12

ความหลังครั้งเก่า


12

ความหลังครั้งเก่า

               

                ชัชจับตามองแม่เมียแสนหวานของเขาเงียบๆ ตลอดเวลาบนโต๊ะอาหารค่ำ ดูเหมือนคุณหนูโลกโสภาจะเงียบเชียบผิดปกติ ทว่าเขาสัมผัสได้ถึงรัศมีน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากแม่เมียเด็กของเขา

                ท่าทางของเธอคล้ายท้องน้ำอันสงบนิ่ง ทว่ามีเกลียวคลื่นปั่นป่วนอยู่ภายใน นัยน์ตาคู่งามจับต้องไปยังลูกแฝดทั้งสามของเขาอย่าง...มุ่งร้ายหมายขวัญ หรือว่าเธอจะจริงจังกับการอบรมมารยาทให้ลูกๆ ของเขามากเกินไป

                ต้องเคร่งเครียดอะไรขนาดนั้น

                ‘น้ำหวานอิ่มแล้ว ขอตัวไปอาบน้ำก่อน’

                ร่างสูงใหญ่นั่งอ่านหนังสือธรรมะ พิงขอบเตียงอย่างใจเย็น หางตามองเห็นร่างอรชรในชุดนอนที่ดูขึงขังน้อยกว่าเมื่อวาน   วันนี้แฟชั่นชุดนอนคือเสื้อยืดสีเข้มตัวใหญ่และกางเกงเล ไม่ได้สวมใช่ชุดลายพรางเตรียมไปสู้รบตบมือกับใคร

                น้ำหวานนวยนาดออกจากห้องแต่งตัว ไม่ต้องเห็นตัวก็รู้ เพราะได้กลิ่นหอมอบอวลของ British Rose ลอยมาก่อนสิ่งไหน ความสนใจของชัชหันเหจากบทสวดมนต์ที่กำลังอ่านไปยังคนร่วมห้องทันที

                กุหลาบอังกฤษช่างเข้ากันดีกับภาพลักษณ์กุลสตรีโสภาที่ฉาบทาบนฉากหน้าของลูกสาวคุณหญิงลำหยวก

                เธอไม่พูดไม่จากับเขา เหมือนมีอะไรในใจให้ครุ่นคิด สาวร่างแบบบางปิดโคมไฟ ล้มตัวลงนอนยังที่นอนฝั่งตัวเอง เขาได้ยินเสียงพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมา

                “ฉันเปิดไฟแยงตาเธอหรือเปล่าคุณหนู”

                เงียบไปครู่หนึ่ง ถึงได้ยินเสียงขานตอบ

                “เปล่าค่ะ” แม้จะพูดจาสุภาพ ทว่าห้วนสั้นเหมือนไม่สบอารมณ์อะไรบางอย่าง ที่คุยกันครั้งสุดท้ายในห้องแต่งตัวก็ยังดูปกติดีนี่นา

                “เธอมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจอะไรรึเปล่า”

                เมียเขาพลิกตัวไปมาอีกสองสามครั้ง ในที่สุดเจ้าตัวก็กระชากผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นนั่งพับเพียบ หันมองมาทางเขา ชัชเงยหน้าจากคาถาชินบัญชรที่เขาชอบอ่านก่อนนอนอยู่เสมอ

                “เกี่ยวข้องกับลูกๆ ของฉันรึเปล่า” เขาคาดเดา

                ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกชะงักเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า สงวนท่าที “ก็ไม่เชิงว่าเกี่ยวข้อง”

                “แล้วยังไง”

                “ฉันมีเรื่องจะตกลงกับคุณนิดหน่อย เกี่ยวกับการอบรมมารยาทของฉัน”

