14

มนุษย์แม่


 

14

มนุษย์แม่

               

            ฉันยังไม่ได้ขอบคุณคุณที่ช่วยจัดหาเครื่องสำอางมาให้”

                “เธอน่าจะขอบคุณชไมพรมากกว่า เพราะฉันไม่รู้หรอกว่าเขาหาอะไรมาให้เธอบ้าง” ชัชชำเลืองมองร่างแบบบางที่เดินเคียงข้างเขา วันนี้แม่เมียเด็กสวมเสื้อแขนกุดตัวเดียวกับเมื่อเช้า ขับผิวขาวให้ผุดผ่องยิ่งกว่าเดิม รอยแดงที่เกิดจากมดกัด คือมลทินเดียวที่มีอยู่บนผิวอ่อนบาง ขาเรียวงามซ่อนอยู่ในกางเกงขายาวดูทะมัดทะแมง

                ทั้งสองกำลังเดินจากระเบียงท่าน้ำที่ทอดเข้าไปในตัวบ้าน ตามหลังเจ้าตัวยุ่งทั้งสามที่วิ่งแข่งกันไปที่เรือนก่อน…

                “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ฝากคุณไปขอบคุณคุณชไมพรด้วยแล้วกันนะคะ ฉันชอบของทุกอย่างมากๆ แต่ทีหลังไม่ต้องจัดของมาให้มากมายขนาดนั้นแล้วนะคะ หน้าเดียวของฉันคงใช้ไม่ทัน”

                มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อยให้แก่ถ้อยคำช่างเจรจา…

                ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกเปิดเผยตัวตนให้เขาเห็นตั้งแต่แรกเริ่มที่รู้จักกัน ทว่ายังมีหลายสิ่งอันที่เจ้าตัวซ่อนเอาไว้ในใจ เผินๆ เหมือนสาวน้อยไร้เดียงสาที่เพิ่งเรียนรู้โลกกว้าง เขารู้ได้จากสองแก้มแดงซ่าน ท่าทางและอาการประหม่าอายที่ฉายชัดในดวงตาเวลาที่เขาชิดใกล้

                ทว่ายังมีอะไรอีกหลายอย่างในตัวคุณหนูแสนหวานที่ยังไม่อาจเข้าใจ มันกระตุ้นเร้าให้สัญชาตญาณนักค้นคว้าในตัวเขาทำงาน ชัชชื่นชอบความเขินอายที่เจ้าตัวแสดงออก พอๆ กับที่ชื่นชมแววตาดื้อรั้นในยามที่เธอต่อล้อต่อเถียง...

                เขาชอบที่เธอดิ้นรนต่อสู้ไม่ถอยหนี เขาชอบความอวดดีที่เธอแสดงออกมา มันท้าทายให้เขาอยากรู้ว่าลูกสาวคนงามของคุณหญิงลำหยวกจะมีฤทธิ์เดชอภินิหารอะไรให้เขาดูชมอีกบ้าง

                “แขกคนพิเศษของแม่นายคุณคือใครกันคะ” น้ำหวานเปรยขึ้นมา ขณะที่พวกเขากำลังเดินจากท่าน้ำไปยังเรือนไม้ของแม่นายแช่ม ลูกๆ ของเขาวิ่งรี่นำไปก่อน ทิ้งให้สองหนุ่มสาวอยู่ข้างหลัง

                “เป็นแขกผู้ใหญ่รึเปล่าคะ ฉันจะได้ทำตัวถูก”

                “ไม่ได้เป็นแขกผู้ใหญ่อะไร เรียกว่าเพื่อนของครอบครัวจะดีกว่า”

                คิ้วเรียวของคนฟังเลิกขึ้นเล็กน้อย บอกความประหลาดใจ “เพื่อนของครอบครัว?”

                “ใช่” ชัชบอกสั้นๆ เพื่อน...เขาให้คำนี้แก่คนไม่กี่คน

                เขามีคนรู้จักมากมาย แต่ไม่ใช่ใครก็ได้ที่ ชัช ชำนาญพาณิชย์ จะนับเป็นเพื่อน ไม่นานทั้งสองก็เดินมาจนถึงเรือน อาหารคาวหวานหลายอย่างตระเตรียมไว้หมดแล้ว พอขึ้นเรือนมาก็เห็นแขกนั่งอยู่ก่อนพร้อมกับน้าสมรและหลานสาว

                “อ้าว...นายโชติไม่มาด้วยเหรอครับ” ชัชออกปากถาม

                “พี่โชติไปพบลูกค้าที่ต่างจังหวัดน่ะค่ะ” ชีวันเป็นคนตอบ

                ไปต่างจังหวัด หรือไม่อยากจะเจอหน้าเขากันแน่

                “พวกเด็กๆ ย้ายเข้าไปกินในห้องเล็กโน่นแล้ว ผู้ใหญ่จะได้คุยกันสบายหู” หญิงสูงวัยเจ้าของเรือนบอกพร้อมมองมายิ้มๆ

                น้ำหวานยกมือไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ ก่อนที่ชัชจะแนะนำเพื่อนให้เธอรู้จัก

                “นี่คุณเมฆ เพื่อนที่ฉันบอกเมื่อกี้”

                “Good evening, nice to meet you.” มือเรียวงามยื่นออกไป

                หนุ่มลูกเสี้ยวเลิกคิ้ว ทว่ายื่นมือออกไปเช็กแฮนด์อย่างมีไมตรี “สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะครับคุณน้ำหวาน”

                “อ้าว...พูดไทยได้เหรอคะ” นัยน์ตาคู่สวยเป็นประกาย ดูเขินอายขึ้นมา ซึ่งเป็นอากัปกิริยาปกติเมื่อผู้หญิงเจอหน้า เมฆา อเมดาส 

                ชัชชักรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมากับท่าทางอย่างกับสาวน้อยวัยใสได้เจอดาราเกาหลีในดวงใจ แล้วอีกนานไหมที่จะปล่อยมือกัน

                “เขาเป็นลูกเสี้ยวไทย”

                “ดูไม่ออกเลยนะคะว่าคุณมีเชื้อสายไทย”

                เมฆาได้แต่ยิ้มอ่อน ไม่นานแม่นายแช่มก็ต้อนพวกเขาไปยังห้องรับประทานอาหาร ชัชโน้มตัวลงไปกระซิบกระซาบข้างหูคนตัวเล็กกว่าที่ยังมองตามหนุ่มหล่อตาเยิ้ม

                “ไหนว่าเธอไม่ชอบผู้ชาย นี่มองหน้าเพื่อนฉันเหมือนอยากจะกลืนกินลงไปทั้งตัว”

                “ฉันไม่ใช่งูเหลือมนะคะคุณพ่อเลี้ยงที่จะกลืนกินเพื่อนของคุณลงท้องเข้าไป ถึงไม่ชอบผู้ชาย แต่ฉันเป็นปุถุชนคนเดินดิน เห็นอะไรสวยงามก็ชื่นชมยินดี คุณไม่ต้องห่วงหรอกนะว่าฉันจะไขว้เขวจากหน้าที่ของตัวเอง”

                “ฉันเป็นห่วงเพื่อนฉันมากกว่า...”

