9

จูบ...ลงทัณฑ์


 

ให้ตายสิ!

ตั้งแต่ได้ฟังสิ่งที่ปวีร์เล่าถึงอดีตคนรักของนายจ้างจอมเจ้าปัญหา สลักจันทร์ก็เอาแต่คิดเรื่องธรรศตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา โชคดีที่ระหว่างนี้ชายหนุ่มยุ่งจนไม่มีเวลาเข้ามานั่งจับผิดเธอสักวัน หญิงสาวเลยไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะเข้าหน้าเขาอย่างไรไม่ให้ประดักประเดิด ซ้ำยังไม่มีเรื่องกวนตัว ไม่มีคนกวนใจ พลอยทำให้เธอมีสมาธิตั้งใจทำงานได้สมดังหวัง...

เสียที่ไหนล่ะ!

สถาปนิกสาวคิดด้วยความกลัดกลุ้ม หวังอยากให้เป็นเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริงเธอกลับคิดเรื่องงานได้แค่ช่วงประเดี๋ยวประด๋าว เพราะพ่อคนเจ้าปัญหาคอยวนเวียนเข้ามาเคาะประตู โผล่หน้าเข้ามาในห้วงความคิดของเธอไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน ใบหน้าคมคายที่เธอมักเห็นพร้อมแววตาคมกริบอยู่เสมอคอยตามหลอกหลอนกันไม่เลิก ซ้ำร้ายภาพเหตุการณ์ชวนวาบหวิวที่เขาปฏิบัติต่อเธอเมื่อหลายวันก่อนก็ย้อนกลับเข้ามาดังเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวาน

คนคิดหน้าแดงซ่าน...

สลักจันทร์ทั้งหงุดหงิด ขุ่นเคือง เขินอายปะปนกันไป ยามเมื่อคิดถึงฝ่ามือใหญ่ที่วางลงใต้ทรวงอกเธออย่างสนิทสนมคุ้นเคย แม้แต่เอกภพที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟน และมีแผนจะแต่งงานกัน เธอยังไม่เคยให้สิทธิ์เขาถึงขนาดนั้นเลยสักครั้ง!

เกิดมา...เธอก็เพิ่งเคยเห็นแววตาปรารถนาของผู้ชาย

แววตาของเขาสร้างความวาบหวามหวั่นไหวให้แก่เธออย่างสุดที่จะต้านทาน เพียงแค่สบตากันชั่วอึดใจ ขนาดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วตั้งสองอาทิตย์ แต่พอเธอคิดย้อนกลับไปทีไร หัวใจเธอยังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง มันเต้นตึกตัก...เหมือนกับว่าเรื่องราวนั้นเกิดขึ้นและหมุนวนไปอย่างไม่มีวันจบ

สลักจันทร์ยกมือกุมใบหน้า รู้สึกถึงความร้อนผ่าวบนแก้มนวลที่ส่งผ่านมาถึงฝ่ามือ จนเธอต้องรีบสะบัดศีรษะไปมาหลายที ไม่รู้ว่าอยากขับไล่ ‘ความร้อน’ หรือ ‘ความคิด’ ที่กำลังตีกันให้ยุ่งเหยิงอยู่ในหัวกันแน่ เพราะแค่นึกถึงฝ่ามือแข็งๆ เฉกเช่นชายชาตรี ริมฝีปากร้อนชื้นและไรฟันที่ครูดไปตามลำคอของเธออย่างจงใจ หญิงสาวก็พลันขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ทำไมจะต้องเป็น ‘เขา’

คนปาก ‘ร้าย’ นิสัย ‘แย่’ พรรค์นั้นมีอะไรดี

ทำไมเขาถึงทำให้เธอ ‘หวั่นไหว’ ได้

สลักจันทร์คิดอย่างไม่ชอบใจ และยิ่งไม่สบอารมณ์ขึ้นเป็นทวีคูณ พลางร้องถามตัวเองว่านี่เธอจะไม่หยุดคิดถึงเขาสักวินาทีเลยรึไง เมื่อสายตาของเธอเริ่มจะเลอะเลือน มองเห็นอะไรๆ ก็กลายเป็นหน้าเขาไปเสียหมด ราวกับเจ้าตัวมาปรากฏกายอยู่ต่อหน้าเธอจริงๆ อย่างนั้นแหละ

ความคิดของหญิงสาวพลันสะดุด...

‘ตัวจริง?’

สลักจันทร์ขยี้ตาดูให้แน่ใจว่าใช่ภาพลวงตาหรือไม่ แล้วก็พบว่าคนที่ชอบเข้ามารบกวนจิตใจเธออยู่บ่อยครั้งในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขาเปิดประตูเข้ามายืนเต๊ะท่าอยู่ตรงหน้าเธอตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ หาได้ปรากฏกายรบกวนเธอแค่ในความคิดอีกต่อไป

“คุณธรรศ! มาได้ยังไงคะ!”

