำงานของสหกรณ์ ห้องพักผ่อน และห้องเลขานุการเป็นสามห้องที่เชื่อมติดกัน โดยห้องพักผ่อนเป็นห้องที่กั้นแบ่งจากด้านหลังห้องเลขานุการ ภาคภูมิพาสหรัฐเข้าห้องพักผ่อนทางห้องทำงานของสหกรณ์แล้วสามารถเดินผ่านประตูเชื่อมกลับห้องทำงานของตนโดยไม่จำเป็นต้องกลับทางเดิม

“อาจะอยู่เป็นเพื่อนดอลลาร์ก่อนครับ” จะได้แอบฟังเจ้านายด้วย

“เด็กเก่งต้องนอนคนเดียวครับ ผมอยากเป็นเด็กเก่ง อาภูมิช่วยผมด้วยนะครับ”

ภาคภูมิก็เหมือนคนอื่นที่ต้านทานความขาวอวบน่ารักของสหรัฐไม่ไหว เขาต้องห้ามมือมารของตนไม่ให้หยิบแก้มยุ้ยลูกชายเจ้านายสุดชีวิต 

“ครับ นอนหลับซะนะครับ ตื่นมาอาจะหาขนมให้กิน”

สหรัฐรับปากอย่างอ่อนหวานน่ารัก แต่พริบตาที่ภาคภูมิปิดประตูห้อง ดวงตาที่ก่อนหลับใสซื่อก็ลืมขึ้นฉายแววเจ้าเล่ห์ เด็กน้อยปีนลงจากเตียงไวกว่าปีนขึ้นหลายเท่า แถมยังย่องเงียบกริบแตกต่างจากร่างอวบอ้วนนิดๆ ของเขา พอไปถึงประตูเชื่อมเขาก็แนบหูลงไปว่าพ่อกับแม่กำลังพูดอะไรกัน เพราะเสียเวลาเล่นละครเป็นเด็กดี สหรัฐจึงไม่ทันฟังว่ากังสดาลกล่าวอะไรบ้าง แต่ชัดเจนกับคำพูดของสหกรณ์

“คุณไม่คิดว่ามันฟังดูเป็นละครไปหน่อยเหรอ”  

ฟังสหกรณ์พูดกับกังสดาลแล้วสหรัฐได้แต่ส่ายหน้า พ่อของเขาพูดถึงละคร แต่เขาเองนั่นแหละที่ควรดูละครให้มากกว่านี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะเจอแม่ เด็กชายวางมือกับลูกบิดประตูเตรียมพร้อมล่วงหน้า หากแม่จะหนีพ่อแบบในละคร เขาจะได้ไปฉุดเอาไว้ได้ทัน

 

กังสดาลอยู่ในอารมณ์วู่วามอยากจะแหวกผมให้สหกรณ์ดูรอยผ่าตัดสมองของเธอ หรือไม่ก็ผ่าดูสมองของเขาว่าทำไมมันถึงเต็มไปด้วยถ้อยคำประชดประชันนัก

“คุณ...” ถ้อยคำหยาบคายร้อยแปดแผดเผาลิ้นของกังสดาล แต่สหกรณ์ไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ใช้สักคำ

“ถ้าผมบอกว่าเชื่อคุณ แล้วระหว่างเราจะเอายังไงกันต่อ”

“คำถามนี้ยากเกินไป ฉันขอเปลี่ยนคำถาม” กังสดาลเองก็นึกไม่ออกเช่นกันว่าหากสหกรณ์เชื่อเรื่องความจำเสื่อมของเธอ ต่อจากนี้ระหว่างทั้งสองจะทำอย่างไรต่อไป