                คุณหนูแสนโสภาทำหน้าหงิกใส่เขา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มอ่อนหวานเมื่อทุกคนประจำที่โต๊ะอาหาร มื้ออาหารเริ่มต้นไปได้ด้วยดี คนที่สนุกสนานกับการสนทนาและหาของใส่ปากดูเหมือนจะเป็นคุณน้าสมร จอมช่างถามซอกแซก

                “ได้ยินว่าคุณเมฆจะอยู่เมืองไทยเสียนานคราวนี้ จะอยู่ที่ภูเก็ตตลอดเลยหรือเปล่าคะ”

                “ผมก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะอยู่ที่ภูเก็ตนานแค่ไหน แต่คงอยู่เมืองไทยอีกประมาณสองเดือน”

                “ถ้าว่างๆ แวะมารับประทานอาหารที่บ้านน้าได้นะคะ ยัยบัวเขาพอจะมีฝีมือเรื่องแกงใต้อยู่บ้าง พอดีน้าเห็นคุณชอบทาน เลยอยากจะให้ลองชิม”

                คนที่ถูกพูดถึงทำหน้ากระอักกระอ่วนใจ ชัชอดเห็นใจญาติผู้น้องไม่ได้ที่ต้องถูกขายให้คนโน้นคนนี้อยู่ร่ำไป

                “ถ้าอยู่เป็นเดือนน่าจะอยู่ทันงานแซยิดของฉัน ใช่มั้ยแม่ชีวัน” แม่นายแช่มเปลี่ยนเรื่องเสีย หนีภาวะอึดอัดบนโต๊ะอาหาร ทำเมินเฉยต่อการสนทนาของน้าสมร

                “ใช่ค่ะ กลางเดือนหน้าก็ครบรอบวันเกิดของแม่นาย”

                “คงจะเป็นงานใหญ่น่าดูนะครับ ใครๆ ในเมืองนี้ก็รู้จักแม่นายกันทั้งนั้น”

                เจ้าของงานวันเกิดถอนหายใจ…เหนื่อยหน่าย แต่ยังยิ้มได้

                “ใช่ฉันจะเห็นว่ามันสำคัญอะไร แต่ใครๆ เขาก็อยากจะมาอวยพรอวยชัย” นอกจากแม่นายแช่มจะเป็นคนสำคัญแล้ว งานใหญ่ซึ่งบ้านชำนาญพาณิชย์ทุ่มไม่อั้นยังเป็นโอกาสดีให้คนในแวดวงธุรกิจได้มาพบปะสังสรรค์

                งานวันเกิดแม่นายแช่มจึงถือเป็นงานใหญ่ประจำปี โดยเฉพาะปีที่หกสิบนี้ต้องจัดให้สมหน้าสมตาเป็นพิเศษ

                “ฉันเชิญคุณเมฆไว้เสียแต่ตอนนี้เลยแล้วกัน”

                ชายหนุ่มรุ่นหลานเพียงแต่ยิ้ม ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

                เท่าที่รู้จักกันมานานนับสิบปี ชัชรู้ดีว่าหนุ่มรุ่นน้องคนนี้ไม่ค่อยอยากจะออกงาน คบหาสมาคมใคร ในเวลางานทำงานจริงจัง ส่วนนอกเวลานั้น เมฆา อเมดาส มักเก็บตัวเงียบเชียบกว่าพี่น้องคนอื่นๆ

                “แล้วเตรียมงานไปถึงไหนกันแล้วล่ะ” ชัชเอ่ยปาก เขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ปกติทุกปีเป็นชีวันและบัวที่คอยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง

                “สถานที่จัดงานคงเป็นรีสอร์ตของพี่โชติค่ะคุณชัช ตอนนี้ชีวันก็กำลังเตรียมส่งการ์ด ทำรายการอาหาร แม่นายอยากจะให้รายการอาหารปีนี้หลากหลาย มีทั้งไทยทั้งฝรั่ง เพราะแขกทางฝั่งคุณชัชจะได้ทานอาหารได้คล่องคอ”

                “อ้อ...พูดถึงเรื่องอาหารฉันก็เพิ่งได้” จู่ๆ น้าสมรก็อุทานออกมา เรียกสายตาคนในโต๊ะให้หันมองแกอีกครั้ง

                “ฉันได้ยินคุณพี่บอกว่า แม่น้ำหวานเป็นลูกหลานผู้ดีเก่า มีฝีมือทำกับข้าวกับปลาอยู่ไม่ใช่หรือจ๊ะ พอจะมีไอเดียดีๆ อะไรแนะนำพวกฉันบ้างรึเปล่า พวกกับข้าวชาววังที่หนูถนัดน่ะจ้ะ”

                แม่คุณหนูคนงามยิ้มอ่อน ก่อนจะออกปากถาม “คุณน้าสมรสนใจเมนูแบบไหนคะ อาหารชาววังเองก็มีหลากหลาย ทั้งของคาว ของหวาน ต้ม ผัด แกง ทอด ก็มีเป็นร้อยๆ รายการ”

                “ก็เอาอย่างที่เหมาะจะกินในงานเลี้ยงสังสรรค์ เป็นหน้าตาให้เจ้าของงานอะไรอย่างนี้”

                “ถ้าบ้านน้ำหวานก็มีจานเด็ดๆ อยู่หลายอย่าง มัสมั่น แกงรสชาติหวานมันหอมเครื่องเทศ ถ้าเป็นยำก็แสร้งว่า คล้ายพล่าแต่ทำให้สุกกว่า แล้วก็งบปลากราย คล้ายห่อหมก แต่แทนที่จะนึ่งก็เอามาปิ้ง แล้วก็มีพวกน้ำพริกต่างๆ อย่างน้ำพริกกะปิ น้ำพริกลงเรือ กินกับแกงจืดลูกรอกพร้อมผักแนมน่ะค่ะ” ภรรยาเขาบอกเล่าได้อย่างคล่องแคล่ว

