๑๔
ปากกับใจตรงกัน
“ปล่อยข้านะเจ้าคะ ครานี้ข้าจักมิยอมให้คุณพี่ดูหมิ่นกันอีกเป็นเด็ดขาด ปล่อยเจ้าค่ะ!”
ร่างแบบบางออกแรงดิ้นให้ตนเองหลุดพ้นจากอาณัติ แต่เรือนกายกำยำนั้นเปรียบดั่งภูผาสูงชันที่มิมีวันสั่นคลอน สุดท้ายจึงเป็นหญิงสาวเสียเองที่อ่อนแรงลง จึงทำได้เพียงนอนหอบสะท้านอยู่ใต้ร่างแกร่ง หากมือทั้งสองยังยกยันแผ่นอกกว้างที่สะท้อนขึ้นถี่รัวตามแรงหอบหายใจไม่ต่างกันไว้
ปรางขึงตาใส่คนที่ถือวิสาสะคร่อมอยู่เหนือร่างของตน ภาพจำที่เขาล่วงเกินกันเมื่อคราวก่อน เสริมให้โทสะที่สะกดกลั้นไว้ทำทีจะปะทุออกมา หญิงสาวจึงต้องขบกัดริมฝีปากของตนเพื่อข่มอารมณ์น้อยใจและแรงโกรธา ดวงหน้าแดงก่ำเมินหนีไปอีกทาง ด้วยไม่อยากสบตาคนใจร้ายบนร่าง ที่ไม่รู้ว่าจะทำร้ายจิตใจกันไปถึงเมื่อไร
“เรื่องเมื่อคราก่อน...ข้าขออภัย”
น้ำเสียงหนักแน่นรั้งสายตาสั่นไหวให้หันมองโดยพลัน คราแรกนึกว่าตนเองเพียงหูฝาดไปเท่านั้น แต่เมื่อผินมองกลับมาแล้วสบดวงตารียาวที่วางนิ่งบนใบหน้า จึงยิ่งสำทับซ้ำว่าผู้พูดหมายความตามถ้อยวาจานั้นอย่างแน่แท้
สายตาสองคู่ประสานกันเนิ่นนาน ก่อนที่ร่างแบบบางจะขยับกาย พร้อมทั้งออกแรงบิดข้อมือที่ถูกตรึงแนบเบาะนอนอย่างอึดอัด ขุนศึกหนุ่มจึงรู้ตัวแล้วเร่งผละห่าง ทว่ายังฉุดรั้งท่อนแขนเรียวเสลาเอาไว้ เมื่อปรางทำทีจะผุดลุกขึ้นจากฟูกนุ่ม
“เอ๊ะ คุณพี่นี่! ข้าจักมิเกรงใจแล้วนะเจ้าคะ”
สตรีที่แปลงร่างเป็นแม่เสือสาวจึงส่งเสียงขู่ฟ่อพร้อมกดสายตามองเพื่อบอกว่าหล่อนพร้อมสู้ยิบตา แต่หมื่นสุรเสนากลับทำเพียงทอดถอนใจ ใบหน้าคมคายโน้มลงจนอยู่ในระดับเดียวกับสายตา ทั้งน้ำเสียงที่รำพันออกมาก็นุ่มทุ้มเสียจนใจคนฟังสั่นหวิว
“ข้าควรจักทำเยี่ยงไรกับเจ้าดีหนา กระทำการเช่นนี้ มิรู้ฤๅว่าคนที่สองแควนั้นจักร้อนใจเสียจนนั่งแทบมิติด”
“แต่หากจักให้ข้ารั้งรอโดยมิลงมือทำกระไร มิแคล้วคงถูกบีบบังคับให้ออกเรือนโดยมิเต็มใจ เมื่อไม่มีผู้ใดช่วยเหลือข้าได้ ข้าจึงจำต้องหาหนทางด้วยตนเองเจ้าค่ะ”
ปรางตอบกลับทันควันพลางเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ ดั่งคนรั้น ท่าทางปั้นปึ่งแสนงอนเสียจนดวงตาที่ทอดมองอาบไล้ไปด้วยความเอ็นดู ก่อนที่ชายหนุ่มจะรู้สติ จึงเร่งกักเก็บสีหน้าของตน แล้วปล่อยมือจากท่อนแขนเนียนนุ่มนั้น
“รู้ได้เช่นไรว่าจักมิมีผู้ใดให้การช่วยเหลือ เป็นเจ้าเองที่หยิ่งทะนงเสียจนมิยอมปริปากเสียมากกว่า”
ถ้อยคำตำหนินั้นจึงทำให้สาวเจ้าตวัดตามองอย่างมิสบอารมณ์ ปรางทำท่าจะผุดลุกจากฟูกนอน เพราะไม่อยากต่อความกับคนตีรวน ก่อนที่มือใหญ่จะฉุดรั้งท่อนแขนบอบบางอีกครา ส่งผลให้ร่างปลิวลมเสียหลักลงมาจนแทบจะเกยตักแกร่ง