หญิงสาวร้องถามเสียงตื่นๆ มองเขาอย่างระแวง ระแวดระวังทันที ไหนลุงมั่นบอกกับเธอเมื่อสองวันก่อนไงว่า งานของเขามีปัญหา อาจจะไม่มีเวลาเข้ามาดู ‘แบบ’ ที่เธอเพิ่งเริ่มร่าง คงต้องรอให้พ้นอาทิตย์นี้ไปถึงจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง จำได้ว่าตอนนั้นสลักจันทร์ฟังสิ่งที่เขาฝากคำสั่งมากับลุงคนขับรถด้วยความหมั่นไส้ เขาบอกให้เธอออกแบบไปเลย แล้วเขาจะเข้ามาดูให้ทีหลังว่าผ่านหรือไม่

ทำอย่างกับว่าคิดกันง่ายๆ แค่ห้านาที สิบนาทีก็เสร็จ

ถ้าไม่ชอบ...ก็ไม่เอา โยนทิ้งไปซะ!

คนอะไร...ไม่รู้จักเห็นใจคนที่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็ง ทั้งเค้น ทั้งคิด ทั้งเครียด กลั่นสมองออกมาเป็นไอเดียเลยสักนิด!

“เสียใจที่เจอผมขนาดนั้นเลยรึไง” ธรรศเลิกคิ้วถาม น้ำเสียงบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์เท่าไรที่ได้ยินคำทักทายแบบไม่ต้อนรับกัน ยิ่งบวกกับสีหน้าที่อยากจะวิ่งหนีเขาไปให้ไกลสุดขอบโลกด้วยแล้ว ยิ่งพานให้โมโห จนต้องเหน็บกลับไปเสียงขุ่น

“เก็บๆ อาการไว้บ้างก็ดีนะ ถึงผมจะรู้ว่าคุณอยากให้คนที่เดินเข้ามาเป็นไอ้วีร์หรือหนุ่มๆ คนอื่นในสต็อกของคุณก็เถอะ แต่ไม่ต้องแสดงสีหน้าชัดเจนขนาดนั้นก็ได้ ช่วยรักษามารยาทกับผมสักหน่อยคงไม่ถึงกับตายมั้ง”

หญิงสาวพลันหน้าหงิก เจอหน้ากันปุ๊บ ประโยคแรกเขาก็ประชดประชันกันเลย นี่ถ้าเขาจะไม่แขวะเธอสักครั้งที่เจอกัน...เขาจะลงแดงไหม

สลักจันทร์แขวะคนปากร้ายในใจ แต่ในความเป็นจริงเธอต้องเพียรระงับจุดเดือดให้กลายเป็นศูนย์ หรือยิ่งติดลบได้ยิ่งดี แล้วตอบเขากลับไปอย่างใจเย็น

“ดิฉันก็แค่สงสัย เพราะเห็นลุงมั่นบอกว่าอาทิตย์นี้คุณไม่เข้า”

“จริงๆ ก็ควรเป็นอย่างนั้น”

ใบหน้าคมยังไม่คลายความบูดบึ้งลงเลยสักนิด เขารูดปมเนกไทที่ต้นคอพอให้หายใจสะดวกขึ้น เพราะเขาไม่ชอบให้มีพันธนาการใดเหนี่ยวรั้งตัวเองไว้โดยไม่จำเป็น ก่อนถอดเสื้อสูทโยนไปบนที่นั่งข้างๆ ตัวอย่างไม่ไยดี ด้วยรู้สึกอบอ้าวและเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ต้องการอากาศเย็นสบายช่วยดับร้อนทั้งทาง ‘กาย’ และ ‘ใจ’

“ออกแบบไปถึงไหนแล้วล่ะ”

เมื่อคนหน้าเคร่งเลือกที่จะไม่ขยายความอันใด สลักจันทร์จึงได้แต่ปล่อยให้ความสงสัยของเธอเป็นปริศนาอยู่อย่างนั้น

งานของเขามีปัญหาอะไร หนักไหม แล้วเขาแก้ปัญหาได้หรือเปล่า...

หญิงสาวนึกเป็นห่วง แต่ก็เลือกที่จะปล่อยวางไม่ถาม เดี๋ยวได้ถูกเขาตอกหน้าหงายกลับมาน่ะสิว่า ‘ยุ่งไม่เข้าเรื่อง’

“ดิฉันคิดคอนเซปต์และตัวโครงบ้านบางส่วนได้แล้วค่ะ”

“ดี...ไหนขอผมดูหน่อยสิ”

พูดจบก็สาวเท้าเข้าไปใกล้ ไม่รอให้หญิงสาวขยับกายหลบ มือหนายันบนโต๊ะเขียนแบบ ก้มมองแบบที่สถาปนิกสาวร่างไว้คร่าวๆ จนคางแทบจะเกยกับหัวไหล่มน โดยไม่ใคร่ใส่ใจว่าคนใต้ร่างจะนั่งเกร็ง ตัวแข็งทื่อกลายเป็นก้อนหินไปเสียแล้ว

“บ้านจันทร์ทอแสง...ออกแบบตามคอนเซปต์ที่เจ้าของบ้าน คุณธรรศ ธุวานนท์ ต้องการคือ อยากได้บ้านแบบอิงธรรมชาติ เรียบหรู ดูดี เน้นความโปร่งสบาย เพราะอยากให้คนที่อยู่อาศัยมีความสุข ได้ดื่มด่ำกับสายลมและแสงแดดจากธรรมชาติอย่างเต็มอิ่ม”