                “น้ำหวานรู้เรื่องนี้ดีจัง” ชีวันมองมาด้วยความชื่นชม

                “บ้านน้ำหวานสืบทอดการทำอาหารมาจากในรั้วในวังน่ะค่ะ แล้วเมื่อก่อนคุณหญิงแม่ก็เชิญเพื่อนมาสังสรรค์รับประทานอาหารกันบ่อยๆ ก็เลยพอจะมีความรู้อยู่บ้าง ”

                “อยู่บ้างอะไรกัน ถ่อมตัวเกินไปแล้วมั้งแม่น้ำหวาน เมื่อคราวก่อนมากินข้าวบ้าน พ่อชัชยังเล่าให้ฟังว่าตัวเธอน่ะก็มีฝีมือ ถึงกับได้ประกาศนียบัตร โล่รางวัลเต็มบ้าน”

                “อ๊ะ...จริงเหรอคะคุณพี่” น้าสมรกระตือรือร้นขึ้นมาทันที

                “ถ้างั้นก็คงดี ถ้าได้เมียคุณชัชมาช่วยแม่ชีวันกับยัยบัวดูเรื่องอาหาร” 

                ร่างแบบบางที่นั่งข้างๆ เขาตัวแข็งขึ้นมา แม้ว่าหน้ายังไม่เปลี่ยนสี

                เจ้าของงานวันเกิดครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วหันมามองที่ภรรยาเขา “ว่าไงน่ะเรา ถ้าจะช่วยโชว์ฝีมือทำอาหารชาววังให้แขกในงานของฉันได้ชิมกันจะได้มั้ย ไม่ต้องมากมาย แค่สามสี่อย่างที่ร่ายมาเมื่อกี้ก็พอ”

                “เลิศที่สุดเลยค่ะคุณพี่” น้าสมรรีบเห็นดีเห็นงาม ทว่าเขาเห็นสองตาของนางหรี่มองมาที่ภรรยาเขา คล้ายจะคิดไม่ดีอย่างไรชอบกล

                “ว่าแต่พวกเราเออออกันเสร็จสรรพ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรับปากมั้ย” แม่นายแช่มเปรยออกมาเบาๆ สายตาทุกคู่บนโต๊ะอาหารค่ำมองมาที่เขากับภรรยา “เมียเราจะว่ายังไงล่ะพ่อชัช ถ้าฉันขอให้ช่วยงานนี้สักหน่อย จะขัดข้องอะไรรึเปล่า”

                ชัชหลุบตามองจานข้าว ประโยคที่คุณหนูคนงามบอกเล่าในคืนเข้าหาแว่วดังขึ้นมาในความทรงจำ

                 ‘จะบอกอะไรให้นะ แต่ไหนแต่ไรมางานบ้านงานเรือนฉันไม่กระดิกหรอกค่ะ งานฝีมือ เย็บ ปัก ถัก ร้อย สอยชายผ้า ข้าวปลาอาหาร ของคาวของหวานพวกนั้นฝีมือคุณสายกับแจ๋วทั้งนั้นแหละ หมาข้างบ้านมันยังไม่ยอมกินอาหารฝีมือฉันเลย ไม่เชื่อไปถามเจ้าของมันก็ได้’

                แต่ไหนแต่ไรมา ชัช ชำนาญพาณิชย์ เป็นคนที่ชอบความท้าทาย ศักยภาพของเราจะปรากฏให้เห็นเด่นชัดก็ต่อเมื่อคนคนนั้นประสบกับภาวะยากลำบาก การที่คนเราจะทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต้องเพิ่มความกดดันสักหน่อยไม่ใช่หรือ

                “เรื่องนั้นแม่นายคงต้องถามเมียผมเอาเองแล้วละครับ” ชัชนิ่วหน้าเมื่อเท้าเล็กๆ กระทืบลงมาบนเท้าเขาจังๆ ทว่าชัชแค่หันไปยิ้มหวานให้ภรรยา นัยน์ตากลมโตวาบวับขึ้นมาเหมือนนางแมวป่า น่า...เอ็นดูอะไรอย่างนี้

                “น้ำหวานไม่ได้มีฝีมืออะไรขนาดนั้น เกรงว่าจะทำออกมาแล้วไม่โอเคน่ะค่ะ”

                “ไม่โอคงโอเคได้ยังไงจ๊ะ” น้าสมรสอดขึ้นมา “ถือเสียว่าให้คนบ้านนอกคอกนาอย่างพวกฉันได้ลิ้มรสอาหารชาววังหน่อยเป็นยังไง”

                “แต่น้ำหวานยังไม่เคยทำอาหารเลี้ยงคนหมู่มากนะคะ” เธอเหลือบตามองเขา

                ทว่าเขาทำเมินเฉยเสีย อยากดูซิว่าเธอจะแก้ไขสถานการณ์เอาตัวรอดไปได้ยังไง

                “ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะคุณน้ำหวาน” ชีวันรีบสอดขึ้นมา

                “แม่นายอยากจะให้งานนี้เป็นงานคนกันเอง เชิญแขกไม่มากมายหรอกค่ะ และถ้าคุณน้ำหวานกลัวจะเหนื่อย ชีวันกับบัวจะคอยเป็นลูกมือช่วยเหลืออย่างเต็มที่ มีอะไรก็บอกมาได้เลยค่ะ”

                “ถือเสียว่าช่วยเหลือคนแก่เถอะนะแม่น้ำหวาน” แม่นายแช่มคะยั้นคะยอ “ฉันครบรอบหกสิบปีทั้งที ก็อยากจะให้คนที่มาร่วมงานได้รับประทานอาหารรสเลิศ”

                แม้จะยังรักษากิริยาท่าทาง ทว่าสายตาของสาวร่างแบบบางที่เหลือบแลมาทางเขาเหมือนกำลังอยากจะฆาตกรรมใครสักคน...