                “ว่ามาสิ” เขาวางหนังสือธรรมะลงบนฟูกที่นอน ค้ำคางมองเธออย่างตั้งใจ

                คุณหนูแสนหวานกระแอมกระไอแล้วจึงเริ่มร่ายยาว

                “ช่วงนี้ฉันอยู่ในระหว่างศึกษาพฤติกรรมของลูกสาวทั้งสามคนของคุณ เพื่อจะดูให้รู้ว่าแต่ละคนจะต้องปรับปรุงมารยาทยังไง ระหว่างนี้อย่างที่ฉันบอกคุณไปว่าจะต้องขอความร่วมมือจากคุณ เวลาที่ฉันอบรมลูกของคุณด้วยวิธีไหนก็ตามห้ามขัดคอฉัน รวมถึงคุณต้องบอกป้าละเมียดและเด็กในบ้านไว้ด้วย”

                เธอปรายตามองเขาแล้วว่าต่อจริงจัง “เพราะว่านั่นจะทำให้ลูกๆ ของคุณไม่เกรงใจฉัน” ชัชนิ่งฟังรอให้เธอว่าต่อ “ดังนั้นในช่วงแรกๆ นี้เวลาที่พวกเขาทำอะไรไม่ถูกต้องเหมาะสม ฉันจะยกหน้าที่อบรมให้คุณไปทำแทน”

                “ฉันจ้างเธอมาให้ทำหน้าที่นี้ไม่ใช่หรือ”

                “ยังไงก็ดี เราต้องร่วมมือกันค่ะ” คุณหนูคนดียิ้มในหน้า ใบหน้านวลเปล่งปลั่งด้วยวัยสาว อ่อนหวานสะดุดตา แม้จะอยู่ท่ามกลางแสงสลัวรางของโคมไฟข้างเตียง

                “เพราะจู่ๆ จะให้ฉันมาอบรมสั่งสอน ลูกๆ ของคุณคงไม่ฟังฉัน เพราะฉันไม่ได้สำคัญอะไรกับเขาขนาดนั้น แต่เป็นคุณต่างหากที่เขาแคร์”

                เสียงหวานๆ ที่ไหลผ่านเข้าหู ฟังแล้วชวนให้เพลิดเพลินเจริญใจ และสิ่งที่เธอพูดมาก็มีเหตุผล...

                “เข้าใจรึเปล่าคะ” น้ำหวานเอียงคอถาม

                “ฉันเข้าใจ แล้วมีอะไรอีกมั้ย”

                “ต่อไปฉันจะรายงานวีรกรรม เอ๊ยพฤติกรรมของแก๊งแกะ...เอ๊ย...ลูกสาวของคุณให้รู้ทุกวัน”

                นั่นเป็นสิ่งที่ดี เขาเห็นด้วย และเขาอยากจะมีเรื่องคุยกับเธอทุกวันเหมือนกัน คนจะอยู่ร่วมกันให้ราบรื่นย่อมต้องมีปฏิสัมพันธ์กัน หรือไม่จริง

                “แล้วเพื่อประกอบการวิเคราะห์พื้นฐานลักษณะนิสัยของละมุน ละมุด และละไม ฉันก็เลยจำเป็นที่จะต้องรู้ข้อมูลบางอย่างจากคุณ” น้ำเสียง ท่าทางของคนพูดดูเป็นงานเป็นการน่าเชื่อถือ

                “เธออยากรู้อะไรเพิ่มเติมก็ถามฉันมา”

                “ฉันถามคุณได้ทุกเรื่องเลยเหรอคะ” น้ำหวานเกยคางลงบนขอบที่นอน ช้อนตามองเขา นัยน์ตาคมหวานวาววับด้วยประกายลิงโลด กระตือรือร้น หรี่มองมาอย่างหมายมาด

                ชัชปิดหนังสือธรรมะที่เขาใช้เป็นยานอนหลับลงกับเตียงนอน “ใช่ ถ้าฉันตอบได้ฉันก็จะตอบทุกอย่าง”

                “งั้น...ฉันอยากทราบถึงภรรยาเก่าของคุณ คุณลดาคนนั้นน่ะค่ะ”

                ชัชชะงักไปเมื่อได้ยิน เขาไม่ได้ยินชื่อนี้มานานแล้ว เจ็ดปีที่ไม่มีใครในบ้าน หรือญาติมิตรใกล้ชิดพูดถึงชื่อผู้หญิงคนนี้ให้เขาได้ยิน

                นายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนนิ่งเงียบไปจนลูกสาวคุณหญิงลำหยวกใจแป้ว เธอทำพลาดไปแล้วหรือเปล่า ล้ำเส้นละลาบละล้วงถามถึงสิ่งที่ไม่ควรหรือไม่

                เธอไม่ได้โกหก...การจะอบรมบ่มมารยาทเด็กสักคนต้องรู้จักพื้นฐานนิสัยเพื่อที่จะปรับให้เข้ากับบุคลิกลักษณะนิสัยของแต่ละคน บุคลิกที่เด็กแสดงออกอาจสืบทอดมาจากคนเป็นพ่อแม่ก็เป็นได้ แล้วส่วนหนึ่งน้ำหวานก็ไม่อยากยอมรับกับตัวเองว่า เธอนั้นอยากจะสาระแนเรื่องของเขา

                คนเรามีความเผือกอยู่ในตัวเสมอ

                หรือเรื่องที่ชาวบ้านแชร์กันในเฟซบุ๊ก ตัวตนที่แท้จริงของคนพวกนั้นเป็นยังไงก็ไม่เคยเจอ แต่ถ้าเผลอเผือกกันแล้วก็ต้องดั้นด้นไปจนสุดทาง แล้วนี่เรื่องของคนที่นอนอยู่ข้างๆ จะไม่ให้รู้บ้างได้ยังไง

                ก็ถามคนนั้นที คนโน้นที ไม่มีใครให้ความกระจ่าง เธอเลยลองถามกับเจ้าตัวไปเลยให้รู้แล้วรู้รอด แต่ตอนนี้น้ำหวานชักใจไม่ดี กลัวว่าตัวเธอจะดำเนินผิดกลยุทธ์เข้าเสียแล้ว

                “ถ้าคุณลำบากใจที่จะบอกก็ไม่เป็นไรนะคะ” เขาเงียบไปนานจนรู้สึกผิดปกติ

                เธออาจจะไปกระตุ้นความทรงจำที่เจ็บปวดของเขา แม้อยากจะสาระแน แต่ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกก็ยังมีจิตสำนึก แม้โมโหโกรธาที่ชาร์ล็อตต์ลูกสาวสุดที่รักถูกมือดีทำร้ายร่างกาย แต่เธอก็พร้อมจะหยุด

                ถ้าสิ่งนั้นทำให้อีกฝ่ายรู้สึก...ย่ำแย่

                แม้ว่าน้ำหวานจะจินตนาการไม่ออกว่าคนอย่าง ชัช ชำนาญพาณิชย์ จะมีสิ่งใดทำให้เขาสั่นคลอนได้ ชัชในความคิดเธอคือภูเขาใหญ่ที่ไม่เคยคลอนแคลน แม้จะเจอพายุ ลม ฝน แถมนิสัยยังเยือกเย็นคล้ายคนไม่มีหัวใจ แต่เธอรู้ว่าอย่างน้อย เขาก็ใส่ใจเรื่องราวของลูกๆ

                “ถ้าเธออยากรู้เรื่องของลดา เพราะต้องเอามาวิเคราะห์การเลี้ยงดูลูกๆ ฉัน มันคงไม่จำเป็นหรอก” ในที่สุดชัชก็พูดออกมา

                “คุณหมายความว่ายังไงคะ” ริมฝีปากสวยของเขาแย้มออกเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น เขาทอดตามองผ้าปูที่นอน จึงทำให้เธอมองไม่เห็นแววตาว่าเขารู้สึกอย่างไร เมื่อเอ่ยถึงเมียเก่า อาลัยอาวรณ์ ขุ่นข้องหมองใจ หรือเคียดแค้นชิงชัง

                “ฉันคิดว่าเรื่องของลดาคงไม่มีผลอะไรกับการเติบโตของลูกๆ ฉันสักเท่าไหร่ เพราะลดาออกจากบ้านไปตั้งแต่คลอดเด็กๆ ไม่กี่วัน”

                น้ำหวานสตันในคำตอบเรียบเรื่อยของอีกฝ่าย

                “แกะน้อย เอ๊ย...ลูกๆ ของคุณก็ยังไม่เคยเห็น...”