ธรรศหยุดอ่าน แล้วหันมองเธอด้วยแววตาที่สลักจันทร์อ่านไม่ออกเช่นเคยว่าเขารู้สึกเช่นไร ก่อนจะอ่านต่อไป

“ที่ดินผืนนี้สวยมาก อยู่ติดริมน้ำ หน้าบ้านหันไปทางทิศตะวันตกติดกับถนนใหญ่ โชคดีที่ละแวกนี้ยังไม่ค่อยมีผู้คนอาศัยหนาแน่นเท่าไร รถราจึงไม่ติด นานๆ จะมีขับผ่านสักคัน การสัญจรไปมาไม่แน่นขนัด บริเวณโดยรอบที่ดินค่อนข้างสงบ ลงเสาเข็มปลูกบ้านง่าย ไม่ต้องกลัวรบกวนคนที่อาศัยอยู่ใกล้เคียง เพราะทั้งสี่ทิศไม่มีบ้านคนเลยสักหลัง

“ถนนหน้าบ้านออกสู่เส้นตัดใหม่ได้หลายทาง ไม่ต้องกลัวว่าจะไปไหนมาไหนลำบาก แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงให้มากคือเรื่องน้ำ ต้องปรับสภาพหน้าดินให้อยู่สูงกว่าถนน คงต้องมาวัดกับถนนด้านหน้ากันอีกทีว่าจะต้องถมดินเพิ่มสักเท่าไร เวลาหน้าฝน น้ำจะได้ไม่ท่วม”

ธรรศหันมองสถาปนิกสาวอีกครั้งด้วยแววตาพึงพอใจ

“คุณคิดเองรึเปล่า”

สลักจันทร์หน้าบึ้งลงทันตา อดประชดกลับไม่ได้ว่า

“แล้วคุณจ้างใครมาออกแบบบ้านให้ล่ะคะ”

เธอก็อยากจะอดทนให้มากกว่านี้หรอกนะ อยากมีความเป็นมืออาชีพ โฟกัสเฉพาะที่เนื้องาน ไม่ย่อท้อต่อปากต่อคำกับเขา ไม่เอาอารมณ์ส่วนตัวเข้าไปเกี่ยวข้อง

แต่บางที...ผู้ชายคนนี้ก็แสนจะยียวนกวนประสาทเธอเหลือใจ!

คนโดนแขวะเองก็คงคิดเหมือนกับเธอ ถึงได้ตวัดสายตามองมา แววตาที่แสดงความพึงพอใจเมื่อครู่ขุ่นลงแทบจะทันควัน

“อย่าประชดผม...สลักจันทร์!” เขาเตือนสั้นๆ

คนฟังแอบแบะปาก นึกค่อนขอดคนเผด็จการต่ออีกว่า

‘คุณทำได้คนเดียวอย่างนั้นสิคะ ให้ตายสิ! ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน คิดว่ารวยล้นฟ้าแล้วจะทำอะไรตามใจยังไงก็ได้รึไง นิสัยคนรวยนี่มันน่ารังเกียจจริงๆ’

สลักจันทร์พยายามนับหนึ่งถึงสิบใหม่ ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ ปรับอารมณ์ ปรับความรู้สึก โยนความขุ่นข้องหมองใจทั้งหมดทิ้งลงถังขยะไปซะ แล้ววกกลับเข้าเรื่องงานอีกครั้ง

“ไอเดียดิฉันเป็นยังไงบ้างคะ พอจะถูกใจคุณบ้างไหม”

“ดีเลยละ”

ถึงหน้าคนพูดจะยังบึ้งอยู่นิดๆ แต่เธอเห็นรอยยิ้มในแววตาคมดุคู่นั้น ยิ่งยามที่เขาเคลื่อนใบหน้าลงมาพินิจแบบที่เธอร่างคร่าวๆ อย่างละเอียด สลักจันทร์ก็ยิ่งเห็นแววตาที่บ่งบอกว่าชื่นชอบมันอย่างเด่นชัด!

จะไม่ให้คิดเช่นนั้นได้อย่างไร...

ก็เขาเล่นจ้องกระดาษที่เธอใช้สเกตช์พื้นที่ใช้สอยภายในบ้านซะใกล้จนหน้าแทบจะจูบกับมัน ใบหน้าคมคายอยู่ห่างจากเธอไม่ถึงคืบ แก้มแทบจะแนบแก้ม หญิงสาวจึงขยับตัวหนี แต่อีกฝ่ายก็ยังตามเอาคางมาก่ายเกยราวกับเป็นแม่เหล็กติดหนึบกับหัวไหล่เธอ สลักจันทร์เลยไม่กล้าหันหน้าไปทางเขา เพราะกลัวว่าริมฝีปากของเธอจะบังเอิญไปสัมผัสโดนผิวสากที่มีไรหนวดขึ้นเขียวครึ้มนิดๆ เข้าเหมือนในละครไทย เดี๋ยวพ่อคนปากร้ายจะกล่าวหาว่าเธอให้ท่า ตั้งใจจะขโมยจูบเขาอีกน่ะสิ