ถ้าสหกรณ์เชื่อกังสดาล เธอก็ต้องเชื่อเขา เชื่อว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์ทางกายอย่างลึกซึ้งจนตกผลึกมาเป็นเจ้าตัวน้อยสหรัฐ ในฐานะสาวโสดตลอดชีพ ไม่เคยคบหาผู้ชายจริงจัง อย่าว่าแต่มีลูกให้ใคร เธอยังไม่เคยจูบใครด้วยซ้ำ นึกภาพตามแล้วหน้าร้อนวูบ ขณะเดียวกันก็เสียดาย นี่เธอข้ามช่วงสนุกสนานไปได้ยังไง! ตอนท้องตอนคลอดไม่เท่าไร ทำไมเธอจำตอนร่วมกันสร้างเด็กขึ้นมาไม่ได้ นั่นน่ะสำคัญสุดๆ ไปเลยนะ

“ใช่ครับ เราเคยมีอะไรกัน”

“นี่ฉันเผลอพูดออกไปเหรอ” หญิงสาวอ้าปากหวอ ก่อนจะแสร้งทำโมโหกลบเกลื่อน “คุณต้องให้เวลาฉันคิดบ้าง อยู่ๆ มาบอกว่าฉันกับคุณ...” ภาพติดเรตรบกวนความสามารถในการพูดของเธออีกแล้ว

“ลูกเราโตขนาดนี้ คุณยังจะบอกว่าเราไม่เคยมีอะไรกันอีกเหรอ”

“คุณคิดว่าฉันไม่รู้จักการโคลนนิงสินะ” เพราะความขัดเขินเธอเลยเถียงแบบแถ จึงโดนรอยยิ้มโหดๆ ของเขาตอบโต้

“ผมก็เพิ่งจะรู้ว่าเดี๋ยวนี้คุณติดซีรีส์ไซไฟด้วย แต่ก็นั่นแหละ คุณเพี้ยนๆ แบบนี้เสมอ” พูดจบสหกรณ์ยกมือกุมขมับ 

กังสดาลเองก็รู้สึกปวดหัวตุบๆ รู้สึกเธอกับเขาคุยกันคนละภาษา หรือไม่เธอก็พยายามหนีความจริงจนพาเขาหลงทิศไปด้วย

“ผมถึงบอกไงว่าเราเคยคบกัน ผมถึงรู้ว่าคุณน่ะเพี้ยน”

“เหอะ ไม่ต้องสนิทกันก็รู้ ไปถามคนในกองถ่ายก็ได้ ใครๆ ก็รู้ว่าฉันน่ะเพี้ยน” เป็นครั้งแรกที่เธอสามารถประชดเขาได้ จึงเชิดหน้าอย่างภูมิใจ ก่อนจะตระหนักว่าความเพี้ยนไม่ใช่เรื่องน่าอวด

“จบความเพี้ยนของคุณแค่นี้พอ ผมไม่รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือความรู้สึกของสตางค์ หรือคุณไม่แคร์เขาเลยสักนิด”

“ฉันแคร์เขามาก แคร์ทั้งที่ไม่รู้ว่าเขามาจากไหนยังไง แคร์ทั้งที่ยังงงๆ อยู่เนี่ย แต่...แต่จะเป็นยังไงถ้าเราทำร้ายจิตใจเขาโดยไม่ตั้งใจ” กังสดาลเผยความรู้สึกออกไป ทุกอย่างพุ่งเข้าใส่เธอไวเกินไป เธอไม่ทันได้ตั้งตัว และไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี 

“แค่คุณแคร์เขาก็พอแล้ว เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ แม่ที่แคร์เขามากพอจะไม่ไปไหน”

Help me! ประธานเย็นชาคนนี้คือใครกัน ตามบทคุณต้องเอาเงินฟาดหัวฉันสิ จะเอาลูกชายมาโยนใส่กันแบบนี้ไม่ได้

ความคับข้องใจของเธอคงสื่อถึงเขาโดยตรง สหกรณ์มองหน้ากังสดาล ถอนใจและเปลี่ยนแนวทางการเจรจา

“เราคุยกันแบบนี้คงแก้ปัญหาไม่ได้เสียที มาเจรจากันด้วยเอกสารดีกว่า”

“ฉันเคยจดทะเบียนสมรสกับคุณเหรอ!”