            “ใช่” นายกระทิงเถื่อนยักไหล่

                “การที่ไม่รู้ไม่เห็นเลยเสียตั้งแต่แรก คงจะดีกว่ารู้ว่าแม่ของเขาไม่ได้อยากอยู่ด้วยกัน” 

                เธอไม่ได้ยินความโกรธเคืองในน้ำเสียงของเขาแม้แต่น้อย เธอไม่ได้ยินอะไรเลยต่างหาก

                “ฉันฟังดูเหมือนพ่อใจร้ายว่ามั้ย” ชัชหัวเราะออกมาเบาๆ

                น้ำหวานไม่ตอบ เธอไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะตัดสินใคร เรื่องของเขากับเมียเก่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังยังไงเธอก็ไม่รู้ อีกอย่างใครจะใจดีใจร้าย แล้วเธอต้องแคร์ทำไม ใช่ว่าเธอจะทำหน้าที่เมียเขาตลอดกาล

                “ทำไมภรรยาเก่าถึงทำอย่างนั้น” น้ำหวานพึมพำ พูดกับตัวเองมากกว่าที่จะตั้งคำถามกับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเตียงนอน

                “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เธอเก็บกระเป๋าหอบข้าวของออกไปจากบ้าน หลังจากนั้นก็ไม่เคยติดต่อกันอีก” ชัชพูดถึงเรื่องเมียเก่าราวกับว่าเป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องตัวเอง

                “แล้วคุณไม่ต้องการให้เธอกลับมาอยู่ด้วยกันหรือ” หรือพยายามรั้งเมียเก่าเอาไว้

                “คนไม่อยากอยู่ จะรั้งไว้ทำไมล่ะคุณหนู”

                คำตอบง่ายสั้นแต่ชัดเจน นั่นสินะ...น้ำหวานย่นจมูก

                “งั้นคุณก็ต้องเลี้ยงดูลูกสามคนตั้งแต่แบเบาะ”

                “ตั้งแต่เด็กๆ เกิด แม่นายก็ช่วยเอาพวกแกมาเลี้ยง ตอนนั้นฉันต้องทำงานเลยไม่ค่อยมีเวลา และอย่างที่เธอเห็น ฉันไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน” ชัชหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ทุกข์ร้อน

                “ฉันเพิ่งเอาลูกกลับมาเลี้ยงเองแบบเต็มตัวเมื่อสองสามปีนี่เอง เพราะชักจะเห็นแล้วว่าเด็กๆ เอาแต่ใจตัวเองเกินไปหน่อย”

                “นั่นคงไม่ใช่เหตุผลที่มาปลูกบ้านห่างไกลกับญาติพี่น้องด้วยหรอกนะ” ถึงเธอจะดีใจที่ไม่ต้องอยู่ร่วมรั้วเดียวกันกับญาติพี่น้องของเขา แต่ก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ที่ชัชไม่ได้ปลูกบ้านตัวเองใกล้ชิดเรือนแม่นายแช่ม

                “ฉันไม่ค่อยชอบเรื่องวุ่นวายด้วยน่ะ”

                “ฉันก็เหมือนกัน” น้ำหวานพึมพำ

                “อย่างน้อยฉันกับเธอก็มีอย่างหนึ่งที่เข้ากันได้แล้วสินะ”

                เธอเกือบจะพยักหน้าเห็นด้วยอยู่แล้ว แต่ก็เพิ่งนึกได้ เข้ากันได้กับผี เธอเกือบเห็นด้วยอยู่แล้ว ถ้าเขาจะไม่ใช่คนที่ชักนำความวุ่นวายมาให้เธอหยกๆ