หญิงสาวไม่กล้ากระดุกกระดิก ได้แต่เหล่มองนายจ้างหนุ่ม ใจนึกอยากจะบอกเขาเหลือเกินว่าช่วยเขยิบออกไปห่างๆ เธอหน่อยได้ไหม เขาเล่นเข้ามาใกล้หายใจรดต้นคอเธออยู่อย่างนี้ เธออึดอัดหายใจไม่ออกจะแย่อยู่แล้ว แต่ก็กลัวว่านอกจากเขาจะทำเป็นหูทวนลม ยังจะยิ่งกลั่นแกล้งกอดรัดบดเบียดเอาเปรียบเธอมากขึ้นกว่าเดิม

เมื่อแก้ที่เขาไม่ได้ สลักจันทร์เลยพยายามบอกตัวเองว่าให้สนใจเรื่องอื่นแทน อย่าไปมองหน้าเขาให้ยิ่งใจเต้นระส่ำ เดี๋ยวอกจะระเบิดตายเสียก่อน แล้วเธอก็พบว่าวันนี้ธรรศดูแปลกตากว่าทุกวัน นี่เขาไม่ได้ดูแลตัวเองเลยสินะตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ถึงได้ปล่อยให้มีไรหนวดขึ้นเขียวครึ้มแบบนี้ ปกติเธอจะเห็นแต่ใบหน้าเกลี้ยงเกลา แต่งกายเนี้ยบเฉกเช่นผู้บริหารเสียมากกว่า

คนแอบจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาจนแทบลืมหายใจเกือบสะดุ้ง หลบตาเกือบไม่ทัน เมื่อจู่ๆ ธรรศก็หันมามองเธอ

“อธิบายแบบที่คุณร่างตรงนี้ให้ผมฟังหน่อยสิ”

ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับจิ้มนิ้วลงบนกระดาษที่เธอสเกตช์รูปไว้สองสามแผ่น สลักจันทร์มองงานแล้วพยายามตั้งสติ บอกตัวเองว่าให้เก็บอาการเลิ่กลั่กแล้วสวมมาดสถาปนิกเดี๋ยวนี้ ก่อนจะกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เพียรบังคับไม่ให้สั่นจนถูกเขาจับได้ว่าเธอกำลังประหม่า

“ให้ดิฉันลุกก่อนดีไหมคะ คุณจะได้เข้ามานั่งดูสะดวกๆ เดี๋ยวดิฉันจะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดค่ะ”

คนที่มองเธออยู่ก่อนแล้วกระตุกยิ้มพราย สายตาเต็มไปด้วยแววล้อเลียน

“กลัวว่าผมจะทำอะไรๆ คุณเหมือนคราวก่อนหรือไง”

“ไม่ใช่ค่ะ!” หญิงสาวปฏิเสธเสียงแข็ง แต่กลับก้มหน้าไม่ยอมให้เขาเห็นร่องรอยแดงระเรื่อที่เริ่มปรากฏอยู่บนผิวแก้ม เพราะสัมผัสได้ถึงความร้อนที่กระจายอยู่ทั่วใบหน้าตนเอง เมื่อเผลอไปนึกถึงเหตุการณ์วาบหวิวคราวก่อนขึ้นมาอีกจนได้

ธรรศยักไหล่อย่างชอบใจ

“งั้นก็แปลว่าคุณเขินหรือไม่ก็หวั่นไหว ไม่กล้าอยู่ใกล้ผม...อย่างไหนล่ะ”

“ไม่ใช่ทั้งนั้นละค่ะ!”

สลักจันทร์ลุกพรวด ไม่อาจทนสายตายั่วเย้า ทั้งไม่อาจสู้หน้าเขาได้อีก แต่โชคไม่ดีที่คนเหลี่ยมจัดเกิดรู้ทัน เขาเลยออกแรงกดหัวไหล่บังคับให้เธอนั่งลงตามเดิม แล้วกล่าวเสียงเรียบด้วยใบหน้านิ่งขรึม

“ผมยังไม่อนุญาต ‘ห้าม’ คุณลุกไปไหน!”

“ดิฉันไม่ใช่หุ่นยนต์ที่คุณจะกดรีโมตบังคับให้หันซ้ายหันขวายังไงก็ได้นะคะ!” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจอยู่ใต้ร่างเขา

“ผมจะทำยังไงกับคุณก็ได้” ธรรศตอกกลับอย่างเอาแต่ใจ ไม่รับฟังคำต่อต้านของหล่อน

“สมัยนี้เขาเลิกทาสกันแล้วนะคะคุณธรรศ”

“ถึงอย่างนั้น...สถานะของคุณตอนนี้ก็ยังเป็นแค่ลูกจ้างผมอยู่ดี”

“แต่คุณไม่ใช่เจ้าชีวิตฉัน!”

“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง” คนพูดยักไหล่ ลอยหน้าลอยตาอย่างน่าหมั่นไส้

ฉันไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจะต้องมาเจอผู้ชายที่ชอบกดขี่ทางเพศในยุคโลกาภิวัตน์แบบนี้”

“ก็หัดรู้จักไว้สิ จะได้รู้ว่าอำนาจของผู้หญิง...ไม่มีวันเหนือกว่าผู้ชายไปได้!”