“ไม่!” ภายใต้คำปฏิเสธของเขา เธอเห็นความกรุ่นโกรธที่ปะทุขึ้นมาใหม่ ดีที่เขากดข่มมันลงไปแล้วเข้าประเด็น “ผมหมายถึงตรวจดีเอ็นเอ”

“ดีเอ็นเอมันไม่ได้ตรวจปุ๊บรู้ปั๊บนะคะ” ข้อดีของการบ้าละครคือพอจะรู้ข้อมูลจริง

“เชื่อเถอะ ถ้ามีเงินมากพอ ทุกอย่างจะไวขึ้นมาทันที”

สหกรณ์กล่าวด้วยความมั่นใจจนกังสดาลอยากจะเบ้ปากใส่ แบบนี้ต่างหากที่เรียกว่าพูดจาภาษาละคร แถมยังเป็นบทประธานเผด็จการที่ชอบเอาเงินฟาดด้วย

“ยังไงผลก็ต้องรอไม่ต่ำกว่าวันอยู่ดีค่ะ” เธอเองก็ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลย สหกรณ์ไม่ทันอ้าปากพูดกังสดาลก็เดาได้ว่าท่านประธานคนนี้จะต้องมีคำร้ายๆ หลุดออกมาให้เธอหน้าม้าน 

“แม่ครับ”

ประตูเชื่อมห้องพักผ่อนเปิดออกพร้อมร่างเล็กที่พุ่งเข้าใส่เธอ กังสดาลชักสงสัยแล้วว่าเธอเป็นแม่เหล็ก ส่วนสหรัฐเป็นลูกปืนเหล็กหรือเปล่า 

“นี่ลูกแอบฟังเหรอ” สหกรณ์เสียงแข็งขมวดคิ้วใส่ แต่สหรัฐไม่เหลือบตาแลเขาสักนิด

“แม่ครับ แม่ไม่เชื่อดีเอ็นเอบนหน้าผมเหรอครับ”

หลังจากตะลึงเพราะคำพูดไม่สมวัยของสหรัฐ กังสดาลก็พิจารณาตามที่เขาบอก พบว่านอกจากเส้นผมหยิกแบบสหกรณ์ เด็กน้อยถอดแบบจากเธอมาเต็มๆ ไม่ว่าจะใบหน้ากลม ดวงตาโต จมูกรั้น แต่ที่ทำให้เธอพยักหน้าแสดงการยอมรับก็คือคำพูดถอดบทละครมานี่แหละ 

ดรามาแบบนี้ช่างสมกับเป็นลูกของเธอจริงๆ

 

จะเป็นอย่างไรหากสิ่งที่เขาประชดว่าเหมือนละครพาฝันจะเป็นเรื่องจริง สหกรณ์ถามคำถามนี้กับตนเองแล้วเหลือบมองกังสดาล ยังดีที่ความสนใจของเธออยู่กับสหรัฐ จึงไม่เห็นความหวั่นไหวในดวงตาของเขา ชายหนุ่มตัดสินใจแก้ปัญหาทีละขั้น เขาต้องหาคำตอบให้เจอว่าเรื่องในตอนนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ ถึงเธอจะบอกว่าตนความจำเสื่อม แต่เธอเองก็เป็นคนที่บอกเลิกเขา หนำซ้ำเขามั่นใจว่าห้าปีก่อนเธอไม่ได้ขับรถตกเขา เพราะเธอท้องแก่เกินกว่าจะออกไปท่องเที่ยวผจญภัย

ตอนอยู่ในบริษัทจงทรัพย์ สหกรณ์ฟังกังสดาลกับสหรัฐตอบโต้กันด้วยคำพูดถอดจากบทละครแล้วก็ได้แต่กุมขมับลากสองแม่ลูกคอละครไปยังโรงพยาบาลเอกชนที่การันตีว่ารักษาความลับของคนไข้เป็นอย่างดี ไปถึงที่นั่นแล้วก็ยังกลายร่างเป็นคนตรวจเอกสารระหว่างที่ทั้งคู่ยังสนทนากันไม่จบระหว่างที่เขาหัวหมุนกับเอกสารปริมาณมหาศาล ตรวจแผ่นสุดท้ายเสร็จ เขาก็ขยับมานั่งข้างๆ ลูกชายซึ่งยังคุยกับแม่ไม่เสร็จ