หญิงสาวนิ่วหน้าอย่างระอาใจ มิรู้ว่าผีสางตนใดเข้าสิง ไฉนวันนี้เขาจึงได้เร้าหรือเหลือทน หล่อนชักจะเวียนหัวขึ้นมาครามครันกับการยื้อยุดฉุดรั้งไปมา พลันวิงวอนเขาเสียงพร่า หากแววตายังสำแดงว่าหล่อนมิได้คิดสยบยินยอม
“เลิกฉุดกระชากข้าเฉกเช่นลากรั้งโคกระบือเสียทีเถิดเจ้าค่ะ มีกระไรก็พูดกันดีๆ ข้าหาได้ต้องการจักทะเลาะกับคุณพี่ไม่”
“เหตุใดจึงมิคิดออกเรือนเล่า จักได้ตบแต่งเป็นถึงภริยาเอกในออกหลวงผู้มากพร้อมด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ มีสตรีใดจักมิพึงใจด้วยฤๅ”
หมื่นสุรเสนาไม่ได้รับคำว่าจะยอมสงบสงครามประสาทระหว่างกัน แต่เปลี่ยนมาไต่ถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงจนคนฟังรู้สึกได้ ร่างอรชรจึงคอยฟังจนจบ แล้วค่อยตอบรับคำถามไถ่นั้น
“ผู้ใดจักพึงใจปรารถนาก็เรื่องของเขา แต่ละเว้นข้าไว้เสียคนหนึ่ง เพราะข้ามิสนใจดอกว่าบุรุษผู้นั้นจักมียศศักดิ์ ฤๅทรัพย์สมบัติอันใด สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นของปรุงแต่งนอกกาย จิตใจภายในต่างหากเจ้าค่ะที่เป็นข้อสำคัญ มิว่าจักเป็นชายชาวบ้านธรรมดาฤๅทหารกล้าของแผ่นดิน เมื่อข้าได้ปลงใจแล้วว่ารักก็คือรัก แลข้าจักไม่มีวันคิดแปรผันเป็นอื่น”
ปรางรู้สติว่าหล่อนเผลอพูดสิ่งที่ใจตนเองคิดออกไปต่อหน้าเขาเสียทั้งหมด จึงรีบหับปากลงขบเม้มเข้าหากันหลังสิ้นประโยคสุดท้าย ครั้นลอบมองดวงหน้าของคนฟัง เห็นเขายังคงมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับมิได้ฉุกใจสงสัยความนัยของถ้อยวาจา จึงลอบเป่าปากระบายลมหายใจออกมา แล้วเงยหน้าประสานสายตาคมกล้าที่มองจ้องกลับมาโดยไม่บ่งบอกอารมณ์
ทว่าหญิงสาวคงมิอาจล่วงรู้ความในใจของคู่สนทนา เพราะแม้เขาจะแสดงออกว่าตนเองหาได้สะดุดใจในคำพูดเช่นนั้นไม่ แต่แท้จริงแล้ว ความสัตย์ซื่อที่เจ้าหล่อนสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาประทับแนบแน่นถึงกลางทรวง คนที่ไม่รู้ว่าควรจัดการกับความรู้สึกแปลกประหลาดในใจตนอย่างไร จึงได้แต่เปรียบเปรยด้วยคำต่อว่าดังเช่นที่มักกระทำต่อนวลนางอยู่เป็นนิตย์
“เจ้านี่...พิลึกคนนัก”
กำปั้นน้อยจึงทุบลงบนอกกว้างของหมื่นสุรเสนาอย่างสุดจะทานทน เสียงหวานอุทธรณ์ในลำคอแผ่วพร่า ด้วยยามนี้ใบหน้าคร้ามคมนั้นอยู่ใกล้ชิดติดกันเสียจนลมหายใจอุ่นร้อนรินรดนวลปรางหอมละไม
“เห็นทีคืนนี้คงจักพูดกันมิรู้ความ ข้ามิอยากเจรจาด้วยคุณพี่แล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้น...ข้าจักส่งเจ้ากลับคืนเมืองสองแคว ดีฤๅไม่เล่า”
“คุณพี่!”
