บนเรือนไทยเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงแดดร่มลมตกค่อนข้างเย็นสบาย นวินดานั่งอยู่ที่โซฟารับแขกของพาไลด้วยท่าทางสงบนิ่ง ผิดกับสุดารัตน์ที่พอได้ยินว่าอะไรคือธุระสำคัญของหล่อน ร่างเพรียวระหงก็ผุดลุกขึ้นยืนอย่างตกตะลึง
“อะไรนะ! แกจะแต่งงาน?” คนเป็นแม่ทวนถาม ดวงตาสวยคมพิศมองท่าทีบุตรสาวที่เพิ่งก้าวพ้นรั้วโรงเรียนมัธยมหมาดๆ อย่างไม่อยากเชื่อหู
“ค่ะ” เสียงของนวินดาราบเรียบ ริมฝีปากขยับยิ้มน้อยๆ ราวกับเป็นเรื่องน่ายินดีเสียเต็มประดา “น้ำผึ้งจะแต่งงานพรุ่งนี้ แต่ตอนนี้น้ำผึ้งยังอายุไม่ถึงยี่สิบ ยังจดทะเบียนสมรสเองไม่ได้ น้ำผึ้งก็เลยอยากขอรบกวนเวลาคุณไปเซ็นยินยอมให้ที่อำเภอ”
สุดารัตน์อยากคิดว่าตัวเองหูฝาด แต่ดวงตาแป๋วๆ ของนวินดาก็ราวกับจะยืนยันให้รู้ว่าได้ยินไม่ผิดจริงๆ
“นี่มันไม่ใช่เรื่องตลกนะ น้ำผึ้ง”
“น้ำผึ้งก็ไม่ได้คิดว่าตลกเสียหน่อยนี่คะ น้ำผึ้งกับพี่หมีรักกันมานานแล้ว พอคุณย่าเสีย...พี่หมีก็เลยขอน้ำผึ้งแต่งงาน เพราะอยากจะดูแลน้ำผึ้ง” เด็กสาวปดหน้าตาย เชื่อว่ามารดาคงไม่เห็นด้วยง่ายๆ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว...อย่างไรเสียหล่อนก็ต้องทำให้ตัวเองหลุดจากอำนาจปกครองของมารดาให้ได้
ต่อให้เขตพนาจะมีท่าทางไม่ค่อยน่าไว้ใจเหมือนที่ผ่านมาก็เถอะ อย่างไรเสียหล่อนก็รู้จักเขามากกว่าแม่บังเกิดเกล้าที่ทอดทิ้งไปตั้งแต่ยังเล็ก ไหนจะบิดามารดาของเขตพนาที่รักและเอ็นดูหล่อนเหมือนลูกหลานด้วย นวินดาตรึกตรองดีแล้วว่าการแต่งงานคงทำให้หล่อนสบายใจมากกว่า
“พี่หมี?” สุดารัตน์ขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่แน่ใจว่าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนหรือไม่
“แฟนน้ำผึ้งเองค่ะ” นวินดาถือโอกาสแนะนำพร้อมยิ้มละไม “เรานัดกันไปจดทะเบียนสมรสที่อำเภอพรุ่งนี้ ส่วนงานแต่ง...พี่หมีบอกว่าอยากให้พ้นช่วงไว้ทุกข์ไปก่อน”
“นี่แกจะบ้าเหรอ!” คนเป็นแม่แผดเสียง หัวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างยากเกินจะข่มอารมณ์ “แกเพิ่งจบมอหกได้แค่ไม่กี่เดือน ฉันไม่ยอมให้แกทำเรื่องโง่ๆ หรอกนะ”
“แล้วถ้าน้ำผึ้ง ‘ท้อง’ ล่ะคะ” นวินดาย้อนถาม หน้าซื่อตาใสราวกับกำลังนั่งคุยเรื่องดินฟ้าอากาศก็ไม่ปาน แต่กลับทำเอาสุดารัตน์ถึงกับตัวชาวาบ
“นี่แก...” หญิงสาวมาดผู้ดีอึกอัก ต้องใช้เวลานานร่วมอึดใจทีเดียวกว่าจะรวบรวมสติกลับคืนมาได้ “แกท้องแล้วเหรอ”
นวินดาแสร้งเม้มปากน้อยๆ ประกายตาไหววูบเหมือนกระอักกระอ่วนใจเหลือเอ่ย
“น้ำผึ้งก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่พี่หมีไม่ได้ป้องกันเลยสักครั้ง ส่วนประจำเดือนน้ำผึ้งก็ยังไม่มาเลย”
เรื่องนี้หล่อนไม่ได้ปด...ประจำเดือนหล่อนยังไม่มาจริงๆ ส่วนว่าที่สามีก็ไม่ได้ป้องกันเลยจริงๆ เพราะเขาหลับสนิทด้วยฤทธิ์สุรา แต่ถ้ามารดาจะเข้าใจผิดเองก็ช่วยไม่ได้