“ตรวจดีเอ็นเอจะเหมือนในละครหรือเปล่าครับ” เห็นได้ชัดว่าสหรัฐเรียนรู้หลายอย่างจากโทรทัศน์

“ไม่เหมือนกันค่ะ ในละครนางเอกเอาไปใช้ยืนยันกับพระเอกหรือไม่ก็ครอบครัว”

กังสดาลอธิบายจบก็โดนสหรัฐทำตาโศกใส่

“แม่ไม่เชื่อว่าผมเป็นลูกแม่จริงๆ ด้วย”

เด็กชายยังคงใช้ความสามารถด้านภาษาดรามาโจมตี พอผสมรวมกับทักษะการแสดงที่น่าจะเป็นดีเอ็นเอแฝงตั้งแต่รุ่นยาย แม่ของเขาก็ไร้ทางสู้ ตอบละล่ำละลัก

“เชื่อสิคะ เชื่อ แต่คนอื่นอาจไม่เชื่อไงคะ เราเลยต้องมีเอกสารยืนยัน”

“แล้วจะมีคนมาสับเปลี่ยนผลตรวจไหมครับ”

“เรื่องนี้ไม่มีนางร้ายค่ะ ไม่มีใครมาสับเปลี่ยน”

กล่าวไปกังสดาลก็แอบชำเลืองมองสหกรณ์ เขาเลยกลอกตาใส่ ไม่บอกเธอหรอกว่านางร้ายคนเดียวในชีวิตเขาคือใคร 

“จะไม่มีจริงๆ เหรอครับพ่อ” สหรัฐเห็นท่าทีลังเลของกังสดาลจึงตีความผิดว่าแม่ไม่มั่นใจ เลยหันมาหาสหกรณ์บ้าง

“ละครไม่เหมือนในชีวิตจริงครับ การตรวจดีเอ็นเอไม่ใช่เรื่องง่าย และมันต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองเท่านั้น จะไม่มีการดึงผมไปแอบตรวจโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วการขโมยเอกสารก็เป็นไปไม่ได้เลย ประเภทแกล้งเดินชนแล้วสลับซอง หรือเอาซองไปเปลี่ยนโดยไม่มีใครเห็นมันมีแค่ในทีวีเท่านั้นแหละ” สำหรับผู้ชายที่แอนตี้การดูละครไทย สหกรณ์เข้าถึงรายละเอียดได้อย่างลึกซึ้ง

“เอาเงินจ้างคนตรวจให้แก้ผลตรวจก็ไม่ได้เหรอครับ” สหรัฐยังไม่เชื่อมั่นเต็มที่ เห็นได้ชัดว่าละครบางเรื่องก็วางยาพิษคนดู

“อย่างที่พ่อของหนูบอก การตรวจทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองแล้วค่ะ”

“จะมีนักข่าวแอบมาทำข่าวไหมครับ” สหรัฐเหลียวซ้ายแลขวาถามหาปาปารัซซี ทำเอากังสดาลอินจนช่วยมองหาอีกแรง

“นักข่าวจะมาทำไม” สหกรณ์ชักรู้สึกว่าลูกฝังใจกับบทบาทสมมุติมากเกินไป แต่โดนสหรัฐมองด้วยสายตาว่าเขาช่างไม่รู้อะไรเลย

“แม่เป็นดาราดังนะครับ ถ้าพวกนักข่าวรู้เข้าต้องเอาไปโพสต์ในเน็ต ลงหนังสือพิมพ์ แล้วแม่ก็จะเสียชื่อเสียง ต้องจัดงานแถลงข่าว”