“เรียกอยู่นั่นแล พูดคำอื่นมิเป็นหรือไร”
คนหน้าตายต่อว่าอย่างไม่จริงจังนักพลางยกนิ้วแตะใบหูของตน ทว่ายังไม่ยอมคลายมืออีกข้างหนึ่งเฝ้าที่พันธนาการท่อนแขนเรียวเสลาไว้
กลิ่นกายหอมกรุ่นดุจมะลิซ้อนอ่อนจางปลิวแนบปลายจมูก ครั้นสายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างกลางห้อง นิลเนตรรียาวจึงฉายแววอ่อนลง ดุจผู้ใหญ่ทอดมองเด็กน้อยใต้ปกครอง
“คุณพี่ก็ปล่อยซีเจ้าคะ รังเกียจกันนัก แล้วไยจึงชอบฉวยโอกาสกับเนื้อตัวข้าอยู่ร่ำไป”
แทนที่มือแกร่งนั้นจะคลายออกตามคำค่อนขอด กลับกลายเป็นกระชับท่อนแขนนุ่มเข้าแนบชิด ปรางจึงยิ่งเบิกตา ไม่เข้าใจอากัปกิริยาของบุรุษตัวโตแม้แต่สักนิด
“สตรีเป็นเช่นนี้ทุกคนฤๅ”
หมื่นสุรเสนาเปรยพลางเอียงคอน้อยๆ ดวงตาที่เคยเย็นชาอยู่เป็นนิตย์ กลับมีประกายแวววาวเต้นเร่าอยู่ภายใน และถ้าหากหญิงสาวมิได้ตาฝาดไป หล่อนรับรู้ได้ถึงความขบขันเพียงชั่วครู่ที่นิลเนตรคู่นั้นแสดงออก
“เป็นสตรีแล้วทำไมฤๅเจ้าคะ”
ร่างอรชรเชิดหน้าสู้อย่างไม่นึกหวั่นเกรง ชักพื้นเสียกับคนตีรวนขึ้นมาครามครัน ครานี้ปรางจึงไม่ยอมลดราวาศอกโดยง่าย
หน้ากากแสนเย็นชาที่หล่อนเพียรสวมใส่ไว้บดบังอารมณ์มักถูกคนตรงหน้าคอยกระชากให้หลุดออกอยู่ร่ำไป หล่อนจึงไม่คิดสำรวมกิริยาต่อหน้าเขาอีก
“คิดเองเออเอง แลยังพูดจาเรื่อยเจื้อย”
“มิพึงใจก็ปล่อยซีเจ้าคะ ข้าเองก็มิได้อยากอยู่ใกล้คนใจร้ายเฉกเช่นคุณพี่เสียเท่าใดนักดอก”
คิ้วเข้มที่พาดเฉียงบนใบหน้าคมคายขมวดมุ่น ด้วยรู้สึกว่าถ้อยคำที่ได้ฟังนั้นมิใคร่รื่นหูเอาเสียเลย
ปรางอาศัยช่วงจังหวะที่ร่างแกร่งเผลอไผล สลัดตัวหลุดจากฝ่ามือแน่นหนึบที่ฉุดรั้งแขนไว้ แล้วทำทีจะเดินหนีออกไปจากเรือน ไม่อนาทรแล้วว่านับต่อแต่นี้จะต้องพักที่ใด ต่อให้ต้องนอนกลางผืนป่าหรือตากน้ำค้างภายนอก หล่อนก็ยินดีกระทำ หากนั่นจะนำมาซึ่งความสบายใจกว่าการร่วมชายคากับชายเจ้าอารมณ์ผู้นี้
ทว่านายทหารหนุ่มกลับมินึกพึงใจในกิริยาเหล่านั้น ทั้งที่ตนเองควรดีใจที่สาวเจ้ามีท่าทีเปลี่ยนไป จากแววตาที่เคยมองมาด้วยความรักใคร่เทิดทูนชวนให้เขาอึดอัดใจ ผันเปลี่ยนเป็นความนิ่งเฉยและอาการต่อต้าน