                “เอาละ เธอรู้เรื่องที่ต้องการแล้ว เธอเองก็บอกเรื่องที่ฉันต้องการจะรู้บ้าง”

                “คะ?” น้ำหวานทำหน้าเหลอหลา เขาวกกลับมาที่เรื่องเธอได้ยังไง

                “เราทำงานด้วยกันเป็นทีมนะคุณหนู เพื่อทีมเวิร์ก ฉันก็ควรจะรู้จักเรื่องราวของเธอเอาไว้บ้าง หรือไม่จริง” แต่เราไม่ได้ตกลงอะไรกันไว้ “บอกฉันมาหน่อยสิวะ เธอรู้จักคนที่รอเธออยู่คนนั้นมานานเท่าไหร่แล้ว”

                ต้องหยุดคิดหลายวินาที ถึงจะเข้าใจว่าคนที่รอเธออยู่คนนั้นเป็นใคร

                “ขอฉันคิดดูก่อนนะคะ” น้ำหวานซ่อนยิ้มไว้ในหน้า “ถ้านับปีนี้ ก็คงจะสิบกว่าปีเห็นจะได้แล้วมั้ง”

                “นานขนาดนั้นเลย เขาคงเป็นคนที่ดีมากสินะ เธอถึงได้ไม่เปลี่ยนใจไปคบหากับคนอื่น” เสียงของชัชเรียบเฉยไม่บอกอารมณ์ สีหน้าเขาก็เช่นกัน

                น้ำหวานยิ้ม นึกถึงคืนวันที่ผ่านมา...

                ที่ไม่เปลี่ยนใจ เพราะไม่มีใครให้คบหาถึงจะถูก เพื่อนสาวในสังคมไฮโซก็หนีหน้าเมื่อครอบครัวของเธอย้ายออกมาอยู่ปากช่อง แต่มิตรภาพระหว่างเธอกับเลื่อมเพชรยังแน่นแฟ้นเสมอ พวกเธอรู้จักกันดีกว่าญาติ สนิทกันมากกว่าพี่น้องบางคู่เสียอีก

                “เขาไม่ใช่คนดีอะไรนักหนาหรอกค่ะ ฉันรู้แค่ว่าเขาดีกับฉัน เขาเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ ทั้งที่ปรึกษาปัญหาชีวิต เขามักจะอยู่ข้างฉันเสมอเวลาที่ฉันมีปัญหา” พวกเธอไม่เคยขาดการติดต่อกัน ในเวลาที่พ่อของเธอป่วย เลื่อมเพชรเป็นคนหนึ่งที่ช่วยเหลือเธอมาตลอด จนกระทั่งตอนนี้...

                “เธอคงนับวันรอที่จะได้กลับไปหาเขาไม่ไหว”

                เพราะมัวแต่คิดถึงภาพมิตรภาพในวัยเยาว์ ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกจึงไม่ได้สำเหนียกถึงความเย็นชาในน้ำเสียงของคนพูด ลืมคิดว่านั่นอาจจะเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ

                “ค่ะ” น้ำหวานตอบง่ายๆ แต่เลื่อมเพชรไม่ใช่คนที่เธออยากไปหา แต่เป็นอิสรภาพอันหอมหวานในโลกกว้างที่เธอยังไม่เคยมีโอกาสได้ลิ้มลองต่างหากที่เธอใฝ่ฝันจะสัมผัสมันสักครั้ง...

                “ราตรีสวัสดิ์คุณหนู” จู่ๆ คนที่ชวนเธอคุยกลับจบการสนทนาไปเสียเฉยๆ ชัชถอดเสื้อที่สวมออกพาดไว้บนเตียงนอน

                น้ำหวานเหลือบตามองร่างท่อนบนของสามีเล็กน้อย แม้จะเป็นคืนที่สอง ทว่าน้ำหวานก็ยังกระอักกระอ่วนใจที่จะต้องนอนร่วมห้องกับนายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนอยู่ดี

 

