บทที่ ๑๑

๑๑

 

 อาการของคุณหญิงแขดีขึ้นตามลำดับ สามวันให้หลังก็ลุกขึ้นนั่งได้แต่ยังไออยู่บ้าง สามวันของการนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลของคุณหญิงแขนับว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ของบุษบงและจำปา เมื่อก่อนทั้งคู่ไม่เคยเชื่อว่ายาฝรั่งเม็ดเล็กๆ จะดีกว่ายาหม้อของไทย แต่อาการดีวันดีคืนของคุณหญิงแขก็พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่คิดอาจจะไม่ถูกต้องเท่าไรนัก แม้แต่คุณหญิงแขเองก็ยังปรารภว่าการรักษาแบบฝรั่งดี ยาก็กินง่ายไม่ต้องดื่มทั้งหม้อ เสียแต่เจ็บตัวบ่อยไปหน่อยเท่านั้นเอง

 ตลอดทั้งสามวันไม่มีคนทางบ้านมาเยี่ยมเยียนแม้แต่คนเดียว ซึ่งคุณหญิงแขไม่เอ่ยปากเลย ท่านยังคงนิ่งสงบ มีเพียงจำปาเท่านั้นที่บ่นลับหลังว่าคงเป็นเพราะคุณสร้อยกีดกันไม่ให้แม่ลูกได้เจอหน้ากัน

 บุษบงสงสารคุณหญิงแขอย่างที่สุด หล่อนไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครไปมาหาสู่เสียทีเดียว อย่างน้อยครอบครัวของโรเบิร์ตก็มาเยี่ยมทุกวัน รวมทั้งเกื้อกูลด้วย

 เกื้อกูลวางตัวดีเสมอ รู้จักวางตนให้สุภาพต่อหน้าผู้ใหญ่ทำให้จำปาถูกชะตาไม่น้อย และพอคุณหญิงแขเริ่มหายป่วยจำปาก็เอาแต่พูดถึงชายหนุ่มให้ฟังทั้งวันด้วยความชื่นชม และในเย็นวันนั้นเองคุณหญิงแขก็ได้พบกับชายหนุ่มที่ได้ยินชื่อมาตลอดทั้งวัน

 เกื้อกูลมาเยี่ยมพร้อมกับโรเบิร์ตและแคทลีน เขายกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนที่จะรับไหว้บุษบง ท่วงท่านั้นสง่างามน่าชมเชยทีเดียว

 เมื่อได้พูดคุยด้วยคุณหญิงแขก็พบว่าสิ่งที่จำปาชมเชยนั้นไม่ผิดกับความเป็นจริง ชายหนุ่มคนนี้นอกจากท่วงท่าสง่างามแล้วยังพูดจาสุภาพไพเราะ อีกทั้งท่านยังรู้สึกคุ้นเคยกับเขาอย่างประหลาดเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ครั้นจะเอ่ยปากถามถึงเทือกเถาเหล่ากอ พยาบาลคนหนึ่งก็เดินเข้ามาแล้วเรียกชายหนุ่มออกไปด้านนอกเสียก่อน 

 “มีอะไรหรือเปล่าคะคุณเกื้อ” บุษบงถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล

 “ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน ถ้าเธออยากรู้ก็ตามมาด้วยกันเถอะ”

 บุษบงเดินตามออกไปตามคำชวนของชายหนุ่ม ปล่อยให้ผู้ใหญ่สองคนรอฟังข่าวอยู่ในห้อง

 เมื่อออกมาภายนอกเกื้อกูลและบุษบงก็ได้รู้ว่าทางโรงพยาบาลอนุญาตให้คุณหญิงแขกลับบ้านในวันพรุ่งนี้พร้อมแจ้งยอดค่าใช้จ่าย ซึ่งทำให้บุษบงถึงกับตาโต แม้จะไม่มากมายเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้กลับมาแต่หล่อนก็ไม่มีเงินมากพอ ครั้นจะไปขอคุณสร้อยก็เห็นทีจะไม่มีทาง และอาจจะทำให้อื้อฉาวเสียเกียรติคุณหญิงแขเปล่าๆ

 หล่อนนึกถึงเครื่องแต่งตัวที่ฝากเอาไว้ที่เรือนทาส หากจำเป็นหล่อนคงต้องเอามันออกมาจำนำขัดตาทัพไปก่อน เมื่อหาเงินได้ก็ค่อยๆ ทยอยผ่อนคืน แม้จะเป็นของนอกกายแต่หล่อนรู้ดีว่าคุณหญิงแขรักสมบัติทุกชิ้นที่เก็บลงมาจากเรือนใหญ่ เพราะชิ้นที่ท่านไม่รักได้ทิ้งไว้ให้คุณสร้อยหมดแล้ว