“บ้าจริง!” สุดารัตน์ผรุสวาทเบาๆ ประกายตาวูบไหวอย่างไม่อยากเชื่อว่ายายแก่หัวโบราณจะเลี้ยงลูกสาวหล่อนได้เหลวไหลขนาดนี้ “ทำไมแกถึงปล่อยเนื้อปล่อยตัวกับผู้ชายง่ายๆ ย่าแกไม่เคยบอกหรือไงว่าแกควรจะเรียนหนังสือให้จบก่อนมีผัว”
“ก็จบมอหกแล้วไงคะ” นวินดาแย้งราวกับเป็นเรื่องปรกติธรรมดาที่ไม่น่าจะต้องตำหนิกันเลย “คุณเองมีน้ำผึ้งตอนยังไม่จบมอหกด้วยซ้ำ ที่จริงคุณย่าก็เคยบอกเหมือนกันนะคะว่าอย่าเอาอย่างคุณ เพราะมันไม่งาม แต่ทำไงได้ล่ะ...โบราณว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น น้ำผึ้งก็เลยห้ามใจไม่อยู่”
“นังผึ้ง!” สุดารัตน์ตวาดลั่น รู้สึกเหมือนถูกด่าซึ่งๆ หน้าว่าความง่ายกับผู้ชายนั้นซึมซับผ่านทางสายเลือดไม่มีผิด “แกกล้าดียังไงมาย้อนฉัน! หรือแกคิดว่าฉันไม่ได้เลี้ยงดูแกมาแล้วจะพูดจากับฉันยังไงก็ได้ นี่ฉันเป็นแม่แกนะ ไอ้สารเลวคนนั้นมันเป็นใคร แกบอกฉันมาเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปลากคอมันเข้าคุก!”
“ข้อหาอะไรคะ” นวินดาขมวดคิ้วน้อยๆ เหมือนไม่เข้าใจ
“นี่แกไม่รู้จริงเหรอ” สุดารัตน์แสยะยิ้ม ดวงตามีประกายตาเยาะหยันในความใสซื่อบนใบหน้าบุตรสาว “ปีนี้แกเพิ่งอายุเท่าไร มันฉวยโอกาสกับแกแบบนี้ ฉันจะเอาผิดมันฐานพรากผู้เยาว์ คอยดูเถอะ ฉันจะเอามันเข้าคุกแน่ๆ”
นวินดาพยักหน้าหงึกๆ ท่าทางไม่ได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด คนเป็นแม่จึงอดแปลกใจไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว...ลูกสาวของหล่อนควรจะหน้าซีดตัวสั่นมากกว่า
“ก็น่าแปลกนะคะ” นวินดายิ้ม แม้ส่วนลึกจริงๆ จะเริ่มสะท้อนใจก็ตาม “วันก่อนคุณบอกว่าคิดถึงน้ำผึ้ง ไม่เคยลืมน้ำผึ้งเลย แต่คุณกลับไม่รู้ว่าปีนี้น้ำผึ้งอายุสิบแปดแล้ว”
ราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่ทุ่มลงตรงกลางศีรษะอย่างแรง! เนื้อตัวของสุดารัตน์ชาหนึบที่ถูกจับได้คาหนังคาเขาว่าไม่ได้รักหรือคิดถึงจริงๆ ถึงลืมได้ลงแม้กระทั่งวันให้กำเนิดลูกสาว
“แต่ก็ช่างมันเถอะค่ะ” นวินดาไม่อยากใส่ใจมากนัก เอาเข้าจริงหล่อนควรเบาใจมากกว่าที่อ่านเจตนามารดาออกแต่แรกว่ามีจุดประสงค์อะไร “เอาเป็นว่า...มันคงไม่มีประโยชน์ที่คุณจะแจ้งความ เพราะว่าน้ำผึ้งอายุเกินสิบแปดแล้ว ส่วนพี่หมีเองก็ยินดีรับผิดชอบน้ำผึ้งอย่างถูกต้องตามประเพณีไทย ถ้าคุณแจ้งความจริงๆ ก็คงมีแต่จะขายขี้หน้าคนอื่นเปล่าๆ”
“แกนี่มัน...” หญิงสาวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน จินตนาการออกไม่ยากว่าหากนวินดาให้การกับตำรวจตามตรง แม่อย่างหล่อนคงเอาหน้ามุดดินหนีไม่ทัน ยิ่งถ้าเรื่องรู้ถึงหูนักข่าว มีหวังคงถูกซุบซิบไปอีกนานว่าภรรยานักธุรกิจคนดังมีลูกสาวเป็นเด็กใจแตก
เมื่อตระหนักได้ว่ายากจะเอาผิดฝ่ายชายด้วยกฎหมาย สุดารัตน์จึงตัดสินใจคว้ามือลูกสาวให้ลุกขึ้นจากโซฟาตรงหน้า
“ไปโรงพยาบาลกับฉันเดี๋ยวนี้!”
