3

สวัสดีค่ะ ฉันชื่อปุ๊


สวัสดีค่ะ ฉันชื่อปุ๊

Pu’s talk

ซ่า...

ความหรรษาของเมืองกรุงก็คือฝนตกตอนจะไปโรงเรียนและตอนเลิกเรียนนี่แหละ จากตอนบ่ายสามที่ฟ้ายังสดใส พอก้าวเท้าออกจากโรงเรียนเท่านั้นแหละ ฝนก็เทลงมาราวกับเทวดาเอาเหยือกน้ำมาจ่อรอ ให้ตายสิ กระเป๋านักเรียนฉันไม่กันน้ำเสียด้วย ไหนจะรายงานที่เตรียมจะส่งครูพรุ่งนี้อีก ถ้าเปียกไปละก็ ฉันต้องถ่างตาทำใหม่อีกคืนสินะ นี่คือสิ่งที่ฉันควรจะได้รับในสัปดาห์สุดท้ายก่อนการเรียนจบงั้นเหรอ

เพราะไม่ต้องการที่จะเปียกฝนไปมากกว่านี้ ทางเลือกสุดท้ายของฉันจึงเป็นการเข้าไปเดินหลบฝนในทางเดินของตลาดข้างโรงเรียน แต่เสียงฝนดังกระทบหลังคาสังกะสีเปาะแปะชวนปวดหัวนั่นทำให้ฉันต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะผ่านตลาดแห่งนี้ไปถึงรถไฟฟ้าให้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่วายต้องเปียกฝนในช่วงรอยต่อระหว่างตลาดกับสถานีรถไฟฟ้า

ถ้าฉันรู้ฟ้ารู้ฝนได้เหมือนกับการรู้เรื่องของชาวบ้านก็ดีสิ...

แอร์รถไฟฟ้าวันนี้เหมือนว่าจะหนาวขึ้นเป็นพิเศษจากการที่ตัวฉันเปียกฝนอยู่หน่อยๆ ทำให้ฉันเลือกที่จะยืนตัวสั่นอยู่ที่มุมสุดของรถไฟฟ้าเพื่อหลบแอร์ และที่สำคัญ เพื่อหลบจากการพบเจอผู้คนรอบข้าง

ฉันไม่ได้รำคาญผู้คนหรือเป็นคนโลกส่วนตัวสูงอะไรหรอกนะ ฉันแค่เบื่อที่จะรับรู้เรื่องราวของพวกเขาต่างหาก แค่เงยหน้าขึ้นมา ฉันก็พบกับเด็กสาววัยรุ่นอายุไม่เกินสิบเจ็ด คนนี้พ่อกับแม่เพิ่งเลิกกันเมื่อวาน เธอกำลังคิดจะหนีออกจากบ้าน นั่นยังไม่พอ คุณลุงที่นั่งอยู่ริมสุดของที่นั่งตรงนั้น เมียก็กำลังป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และขอแสดงความเสียใจล่วงหน้าเลยแล้วกัน เพราะคุณป้ากำลังจะเสียชีวิตในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ หวังว่าคุณลุงแกจะไปทันนะ

นี่มันวันศุกร์แห่งชาติจริงรึเปล่า ทำไมผู้คนรอบกายฉันถึงมีแต่เรื่องโศกเศร้าที่ดูเข้ากับบรรยากาศฝนตกเหลือเกิน แต่ถามว่าฉันเศร้าไปด้วยไหม ขอตอบเลยว่าไม่ เพราะถ้าฉันจะอินไปกับพวกเขาทุกเรื่องแบบนี้ ฉันคงเป็นบ้าตายตั้งแต่อายุสี่ขวบ การที่ฉันได้รับรู้เรื่องราวคนอื่นเป็นประจำมันทำให้ต่อมอารมณ์ความรู้สึกของฉันเริ่มสูญเสียไป...จนบางทีฉันก็คิดว่าตัวเองอาจจะด้านชาไปแล้ว