“เผด็จการ! บ้าอำนาจ! เอาแต่ใจ!” สลักจันทร์แหวใส่เขาอย่างเหลืออด คนอะไรใจดำเป็นอีกา แถมยังหน้าด้านหน้าทน  ขนาดถูกเธอต่อว่าต่อขานถึงเพียงนี้ก็ยังไม่สะทกสะท้าน

สถาปนิกสาวนึกเข่นเขี้ยว อยากจะแผลงฤทธิ์กระโดดชกคนเย็นชาให้หน้าหงายเสียจริงๆ ดูถูกเพศเดียวกันกับเธอเสียขนาดนี้ แต่เพราะรู้ดีว่าสู้กำลังวังชาของเจ้าตัวไม่ได้ สลักจันทร์จึงทำได้แค่ย้อนถามกลับไปให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บๆ คันๆ บ้าง

“คุณเคยรู้จักไหม...คำว่าสุภาพบุรุษน่ะ”

คนถูกถามหัวเราะหึ ไม่มีวี่แววจะขุ่นเคืองอย่างที่หญิงสาวอยากให้เป็น

“ไอ้คำ ‘ลวงโลก’ ที่ผู้ชายเอาไว้ ‘หลอก’ ให้ผู้หญิงหลงคารมน่ะเหรอ รู้จักสิ ผมก็เคยใช้”

“คุณนี่มัน...”

กลายเป็นสลักจันทร์เสียเองที่โมโหจนหูอื้อตาลาย คิดคำด่าทอเขาไม่ออก เปิดโอกาสให้คนเจ้าเล่ห์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก ระยะห่างเพียงกั้นด้วยลมหายใจจนได้กลิ่นอายของกันและกัน

ธรรศสบตาสลักจันทร์...

“ถ้าการที่ผมรู้ทันมารยาหญิงอย่างพวกคุณ แล้วจะถูกตราหน้าว่าไม่เป็นสุภาพบุรุษละก็ ผมยอมเป็นคนที่ไร้มนุษยธรรมซะยังจะดีกว่าเป็นไอ้โง่ไอ้งั่งให้ผู้หญิงร้อยเล่ห์สนตะพาย!”

“เพราะอดีตคนรักของคุณใช่ไหมที่ทำให้คุณคิดแบบนี้”

เธอเอ่ยถามเขาออกไปทั้งที่หัวใจหวั่นๆ สั่นไหวแปลกๆ และมันคงจะฟ้องอยู่ในแววตาที่เต้นไหวระริก ยามที่เขาคว้าต้นแขนทั้งสองข้างของเธอบีบรัด แววตาดุดันที่จ้องกลับบอกให้รู้ว่าคนที่หญิงสาวกล่าวถึงนั้นสำคัญต่อชายหนุ่มเช่นไร

“ไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน ใครเป็นคนเล่าให้ฟัง ไอ้วีร์ใช่ไหม” ธรรศถามเสียงลอดไรฟัน

คนถูกถามส่ายหน้าดิก ปฏิเสธระรัว กลัวว่าจะทำให้รุ่นพี่หนุ่มหรือแม้แต่ผู้ให้ข้อมูลตัวจริงเดือดร้อน

“พี่วีร์ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นค่ะ”

“แล้วใครเป็นคนบอกคุณเรื่องของผม...ฮะ!”

ครานี้เขาถามเสียงดังสนั่น ทำเอาหัวใจเธอหล่นวูบ ตื่นตระหนกตกใจกับอารมณ์ที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของอีกฝ่าย

ฉัน...”

สลักจันทร์อึกอัก ตั้งรับไม่ทัน เพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีที่เธอพูดเรื่องอดีตคนรักของเขา ธรรศก็มีสีหน้าบูดเบี้ยวเต็มไปด้วยโทสะ มือที่กำต้นแขนเธออยู่บีบแน่นจนเธอนึกว่ามันจะหักคามือเขาเสียแล้ว หญิงสาวจึงร้องประท้วงเมื่อทนต่อความปวดร้าวที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ ไม่ไหว

ฉันเจ็บ...ปล่อยฉันนะคะคุณธรรศ”

“ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของผม...สลักจันทร์”

แทนที่ธรรศจะใส่ใจสีหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวดที่เกิดจากน้ำมือของเขาสักนิด เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาพูดถึงแต่เรื่องของตัวเองฝ่ายเดียว โดยไม่สนใจว่าแขนเธอจะหัก กระดูกจะแตกบ้างหรือไม่ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเขา สิ่งที่ชายหนุ่มใส่ใจมีเพียงความรวดร้าวที่เขาได้รับเพียงเท่านั้น

ส่วนเรื่องของคนอื่นน่ะหรือ...ช่างหัวมัน!