กลีบปากหยักลึกจึงสำทับความตั้งใจเดิมของตน ที่พาให้คนฟังนั้นงุนงง เพราะคิดว่าตนอาจฟังความคลาดเคลื่อนไปเอง มือเรียวจึงชะงักค้างยังบานประตู พร้อมเอี้ยวกายมองเสี้ยวหน้าคร้ามคมดั่งไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้รับฟัง
“หากมิอยากถูกส่งตัวกลับ ก็อย่าได้คิดก้าวขาพ้นชานเรือน ถ้าเจ้ายังดื้อรั้น ตะวันพ้นขอบฟ้าเมื่อใด ข้าจักให้อ้ายสังข์พาเจ้าคืนเรือนที่สองแคว!”
“พี่ปราง เป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ ได้ยินพวกทหารพูดกันว่าเมื่อคืนนี้นายค่ายท่านเรียกตัวพี่เข้าพบ ฤๅว่าท่านจักจับได้ว่าพี่นั้น...”
เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน หญิงสาวในคราบหนุ่มรามัญจึงหอบเอาร่างสะโหลสะเหลและขอบตาดำคล้ำมาให้สาวรุ่นน้องได้ชม หน่ายจีที่ผุดลุกผุดนั่งอยู่บริเวณชานเรือนของตนจึงถลันเข้าหา พลางพลิกกายแบบบางไปมาเพื่อสำรวจเนื้อตัว
ดวงตากลมโตมองเลยไปยังเบื้องหลัง เห็นนายทหารหนุ่มหน้าตาคมคายเดินตามมา หากมิได้เข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย แต่กลับหยุดยืนใต้ร่มไม้ใหญ่ตรงลานดินที่เริ่มมีนายทหารคนอื่นออกมารวมตัวกัน
สังเกตเอาจากรัศมีบางอย่างที่เปล่งประกายต่างไปจากขุนศึกนายอื่นแล้ว จึงเดาได้มิยากว่าคนหน้าตาเคร่งขรึมนั้น คงไม่พ้นนายค่ายที่หญิงผู้พี่ไปพำนักอาศัยด้วย สาวรามัญผู้ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด พลันหดคอหนีแล้วสบดวงตางามโศกของปรางเสียแทน ครั้นเห็นนิลเนตรทรงอำนาจผินมองมายังทิศทางที่ตนยืนอยู่
“เย็นก่อนเถิด มิมีเรื่องอันใดดังที่เจ้านึกกังวลดอกหนา”
ปรางประคองบ่าลาดของแม่รามัญร่างเล็กเอาไว้ พร้อมปรามให้อีกฝ่ายคลายความตื่นตระหนก ทว่าหญิงสาวไม่อาจบดบังร่องรอยของความอิดโรยบนดวงหน้าไว้ได้
“แต่สีหน้าพี่ดูมิสู้ดีเทียว เมื่อคืนคงแทบมิได้นอนใช่ฤๅไม่เจ้าคะ”
ร่างอรชรพยักหน้ารับอย่างยอมจำนน ทว่าไม่วายแก้ไขความเข้าใจผิดของแม่รามัญตัวน้อย ก่อนที่เจ้าหล่อนจะตีโพยตีพายไป