                “ถ้าแม่นายอยากจะให้น้ำหวานทำอาหารเลี้ยงแขกจริงๆ น้ำหวานยินดีจะจัดการให้ค่ะ”

                ใบหน้าหวานๆ นั่นช่างไม่เข้ากับแววตาดุดันมุ่งร้ายของเธอเลยสักนิด ชัชเลิกคิ้วตอบ หางตาเห็นรอยยิ้มสมใจผุดพรายบนริมฝีปากเคลือบสีบานเย็นของน้าสาว เห็นน้องสาวต่างมารดาสบตาแม่เลี้ยงอย่างมีนัยสำคัญ

                ดูเหมือนว่างานเลี้ยงอาหารในวันนี้ จะมีการรวมหัวกันเกิดขึ้นเสียแล้ว

                พวกเขานั่งพูดคุยกินข้าวอยู่ไม่นาน เมฆาก็ขอตัวลากลับ เนื่องจากต้องบินจากภูเก็ตไปกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้า พวกเขาเดินทางกลับมาถึงบ้านก็เกือบสี่ทุ่ม ลูกๆ ของเขานอนหลับคอพับคออ่อนอยู่ที่เบาะหลัง

                ส่วนคนที่นั่งข้างๆ ทำหน้าง้ำตั้งแต่ย่ำเท้าลงจากเรือนริมอ่าว นานๆ ครั้งจะรู้สึกถึงสายตามุ่งร้ายหมายขวัญจ้องมองมาสักที

                “เธอเป็นอะไรหรือคุณหนู”

                “นี่คุณไม่รู้จริงๆ เหรอคะ”

                “ฉันไม่ใช่พ่อมดหมอผี จะทำนายทายความในใจของเธอได้ยังไง” เขายักไหล่บอกง่ายๆ แม้จะรู้ดีว่าเธอกำลังโมโหเรื่องอะไร แต่เขาต้องการให้การสนทนาดำเนินต่อไป

                ความเงียบยิ่งทำให้อึดอัดคับข้องมิใช่หรือ

                “คุณจงใจปล่อยให้ฉันถูกจับเข้าตะแลงแกงชัดๆ คุณก็รู้ดีว่าฉันไม่มีฝีมือทำอาหาร กับข้าวคาวหวานก็เป็นฝีมือคุณสายแม่บ้านทั้งนั้น ไหนคุณบอกว่าจะไม่ปล่อยใครทำอะไรฉันไงเล่า” คนพูดทำเสียงกระเง้ากระงอด กอดอกทำหน้าบึ้งตึง

                “ยังไม่มีใครทำอะไรเธอเสียหน่อย จะตีตนไปก่อนไข้ทำไม”

                “สนุกมากมั้ยคะที่ทำให้ฉันหัวหมุนวุ่นวาย”

                มุมปากของชัชบิดโค้งขึ้นรอยยิ้มจางๆ “เอาเถอะน่ะ ฉันเชื่อว่าไม่มีงานนี้ก็ต้องมีงานหน้า สู้ทำให้มันเสร็จเรื่องไปไม่ดีกว่าหรือ”

                “คุณหมายความว่ายังไง”

                “ฉันเดาเอาว่าแม่นายแค่ต้องการพิสูจน์ว่าเธอมีคุณสมบัติสมกับที่จะเข้ามาเป็นสะใภ้ใหญ่ของบ้านรึเปล่าก็เท่านั้น งานแซยิดก็เป็นอีกทางที่เธอจะโชว์ความสามารถ พิสูจน์ตัวเอง”

                “แต่ฉันไม่ได้คิดที่จะอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล แล้วฉันก็ไม่ได้ปรารถนาเป็นภรรยาตัวอย่างของใคร”

                ‘เธอคงนับวันรอที่จะได้กลับไปหาเขาไม่ไหว’

                ‘ค่ะ’

                เขาจำได้ เธอตอบคำโดยไม่ลังเล

                มือที่กำรอบพวงมาลัยของชัชแน่นเข้า ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าแม่คุณหนูโลกโสภาอยู่ในฐานะภรรยาของเขาแค่ชั่วคราว ทว่าเมื่อรู้ว่าเธอคิดถึงคนที่รออยู่เสมอ ทำไมเขาถึงหงุดหงิดงุ่นง่าน

                 อาจเป็นเพราะเขาเห็นแก่ตัว เมื่ออะไรที่่ขึ้นชื่อว่าเป็นของตัวก็มักจะหวง ไม่อยากให้ยุ่งเกี่ยวกับใคร ทั้งที่รู้ว่า...ใจคนคือสิ่งที่บังคับได้ยากเย็นนัก

                “ฉันบอกเลยนะคะว่าตอนนี้เราลงเรือลำเดียวกัน ถ้าฉันทำพังขึ้นมา ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวแน่ที่ต้องอับอายขายหน้า” ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกเริ่มทำการข่มขู่

                “เธอต้องการเงินหรือลูกมือเท่าไหร่ว่ามา”

                “บางอย่างเงินทองก็แก้ไขไม่ได้หรอกนะคะ” น้ำเสียงของเธอชักจะรวนๆ

                ชัชอดนึกหยันไม่ได้ เงินคือเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ทั้งสองต้องมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เธอตกปากรับคำเขาเพราะเงิน ทว่าเขากลับไม่เคยมองว่า ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกเป็นพวกหิวเงินเหมือนผู้หญิงที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต คนเราจะเนื้อหอมขึ้นมาเสมอเมื่อมีทรัพย์สมบัติในมือ

                น้ำหวานมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกติดใจ ท่าทีของเธออ่านง่าย แต่ก็คล้ายจะมีหลายอย่างที่เขาเดาทางไม่ออกและคนอย่างเขาจะไม่หยุดจนกว่าจะขุดคุ้ยจนเจอสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ข้างใน...

                “หรือว่าเธอไม่ต้องการเงินทุนสนับสนุน”

                “ฉันต้องการค่ะ จะทำกิจการงานอะไร ต้องใช้เงินค่ะสมัยนี้ ไม่มีใครทำอะไรให้ใครฟรีหรอกนะคะคุณพ่อเลี้ยง” คุณหนูแสนหวานออกปากกระแนะกระแหน “เพียงแต่ตอนนี้ฉันยังคิดไม่ออกว่าจะถลุงเงินของคุณลงไปกับอะไร ให้พวกเราหลุดรอดออกไปจากสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานนี้”

                “เธอมีเวลาอีกนานที่จะคิดอ่านหาทางออก อย่ากังวลไปเลยนะ”

                แทนที่จะซาบซึ้งใจในคำปลุกปลอบ เจ้าตัวกลับหันขวับมองเขาตาขวาง สีหน้าแบบนั้นเรียกรอยยิ้มบางๆ ให้ผุดพรายขึ้นที่มุมปากคนมอง...