หลังจากความอึ้งผ่านพ้นไป สหกรณ์ก็หันไปมองกังสดาล พบว่าเธอยังตะลึงค้างกับทักษะการดำเนินเรื่องระดับผู้เขียนบทมือทองของสหรัฐอยู่ ครู่หนึ่งถึงตอบโต้เสียงอ่อย

“ก็ไม่ได้ดังขนาดนั้นหรอกค่ะ”

“แม่ไม่ต้องถ่อมตัวหรอกครับ” มือเล็กตบบ่าแม่อย่างคล่องแคล่วพอๆ กับฝีปากที่มีศัพท์แสงหลากหลาย ซึ่งเชื่อได้ว่ามาจากการดูเฝ้าหน้าจอเป็นประจำ

สหกรณ์มองเห็นความภาคภูมิใจในสายตาของสหรัฐ แล้วทั้งประหลาดใจและอิจฉานิดๆ เพราะเจ้าหนูคนนี้ไม่เคยสนสักนิดว่าเขาทำงานได้เงินเยอะแค่ไหน คร่าวๆ ก็คือมันมากกว่าค่าตัวนักแสดงทั้งกองมารวมกันเสียอีก

“พ่อว่าพ่อเองก็ต้องระวังเหมือนกัน เพราะเดี๋ยวนี้นักข่าวชอบแอบตามนักธุรกิจด้วย” สหกรณ์พยายามดึงความสนใจลูกมาที่ตนบ้าง แต่อย่างว่าของเก่า คนเก่า ใครจะสนใจ ยิ่งสหกรณ์พยายามดึงตัวสหรัฐออกจากตักกังสดาลเลยโดนสายตารังเกียจจากลูกชาย

“ผมกับแม่คุยกันอยู่นะครับพ่อ” แจ้งอย่างจริงจังจบก็ปัดมือพ่อออกปีนกลับไปตักแม่

“ได้ คุยกันไปเรื่อยๆ แล้วเราค่อยตรวจทีหลังก็ได้ พ่อไม่รีบ”

สหกรณ์กล่าวจบ สหรัฐก็ปีนมากระแซะแล้วช้อนตามองในองศาที่แน่ใจว่าจะเปลี่ยนการตัดสินใจของพ่อ

“ผมบอกหรือยังครับว่าวันนี้พ่อหล่อม้ากมาก”

สหกรณ์เค้นเสียงหยันใส่คำชมไม่รู้ที่มานั่น หนำซ้ำยังไม่รู้จักพัฒนามุกที่ใช้ชม ก่อนจะพบว่ากังสดาลถูกคำว่าหล่อดึงดูดให้เลิกแอบมอง แล้วมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาแบบตรงๆ เสียที และดวงตาชื่นชมของเธอแตกต่างจากการเสแสร้งของสหรัฐอย่างเห็นได้ชัด

“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก” พูดไปสหกรณ์ก็ขยับเอียงใบหน้าที่หันไปทางกังสดาลให้เธอเห็นมุมหล่อสุดที่เธอเคยชมไม่ขาดปากเมื่อเจ็ดปีก่อน

ไม่ใช่แค่สองแม่ลูกการละครหรอกนะที่รู้จักเทคนิคการนำเสนอภาพลักษณ์ ก่อนความลับจะคลี่คลาย เขาจะไม่ยอมเป็นคนเดียวที่ยังเหลือเยื่อใยในความสัมพันธ์ ต่อให้มันเป็นแค่การหลงรูปกายภายนอกก็ตาม

 

“นึกว่าดึงผมเส้นนึงก็จบแล้วซะอีก”

กังสดาลออกความเห็นโดยมีสหรัฐพยักหน้าหงึกๆ สหกรณ์ส่ายหัวเนือยๆ

ทั้งสามคนผ่านขั้นตอนเจาะเลือดเรียบร้อย สหกรณ์อยากกลับไปทำงานต่อจะแย่ วันนี้เขาวิ่งกรังปรีซ์ไปพบอาจารย์ประจำชั้นจบ ยังไม่ได้ทำงานชดเชยก็ต้องมาโรงพยาบาลต่อ งานกองใหญ่ยังรออยู่ เขาเลยเริ่มหมดความอดทนกับข้อเสนอของกังสดาลที่ให้นั่งรอจนกว่าสหรัฐจะหายเจ็บ