เหตุที่ทำให้หล่อนนอนไม่หลับนั้น หาได้เกิดแต่ความหวาดระแวงที่ต้องร่วมชายคาเดียวกันกับบุรุษหนุ่มไม่ แต่เป็นเพราะหล่อนยืนกรานว่าจะไม่ขอรับความช่วยเหลือใดจากเขา จึงปฏิเสธหัวชนฝาเมื่อเขาเสนอว่าจะแบ่งพื้นที่บนเบาะนอนให้หล่อนได้พักพิง
หากสนองรับมิแคล้วจะถูกนำมาเย้ยหยันในภายหลังว่าหล่อนใคร่อยากอยู่ใกล้ชิดเขาจนตัวสั่น จึงพาตนเองออกมานอนหลบมุมตรงพื้นแข็งกระด้าง ที่พาให้ไม่อาจข่มตาแม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล พลิกตัวไปมาอยู่นาน จวนจะเคลิ้มหลับไปก็ย่างเข้ารุ่งสางเสียแล้ว หล่อนจึงมีสภาพดังเช่นที่หน่ายจีเห็น
ดวงตาหวานโศกเหลือบมองไปยังทิศทางที่ขุนศึกทั้งหลายยืนอยู่ ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผู้เป็นหัวหน้าของขุนพลเหล่านั้นผินมองมาพอดี ดวงตาสองคู่จึงประสานกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะเป็นฝั่งของหญิงสาวที่ไม่อาจสู้สายตา จึงเร่งเสมองกลับมายังใบหน้าขาวนวลของคู่สนทนาเสียแทน
“ข้าจักลองเจรจากับพี่สมิงอีกคราเจ้าค่ะ อย่างไรเสียพี่ปรางก็มิบังควรอาศัยร่วมเรือนกับบุรุษเช่นนั้น”
เห็นความมุ่งมั่นของหน่ายจีที่ทำทีจะบ่ายหน้าตรงไปยังญาติผู้พี่ ซึ่งกำลังเดินมาพร้อมพระคุณเจ้าชราภาพ ปรางจึงชิงรั้งท่อนแขนของแม่คนมุทะลุเอาไว้
“มิเป็นกระไรดอก...เขา...เป็นคนรู้จักของข้า”
ดวงตาสุกสกาวคู่นั้นจึงเบิกโตดุจดังไข่ห่าน เพียงได้ฟังถ้อยวาทีที่คนจำแลงกายว่า หน่ายจีหันรีหันขวาง เมื่อเห็นว่ารอบข้างร้างราผู้คน และกลุ่มนักรบทั้งหลายก็ต่างเพ่งความสนใจไปรวมกันยังพระอาจารย์ของตน หญิงรามัญจึงชักชวนให้ปรางตามตนเองเข้าไปในเรือนพักด้วยกัน พร้อมหับประตูลงกลอนแน่นหนา ก่อนจะหันกลับมาทรุดกายลงแล้วซักถามเอาความจากสาวรุ่นพี่อย่างละเอียด
“มิอยากจักเชื่อเลยเจ้าค่ะ...”
เสียงใสรำพัน พร้อมกลีบปากที่อ้าออก หลังจากได้รับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ สองตากะพริบปริบๆ จนปรางนึกขบขันกับท่าทางเช่นนั้น
“แต่แม้เขาจักเป็นคนรู้จักของพี่ ข้าก็มิใคร่สบายใจ ยิ่งได้ฟังว่าเขาเอาแต่ร่ำสุราทุกเย็นย่ำ ข้าก็ยิ่งเป็นกังวลนัก เกรงว่า...”