                ดึกดื่นเที่ยงคืนแม้คนในโถงนั่งเล่นเรือนริมอ่าวจะอยากอาบน้ำอาบท่าขึ้นบ้านนอน ดูละครหลังข่าวมากแค่ไหน แต่ก็ต้องนั่งถ่างตา เพราะว่ามีแขกมาหายามวิกาล แถมแขกที่ว่าก็ไม่ใช่คนไกล แต่เป็นญาติใกล้ชิดของนางนั่นเอง

                “เธอมีเรื่องอะไรมากวนใจฉันอีกล่ะแม่สมร”

                “ฉันก็มีเรื่องร้อนใจอยากจะมาปรึกษาหารือกับคุณพี่นั่นแหละค่ะ จริงๆ แล้วอยากจะมาเสียตั้งแต่เมื่อวานนี้ แต่ก็ไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะหมอนัดไปตรวจสุขภาพ”

                “ไอ้โรคร้ายเรื้อรังของหล่อนน่ะยังไม่ทุเลาเบาบางลงอีกเรอะ ถึงได้ขยันป่วยวันป่วยคืน” คนอาวุโสกว่าอดค่อนขอดไม่ได้

                เจอหน้ากันทุกครั้ง สมร ลูกพี่ลูกน้องของนางก็บ่นแต่ว่าเจ็บออดๆ แอดๆ ทำงานหนักหนาเหมือนคนอื่นไม่ค่อยจะได้ แต่เห็นทีไร หน้าตาก็ยังผ่องใสเหมือนไม่เคยเจ็บไข้มาสิบปี สมัยที่แม่นายแช่มยังสาวๆ เลยเอาหน้าที่ตรวจทานบัญชีแบ่งไปให้ทำ สมรรับหน้าที่นั้นตั้งแต่สาวจนแก่

                “แหม...คุณพี่ คนดีๆ ที่ไหนอยากจะเจ็บจะเจ็บไข้เล่าคะ” คนพูดทำเสียงกระเง้ากระงอด

                “เอาละๆ รีบบอกธุระของเธอมาเสียที อย่ามัวพิรี้พิไร”

                “จริงๆ แล้วฉันก็คิดอยู่นานว่าจะพูดดีมั้ย แต่เพราะกังวลใจในสวัสดิภาพของคุณชัชก็เลยต้องรีบมาหา คุณพี่รู้มั้ยคะว่า แค่แต่งงานไม่ทันไร คุณชัชเธอก็ไว้ใจมอบหมายหน้าที่สำคัญให้เมียใหม่ทำ”

                “คุณน้ำหวานน่ะเหรอคะ” ชีวันที่กำลังนั่งแกะเกสรชมพู่เงยหน้าขึ้นมอง

                ลูกเลี้ยงคนสุดท้องที่เกิดจากภรรยาคนที่สามของสามีย้ายขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนนางที่เรือนริมอ่าว คอยเป็นหู ตา มือ เท้าจัดการธุระปะปังให้

                “ก็ใช่น่ะสิจ๊ะ ไม่รู้เป็นคนพื้นเพมาจากไหน จะไว้ใจได้รึเปล่า”

                “ท่าทางเธอก็ดีนี่ครับ แถมหน้าตาผิวพรรณยังสะสวย” โชติแย้งขึ้นบ้าง บ่อยครั้งที่เขาจะมานั่งเล่นนอนเล่นที่เรือนริมอ่าว แม้เจ้าตัวจะมีห้องชุดอีกแห่งในย่านดาวน์ทาวน์

                “แหม...เห็นคนสวยไม่ได้เลยนะพี่โชติ” ชีวันกระแนะกระแหนพี่ชาย

                “ก็ฉันพูดความจริงนี่ยัยวัน ใช่มั้ยครับแม่นาย ท่าทางกิริยาวาจาเรียบร้อย ดูหัวอ่อนว่านอนสอนง่าย” โชติหันมาส่งยิ้มประจบประแจง

                “คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจนะคะคุณพี่” สมรรีบแจกแจง ชักสีหน้า “อยู่ดีๆ คุณชัชก็เอาหน้าที่ทำบัญชีของฉันไปให้เมียใหม่ทำ”