นวินดาเลิกคิ้วน้อยๆ ดวงตามีประกายงุนงง
“ไปทำอะไรคะ”
“ก็ไปตรวจให้รู้ว่าแกท้องแล้วหรือเปล่าไงล่ะ เพราะถึงยังไงฉันก็ไม่ยอมให้แกแต่งงานแน่ๆ”
คำประกาศิตของสุดารัตน์ทำให้นวินดาหน้าซีดลงนิดหนึ่ง หากไปโรงพยาบาลจริงๆ มีหวังแผนการของหล่อนพังครืน
เด็กสาวพยายามยื้อยุด ไม่ยอมให้มารดาฉุดกระชากลงจากพาไลง่ายๆ หล่อนแสร้งทำทีปั้นปึ่งกลบเกลื่อนความกลัวในหัวใจเต็มที่
“แต่น้ำผึ้งรักพี่หมี!”
“ความรักของวัยรุ่นมันไม่มีอยู่จริง!” สุดารัตน์หันกลับมากระชากเสียงโต้ ดวงตาฉายแววเหลืออดยามมองเด็กสาว “ที่ไอ้หมอนั่นอยากแต่งงานกับแก ก็เพราะหวังมรดกที่ย่าแกทิ้งไว้ให้ต่างหาก แกอย่าโง่ไปหน่อยเลย เสียตัวให้มันฟรีๆ แล้วยังคิดจะให้มันเกาะแกเป็นปลิงอีกหรือไง”
“พี่หมีไม่ใช่ปลิงหรอกค่ะ” นวินดาสวนด้วยแววตาแน่แน่ว มองออกว่าถ้าจะมีใครสักคนเป็นปลิงก็คงไม่พ้นสุดารัตน์มากกว่า
สิบสามปีที่ผ่านมาไม่เคยมาเยี่ยมมาหา พอรู้ว่าหล่อนได้มรดกจากผู้เป็นย่าก็เกิดอยากจะรับไปเลี้ยงขึ้นมา หล่อนโตในสวนมะม่วง ไม่ใช่ทุ่งลาเวนเดอร์ เพราะฉะนั้นโลกจึงไม่สวยพอที่จะเชื่อว่าแม่รักหรือคิดถึงมาตลอดจริงๆ
“เขาเป็นอาจารย์คณะเกษตรและเป็นเจ้าของฟาร์มเพาะรักที่อยู่ติดกับสวนคุณย่า คุณเองก็น่าจะเคยได้ยินชื่อมั้งคะ เพราะก่อนเข้ามาที่นี่คงต้องขับรถผ่านฟาร์มเพาะรักอยู่แล้ว...” เด็กสาวเริ่มแนะนำสถานะทางสังคมของชายหนุ่ม ก่อนจะสังเกตว่ามารดามีสีหน้าผิดคาดไปพอควร “เพราะงั้น...เรื่องที่ว่าพี่หมีหวังมรดกของน้ำผึ้งคงเป็นไปได้ยาก ครอบครัวของพี่หมีมีฐานะดีอยู่แล้ว หรือจะเรียกว่ารวยกว่าคุณย่าก็คงจะได้ นอกจากฟาร์มเพาะรัก พ่อแม่พี่หมียังมีธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจรีสอร์ตอีก แถมลูกสาวคนเล็กของบ้านก็เพิ่งดองกับตระกูลคุณาบดินทร์ที่เป็นเจ้าของธุรกิจเครื่องสำอางเฟย์ฯ ด้วยนะคะ”
นวินดาเชื่อว่ามารดาไปใช้ชีวิตในแวดวงไฮโซมานานก็น่าจะเคยได้ยินข่าวอยู่บ้าง
ก่อนหน้านี้ หม่อมราชวงศ์นพคุณ คุณาบดินทร์ เป็นราชนิกุลหนุ่มเนื้อหอม ติดอันดับหนุ่มในฝันของสาวๆ ทั่วประเทศแปดปีซ้อน งานวิวาห์ของเขาจึงมีนักข่าวไปร่วมแสดงความยินดีค่อนข้างมาก ประวัติของเจ้าสาวเริ่มกลายเป็นที่สนใจของผู้คนในวงสังคม ซึ่งมองดูเผินๆ กุมาริกาอาจเป็นเพียงลูกสาวเจ้าของร้านอาหารธรรมดาๆ แต่เอาเข้าจริงแล้วพื้นเพของตระกูลพยัคฆาก็สืบเชื้อสายมาจากผู้ดีเก่าทางเหนือ
“นี่แก...แกไปสนิทกับคนตระกูลนั้นได้ยังไง”
“เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ คราวนี้คุณก็อนุญาตให้น้ำผึ้งแต่งงานได้แล้วใช่ไหมคะ” นวินดายิ้ม ยอมรับว่าที่เลือกเขตพนาเป็น ‘ผู้ปกครองคนใหม่’ ก็เพราะเหตุผลนี้ด้วย