สีหน้าของคนใจดำแสดงออกต่อเธออย่างชัดเจน มันแข็งกระด้างจนแทบไร้เลือดเนื้อและความรู้สึก ต่อให้เธออ้อนวอนขอร้อง ธรรศก็คงไม่แยแส ยิ่งถ้าเธอร้อนใส่เขามากเท่าไร ก็จะยิ่งมีแต่พังกับพังมากเท่านั้น ตัวอย่างก็มีให้เห็นหลายๆ ครั้งจากประสบการณ์ที่ผ่านมา สลักจันทร์จึงต้องเพียรข่มใจ ตอบโต้เขากลับไปอย่างมีสติ

“ที่ดิฉันถาม...ก็เพื่อหาข้อมูลออกแบบบ้านให้คุณค่ะ ไม่ได้คิดจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวอย่างที่คุณเข้าใจ!”

ธรรศกระตุกยิ้มหยัน บ่งบอกว่าไม่เชื่อคำพูดเธอเลยสักคำ

“อดีตของผมมันไปเกี่ยวกับการสร้างบ้านตรงไหน”

“เกี่ยวสิคะ อดีตเป็นรากฐานของปัจจุบัน ชีวิตคุณยังต้องเดินต่อไปข้างหน้า ไม่ได้จมอยู่แค่ในอดีตนี่คะ”

หญิงสาวไม่ได้มีเจตนาจะอวดตนเป็นผู้รู้ริอ่านสั่งสอนเขา ที่พูดเพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มยึดติดอยู่กับความทุกข์ ทว่าคนฟังคงจะตีความหมายผิดไป เขาเลยยิ่งเดือดดาล ถึงกับบันดาลโทสะกระชากแขนเธอให้ลุกขึ้น แล้วเขย่าตัวเธอจนหัวสั่นหัวคลอน พลางขบกรามกัดฟันเตือนด้วยใบหน้าเกรี้ยวกราดชนิดที่หญิงสาวยังไม่กล้าสบตา

“อย่าบังอาจมาสั่งสอนผมอีกเชียว!”

“ดิฉันไม่ได้สั่งสอนค่ะ ที่พูดเพราะความหวังดีต่างหาก” สลักจันทร์ค้านเสียงแผ่ว ยังไม่กล้าสบตาเขาหรอก แต่เธอก็ต้องพูดออกไปเพราะมนุษยธรรมในใจ

“คุณอาจจะคิดว่าดิฉันเป็นพวกที่ชอบสอดรู้ยุ่งเรื่องของชาวบ้าน แต่คุณคิดว่าอาชีพฉันขายแค่กระดาษเปล่ากับแบบบ้านนิดหน่อยเท่านั้นเหรอคะ ถ้าคุณคิดอย่างนั้น เกรงว่าดิฉันคงต้องแจ้งให้คุณเข้าใจเสียใหม่ ดิฉันออกแบบบ้านให้ลูกค้าทุกคนด้วยใจ บ้านที่จะทำให้คุณกับครอบครัวอยู่ได้อย่างเป็นสุข ปลอดภัย บ้านที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ บ้านที่สร้างความสดชื่นให้แก่ผู้อยู่อาศัยไปอีกนานแสนนาน เหมือนได้อยู่บ้านใหม่

“ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ‘บ้าน’ ก็จะยังคงเป็นบ้านที่ทำให้คุณและครอบครัวมี ‘ความสุข’ อย่างที่คุณคาดไม่ถึง แค่คุณยอมบอกข้อมูลส่วนตัวให้ดิฉันทราบนิดๆ หน่อยๆ ในบางเรื่อง ดิฉันสัญญาว่าจะออกแบบบ้านที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดให้แก่ชีวิตคุณ ขอแค่คุณยอมเปิดใจ ดิฉันจะช่วยออกแบบบ้านที่สามารถปลดปล่อยคุณจากความทุกข์ทรมานในอดีตอันยาวนาน ซึ่งคุณกำลังเผชิญอยู่ให้เองค่ะ”

ธรรศนิ่ง...เหมือนโทสะจะลดลงนิดหนึ่งจากคำพูดที่เจือกระแสความห่วงใยปะปนมากับความหวังดีของเจ้าหล่อน

“คุณไม่มีทางทำได้หรอกสลักจันทร์”

ไม่รู้ว่าที่พูดไปอย่างนั้นเป็นเพราะเขาหวัง อยากให้หญิงสาวตรงหน้าทำสำเร็จ หรือว่ากลัวกับการคาดหวังคนแปลกหน้าเช่นหล่อนกันแน่ เขาเลยเลือกที่จะมองทุกสิ่งในแง่ลบไว้ก่อน...

เผื่อว่าวันที่เขาผิดหวัง...จะได้ไม่เจ็บมาก!

“เรามาลองดูกันสักตั้งไหมคะว่าดิฉันจะทำได้ไหม”

จู่ๆ คนมองก็รู้สึกหมั่นไส้ที่หญิงสาวเชิดหน้าท้าทายเขาด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ เลยย้อนกลับ

“แล้วถ้าคุณแพ้ล่ะ ผมจะได้อะไร”

คราวนี้เป็นสลักจันทร์ที่นิ่งคิด...