 ระหว่างที่คิดอยู่นั้นเกื้อกูลก็ดึงกระดาษจากมือหล่อน จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปตามทางเดิน เขาเดินเร็วมากจนหล่อนต้องวิ่งตาม

 “คุณจะเอาไปไหน”

 “ฉันจะเอาไปชำระเงิน พรุ่งนี้จะได้พาคุณท่านกลับบ้านได้แต่เช้า ไม่อยากให้ออกสายนัก แดดร้อน อาการจะกำเริบเอาอีก”

 หลายวันที่รู้จักกันมาหล่อนสัมผัสได้ถึงความรอบคอบของเขา หล่อนกับคุณหญิงแขควรจะออกจากโรงพยาบาลแต่เช้า ซึ่งนั่นหมายถึงถ้าหล่อนพร้อมแต่เวลานี้หล่อนยังไม่พร้อม

 “ฉันยังไม่มีเงินค่ะ คงต้องไปหาก่อน”

 “ยืมฉันก่อน ฉันพอมี ไม่อยากให้เธอต้องเทียวไปเทียวมา นี่ก็เย็นมากแล้ว ฉันรับรองว่าจะไม่คิดดอกแม้แต่แดงเดียว”

 บุษบงซาบซึ้งในน้ำใจของชายหนุ่มอย่างเหลือเกิน เขาดีกับหล่อนมาก จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเขามีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยถามตามตรง

 “ทำไมคุณดีกับพวกเรานัก”

 “ถ้าฉันตอบว่าเพราะมนุษยธรรมล่ะ เธอจะเชื่อหรือเปล่า” เขาย้อนถาม 

 บุษบงไม่ตอบ แต่ก้มหน้านิ่ง ทว่าในใจนั้นยอมรับว่าเขาดีอย่างที่หล่อนไม่คาดคิดว่าจะได้รับความช่วยเหลือเช่นนี้จากคนอื่นที่ไม่ใช่คนรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน

 “และฉันก็อยากพิสูจน์ให้เธอเห็นว่าฉันไว้ใจได้ เผื่อบางทีเธออาจจะเปลี่ยนใจมาเป็นนางแบบให้ฉันวาดรูป ฉันขอรับรองว่าจะไม่มีการล่วงเกินใดๆ ทั้งสิ้นในระหว่างทำงาน หรือไม่ว่าตอนไหนก็ตาม”

 คำกล่าวของเขาทำให้หล่อนลังเล 

 “ฉัน...เอ่อ...ฉัน...”

 “ไม่ต้องตอบตอนนี้ ฉันไม่ได้เร่งรัดอะไร ไปเถอะ ไปชำระเงินกัน”

 เกื้อกูลออกเดินอีกครั้ง หญิงสาวก็เดินตามเหมือนอย่างเคย แต่คราวนี้ในใจกลับคิดถึงเรื่องที่เขาขอขึ้นมา จะเป็นไรไหมหากหล่อนจะตอบแทนเขาบ้างหลังจากที่เขาช่วยเหลือคุณหญิงแขผู้มีพระคุณอย่างที่สุดของหล่อนให้ปลอดภัย

 รุ่งเช้าบุษบงกับจำปาก็พาคุณหญิงแขออกจากโรงพยาบาล ทั้งหมดนั่งสามล้อลากกลับมาบ้านซึ่งก็ได้รับความสะดวกสบายพอสมควร ระหว่างทางผ่านถนนราชดำเนิน ทุ่งพระเมรุและพระบรมมหาราชวัง คุณหญิงแขมีสีหน้าแจ่มใสมากขึ้น และเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ท่านเคยได้พบในวัยเยาว์และวัยแรกรุ่นจนกระทั่งออกจากวังมาเป็นแม่ศรีเรือนให้ทั้งคู่ฟัง

 บุษบงสัมผัสได้จากน้ำเสียงและแววตาว่าในอดีตท่านมีความสุขมาก ทำให้หล่อนหดหู่เมื่อยามนี้ท่านไม่มีความสุขแบบนั้นเลย ท่านเหมือนคนแก่ที่ถูกตัดขาดจากครอบครัว การเจ็บป่วยครั้งนี้เป็นสิ่งยืนยันได้ดีว่าคุณสร้อยไร้น้ำใจอย่างแท้จริง ครั้นจะถือโทษโกรธเคืองหล่อนก็คงทุกข์ใจเปล่าๆ ดังนั้นหล่อนจะไม่คิดเรื่องนี้อีกและตั้งใจว่าต่อไปจะดูแลท่านให้ดีกว่านี้

 แล้วความสุขของคุณหญิงแขก็หมดลงเมื่อรถลากแล่นเข้าสู่รั้วบ้าน สีหน้าของท่านกลับนิ่งสงบเช่นเดิม มีเพียงบ่าวไพร่เก่าแก่มาต้อนรับ แต่ไม่มีคนบนเรือนใหญ่มาเหลียวแลสักคน