                แม่นายแช่มได้ฟังก็หัวเราะในลำคอ ก่อนเหน็บแนม…

                “ไม่ใช่เพราะแม่น้ำหวานเขาเข้ามาแทรกแซงกิจการของเธอน่ะหรือแม่สมร ถึงได้ทำกะบึงกะบอน แล่นมาฟ้องฉันถึงบนเรือน”

                “คุณพี่คะ มันไม่ใช่แค่นั้นสิ ฉันรู้มาจากบัวว่า นอกจากบ้านที่คุณชัชอยู่ ต่อไปนี้ยายบัวจะต้องถ่ายโอนหน้าที่ดูแลบัญชีบ้านพักทุกหลังในเมืองนี้ให้สะใภ้หน้าใสของคุณพี่ดูแล ที่มาวันนี้ฉันก็เป็นห่วงหรอกนะว่าจะรอดรึเปล่า หน้าตาท่าทางก็ดูยังไม่ประสา”

                คราวนี้คนฟังทั้งสามต่างครุ่นคิด เริ่มขมวดคิ้วนิ่วหน้า กิจการในบ้านไม่ให้เมียทำแล้วจะให้ใครทำ ตอนนางยังสาวก็เป็นคนควบคุมดูแลเรื่องพวกนี้ แม่น้ำหวานคนนั้นก็เหมาะสมกับหน้าที่ ทว่าตามที่ได้ยินมา มันก็ออกจะนอกหน้าไปเสียหน่อย

                “นั่นหมายความว่าต่อไปนี้ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ในบ้าน จะต้องผ่านหูผ่านตาคุณน้ำหวานหมดเลยอย่างนั้นเหรอครับ” โชติขมวดคิ้วนิ่วหน้า

                “ก็ใช่น่ะสิ นี่ฉันไม่รู้หรอกว่าคุณชัชกำลังคิดอะไร หรือว่าหลงใหลเมียใหม่ขึ้นมาถึงได้หูตาพร่ามัวไปชั่วขณะ”

                “อย่าพูดจาเหลวไหล” แม่นายแช่มใช้ด้ามพัดเคาะแขนของคนที่พูดจาไม่เข้าหู

                “อุ๊ย!...เจ็บนะคะคุณพี่ ฉันก็พูดไปตามที่เห็น” สมรลูบแขนป้อยๆ ยังลอยหน้าลอยตาว่าต่อไปได้ “ฉันก็กลัวว่าประวัติศาสตร์มันจะซ้ำรอยอย่างแม่ลดาคนก่อนที่ดูว่านอนสอนง่าย สุดท้าย...”

                “แม่สมร!”

                คราวนี้คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองปากมาก ยกมือขึ้นมาตะครุบปาก หน้าเจื่อนไป

                เจ็ดปีมาแล้วที่แทบไม่มีใครเอื้อนเอ่ยชื่อนั้นออกมา

                “หมดธุระของหล่อนแล้วใช่มั้ย”

                “แล้วคุณพี่จะไม่ทำอะไรกับเรื่องนี้เลยเหรอคะ” สมรยังคงจ้อไม่หยุด

                “ถ้าคุณชัชคว้าเอาลูกสาวนายหัวสินทรมาเป็นเมีย ฉันยังไม่แปลกใจเท่านี้ ก็ยังพอเข้าใจดีว่าคุณชัชคงจะถูกใจในความสะสวยมีเสน่ห์ คล่องแคล่วแพรวพราวในเรื่องค้าขายของแม่ศิตานั่น แต่นี่อะไรกัน”

                ถึงไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายชีวิตรักของลูกเลี้ยง แต่นางก็พอจะรู้มาบ้าง ว่าเขาค่อนข้างสนิทสนมกับลูกสาวเศรษฐีใหญ่คนนั้น หลายครั้งที่ได้เจอหน้ากัน แม้ศิตาจะดูโฉบเฉี่ยวเปรี้ยวซ่าไปบ้าง แต่ก็ยังมีดีที่น่าจะช่วยชัชทำมาหากินได้