               

                แม้ว่าชัชจะออกจากบ้านไปสามวันแล้ว แต่เธอยังโมโหคนร้ายกาจที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายไม่หาย เขาอยากจะให้เธอตายหรือยังไง เหมือนเขาจงใจจับเธอโยนลงไปในบ่อปิรันยา

                ‘เขาจะกลับมาเมื่อไหร่’ เธอออกปากถามอำนวยเมื่อวานซืน

                ‘ไม่รู้ครับ’ เบ๊ประจำตัวเธอบอกเสียงใส

                ‘ธุรกิจการงานของนายไม่แน่นอน บางครั้งก็หลายวัน บางครั้งก็เป็นอาทิตย์’

                แต่ชัชไม่เคยหายไปเป็นเดือน (อย่างที่เธอแอบหวัง) เพราะเขาไม่อยากปล่อยเด็กๆ ไว้ที่บ้านตามลำพังกับแม่บ้านและสาวใช้

                ‘คุณชัชไม่อยากปล่อยให้ลูกอยู่กับเงินแล้วก็ของเล่นนะคะคุณน้ำหวาน’

                แต่ให้เวลากับลูกคือสิ่งที่ยากเย็นสำหรับนักธุรกิจหมื่นล้านอย่างเขาสินะ ชัช ชำนาญพาณิชย์ เข้าบริษัททุกวัน ใช้เวลาที่นั่นน้อยบ้างมากบ้างแล้วแต่ภารกิจการงานจะรัดตัว

                ‘เมื่อก่อนตอนที่คุณหนูทั้งสามอยู่ที่เรือนริมอ่าว คุณชัชเธอทำงานกลับบ้านดึกดื่นเที่ยงคืนเกือบทุกวันค่ะ บางวันก็ไม่กลับบ้าน เพราะงานติดพัน นอนอยู่ที่นั่นสามสี่วันติดๆ ก็มี’

                นักธุรกิจร้อยล้านพันล้านเป็นยังไงเธอไม่รู้ แต่น้ำหวานไม่เคยนึกอิจฉาคนที่ร่ำรวย เพราะลูกสาวคุณหญิงลำหยวกตระหนักได้ว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ

                ‘แต่พอรับคุณหนูทั้งสามกลับมาอยู่บ้าน คุณชัชเธอถึงได้กลับบ้านเป็นเวล่ำเวลาน่ะค่ะ’

                มิน่า เขาถึงอยากส่งลูกๆ ทั้งสามให้ไปเข้าโรงเรียนประจำ…

            ‘ฉันเป็นพ่อที่ไม่เอาไหน และไม่ค่อยมีเวลาดูแลพวกเขาเท่าที่ควร’

                ป้าละเมียดคือคลังข้อมูลชั้นดีเอฟซีผู้จงรักภักดีของนายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อน ถ้าไม่นับเรื่องราวต้องห้ามเกี่ยวกับภรรยาเก่าของเขา แกก็จะขยันเล่าสามวันสามคืนไม่จบสิ้น หลายวันนี้เรื่องเดียวที่กวนใจเธออยู่ เห็นจะเป็นเรื่องงานแซยิดของแม่นายแช่ม

                ‘เดี๋ยวเราน่าจะนัดวันกันคุยเรื่องอาหารชาววังนะคะคุณน้ำหวาน’ น้องสาวต่างแม่ของชัชนัดแนะ ก่อนจะจากลากันในคืนนั้น

                การอยู่ร่วมบ้านกับสามแกะไม่ใช่ปัญหา ชัชพูดจริงที่ว่า เธอไม่ได้มีหน้าที่หาข้าวหาน้ำ อาบน้ำป้อนข้าวให้แก่เด็กทั้งสาม อีกอย่างตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน โรงเรียนของเด็กๆ ก็เพิ่งเปิดเทอม

                กิจการอ่านบัญชีที่เพิ่งเรียนรู้ก็ดูจะเข้าที่เข้าทางขึ้นมาบ้าง หลังจากที่ชัชอบรมสั่งสอนแกะน้อยละไมไว้เป็นตัวอย่าง เด็กๆ ทั้งสามก็ไม่ค่อยอยากจะมาสุงสิงหรือยุ่งเกี่ยวกับข้าวของของเธออีก เธอจึงถือโอกาสหลีกหนีจากความวุ่นวาย ทุ่มเทสมองและกำลังทั้งหมดหาทางเอาตัวรอดจากงานแซยิดของแม่นายแช่ม

                “คุณชีวันโทร. มาค่ะ”

                น้ำหวานอยากจะกระโจนออกไปทางหน้าต่างจะได้ไม่ต้องรับสาย แต่คงทำได้แค่คิด “สวัสดีค่ะ พี่ชีวัน”

                “เราน่าจะนัดเวลาหารือเรื่องอาหารนะคะคุณน้ำหวาน คุณน้ำหวานสะดวกตอนไหนเอ่ย”

                คนฟังกลอกตามองเพดาน จะตอนไหนเธอก็ไม่สะดวกใจทั้งนั้นละ

                “เอาเป็นมะรืนนี้ตอนบ่ายสามก็แล้วกันค่ะ น้ำหวานต้องดูบัญชีก่อนหน้านั้น”

                “ว่าแต่คุณน้ำหวานมีไอเดียเกี่ยวกับรายการอาหารบ้างหรือยังคะ หรือจะเอาตามเมนูที่เคยบอกไว้ที่บ้านวันนั้น”

                “น้ำหวานยังตัดสินใจเลือกไม่ได้เลยค่ะ กับข้าวคาวหวานที่น้ำหวานรู้จักก็มีมากมายไม่หวาดไม่ไหว” คิดจะทำอะไรมันก็ไม่ง่ายเลยสักอย่าง จะหาทางซื้อหาเอาจากร้านคนในพื้นที่ ร้านอาหารดีๆ ก็น่าจะรู้จักแม่นายแช่มและครอบครัวไปเสียหมด

                “อีกอย่าง น้ำหวานยังไม่ได้รู้ธีมของงาน และจำนวนแขกเหรื่อที่มา”

                “ไม่ต้องกังวลหรอกนะคะ งานนี้ไม่ถึงกับเป็นงานช้าง”

                “ขอจำนวนคนคร่าวๆ ได้ไหมคะ”

                “อืม...เท่าที่ชีวันตรวจดู ณ วันนี้ เต็มที่ก็แค่ห้าร้อยกว่าคน”