ที่เล่ามานั้นคือความสามารถพิเศษของฉันเอง อย่าถามหาเหตุผลนะว่าเกิดขึ้นได้ยังไง เพราะฉันไม่รู้ จำความได้ก็เป็นแบบนี้แล้ว ความทรงจำวัยเด็กของฉันเริ่มที่อายุสี่ขวบจนเกือบห้าขวบ ขอสารภาพตามตรงว่าก่อนหน้านั้นฉันจำอะไรไม่ได้เลย หน้าแม่ฉันก็จำไม่ได้ นึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าเคยเห็นหรือเปล่า รู้แค่ว่ามีแปะนี่แหละที่เป็นคนเลี้ยงฉันมา ฉันเคยเข้าใจว่าแปะเป็นพ่อนะ แต่แปะบอกไม่ใช่ เขาบอกว่าเขาเก็บฉันมาเลี้ยง แต่ถึงไม่ใช่ตอนนี้ฉันก็ไม่มีใคร แปะก็เหมือนพ่อนั่นแหละ

แปะเป็นผู้ชายร่างท้วมผิวขาวตามสไตล์คนที่มีเชื้อสายจีน หัวล้าน ตอนนี้สีผมเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้ว ก็ตามอายุที่มากขึ้น บางทีแกก็หลงๆ ลืมๆ บ้าง บางทีก็มีสาระอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ไม่ว่ายังไงแปะก็เลี้ยงฉันมาตั้งยี่สิบกว่าปีเลยทีเดียว ฟังไม่ผิดหรอก ยี่สิบสามปีแล้วที่แปะเลี้ยงฉันมา

ฉันเป็นเด็ก ม. ๖ ที่อายุสิบแปดตามบัตรประชาชนก็จริง แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องผิดกฎหมายที่ฉันไม่สามารถปริปากบอกใครได้ ก็แปะดันแจ้งเกิดให้ฉันช้าไปเกือบห้าปีน่ะสิ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แปะและฉันปกปิดมาโดยตลอด เพื่อให้เราสองคนยังอยู่ในประเทศไทยได้โดยที่ไม่โดนตำรวจจับ

แปะไม่ใช่คนไทย และฉันก็คิดว่าตัวเองคงไม่ใช่ด้วย แต่ด้วยเส้นสายที่ไม่น่าจะมีได้ของแปะมันทำให้ฉันได้สัญชาติไทยและเชื้อชาติไทยมาโดยวิธีผิดๆ แถมยังลดทอนอายุตัวเองไปอีกหลายปี และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยความร่วมมือของคุณวิภา ผู้มีพระคุณของฉันนั่นเอง

ฉันเคยถามนะว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ แปะบอกว่าบ้านเก่าของเรามันจนมาก เลยต้องหนีมาที่นี่ ถ้าอยากมีชีวิตใหม่ก็ต้องทำแบบนี้ แต่เหมือนว่าชีวิตใหม่ที่ได้มาจะมีแค่ฉัน ก็ในเมื่อแปะยังเป็นคนต่างด้าวอยู่เลย

 

‘Next station...’

เสียงประกาศในรถไฟฟ้าที่ดังขึ้นอีกครั้งดึงความสนใจของฉันให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน และโชคดีที่ถึงสถานีที่ต้องลงพอดี ฉันจึงออกจากรถไฟแห่งความโศกเศร้านั้นอย่างรวดเร็ว

เพราะโรงเรียนกับทางกลับบ้านห่างกันไม่มากนัก ทำให้ฉันยังคงอยู่ในอาณาเขตของฝนอยู่ ยังดีที่ไม่หนักมาก แต่ถ้าเดินช้ากว่านี้ก็อาจจะทำให้รายงานในกระเป๋าเปียกได้เหมือนกัน ฉันจึงเลือกที่จะวิ่งกลับบ้านให้เร็วที่สุด

อย่างที่บอก ฉันกับแปะเริ่มจากศูนย์ เสื่อผืนหมอนใบ สมัยฉันยังเด็กๆ แปะทำขนมจีบขายเพื่อเลี้ยงสองชีวิตให้อยู่รอด เราเช่าบ้านหลังเล็กๆ อยู่ในชุมชนแออัด ต่อมาหลังจากที่ค้นพบว่าฉันมีความสามารถพิเศษ เราก็เริ่มทำมาหากินโดยเอาเรื่องไสยศาสตร์มาบังหน้า ดูดวงบ้าง ทำนายทายทักไปเรื่อย แต่ปัญหามันอยู่ที่ความเป็นเด็กมันทำให้ฉันพูดทุกอย่างที่รู้ แล้วก็ดันไปทักเรื่องแย่ๆ เข้าน่ะสิ ร้ายที่สุดคือฉันไปทักป้าร้านก๋วยเตี๋ยวว่าแกจะตาย พอแกตายเท่านั้นแหละ ฉันก็กลายเป็นเด็กปิศาจขึ้นมาทันที ตอนนั้นแปะพาย้ายบ้านหนีแทบไม่ทัน