                “ไม่รู้ไปนิยมชมชอบกันตอนไหน”

                “ก็คุณชัชเขาบอกว่าเป็นรักแรกพบนี่คะ” ชีวันเสริมขึ้นมายิ้มๆ

                แม่นายแช่มหยิบเอาตลับยาหม่องน้ำขึ้นมาสูดดม ปรายตามองญาติสนิทของสามี ที่มาวันนี้นอกจากหน้าที่จะถูกแย่ง สมรคงคับข้องใจไม่น้อย หลายปีที่ผ่านมา สมรพยายามจะให้หลานสาวเข้าตาลูกเลี้ยงของนางอยู่เสมอ

                นางเองก็รู้สึกเอ็นดูหลานสาวคนงามของสมรอยู่ไม่น้อย ทว่าชัชก็ไม่เคยแสดงท่าทีต่อบัวมากไปกว่าญาติพี่น้อง แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดก็ตาม

                อยู่ดีๆ เขาก็จับพลัดจับผลู พาเมียเด็กกลับมาอยู่ที่บ้าน แถมยังจดทะเบียนสมรสเป็นเรื่องเป็นราว

                “ไม่แน่นะคะ แม่หนูน้ำหวานน้ำตาลอ้อยคนนั้นอาจจะทำเสน่ห์ใส่คุณชัชก็ได้”

                “เลิกพูดไร้สาระได้แล้วแม่สมร” แม่นายแช่มบอกคนอ่อนอาวุโสกว่าเสียงเขียว

                “เขาจะทำอะไรมันก็เรื่องของเขา พ่อชัชเป็นเจ้าของบ้านและทรัพย์สมบัติทุกอย่าง อีกอย่างก็เพิ่งจะเห็นหน้ากัน จะให้ฉันตัดสินเมียใหม่แต่แรกก็ไม่ควร”

                สมรทำท่าจะอ้าปากค้าน ทว่าเจ้าของบ้านตัดบทเสียเฉยๆ

                “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะอาสาจับตามองแม่น้ำหวานคนนั้นอย่างใกล้ชิด ถ้าเกิดไม่ชอบมาพากลยังไง ฉันจะรีบคาบข่าวมารายงานคุณพี่ทันทีเลยค่ะ” สมรทิ้งท้ายไหว้ลา แล้วลงเรือนไปอย่างไม่สมมาดปรารถนาเท่าไรนัก

                พอลับร่างคนมาหา แม่นายแช่มก็ถอนใจออกมา ชีวันที่สงบปากสงบคำอยู่นานเงยหน้าขึ้นถาม

                “แม่นายคะ แต่ที่น้าสมรพูดมามันก็มีเหตุผลนะคะ เราน่าจะสนใจเรื่องนี้ดูสักหน่อย ที่คุณชัชแต่งเมียใหม่เข้าบ้านคราวนี้ หนูว่ามันแปลกๆ นะคะ”

                นางก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ในเมื่อชัชยืนยันว่าเป็นรักแรกพบ นั่นคือจบคำถาม ห้ามให้ใครซักไซ้ สิ่งที่พวกนางทำได้ก็คือ

                “เราก็ได้แต่คอยดูว่าน้ำหวานคนนั้น นอกจากความสวยแล้วจะมีดีอะไรให้ลูกเลี้ยงของฉันถูกตาถูกใจ”

                แม่นายแช่มไม่อยากให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอย แม้จะมั่นใจอยู่ลึกๆ ว่าคนอย่าง ชัช ชำนาญพาณิชย์ คงไม่เดินทางผิดซ้ำสอง เรื่องราวคราวก่อนนั้นลูกเลี้ยงของนางยังเยาว์ ยังมีความหุนหันพลันแล่นของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์

                ความรักความใคร่นั้นไม่เข้าใครออกใคร ทางที่ดีก็ควรจะระวังไว้ แม้จะมั่นใจว่าชัชจะไม่พลั้งพลาดอีกก็ตาม

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น