“ข้า...เชื่อใจเขา”
เสียงหวานชิงขัดขึ้นก่อนที่หน่ายจีจะเจรจาจนจบคำ ทว่าความรู้สึกของคนพูดและคนฟังนั้นต่างกันออกไป
ปรางเอ่ยด้วยความปลงใจ แม้ที่ผ่านมาเขาเคยเกือบล่วงเกินกัน หากท้ายที่สุดแล้วหล่อนรู้ดีว่าคนที่ตั้งป้อมชิงชังกันเช่นนั้น ย่อมไม่มีวันนึกพิศวาสอะไรในตัวหล่อนจนกระทำการเลยเถิดไปเป็นเด็ดขาด จะมีก็เพียงหมิ่นน้ำใจด้วยถ้อยคำแสนร้าย ด้วยหมายจะให้หล่อนคลายรักจากเขาเสียง่ายดายกระมัง
หากแต่ในมุมของหน่ายจี กลับคลี่ยิ้มมีเลศนัย คิ้วโค้งสวยงามนั้นขมวดเข้าหากัน พลางหรี่ตาลงน้อยๆ เป็นเชิงจับผิด สัมผัสได้ว่าเรื่องราวระหว่างนายทหารหนุ่มและแม่หญิงเมืองสองแควผู้นี้ อาจมีเบื้องหลังบางอย่างมากกว่าที่ตนเองเพิ่งได้ฟัง
“เมื่อพี่ยืนยันเป็นแม่นมั่น ข้าก็จักเคารพในการตัดสินใจของพี่เจ้าค่ะ”
สาวรามัญถอนหายใจแล้วสรุปความ หากยังไม่ลืมกำชับว่าเมื่อใดที่อีกฝ่ายปรารถนาจะให้หล่อนช่วยเหลือ หล่อนยังคงยินดีที่จะลองเจรจากับสมิงทออูให้
ปรางจึงคลี่ยิ้มหวานละไมแทนคำขอบคุณ ก่อนจะได้ยินเสียงกุกกักจากทางท้ายเรือน หญิงทั้งสองพลันพร้อมใจหันมอง แล้วจึงเป็นหน่ายจีที่ชิงผุดลุกไปเสียก่อน
“แม่...ข้าบอกแล้วว่ามิต้องทำ ประเดี๋ยวข้าทำเอง”
เห็นร่างผอมโกรกของนางบุปผาย่างเยื้องมาพร้อมกระบุงใส่ของขนาดย่อม คาดว่าคงกำลังจัดเก็บข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง เนื่องจากเพิ่งเดินทางมาถึงได้ไม่นาน กอปรกับเมื่อวานต่างฝ่ายต่างคงจะเหน็ดเหนื่อยจากการรอนแรมไกล เมื่อแยกย้ายเข้าเรือนตนคงจะเร่งนอนพักเอาแรงก่อน จึงค่อยมีเวลาจัดของในวันนี้
ปรางหยัดยืนตามหน่ายจีแล้วสืบเท้าเข้าหา อาสาช่วยเหลือสองแม่ลูกอย่างมีน้ำใจ
นางบุปผาที่มิใคร่เจรจาเก่งเท่าบุตรสาวของตน จึงกระทำเพียงส่งยิ้มอ่อนแรงให้ พร้อมเอ่ยคำขอบคุณแผ่วเบา แม้จะนึกฉงนใจอยู่บ้างว่าไฉนพ่อหนุ่มรามัญหน้าหวานผู้นี้ จึงเก่งการบ้านการเรือนเฉกเช่นอิสตรี แต่ผู้อาวุโสนั้นก็อ่อนแรงเกินกว่าจะไต่ถาม นั่งพูดคุยกันได้เพียงชั่วครู่ หน่ายจีก็รบเร้าให้มารดาดื่มยาสมุนไพรแล้วนอนพักอีกครา เกรงว่าอาการล้มเจ็บที่ทำท่าจะทุเลานั้นจะหวนคืน หากอีกฝ่ายฝืนออกแรงเกินกำลัง
ปรางหลงลืมไปว่าตนเองหายเข้ามาในเรือนหลังนี้นานเกินควร ระหว่างที่กำลังช่วยหน่ายจีพับเก็บเครื่องนุ่งห่มลงกำปั่นไม้เป็นลำดับสุดท้าย ประตูเรือนซึ่งต่อขึ้นจากไผ่ต้นงามจึงถูกทุบระรัวจากภายนอก พร้อมเสียงแหบห้าวที่ฟังแล้วไม่คุ้นหูเท่าไรนัก ทว่ามิใช่กับคนข้างตัว เพราะแม่รามัญตัวน้อยเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วจึงผลุนผลันออกไป ประตูบานใหญ่ที่เป็นดั่งสนามอารมณ์อันแสนน่าเวทนาจึงถูกกระชากเปิดจากภายใน พร้อมร่างเล็กที่ยืนจังก้าเท้าสะเอวอย่างเอาเรื่อง
“เรียกกันดีๆ ก็รู้ความแล้ว ทุบอย่างกับจะพังบ้านข้า ใจทรามแล้วกิริยายังทรามอีก คนอะไรน่าชัง!”