จะมีก็แต่คุณภานี่แหละที่ฟังและเชื่อฉันทุกอย่าง เราได้ค่าจ้างจากคุณภาเป็นเงินก้อนใหญ่หลายต่อหลายครั้ง นอกจากนี้คุณภายังคอยให้ความช่วยเหลือด้านการหลบเลี่ยงกฎหมาย บางทีก็แอบคิดว่าถ้าจะมีเรื่องกับใครก็ได้นะ ยกเว้นคุณภา ยากแท้หยั่งถึงจริงๆ

หลังจากที่เราเริ่มมีเงิน แปะก็มาซื้อตึกแถวหลังนี้เพื่อเปิดร้านขายของชำและขายติ่มซำที่แปะชอบทำ ส่วนห้องข้างในก็เอาไว้รับแขกที่มาดูดวง ซึ่งแปะเป็นคนเลือกสรรงานมาให้ ส่วนมากเราจะรับแค่คนใหญ่คนโตเพราะได้เงินเยอะ และคนพวกนี้ไม่ค่อยทำตัวมีปัญหา

ฉันเคยรับงานเล็กๆ นะ แต่คนพวกนี้ชอบเอาไปเล่าต่อบ้าง ตั้งกระทู้บ้าง ฉันและแปะจึงเห็นตรงกันว่าไม่อยากรับ เราไม่อยากให้ใครมารู้จักเราไปมากกว่านี้ เพราะเป็นคนมีชนักติดหลัง ฉันไม่ได้อยากดัง ขอแค่มีตังค์เลี้ยงชีวิตก็พอ

ถึงแม้จะรับงานโดยใช้คำว่าดูดวง แต่ความจริงแล้วฉันไม่ใช่หมอดูและไม่มีความรู้เรื่องโหราศาสตร์ ความสามารถของฉันคือการหยั่งรู้เสียมากกว่า

ฉันเคยคิดนะว่าเราควรจะรวยกันมากกว่านี้ แต่ติดก็ตรงที่ฉันไม่สามารถรับทุกงานได้นี่สิ อย่างที่บอก ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารู้เรื่องของพวกเขาได้ยังไง และแน่นอน ฉันควบคุมมันไม่ได้ มันไม่ใช่พลังจิตที่จะมาเพ่งพิจารณา อยากรู้อะไรก็ถามมา มันไม่เป็นแบบนั้น...ในความเป็นจริงคือ ฉันตอบได้แค่สิ่งที่ฉันรู้เท่านั้นเอง

ถึงแม้ฉันจะรู้เรื่องราวของคนอื่นมากมาย แต่ถ้าเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ฉันกลับไม่เคยได้รู้เรื่องเหล่านั้นเลย และยิ่งกว่านั้น สิ่งที่ฉันอยากรู้ที่สุดแต่ไม่เคยได้รู้เลยก็คือ...งวดหน้าหวยออกอะไร!

 

หลังจากคิดอะไรเพลินๆ พร้อมกับเร่งฝีเท้า ในที่สุดก็มาถึงบ้าน แปะยังคงนั่งอยู่ที่มุมเดิมในท่าทางเดิมๆ พร้อมกับพัดใบลานคู่ใจ

“อาปุ๊ ลื้อมาช้านะวันนี้” เสียงแปะทักขึ้นเมื่อเห็นฉันเดินมาแต่ไกล

“ฝนตกไงแปะ รถติด”

“รถจะติดได้ไง ลื้อนั่งรถไฟฟ้า” แปะส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับเหตุผลที่ฉันยกมาอย่างข้างๆ คูๆ

และนั่นทำให้ฉันฉีกยิ้มให้แปะอย่างอารมณ์ดี การได้ก่อกวนบุคคลอันเป็นที่รักนั้นก็เป็นหนึ่งในความสุขไม่กี่อย่างของฉันในวันนี้