                “ห้าร้อยเลยเหรอ!” ห้าร้อยน้อยกับผีสิคะขุ่นแม่ น้ำหวานถึงกับย่นคอด้วยความหวาดเสียว

                แค่คิดถึงคนห้าร้อยคนอาเจียนพุ่งออกจากปากเพราะอาหารที่เธอทำ น้ำหวานก็อยากจะเก็บกระเป๋าแล้วหนีหายออกไปจากวิมานชำนาญพาณิชย์เสียตั้งแต่ตอนนี้เลย

                คุณหลอกดาว ดาวอยากจะร้องไห้ ไม่ใช่งานช้างอะไร ถ้ามากกว่านี้ก็งานไดโนเสาร์แล้ว

                แค่คิดก็ท้อแท้ในใจ ถ้าไม่นับรวมงานแต่งงานที่ปากช่อง ที่มีทั้งคนที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องมาร่วมงานนับไม่หวาดไม่ไหว น้ำหวานก็ไม่เคยต้องวุ่นวายกับงานใหญ่ระดับนี้มาก่อน งานนั้นแค่แต่งตัวสวยๆ เล่นละคร แต่งานนี้ยังมีปัจจัยอื่นมาพัวพัน

                ห้าร้อยก็ช้างแล้วไหม ไหนจะลูกเมีย ญาติพี่น้องที่จะขนกันมา

                “ห้าร้อยนี้น้อยแล้วนะคะคุณน้ำหวาน เพราะงานนี้แม่นายแค่อยากให้มีแต่คนกันเอง บรรยากาศจะได้ครื้นเครงเฮฮา”

                ฮาน้ำตาเล็ดละสิไม่ว่า

                “เอาเป็นว่าตกลงเบื้องต้นตามนี้นะคะ มะรืนตอนเจอหน้ากันค่อยพูดคุยรายละเอียดกับคุณน้ำหวานอีกทีนะคะ นัดพี่บัวด้วยเลยดีกว่า เผื่อรายนั้นจะมีไอเดียอะไรมาเสนอ” ชีวันบอกอย่างร่าเริง             

                เออ...จัดกันมาทั้งวงศาคณาญาติเอาเถอะ

                หลังจากชีวันวางสาย น้ำหวานยืนไว้อาลัยให้ตัวเองอยู่สามนาทีเต็มๆ แล้วใครจะช่วยเธอได้!

                ถึงไม่ต้องการผงาดขึ้นมาเป็นสะใภ้ตัวอย่าง ทว่าลูกสาวคุณหญิงลำหยวกก็ไม่ต้องการให้ตระกูลเครือผู้ดีต้องมาชื่อเสียงป่นปี้เพราะรสมือยอดยี้ของตัวเอง

                “คิดสิ คิด คิด คิด” เธอเดินกลับไปกลับมา คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร. หาเลื่อมเพชร

                เจ็ดสายเข้าไปแล้ว สาวรุ่นพี่ก็ไม่รับ มีแต่บริการฝากหมายเลขโทร. กลับ ไม่รู้ว่านอนหลับยังไม่ตื่นหรือว่ากำลังยุ่งกับการประชุมสมาชิกของตระกูลกันแน่ ทำได้แค่ทิ้งข้อความเอาไว้ให้ติดต่อกลับด่วนจี๋

                ฉันกำลังจะตาย!!! ไลน์หรือโทร. กลับฉันด่วนเลยนะเจ๊ Pleaseee

                น้ำหวานโยนโทรศัพท์ลงบนที่นอน ถอนใจยาว ร่างอรชรยังไม่ทันได้หย่อนตัวลงนั่งพักจิตใจ กระถินก็วิ่งหน้าตั้งขึ้นมาจากข้างล่างพร้อมโทรศัพท์มือถือในมือ

                “คุณน้ำหวานคะ คุณน้ำหวาน”

                “ตื่นเต้นอะไรเหรอจ๊ะกระถิน” ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกถามเสียงเย็น ไม่มีแรงจะตื่นเต้นไปกับคนที่พุ่งตัวเข้ามา

                “โรงเรียนของคุณหนูๆ โทร. มาค่ะ”

                น้ำหวานเลิกคิ้ว แล้วมาบอกเธอทำไม

                “ตอนนี้คุณหนูทั้งสามอยู่ในห้องฝ่ายปกครองค่ะ”

                หนังตาขวาของเธอกระตุกขึ้นมาหน่อยๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากเตียง

                “โรงเรียนให้ตามผู้ปกครองมาพบ ตอนนี้คุณชัชก็ไม่อยู่ เมื่อครู่โทร. ไปหาคุณชีวันก็สายไม่ว่าง”

                หรือว่ากำลังเมาท์มอยหอยสังข์กับหลานสาวน้าสมรอยู่

                “โทร. ไปหาแม่นายแช่มก็ออกไปงานบวช ส่วนคุณโชติก็ติดต่อไม่ได้”

                สรุปคือตอนนี้...แล้วยังไง น้ำหวานพยายามค่อยๆ ทำความเข้าใจในเหตุการณ์ หรือ...

                “คุณน้ำหวานช่วยไปโรงเรียนคุณหนูๆ หน่อยได้มั้ยคะ” กระถินเงยหน้ามองมาน้ำตาแทบคลอ ประหนึ่งกลัวว่าเหล่าลูกแกะกำลังจะถูกจับเข้าตะแลงแกง

                น้ำหวานนิ่งงัน ถูกกดดันด้วยความคาดหวังของสาวใช้ โอ๊ย...อยากจะบ้าตาย ถ้าทำได้เธอคงพุ่งหลาวออกไปในดงดอกเข็ม มุดลงดินไปโผล่ที่มาเลเซีย แต่ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกไม่ใช่คนที่ชอบหนีปัญหา

                เอาวะ...แค่ไปโรงเรียนสักทีก็คงไม่เป็นไร สวมบทบาทเป็นเมียนายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนก็ลองแล้ว ลองสวมบทบาทเป็นผู้ปกครองสักครั้งมันจะกระไร

                “ก็ได้จ้ะ บอกอำนวยให้สตาร์ตรถไว้เลยนะ น้ำหวานขอเติมแป้งแป๊บนึง”

 

                อำนวยบึ่งรถไปยังโรงเรียนของแกะน้อยทั้งสาม ใช้เวลาไม่นานก็มาถึง ป้าละเมียดดึงดันที่จะตามติดเธอมาด้วย แน่ละ...มั่นหน้ามั่นโหนกมาถึงที่นี่คนเดียวคงไม่ดี เพราะน้ำหวานไม่รู้จักใครสักคน