ถ้อยวาจาเผ็ดร้อนกระแทกหน้าชายหนุ่มผู้มาใหม่ นายสังข์จึงเบิกตาค้าง จากที่พื้นเสียอยู่เป็นทุนเดิมเลยพานให้ใบหน้าคมคายนั้นขึ้นสีแดงก่ำ สันกรามแกร่งบดแน่น ซ้ำยังทำตาพองใส่แม่ตัวน้อยแต่ฝีปากกล้า ที่ไม่ว่าจะพบหน้ากันกี่ครา สาวเจ้าก็ช่างสรรหาวาจาเจ็บแสบเสียดแทงมาพร่ำพูดให้ได้ระคายหูอยู่ร่ำไป
“แล้วทีเจ้าเล่า โร่เอาอ้ายหนุ่มนั่นเข้ามาพลอดรักกันตั้งแต่หัวรุ่ง มิอายฟ้าดินก็อายชาวบ้านเขาหน่อยเถิด อ้อ ฤๅว่าเมื่อคืนจักเป็นอ้ายหนุ่มนี่ มิน่าเล่า หมื่นท่านจึงได้เรียกตัวมันไปอบรมเสียยกใหญ่”
ท้ายประโยคนั้นนายสังข์พยักพเยิดมาทางร่างผอมบางของหนุ่มรามัญที่นั่งอยู่กลางห้อง
หน่ายจีพลันถลึงตาใส่เจ้าของคำพูดเราะราย ก่อนจะทนไม่ไหวจึงยกมือหนึ่งขึ้นบิดใบหูได้รูป ส่วนอีกมือก็คอยปิดปากที่กำลังพ่นคำพูดไม่น่าฟัง แล้วรั้งตัวชายหนุ่มให้โผล่เข้ามาดูร่างโรยแรงของนางบุปผาที่กำลังจมลงสู่ห้วงนิทรา
“หับปากมอมๆ ของเจ้าแล้วแหกตาดูเสียบ้าง พี่ซูไป่เพียงเข้ามาช่วยข้าจัดเก็บของ แลแม่ข้าก็นอนอยู่กงนี้ จิตใจต้องสกปรกเพียงใดจึงจักมีความคิดบัดสีเช่นนี้ออกมาได้!”
ปรางจึงได้แต่เบ้หน้ากับกิริยาของหนุ่มสาวทั้งสองคน ที่ตั้งป้อมพร้อมวิวาทกันตั้งแต่หัววัน หญิงสาวเร่งเข้าห้ามทัพ เมื่อเห็นว่าเรื่องราวชักจะเลยเถิดไปใหญ่โต
“ออกไปพูดกันข้างนอกเถิด เกรงใจแม่บุปผาเขาบ้าง”
นายสังข์สลัดตัวหลุดจากการเกาะกุม แล้วตวัดตามอง สองมือขยับเครื่องนุ่งห่มและผมเผ้ายุ่งเหยิงของตนให้เข้าที่ หากยังไม่วายคาดโทษแม่ลิงค่างหน้าขาวที่ปั้นหน้าล้อเลียนตนเองอยู่ นิ้วแกร่งจึงยกขึ้นชี้ไปยังใบหน้านวลแฉล้ม แล้วกระทืบเท้าจากไปหลังนำความที่ผู้เป็นนายสั่งไว้มาแจ้งแก่อ้ายหนุ่มรามัญตัวผอมแห้งอีกทอดหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เจ้าน่ะ ตามข้ามานี่ หมื่นท่านเรียกหา!”