“แอบดึงผมไปตรวจดีเอ็นเอมันมีแค่ในละคร” สหกรณ์เหนื่อยใจจนไม่อยากพูดประโยคนี้แล้ว แต่ไม่อาจต้อนสองแม่ลูกให้รีบกลับเพราะเขาต้องรีบไปจัดการงานต่อ

“ฉันรู้แล้วค่ะ แต่พูดเพราะสงสารดอลลาร์ที่โดนเจาะเลือด... มาๆ...มาให้เป่าฟู่ๆ อีกทีนะคะ” กังสดาลเถียงสหกรณ์ตามด้วยโอ๋สหรัฐอย่างลื่นไหล โดยเฉพาะการดึงมือน้อยๆ มาเป่าแผลบนเส้นเลือดดำหลังมือ แล้วท่องคาถาประสาแม่ที่พยายามปลอบลูกชายแนบเนียนเหมือนเธอทำมาแล้วนับร้อยนับพันครั้ง “หายเจ็บนะคะคนดี ไม่เจ็บแล้วนะคะ”

“พอเถอะ กลับกันได้แล้ว”

ทุกวันนี้เขาอยากจะให้วันหนึ่งมีสี่สิบแปดชั่วโมงด้วยซ้ำ สหกรณ์ไม่ทันอุ้มสหรัฐขึ้นมา เด็กชายก็โผให้กังสดาลอุ้ม

“ให้ฉันอุ้มดอลลาร์เองก็ได้ค่ะ” ด้วยความรีบร้อนกังสดาลจึงแย่งอุ้มสหรัฐขึ้นจนตัวเซไปชนคนที่กำลังผ่านมา

“กีกี้!” วาสินีเผลอเรียกเสียงสูงด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะตกใจเมื่อหันไปมองว่าอดีตเพื่อนมากับใคร “คุณสตางค์ มาด้วยกันเหรอคะ”

“คุณเป็นเพื่อนของกีกี้ใช่ไหมครับ ผมจำได้ว่าเจ็ดปีก่อนเราเคยพบกัน สวัสดีนะครับ”

สหกรณ์ส่งยิ้มสุภาพแบบที่ใช้กับคนที่รู้จักผิวเผินออกไป ส่วนวาสินีมีท่าทางลำบากใจแบบเดียวกับเจอคนที่ไม่คาดว่าจะเจอ กังสดาลมองสีหน้าทั้งสองสลับไปมาแล้วตัดสินใจฉับพลัน

“ดอลลาร์ให้พ่ออุ้มนะคะ” กังสดาลอาศัยจังหวะเผลอยัดสหรัฐเข้าไปอ้อมแขนสหกรณ์ ตามด้วยดึงแขนวาสินี “ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนเก่าหน่อย”

สหกรณ์ไม่คัดค้านแม้ใจจะอยากบอกว่ารีบหน่อย เขาอยากกลับไปทำงาน เพราะสหรัฐช่วยสรุปความจำเป็นของกังสดาลให้เขาแล้ว

“นี่คือฉากนางเอกคาดคั้นความจริงจากนางร้ายครับพ่อ”

 

 

ละครโรงเล็ก

ตอน ความสัมพันธ์

กีกี้ : ความจริงมีเพียงหนึ่ง (สวมบทโคนัน)

สตางค์ : หน้าเหมือนกันขนาดนี้ยังไม่รู้อีกเหรอครับ (กลอกตา)

ดอลลาร์ : DNA บนใบหน้าบอกว่าแม่กับผมเป็นแม่ลูกกันครับ ส่วนพ่อ...

ผู้เขียน : ความบังเอิญทางด้านพันธุกรรมและการผลิต


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น