                โรงเรียนของเหล่าแกะน้อยเป็นโรงเรียนนานาชาติที่ป้าละเมียดประกาศว่า…

                “เป็นโรงเรียนที่่ดีที่สุดของที่นี่”

                และแพงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แค่รถมินิแวนแล่นเข้าเขตรั้วโรงเรียนเข้าไป ก็เห็นสนามหญ้ายิ่งใหญ่อลังการกว่าสนามในงานโอลิมปิก ที่เห็นตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าคืออาคารอิฐใหญ่โตโอ่อ่า

                พออำนวยเปิดประตูรถให้เธอ หญิงสาววัยยี่สิบปลายในเดรสสีส้มแดงซึ่งเป็นเครื่องแบบพนักงานต้อนรับก็ส่งยิ้มสดใส เยี่ยมหน้าเข้ามาทักทาย

                “ฉันบุษบา รีเซปชันของโรงเรียนค่ะ”

                นี่โรงเรียนหรือโรงแรม น้ำหวานเลิกคิ้ว ถามในใจ

                “ห้องปกครองไปทางไหนคะ” ป้าละเมียดเอ่ยปากถาม ก่อนที่ทั้งสองจะก้าวตามบุษบาไป พอเปิดประตูห้องปกครองเข้าไปเท่านั้นก็ได้ยินเสียงร้องโวยวาย

                “ฉันยอมไม่ได้หรอกนะคะ!”

                หญิงสาววัยสามสิบต้นในชุดกรุยกรายเหมือนคุณนายภรรยาเศรษฐีในไอจีประกาศก้อง

                “ใจเย็นๆ นะครับคุณผ่อง” ชายสูงวัย หน้าผากใสแจ๋วกว่ากระจกหน้าต่างด้านหลังพยายามพูดจาประนีประนอม สีหน้าสีตาบอกความกังวลใจ

                “จะให้ฉันใจเย็นได้ยังไงคะ ตอนเช้าฉันส่งลูกมาเรียนหนังสือ มั่นใจเต็มที่ว่าตาหนูของฉันจะได้รับการดูแลจากโรงเรียนที่เสียค่าเทอมเป็นแสนๆ ได้ดีที่สุด ยังไม่ทันไร ตาหนูของฉันก็กลายเป็นแบบนี้”

                ท้ายประโยค คุณนายกรุยกรายก็พยักพเยิดไปทางเด็กชาย น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับแก๊งลูกแกะที่นั่งก้มหน้าสะอึกสะอื้น นอกจากจมูกและตาที่แดงก่ำ ก็ไม่เห็นร่องรอยฟกช้ำที่ตรงไหน อ๊ะ!...นั่นไงบนแก้มขวามีรอยแดงๆ ที่คล้ายกับรอยฟัน...ฟันซี่เล็ก แกะน้อยทั้งสามนั่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่บนโซฟาทางขวามือ

                ลูกสาวคุณหญิงลำหยวกครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ นานาที่ได้ฟังจากคุณป้าแม่บ้าน

                ‘คุณหนูๆ มีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนนักเรียนในชั้นน่ะค่ะ’

                “อ๊ะ...ผู้ปกครองของหนูละมุดมาแล้วค่ะ” หญิงสาวที่ยืนตัวลีบอยู่ที่มุมห้องสีหน้าเบิกบานขึ้นมา เมื่อเห็นพนักงานต้อนรับนำเธอกับป้าละเมียดเข้ามา “ฉันจินตนา เป็นคุณครูประจำชั้นเรียนห้องดอกมะลิค่ะ”

                “ป้าละเมียด!!!” แกะน้อยสามตัวในชุดนักเรียนร้องเรียกคุณแม่บ้านออกมาพร้อมกัน หน้าที่จ๋อยสนิท สดใสขึ้นมาทันที

                “คุณละเมียดคะ คือว่าที่จินได้โทร. บอกเรื่องราว...”

                ยังไม่ทันที่คุณครูสาวจะได้เท้าความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนที่เพิ่งยืนโวยวายเมื่อครู่ก็หันมาหาเรื่องป้าละเมียดทันที

                “มาได้สักทีนะคะ คุณปล่อยให้ฉันยืนรออยู่ตรงนี้มากกว่าสามสิบนาทีแล้วคุณรู้มั้ย”

                เฮอะ...ท่าทางก้าวร้าวและเสียงแจ๋นๆ ของหล่อนแทบจะกัดกร่อนเอาความงามที่ฉาบอยู่ตั้งแต่หัวจดเท้าออกไปจนเกลี้ยง ตะกั่วเลี่ยมทองก็ยังเป็นตะกั่ววันยังค่ำ เมื่อทองคำสุกปลั่งสวยงามนั้นเลือนหายด้วยมารยาททรามๆ ที่แสดงออกมา

                “คุณสั่งสอนลูกของคุณยังไงคะ ถึงใช้กำลังทำร้ายร่างกายคนอื่น หรือว่าไม่ได้สั่งสอน”

                น้ำหวานยืนฟัง ชักจะของขึ้น ปากร้ายจังเลยแม่คนนี้

                “อยู่ดีๆ ก็เข้ามาทำร้ายกัน ทั้งที่ตาหนูของฉันไม่ได้ทำอะไรเลย บอกแม่สิคะลูกว่าเด็กแฝดสามคนนั้นทำอะไรหนูบ้าง”

                “อยู่ดีๆ เขา...ก็...ก็กัดหนู” นายเด็กลูกหมูชี้นิ้วป้อมๆ ไปที่แกะน้อยละมุดที่นั่งสะอึกสะอื้นอยู่ระหว่างกลางแกะน้อยอีกสอง ว่าแล้วเจ้าตัวก็ก้มหน้างุดๆ คล้ายจะหวาดกลัว ทว่าเมื่อคนเป็นแม่และสายตาของผู้ใหญ่คนอื่นเบนไปยังผู้ต้องหา ตาลูกหมูก็ยิ้มกริ่มในหน้า

                น้ำหวานนิ่วหน้า เขม้นมอง...มารยาเห็นๆ

                “ไม่จริง” ละมุนกระโดดลงมาจากโซฟา เถียงแทนแฝดของตัวเอง

                “นายขนุนหาเรื่องละมุดก่อน”

                “ใช่...” ละไมเชิดหน้าประสานเสียงแข็งขัน “แล้วยังมาแกล้งดึงหางเปียละมุดด้วย”