ธรรศยิ้มหยัน บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ากำลังผิดหวังอยู่รึเปล่า ก่อนจะปล่อยข้อมือเล็กๆ ถอยห่างออกมายืนกอดอกมองสถาปนิกสาวด้วยดวงตาแวววาวตั้งแต่หัวจดปลายเท้า

“ถ้าคุณนึกไม่ออก ผมคิดให้เอาไหม”

สลักจันทร์จ้องอีกฝ่ายเขม็งทันที ไม่ไว้ใจสายตาเจ้าเล่ห์คู่นั้น เมื่อกี้เขายังทำท่าจะหักคอเธอจิ้มน้ำพริกอยู่เลย...

แต่ตอนนี้กลับยิ้ม!

มิหนำซ้ำไอ้ท่าทางแบบนี้นี่แหละที่ทำเอาเธอขนลุกชัน รู้สึกกลัวจับใจยิ่งกว่าใบหน้าเกรี้ยวกราดยามที่เขาถลึงตามองมาหลายสิบเท่านัก เพราะสลักจันทร์ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า...คนตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่?!

แล้วหญิงสาวก็เอ่ยปากถามทันทีที่สงสัย

“คุณจะให้ฉันเดิมพันอะไร”

“คุณคิดว่าอะไรมีค่ามากที่สุดในร่างกายคุณล่ะ”

ดวงตาวาววับจับจ้องอยู่ที่ตัวเธอไม่ไปไหน สลักจันทร์รู้ทันทีว่าสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการคืออะไร

“ไม่มีทาง!” ตอบกลับแบบไม่ต้องคิด “ฉันไม่เคยนึกสนุกหรือล้อเล่นกับเรื่องพรรค์นี้”

“พรรค์ไหน” ธรรศเลิกคิ้ว “ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ คุณคิดไปเองทั้งนั้น”

“แต่คุณมองฉัน แล้วท่าทางของคุณมันก็ฟ้องว่ากำลังคิดเรื่องไม่ดีอยู่”

“แค่มอง...ก็ผิดด้วยเหรอ” เขาถามอย่างยียวน ยิ่งกวาดสายตามองเรือนร่างโปร่งบางอย่างกรุ้มกริ่ม จงใจให้คนถูกมองขวัญผวาเล่น

“สายตาคุณมันไม่น่าไว้ใจ”

หญิงสาวบอกตัวเองว่าจะไม่ยอมให้เขาเอาเปรียบเธอเหมือนคราวก่อนอีกเป็นอันขาด คราวนี้ธรรศจะไม่มีโอกาสได้แตะต้องเธอแม้แต่ปลายก้อย

ชายหนุ่มมองหญิงสาวตั้งการ์ดป้องกันตัวอย่างเต็มที่แล้วอดยิ้มเยาะไม่ได้

“คิดว่าทำแบบนั้นแล้วจะช่วยให้คุณปลอดภัยงั้นเหรอ”

“ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยนั่นแหละค่ะ” หญิงสาวโต้กลับพร้อมจับจ้องเขาทุกการเคลื่อนไหว

“ถ้าผมอยากได้...” ธรรศลากเสียง ขณะย่างเท้าคืบคลานเข้าหาหญิงสาวอย่างช้าๆ ราวกับเสือที่กำลังย่องจะตะปบเหยื่อ ดวงตาวาววับเป็นประกายอย่างนึกสนุก พลางเอ่ยเสียงดังฟังชัด “...ก็ต้องได้!”

สลักจันทร์ถอยหลังหนี มองเขาด้วยแววตาหวาดหวั่น

“ถ้าคุณทำอะไรฉัน...”

“นั่นสิ...ผมจะทำอะไรคุณดีน้า” คนพูดเหยียดปากอย่างย่ามใจ

“อย่าเข้ามานะ!” สลักจันทร์ขู่ฟ่อ พยายามมองหาของไว้ป้องกันตัวไปพลาง แต่เมื่อไม่พบอะไรที่พอจะใช้ได้ นอกจากดินสอ กระดาษ และปากกา ที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนแบบ เธอจึงเร่งฝีเท้าถอยหนีอย่างลนลาน กระทั่งแผ่นหลังติดกระจกบานใหญ่ที่กั้นอาณาบริเวณระหว่างด้านนอกระเบียงกับพื้นที่ภายในห้องชุด โดยมีผ้าม่านผืนหนารองหลังเธออีกชั้น ก่อนจะสัมผัสกับความหนาวเย็นที่สะสมไว้ในกระจกใสที่เริ่มเป็นฝ้า เพราะอุณหภูมิที่ลดลงอย่างรวดเร็วจากเครื่องปรับอากาศ

ทว่ามันกลับไม่ได้ทำให้หญิงสาวหายเหน็บหนาวลงเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม...เธอยิ่งขนลุกเกรียวเสียววูบไปจนถึงกระดูกสันหลัง เมื่อคนที่เคยอยู่ห่างออกไปตั้งหลายวาย่างสามขุมเข้ามาประชิดตัวเธออย่างรวดเร็ว ใช้ร่างกายที่หนาใหญ่ทาบทับจนสลักจันทร์ต้องยกมือยันอกกว้าง

คนตาไวพลันเหลือบเห็นช่องเล็กๆ ที่พอจะแทรกตัวหนีได้ จึงขยับเตรียมจะเบี่ยงตัวหลบ แต่คนรู้แกวก็ยกท่อนแขนแข็งแรงกางกั้นยันกระจกใสพันธนาการเธอไว้อีก ทำให้หญิงสาวตกอยู่ในวงแขนของเขาทั้งตัว