แต่ไหนแต่ไรสุดารัตน์หน้าบางราวกับกระดาษ ยิ่งตอนนี้อัปเกรดตัวเองเป็นไฮโซเต็มขั้น อย่างไรเสียการยกลูกสาวให้แต่งงานกับคนในตระกูลผู้ดีเก่าก็ย่อมมีภาษีดีกว่ารับไปอยู่ในความปกครองแล้วถูกนินทาว่าท้องไม่มีพ่อแน่นอน เพราะมันคงส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ไฮโซของอีกฝ่ายไม่น้อย การที่สุดารัตน์เงียบงันไปเป็นเวลานานก็บ่งบอกให้รู้เลาๆ ว่าแผนของหล่อนได้ผล!
อากาศในช่วงเช้าวันใหม่ค่อนข้างแจ่มใส นวินดายืนอยู่ที่ศาลาท่าน้ำด้านหลังเรือนไทยเก่าแก่ด้วยใจกระวนกระวาย ทั้งที่ความจริงแล้วควรยินดีมากกว่า
อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขตพนาคงมารับหล่อนไปจดทะเบียนสมรสที่อำเภอตามนัด ส่วนสุดารัตน์แม้จะยังไม่ได้ตอบรับอย่างเป็นทางการ แต่การที่อีกฝ่ายยอมกลับไปเฉยๆ โดยไม่ดึงดันพาหล่อนไปตรวจครรภ์ก็น่าจะเป็นสัญญาณที่ดี
“พี่ผึ้งๆ” เสียงเรียกอย่างร้อนรนของลูกสมุนทำให้ร่างบางในชุดเอี๊ยมยีนตัวเก่งหันหน้าไปหา ภาพที่เห็นคือร่างจ้ำม่ำของเด็กชายกำลังสาวเท้าลงมายังศาลาท่าน้ำ “ลุงหมีกำลังมาแล้ว”
นวินดาเม้มปากเล็กน้อย ลำคอแห้งผากขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วน อาจเพราะไม่ได้คุยกับเขาอีกเลยตั้งแต่เกิดเหตุ ตอนนี้จึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขาจะมีท่าทางอย่างไรบ้าง
เขาจะร่วมเล่นละครไปกับหล่อนไหม หรือจะแข็งกระด้างจนมารดาหล่อนระแคะระคาย แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว...คงต้องลุยไปตายเอาดาบหน้าสถานเดียว
“บื้อเฝ้าบ้านดีๆ นะ” ลูกพี่สาววัยกระเตาะกำชับ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อรวบรวมพลังความกล้าหาญ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอิสรภาพกำลังช่วยละลายความกังวลใจไปทีละน้อย ในที่สุดนวินดาก็พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์
ร่างเล็กบอบบางก้าวตรงไปยังชานเรือนโดยมีบื้อตามมาติดๆ เป็นเวลาเดียวกับที่รถยนต์อเนกประสงค์สีขาวสะอาดตาแล่นมาจอดหน้าทางขึ้นเรือน
เขตพนาดับเครื่องยนต์เรียบร้อย เด็กสาวก็ลงบันไดไปพร้อมๆ กับที่คนตัวโตเปิดประตูลงจากรถมา แต่ทันทีที่เห็นหล่อนชัดๆ ในเช้าวันนี้ ดอกเตอร์หนุ่มก็ถึงกับตะลึง
ใช่ว่าตะลึงในความสวยเหมือนเวลาพระเอกเห็นนางเอกในละครโทรทัศน์ แต่ชุดเอี๊ยมยีนตัวเก่งกับผมทรงหางม้านั่นต่างหากทำให้เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองมารับหล่อนไปจดทะเบียนสมรสจริงๆ หรือมารับไปเที่ยวดรีมเวิลด์กันแน่!