“อย่าโมโหสิ วันนี้มีงานเหรอ” ฉันถามพร้อมกับเดินตรงไปหยิบซาลาเปาของแปะที่เอาไว้ขาย ถ้าฉันไม่กินมันก็ขายไม่หมดหรอก...บอกเลย

“มี หกโมงเย็น เห็นว่าบินมาจากต่างประเทศเลยนะ” แปะยังคงโบกพัดไปมาทั้งๆ ที่อากาศตอนนี้ก็ไม่ได้ร้อนอะไรเลย คงเป็นเพราะความเคยชิน ตั้งแต่จำความได้ พัดอันนี้ก็อยู่คู่กับแปะแล้ว

“โอเค งั้นเดี๋ยวหนูอ่านหนังสือก่อน เสาร์นี้มีสอบ”

“ลื้อจะไปจริงจังอะไรมากมายกับการเรียนแบบนั้น ลื้อควรจะตั้งใจเรียนที่โรงเรียน แล้วสอบเข้ามหา’ลัยดีๆ” แปะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทันทีที่ฉันพูดถึงการสอบ ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้แปะจะแสดงอาการหงุดหงิดเสมอ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การสอบในโรงเรียนที่ฉันเรียนอยู่ แปะไม่เคยและดูท่าจะไม่มีวันเห็นด้วยกับเรื่องนี้

จุดมุ่งหมายของฉันกับแปะไม่เหมือนกัน อย่างที่บอก แปะก็เปรียบเสมือนพ่อของฉัน ที่หวังดีกับฉันเสมอ แปะมักจะสรรหาสิ่งดีๆ มาให้ฉัน ดีในที่นี้คือในมุมมองของแปะนะ อย่างเช่นโรงเรียนเอกชนราคาแพงนั่น ที่ไม่รู้ว่าแปะไปคุยกับเขายังไง ฉันถึงสามารถเข้าไปเรียนได้ทั้งๆ ที่ค่าแรกเข้าก็แสนแพง แปะบอกฉันว่าเป็นทุนการศึกษาพิเศษ แถมยังแทบจะคุกเข่าขอร้องฉันว่าให้ไปเรียนที่นั่นเถอะ ความหวังสูงสุดของแปะคือการที่ฉันได้เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ สักที่หนึ่ง

แต่สิ่งที่ตามมาคือฉันต้องหาค่าเทอมจนเลือดตาแทบกระเด็นนี่สิ!

ความคิดของแปะตรงกันข้ามกับฉันอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่ฉันต้องการไม่ใช่มหาวิทยาลัยชื่อดัง ฉันแค่อยากเรียนให้จบ เพื่อที่จะได้ทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวแล้วดูแลแปะให้ดี อายุฉันก็เท่านี้แล้ว ถ้าเป็นคนอื่นเขาเรียนจบกันหมดแล้ว ในขณะที่ฉันต้องคอยปกปิดความลับตัวเอง และยังเรียนอยู่แค่ ม. ๖ การศึกษานอกโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเปิดจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งตอนนี้อีกไม่ถึงปีฉันก็จะจบปริญญาอยู่แล้ว แต่แปะก็ไม่ยอมรับเสียที

สมัยเด็กๆ ฉันไม่สามารถเข้าไปเรียนหนังสือกับคนทั่วไปได้ ด้วยความต่างของอายุ ขืนไปสมัครอนุบาลตอนอายุสิบขวบสิ ใครก็จับได้แน่ๆ แรกเริ่มแปะก็สนับสนุนให้ฉันเรียนที่ศูนย์เรียนรู้ชุมชน มันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนั้น แต่เมื่อสามปีก่อน แปะไปคุยกับใครสักคนแล้วเขาก็ทำให้ฉันได้เข้าไปอยู่ในโรงเรียนที่เรียนอยู่ตอนนี้ได้ ถามว่าดีมั้ย ก็ดีนะ มันทำให้ฉันได้เรียนรู้คำว่า ‘เพื่อน’

“เอาน่าแปะ ที่โรงเรียนหนูก็ตั้งใจเรียนแล้วไง นั่งเฝ้าร้านไปนะ เดี๋ยวมา” ฉันไม่คิดจะเถียงกับแปะเรื่องนี้ เราผ่านจุดจุดนั้นมานานแล้ว ฉันขอพบกันครึ่งทางคือยอมไปโรงเรียน แต่ถ้าได้ใบปริญญาเมื่อไหร่ บอกเลยว่าฉันไม่ไปสอบอะไรอีกแน่นอน