“ถ้าคุณทำอะไรฉันอีกละก็ ฉันจะฟ้องพี่วีร์” เธอยกชื่อเพื่อนรักของเขาขึ้นมาขู่ หวังให้เจ้าตัวเกรงใจบ้าง

“ก็เอาสิ”

นอกจากเขาจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อนแล้ว ยังไม่รู้สึกรู้สาอีกด้วย กลับกลายเป็นเธอเสียเองที่ยิ่งเคร่งเครียด ต้องรีบหาทางเอาตัวรอดให้ได้โดยเร็วไว แต่แม้จะพยายามใช้สองมือดันกายหนาใหญ่ให้ซวนเซอย่างไรก็ไม่เป็นผล คนตัวโตไม่สะดุ้งสะเทือนเลยแม้แต่นิดเดียว

“ถอยออกไปนะ!” สลักจันทร์แหวใส่เขาอย่างหัวเสีย

ชายหนุ่มยืนนิ่ง ก้มกระซิบชิดใบหูด้วยน้ำเสียงกึ่งเยาะแกมชอบใจ

“บอกแล้วไงว่าถ้าผมไม่อนุญาต คุณก็ห้ามหนีผมไปไหน”

สลักจันทร์มองค้อนเขา ดวงตาแข็งกร้าว ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นจัด

“คุณนี่มัน...เกินเยียวยาจริงๆ”

“ผมจะถือว่าเป็นคำชมนะ” ชายหนุ่มยังยิ้มระรื่น กระทั่งได้ยินหล่อนกล่าวจี้จุด

“คุณมันป่วย! ยาขนานไหนก็รักษาไม่หายหรอก เพราะจิตใจคุณมืดบอดไปหมดแล้ว”

ดวงตาคมพลันวาวโรจน์ ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของจะเอ่ยเสียงเย็น

“อย่าให้มันมากไปนักสลักจันทร์”

สลักจันทร์จ้องตาเขานิ่ง ไม่หวั่นเกรง หมาจนตรอกแบบเธอ เมื่อถึงคราวคับขันก็ต้องลุกขึ้นมาสู้ให้เห็นดำเห็นแดงกันสักตั้ง

“ถ้าคุณเคารพในสิทธิของฉัน ฉันก็จะให้เกียรติคุณค่ะ”

ธรรศจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สวยที่กำลังส่อแววท้าทายเขาด้วยความฉุนจัด นิ้วเรียวแกร่งเผลอบีบปลายคางเต็มแรงจนหล่อนเบ้หน้า แต่ก็ไม่ยอมส่งเสียงหรือร้องครางออกมาให้เขาได้ยิน ยังคงฝืนข่มความเจ็บปวดเอาไว้

“คิดว่าคุณจะเอาชนะผมได้งั้นเหรอ” เขาถามด้วยความเข่นเขี้ยวปนหมั่นไส้

สลักจันทร์พยายามเชิดหน้าเข้าไว้ ไม่สนใจความเจ็บปวดที่รุนแรงขึ้นตามอารมณ์ของคนพูด

“คุณไม่มีวันชนะใครได้หรอกค่ะคุณธรรศ เพราะขนาดใจคุณเอง คุณยังเอาชนะไม่ได้เลย คุณไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับความจริง กลัวว่าถ้ากรีดแผลที่ยังกลัดหนองอยู่จะยิ่งเจ็บหนักกว่าเดิม คุณก็เลยปล่อยให้มันเรื้อรังอยู่แบบนี้ สิ่งที่คุณทำได้ดีไปวันๆ ก็คือการหลอกตัวเองและคนอื่น คุณแสร้งทำเป็นว่าตัวเองเข้มแข็ง เก่งเสียเต็มประดา ทั้งที่หัวใจคุณน่ะอ่อนไหวยิ่งกว่าใครๆ”

ไม่มีโอกาสครั้งที่สองให้สลักจันทร์ชำแหละหัวใจของเขาได้อีกต่อไป เมื่อริมฝีปากช่างเชือดเฉือนถูกจองจำด้วยความเกรี้ยวกราดจากคนตรงหน้า...

ธรรศประกบจูบริมฝีปากอิ่มอย่างรวดเร็วและว่องไว บดเบียดแนบสนิทจนคนปากกล้าไม่สามารถเอี้ยวหน้าหนีเขาไปไหนได้ ขณะที่มือหนาจัดการยึดข้อมือทั้งสองของหญิงสาวตรึงไว้เหนือศีรษะ ไม่อนาทรต่อความเจ็บปวดของคนใต้ร่างเลยว่า ผิวบอบบางจะครูดกับผ้าม่านที่ทั้งสากทั้งหนาจนปวดแสบปวดร้อนบ้างหรือไม่...

ที่เขาสน...มีเพียงวิธีการลงทัณฑ์เหยื่อเช่นหล่อนให้สาสมเท่านั้น และอย่าหวังเลยว่าเขาจะยอมให้คนที่กล้าลองดีมีโอกาสต่อต้านขัดขืนเขาได้!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น