“ก็ยังดีที่ไม่ใส่ชุดนักเรียน”
นวินดาขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าชุดเก่งของหล่อนผิดปรกติตรงไหน แล้วเกี่ยวอะไรกับชุดนักเรียนด้วย
“ปิดเทอมตั้งหลายเดือนแล้ว น้ำผึ้งจะใส่ชุดนักเรียนทำไมอีกคะ”
“ช่างเถอะ” เขตพนาถอนหายใจแผ่วเบา อย่างไรเสียหล่อนก็อายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์แล้ว “แม่เธอล่ะ”
“เอ่อ...” นวินดาอึกอัก ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีเหมือนกัน “น้ำผึ้งนัดไว้ที่อำเภอตอนเก้าโมงครึ่ง”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะพยักพเยิดไปยังพาหนะคู่กาย
“งั้นก็ขึ้นรถสิ”
“ค่ะ” นวินดาตอบรับ แม้จะกล้าๆ เกร็งๆ นิดหน่อยเพราะไม่อาจคาดเดาในเจตนาของเขา แต่ก็เลือกที่จะตามไปนั่งลงบนเบาะข้างกายคนขับ
เมื่อปิดประตูรถเรียบร้อย เด็กสาวก็ไม่ลืมที่จะหันไปดึงสายเข็มขัดนิรภัยที่อยู่ข้างเบาะ ติดเสียก็แต่ว่ามันค่อนข้างฝืด ไม่ว่าพยายามออกแรงแค่ไหนก็ไม่เป็นผล
ชายหนุ่มเพิ่งติดเครื่องยนต์หมาดๆ ได้ยินเสียงกุกกักจึงตัดสินใจเอี้ยวตัวไปช่วย แต่ความตกใจที่จู่ๆ มีคนมาเคลื่อนไหวในระยะใกล้กลับทำให้นวินดาหันขวับไปหา นึกไม่ถึงว่าจมูกหล่อนจะปัดไปโดนแก้มสากระคาย
ให้ตาย! นวินดาผงะไปชิดพนักพิงของเบาะโดยอัตโนมัติ ก่อนจะเห็นว่าเขาหันมามองอย่างไม่คิดไม่ฝัน เล่นเอาหล่อนหน้าร้อนวูบวาบ หายใจไม่ทั่วท้องทันควัน
“รอให้จดทะเบียนเสร็จก่อนก็ได้”
คำพูดขอองเขาทำเอานวินดาเหวอ เตรียมจะอ้าปากประท้วงว่าไม่ได้คิดล่วงเกินเขาเสียหน่อย แต่มุมปากที่โค้งขึ้นนิดๆ ของคนตรงหน้าก็ทำให้รู้ว่าถูกแกล้งมากกว่า ยิ่งพอเห็นมือหนาดึงเข็มขัดนิรภัยไปคาดให้หล่อนได้อย่างง่ายดาย ก็ยิ่งอายจนอยากเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีไปเลย
ไอ้เข็มขัดนิรภัยบ้า! แกล้งหล่อนแบบนี้ได้ไง
“มันใกล้จะเสียแล้ว ต้องรู้จังหวะดึงนิดหน่อย” เขาอธิบายราวกับมานั่งอยู่ในใจของหล่อนไม่มีผิด ก่อนจะขับรถออกจากสวนอย่างอารมณ์ดี “ว่าแต่...แม่เธอเรียกสินสอดเท่าไร”
“เอ่อ...” นวินดาอึกอัก ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะถามเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยมีความคิดอยากแต่งงานมาก่อน “เราไม่ได้คุยเรื่องนี้กันเลยค่ะ แต่ที่จริงลุงไม่ต้องสนใจก็ได้ คุณสุดารัตน์ไม่ได้เลี้ยงน้ำผึ้งเสียหน่อย”