“ลื้อมันดื้อจริงๆ เฮ้อ” แปะถอนหายใจกับเรื่องนี้เป็นครั้งที่เก้าสิบเอ็ด ฉันไม่คิดจะเปลี่ยนมุมมองการศึกษาของแปะใหม่ ได้แต่ส่งยิ้มหวานให้ก่อนที่จะหยิบกระเป๋าและเดินเข้าไปในห้องของตัวเองแทน

 

ติ๊ง!

เสียงข้อความเข้าในโทรศัพท์ดังขึ้นไม่นานหลังจากที่ฉันวางกระเป๋าลงบนโต๊ะหนังสือ โทรศัพท์ของฉันมีไว้ติดต่อกับคนแค่ไม่กี่คน นั่นคือแปะและยายน้ำหวานเพื่อนซี้ต่างวัยของฉันที่โรงเรียน และที่ส่งข้อความมาก็คงไม่ใช่แปะแน่ๆ

นอว้อนอวอ : สอบจันทร์นี้ทำยังไงดี เสาร์นี้มีคอน

น้ำหวานทักมาด้วยเรื่องไร้สาระอีกตามเคย แต่ถ้ามองในแง่ดี ต้องขอบคุณเธอที่ทำให้ฉันมีช่วงชีวิตที่เรียกว่าวัยรุ่นกับคนอื่นเขาบ้าง

Pu : ก็อ่านหนังสือวันอาทิตย์ไง

นอว้อนอวอ : แต่ว่าวันอาทิตย์ต้องไปส่งวอนแจโอปป้าที่สนามบิน

นอว้อนอวอ : แถมยังต้องไปรับตั้งแต่ออกจากโรงแรมด้วย

มาถึงตรงนี้ฉันก็กลอกตามองบนเล็กน้อย เธอทำราวกับว่าถ้าเธอไม่ไปส่งเขาจะกลับไม่ได้งั้นแหละ

Pu : งั้นเลือกเอาเองแล้วกัน ว่าจะเป็นติ่งที่ต้องคอยหยอดกระปุกซื้อบัตรคอนเสิร์ต หรือจะรีบเรียนให้จบ ทำงานมีตังค์แล้วซื้อบัตรวีไอพี

นอว้อนอวอ : ทำไมร้าย T^T

Pu : ทักมาแค่นี้ใช่มั้ย ไปอ่านหนังสือไป

นอว้อนอวอ : ม่ายยยย จะบอกว่า วันปัจฉิมมิสซิสกาญจนาบอกว่าให้เชิญผู้ปกครองมาด้วยนะ

Pu : โอเค

วันปัจฉิมที่น้ำหวานพูดถึงก็คือประมาณปลายเดือนหน้า ในที่สุดก็จะได้ปลดแอกจากการเป็นนักเรียนเสียที แต่การที่จะทำให้แปะยอมออกจากบ้านไปพบเจอผู้คนมากมายนี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ถ้าไม่นับเส้นสายแปลกๆ ที่แปะมีแล้วละก็ ฉันไม่เคยเห็นแปะออกไปไหนมาไหนกับใครเลย สิ่งเดียวที่ฉันรู้เกี่ยวกับแปะโดยที่แปะไม่เคยบอกฉันก็คือ...แปะรู้จักกับแม่ของฉัน

 

หลังจากอ่านหนังสือเตรียมขอเก็บหน่วยกิตไปได้เกือบชั่วโมง อาการเหนื่อยล้าก็เริ่มเข้ามาทักทาย อีกทั้งมองดูนาฬิกาก็เห็นว่าห้าโมงเกือบครึ่งแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงเวลานัด ลูกค้ารายนี้ที่แปะนัดมาให้ไม่ได้ส่งรูปหรือประวัติอะไรมาให้ฉันดูก่อน ก็คงต้องไปดูหน้างาน ถ้าตอบคำถามเขาได้ก็ได้เงิน ถ้าไม่ได้ก็อดไป ฉันคงไม่มีหน้าไปเก็บเงินใครถ้าช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย

เมื่อออกมาจากห้องก็กะว่าจะหาอะไรเย็นๆ กินให้ชื่นใจเสียหน่อย แต่ต้องแปลกใจกับท่าทางประหลาดของแปะที่กำลังนอนยกขาอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน

“แปะทำไรเนี่ย” ด้วยความสงสัย ฉันจึงยืนเกาหัวเมื่อเห็นท่านอนแปลกๆ ของแปะ

“นอนยกขาไง ไม่เห็นรึไง” แปะตอบแบบกำปั้นทุบดิน มันก็ถูกของแปะ ฉันผิดเองที่ไปถาม

“หนูหมายถึง นอนท่านั้นทำไม ไม่ปวดหลังรึไง” จากการที่อยู่ร่วมกันมาเป็นยี่สิบปี ฉันค้นพบว่าการสนทนากับแปะที่ถูกต้องก็คือต้องเปลี่ยนคำถามให้ตรงๆ

“นั่งนาน ขาบวม ในอินเทอร์เน็ตเขาบอกให้นอนยกขา” แปะตอบพร้อมกับทำท่าเหมือนตัวเองเป็นหมอเทวดา โอเค เอาที่แปะสบายใจเลย

“นอนหัวต่ำแบบนั้นก็ระวังหัวบวมด้วยแล้วกัน”

“เอ้อ จริง” เหมือนคำพูดประชดประชันของฉันจะไปตรงกับตรรกะของแปะ จากที่นอนยกขาอยู่แบบนั้นเลยรีบเปลี่ยนมานอนราบทันที แปะก็เป็นแบบนี้ บางทีก็สงสัยจริงๆ ว่าแปะเลี้ยงฉันมาจนอยู่รอดโตเป็นคนปกติแบบนี้ได้ยังไงกัน

เอ๊ะ! หรือฉันก็ไม่ปกติ

ฉันส่ายหน้าให้แปะ ก่อนจะหยิบเครื่องดื่มในตู้เย็นออกมาดื่มให้ชื่นใจ ลบล้างเรื่องไร้สาระที่สนทนากับแปะไปเมื่อครู่

“หนูไปรอที่ห้องนะแปะ ถ้าเขามาก็ให้เข้ามาได้เลย”

แปะไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา เพียงแค่พยักหน้าแล้วโบกพัดใบลานด้วยท่าทางที่ฉันคุ้นเคย

 

ห้องทำงานของฉัน หรือห้องที่ใช้ดูดวงให้ชาวบ้านนั้น เป็นห้องที่ตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าอ่อนดูสดใส ภายในมีแค่โซฟารับแขกอยู่หนึ่งชุด และแจกันดอกไม้ที่แปะมักจะเป็นคนนำดอกไม้มาปักไว้ทุกครั้งที่จะมีลูกค้ามา จะเป็นดอกอะไรก็แล้วแต่ แปะจะหามาได้ เรียกได้ว่าห้องนี้ แปะเป็นคนออกแบบและดูแลอยู่ตลอด

แม้ว่าบ้านเราจะเริ่มทรุดโทรมสักแค่ไหน แต่ก็มีแค่ห้องนี้เท่านั้นที่ยังคงดูดีอยู่เสมอภายใต้การดูแลของแปะทั้งหมด จะว่าไปหลังคาตรงห้องครัวก็เริ่มรั่วแล้วสิ คงต้องขอเงินแปะไปหาซื้ออะไรมาปะ ช่วงนี้ฝนยิ่งตกอยู่บ่อยๆ เหมือนว่าพายุจะเข้า

อันที่จริงบ้านเราเป็นตึกแถวสองชั้นครึ่ง ชั้นล่างสุดแปะเปิดร้านขายกาแฟและของชำ รวมทั้งซาลาเปาสูตรแปลกๆ และก็เป็นห้องนอนของแปะ ชั้นบนสุดเป็นห้องนอนของฉัน และชั้นครึ่งนี้เป็นส่วนที่ทำเป็นห้องทำงาน แต่ส่วนห้องครัวเป็นส่วนที่ต่อเติมออกไปเลยทำให้มีปัญหาเรื่องหลังคาอยู่บ่อยๆ

ขณะที่กำลังวางแผนในหัวว่าต้องซื้ออะไรมาซ่อมหลังคาบ้าง เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น