                “ระ...เราไม่ได้ชื่อขนุนนะยัยแฝดนรก”

                ครกแตก...นี่หรือเด็กน้อยแสนดีไม่มีปากเสียงที่คุณแม่ว่า ลูกหมูโต้กลับทันควัน หลงลืมท่าทางเจี๋ยมเจี้ยมกระเทียมเจียวไปเสียสนิท

                “ก็ตัวเองเหมือนลูกขนุนจริงๆ นี่นา ตัวกลมบ๊อกเลย หน้าตาก็ยู่ยี่ ตายิบหยีเหมือนเม็ดกวยจี๊ ฮิๆ” ละมุนหัวเราะร่วน แลบลิ้นปลิ้นตาใส่เด็กชาย

                เด็กชายขนุนเริ่มเบะปาก พอเห็นลูกร้องห่มร้องไห้ คนเป็นแม่ก็รีบกางปีกปกป้อง

                “นี่อย่ามาว่าลูกฉันนะ พ่อแม่ไม่สั่งสอน”

                “ยัยแฝดนรกไม่มีแม่”

                “อ๋อ เพราะไม่มีแม่นี่เองถึงไม่มีใครสั่งสอน ทำตัวเกเรแบบนี้”

                สิ้นถ้อยคำร้ายกาจของมนุษย์แม่ น้ำหวานถึงกับสตันต์ ต่ำตมอะไรเบอร์นี้ กล้าดียังไงมาพูดกับเด็กแบบนี้นะ

                “ไม่มีแม่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย” แกะน้อยละมุนยังเถียงคอเป็นเอ็น

                “เค้ามีป๊ะป๋าตัวใหญ่กว่าแม่ตัวเองตั้งเยอะ”

                น้ำหวานกลอกตามองเพดาน นึกโมโหผู้ใหญ่ที่ทำตัวเป็นเด็กใจจะขาด มนุษย์ตัวแม่มีทุกวงการ แม้แต่ในรั้วโรงเรียนอนุบาลก็เพิ่งจะเจอ

                “ฉันว่าเรามาคุยกันดีๆ ก่อนจะดีมั้ยคะ ดุด่าว่ากล่าวเด็กๆ ไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร”

                สาวงาม กิริยาทรามชะงัก หันขวับมามองที่เธอตั้งแต่หัวจดเท้า

                สิ้นคำสายตาทุกคู่ของคนที่อยู่ในห้องก็จับจ้องมาที่ตัวเธอ ดีนะเนี่ยที่ตบแป้ง เติมปาก เปลี่ยนชุดมาก่อน แม้จะสวยหรูอลังการสู้อีกฝ่ายไม่ได้ ทว่าลูกสาวคุณหญิงลำหยวกก็มั่นใจเต็มร้อย

                “แล้วเธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ตาหนูของฉันเป็นลูกเต้าเหล่าใคร”    

                ว้าย...จะไปรู้ได้ยังไง เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอหน้ากัน หน้าเธอเหมือนทะเบียนราษฎร์หรือไงจ๊ะ

                “ฉันไม่รู้หรอกค่ะ”

                คุณครูฝ่ายปกครองที่บกพร่องต่อหน้าที่หน้าซีด คุณครูประจำชั้นปากสั่น สายตาที่มองมาที่เธอส่อแววเวทนาน้อยๆ 

                “แล้วเธอเป็นใคร มาเกี่ยวอะไร”

                เอาวะ..บางครั้งการอ่อนน้อมถ่อมตนก็ใช้ได้ในบางเวลา บางครั้งคราเราก็ต้องยกตนข่มขวัญคนที่ไร้มรรยาทเช่นกัน เห็นนายพ่อเลี้ยงกระทิงเถื่อนนั่น โอ่นักโอ่หนาว่า ใครๆ ในเมืองนี้ก็เกรงใจเขา

                เธอก็เอาชื่อเสียงของเขามาบลัฟคนตรงหน้าหน่อยเป็นไร

                “ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าคุณเป็นใคร หรือลูกเต้าของคุณเป็นใคร แต่ฉัน...” น้ำหวานเชิดหน้าขึ้นมองคนที่สูงกว่าเป็นคืบ

                “เป็นแม่เลี้ยงของเด็กสามคนนั้น ฉันชื่อ น้ำหวาน ชำนาญพาณิชย์”

                “ชำนาญพาณิชย์?” มนุษย์แม่จอมกร่างชะงัก ตาลุกวาวอย่างระลึกได้เมื่อได้ยินนามสกุล

                “เธอเป็นเมียของ ชัช ชำนาญพาณิชย์”

                “ค่ะ”

                “งั้นเด็กพวกนี้ก็เป็นลูกของชัชด้วยงั้นสิ” ผ่องพรรณถึงกับหน้าถอดสี

                อาการกร่างแกร่งกล้าลดลงหลายส่วน ชื่อนามสกุลของสามีเธอใช้เป็นยันต์กันผีบ้าก็ได้แฮะ

                “เราจะมานั่งพูดดีๆ กันได้หรือยังคะทีนี้ บอกเลยว่าฉันเสียเวลามามากแล้วเหมือนกัน ฉันมีธุระปะปังกิจการพันล้านที่ต้องไปทำ”

                ยังไม่ทันที่จะได้พูดถึงเรื่องราวกัน ประตูห้องก็เปิดออกอย่างนุ่มนวล

                “ขอโทษนะครับ” ว่าแล้วชายหนุ่มรูปหล่อออร่ากระจายก็เดินเข้ามา หวังว่านี่คงไม่ใช่มนุษย์พ่ออีกคน ไม่อย่างนั้นเธอคงอดเสียดายความหล่อเหลาเบ้าดี

                “พี่ตริณ” ผ่องพรรณแทบจะโผไปหาคนมาใหม่คล้ายคนจมน้ำ ที่เห็นท่อนไม้ลอยผ่านเข้ามากลางทะเล

                “ผ่องมีอะไรหรือเปล่า โทร. หาพี่ตั้งเป็นสิบสาย”

                “พี่ตริณต้องช่วยจัดการให้ผ่องนะคะ ก็...ยัยเด็กแฝดลูกหลานชำนาญพาณิชย์รังแกตาหนูของผ่อง ถลอกปอกเปิกไปทั้งตัว”               

                น้ำหวานลอบเบ้ปากในใจ เว่อร์เสียไม่มี

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น