“ได้ไง” เขตพนาเลิกคิ้ว ดวงตาฉายแววประหลาดใจ “ถึงจะไม่ได้เลี้ยง แต่อย่างน้อยๆ แม่ก็อุ้มท้องเธอมาตั้งเก้าเดือน”
“แล้วแม่ลุงไม่ได้อุ้มท้องลุงหรือไง”
“เธอนี่มัน...” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหลืออดกับความยียวนของหล่อนจริงๆ
“ก็จริงนี่คะ” เด็กสาวไม่เข้าใจว่าตัวเองพูดผิดตรงไหน “หรือถ้าจะคิดเป็นค่าน้ำนม ลุงก็ต้องมีค่าน้ำนมเหมือนกัน เว้นเสียก็แต่ว่าลุงจะเกิดจากกระบอกไม้ไผ่ เลยกินน้ำค้างจากยอดไผ่เป็นอาหาร เอ...ก็เป็นไปได้นะคะ พวกหมีโคอะลาชอบกินใบไผ่อยู่แล้ว”
“หมีแพนด้า”
ราวกับมีถาดอันใหญ่ฟาดลงกลางศีรษะหล่อนเหมือนในตลกคาเฟ่ เกือบจะคิดตามไม่ทันแล้วเชียวว่าดอกเตอร์กำลังชี้แนะทางสว่างให้
“หมีโคอะลามันกินใบยูคาลิปตัส”
“ลุงน่ะ!” นวินดาค้อน ผิดกับคนตัวโตที่กำลังหัวเราะขบขัน “รู้จริงขนาดนี้แปลว่าเป็นหมีแพนด้าจริงๆ สินะ”
“เอาที่เธอสบายใจ...” ดอกเตอร์หนุ่มส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะวกกลับมาที่ประเด็นเรื่องค่าสินสอดตามเดิม “ฉันก็แค่อยากทำอะไรให้ถูกต้องตามประเพณี ใครต่อใครเขาจะได้ไม่นินทาว่าหลานสาวคุณนายเครือวัลย์ถูกเจาะไข่แดงฟรีๆ ก็เท่านั้นเอง”
หัวใจดวงน้อยๆ เต้นแรงเร็วกว่าปรกติ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะทำเหมือนอยากปกป้องชื่อเสียงของหล่อน ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รอง แถมหล่อนยังเอากระดูกไปแขวนคอเขาอีกด้วย
“ไม่สิ” เขตพนายิ้มมุมปากเล็กน้อย ตาพราวระยับยามเหล่มองหล่อน “ไม่ฟรีหรอกเนอะ ของแบบนี้ฟินๆ กันทั้งคู่มากกว่า”
คุณพระช่วย! นวินดาเริ่มอดจินตนาการไม่ได้ว่า ‘ฟิน’ ในความหมายของเขาคืออะไร หรือที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้อยากปกป้องชื่อเสียงหล่อนอย่างเดียว...
นึกย้อนไปถึงตอนที่ดอกเตอร์หนุ่มบอกว่าให้รอจดทะเบียนเสร็จก่อน แก้มใสๆ ก็เห่อแดงระเรื่อ
ไม่เอาน่า! อย่าเพิ่งรีบตีตนไปก่อนไข้ คนอย่างนวินดาไม่เคยกลัวอะไรเสียหน่อย ขนาดรังมดแดงยังทะลวงมาแล้ว ปีนต้นไม้ไปนอนอ่านหนังสือยังได้ ขับรถชนรั้วก็ไม่ตาย แล้วจะไปยากอะไรกับแค่รับมือสามี
รอให้ได้ทะเบียนสมรสมาประกาศอิสรภาพจากอำนาจปกครองของแม่ก่อน เรื่องอื่นก็ค่อยว่ากันทีหลัง!
ความคิดเห็น |
---|