“เชิญค่ะ” ฉันตอบรับเสียงเคาะประตูนั่นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมเป็นพิเศษ ด้วยความที่ฉันดูเหมือนเด็ก ไม่แปลกที่ผู้คนมักจะไม่ค่อยให้ความเชื่อถือฉันเท่าใดนักในช่วงแรก

“สวัสดีค่ะ/ครับ”

เมื่อประตูเปิดออกก็พบกับผู้หญิงน่าจะอายุประมาณสี่สิบปลายๆ กับผู้ชายอีกคนที่น่าจะอยู่ในวัยกลางคน ทั้งสองสวมชุดสีดำ ท่าทางดูนอบน้อมเป็นพิเศษจนน่าแปลกใจ

“เชิญนั่งค่ะ”

สองคนนี้ดูต่างจากคนทั่วไปที่เคยพบฉันครั้งแรก พวกเขาไม่มีท่าทีดูแคลนเด็กอย่างฉันแม้แต่น้อย ราวกับรู้มาแล้วว่าฉันเป็นยังไง

ฉันลอบมองทั้งสองสลับไปมา พวกเขาแปลก ผู้ชายคนนี้เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีดำ ส่วนผู้หญิงก็ไม่ต่างกัน ภายนอกที่ดูสุภาพนอบน้อมนั้นต่างจากพื้นเดิมของพวกเขาลิบลับ แบบนี้สินะที่เรียกว่ารู้หน้าไม่รู้ใจ และสิ่งที่ฉันรู้อีกอย่างคือพวกเขาไม่ใช่คนไทย แต่พูดภาษาไทยได้ชัดเจนมาก

“พวกคุณอยากรู้อะไรคะ” ฉันถามเพื่อการหยั่งเชิง ฉันไม่รู้หรอกว่าจะตอบคำถามได้มั้ย แต่ความรู้สึกตอนนี้คือ ฉันไม่อยากตอบคำถามพวกเขาเลย ถ้าเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมายละก็ ฉันคงต้องยกเลิกงาน

“พวกเรามาตามหาลูกสาวของเจ้านาย เขาหายไปประมาณยี่สิบสามปีแล้วค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นตอบ พร้อมกับส่งรูปเด็กทารกมาให้ฉัน มันเป็นรูปถ่ายสีซีดจนเกือบจะเป็นภาพขาวดำ ภาพเก่ามากจนแทบบอกรายละเอียดอะไรไม่ได้

ตามหาคนหายงั้นเหรอ จากภาพของเด็กทารกที่เห็นไม่ได้ทำให้มีอะไรโผล่เข้ามาในหัวของฉันเลย ราวกับว่าเด็กคนนี้ไม่มีชีวิตแล้วอย่างนั้นแหละ

“ขอโทษค่ะ ฉันคงไม่สามารถรับงานนี้ได้” ฉันสารภาพออกไปตามตรง ถ้าเดาไม่ผิด เด็กคนนี้น่าจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว เพราะถ้าเป็นภาพของคนตาย ฉันจะไม่สามารถรู้เรื่องของพวกเขาได้

ชายหญิงทั้งคู่สบตากันอีกครั้งอย่างหวั่นๆ ก่อนที่ฝ่ายชายจะหันมาหาฉันอีกครั้ง

“ช่วยเราไม่ได้จริงๆ เหรอครับ”

“ค่ะ ฉันไม่ทราบจริงๆ” ฉันยืนยันหนักแน่น ก่อนจะผายมือไปที่ประตู “ขออภัยนะคะ เชิญค่ะ”

งานที่ไม่ได้เงินฉันก็ไม่อยากจะเสียเวลากับมันนาน เพราะฉะนั้นฉันจึงเลือกที่จะเชิญคนทั้งคู่กลับอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหมือนทั้งสองจะลังเลกันอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจลุกและจากไปโดยไม่ล่ำลา

เมื่อแขกกลับไปแล้ว สิ่งที่ฉันเลือกจะทำก็คือกลับไปอ่านหนังสือต่อ ฉันไม่ใช่คนขยัน แต่ฉันเป็นคนขี้เกียจ ขี้เกียจเรียนนาน อยากจบไวๆ เลยต้องอ่านเพื่อให้สอบผ่านในครั้งเดียว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น