ปรางหรี่ตาปรามแม่รามัญเลือดร้อนก่อนเดินจากมา เห็นหน่ายจีขมุบขมิบปากไล่หลังนายทหารหนุ่มอย่างไม่ยอมลดรา ร่างอรชรจึงได้แต่ส่ายหน้าด้วยความระอาใจ พลันเร่งสืบฝีเท้าอย่างไวๆ เมื่อคนที่ออกเดินนำไปพลิกกายกลับมา แล้วส่งสายตาปานจะกินเลือดกินเนื้อให้แม่ตัวเล็กที่เพิ่งสะบัดหน้าใส่ ก่อนจะชิงหันหลังหนีเข้าเรือนไป
“กิริยาวาจานี้หนา ใครได้เป็นเมียคงมิวายอยากกัดลิ้นตนเองตายเสียวันละสามเพลา”
เสียงแหบห้าวรำพัน ครั้นระลึกได้ว่ายังมีใครอีกคนยืนอยู่เคียงกายตน นายสังข์จึงเหลือบตามองพลางถอนหายใจยืดยาว
ทว่าสิ่งที่ทำให้ปรางตระหนกคงไม่พ้นวงแขนกำยำที่โอบล้อมบ่าลาด แล้วรั้งกายหล่อนเข้าหา ดวงตาคู่งามจึงเบิกโพลง ต่อต้านสัมผัสอุกอาจนั้นด้วยการขืนกายออกห่างเป็นพัลวัน แต่นายทหารหนุ่มที่ไม่ได้เอะใจว่าคู่สนทนาหาใช่บุรุษเช่นตนไม่ กลับทำเพียงหัวเราะในลำคอ
“ข้าลืมไป...ผัวของนางผู้นั้นก็ยืนอยู่กงนี้ด้วยข้าอย่างไรเล่า ปูโธ่ มิรู้ผีสางตนใดบดบังตาเอ็งไว้ แต่ดูทีแล้ว เอ็งคงแตกเนื้อหนุ่มได้มินานกระมัง ใคร่อยากเห็นของสวยงามกว่านี้ฤๅไม่เล่า หากกลับสองแควคราใด ข้าจักพาเอ็งไปเปิดหูเปิดตา เอาหัวอ้ายสังข์ผู้นี้เป็นประกันว่าจรรโลงใจกว่าแม่ลิงค่างหน้าขาวผู้นั้นอีกเป็นไหนๆ ”
นายสังข์ว่าเสียงเจือขบขัน มือใหญ่ตบหลังดังปุๆ จนคนถูกตบนั้นเซถลาเล็กน้อย
ปรางนิ่วหน้าเมื่อได้ฟัง ความจรรโลงใจของเหล่าชายฉกรรจ์เช่นนี้ เห็นทีคงมิพ้นโรงคณิกาที่มีบุปผางามสะพรั่งมากมาย พร้อมบำรุงบำเรอให้บุรุษกลัดมันได้คลายกำหนัด ฟังคำพูดที่บรรยายถึงสถานที่เช่นนั้นได้อย่างคล่องปากของนายสังข์แล้ว หญิงสาวจึงอดเคืองใจมิได้ ใจประหวัดถึงขุนศึกหนุ่มอีกคน ที่ถือครองสถานะผู้นำของทหารเหล่านี้
เมื่อมีสุราแล้ว ย่อมมิพ้นต้องเคล้านารีด้วย และถ้าหากผู้ใต้ปกครองยังเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ ผู้เป็นนายคงมิแคล้วจะเป็นเช่นสมุนของตนกระมัง
‘บุรุษนั้นมักเป็นเช่นนี้แล ยามมีความใคร่ก็เสพสมได้โดยไม่จำต้องมีความรัก…’
ร่างอรชรเผลอครุ่นคิดกับตนเองเพียงลำพัง กลีบปากอิ่มเต็มบิดขึ้นคล้ายมิพึงพอใจ หลงลืมไปว่าบัดนี้นายสังข์ยังไม่คลายวงแขนออกจากบ่าตน จึงปล่อยให้วงแขนหนักวางพาดอยู่เช่นนั้น
ครั้นได้ยินเสียงทุ้มกร้าวที่ดังมาก่อนตัวดุจสายฟ้ากัมปนาท คนทั้งสองจึงสะดุ้งรับ เห็นดวงตารียาวมองจ้องมาแล้วชวนให้เสียวสันหลังขึ้นมาครามครัน แต่นายสังข์ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไร กลับยิ้มยิงฟันเคลือบสีนิลให้ผู้มาใหม่แล้วหยอกเย้าตามประสา
“ปูโธ่ อยู่ใกล้กันเพียงเท่านี้ หมื่นท่านจักเสียงดังไปไย ใจอ้ายสังข์แทบจักร่วงไปกองแนบพื้นเทียวละขอรับ”
ความคิดเห็น |
---|