 “คุณท่านของบ่าวกลับมาแล้ว” ยายเจียมถึงกับน้ำหูน้ำตาไหลเมื่อคุณหญิงแขก้าวลงจากรถ “บ่าวอยากไปเยี่ยมแต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปยังไง”

 คุณหญิงแขยิ้มบางๆ “ขอบใจนะเจียม ขอบใจที่ยังเป็นห่วง”

 “บ่าวทั้งเรือนห่วงคุณหญิงกันทั้งนั้น ว่าแต่นี่หายดีแล้วใช่ไหมเจ้าคะ”

 “ค่อยยังชั่วขึ้นมาก ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ฉันหนังเหนียวตายยาก” น้ำเสียงท้ายประโยคคล้ายกับประชดประชันแกมเย้ยหยันอยู่ในที

 “คุณท่านขึ้นเรือนเถอะเจ้าค่ะ แดดร้อนลมโกรก เดี๋ยวจะไม่สบายไปอีก”

 คุณหญิงแขทำตามคำแนะนำของยายเจียม ค่อยๆ เดินขึ้นเรือนอย่างระมัดระวัง แต่ไม่วายมองไปทางเรือนใหญ่ ในแววตาไม่ได้แสดงถึงความเสียใจหรือน้อยใจ มีบางอย่างที่จำปาเห็นแล้วถึงกับเย็นวาบขึ้นมาทันที ดูเหมือนสงครามระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้กำลังจะอุบัติขึ้น

 ช่วงบ่ายหลังจากที่คุณหญิงแขเอนหลังได้สักพัก ก็มีคนที่ไม่มีใครคาดคิดมาเยี่ยมเยือน ซึ่งก็คือคุณสร้อยผู้เป็นสะใภ้ที่ไม่ยอมมาดูดำดูดีเลยแม้แต่น้อยตอนที่ท่านเจ็บป่วย กระนั้นคุณหญิงแขก็ไม่แสดงท่าทางปั้นปึ่งแต่อย่างใด ยังคงสงบนิ่งเยือกเย็นสมชื่อของท่าน มีเพียงสายตาเท่านั้นที่ทำให้คุณสร้อยสะบัดร้อนสะบัดหนาวอย่างบอกไม่ถูก

 คุณหญิงแขเป็นคนมีอำนาจอยู่ในตัว ท่านพูดน้อย เก็บความรู้สึกเก่ง ไม่เล่นหัวกับใครสมกับเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว แม้แต่คุณสร้อยเองก็อดที่จะเกรงไม่ได้

 คุณสร้อยหยุดแค่ที่ประตูห้องนอนพร้อมกับบ่าวคู่ใจ ไม่ก้าวล้ำไปมากกว่านั้น หล่อนกวาดตามองไปทั่วห้องอย่างสำรวจตรวจตรา จากนั้นก็เอ่ยถามอาการแม่สามีตามมารยาท

 “คุณแม่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

 “ก็ค่อยยังชั่ว คนแก่หนังเหนียว คงตายยาก” คุณหญิงแขตอบเสียงเย็นชา

 “แหม...ตอนแม่บุษไปรายงานดิฉันตกอกตกใจ นึกว่าคุณแม่เป็นฝีในท้องเสียแล้ว ดิฉันเป็นห่วงคุณแม่มากแต่ไม่มีเวลาไปเยี่ยม ไปรักษากันถึงศิริราช ไกลเชียวนะคะ”

 จำปาถึงกับชักสีหน้าเมื่อคุณสร้อยกล่าวจบประโยค เกือบจะโต้ตอบออกไปเพราะความไม่พอใจที่คุณสร้อยแช่งเจ้านายของตน แต่คุณหญิงแขกลับถามขึ้นมาเสียก่อนจึงไม่ได้โอกาส

 “แม่สร้อยคงไม่ได้มาเยี่ยมฉันอย่างเดียวใช่ไหม มีธุระอะไร”

 คุณหญิงแขถามตามตรง ไม่อยากเสวนากับลูกสะใภ้นานนักเพราะรู้ว่าต่างฝ่ายต่างไม่ชอบหน้ากัน

 “เจ้าค่ะ ดิฉันมีธุระ” คุณสร้อยก้าวเข้ามาในห้องทั้งตัวเมื่อเห็นว่าแม่สามีไม่ได้เป็นโรคฝีในท้องอย่างแน่นอนแล้ว “ดิฉันจะขอให้นังบุษไปช่วยในครัวสักหน่อย อีกสองวันเจ้าคุณพลากรกับคุณหญิงโสภา และพ่อเกื้อคู่หมั้นแม่แสงจะมากินอาหารเย็นที่บ้าน”

 น้ำเสียงของคุณสร้อยแสดงถึงความยินดีและภาคภูมิใจอย่างยิ่งกับการมาเยี่ยมเยือนของแขก

คุณหญิงแขทำหน้าเฉยเมยและปรามออกไปด้วยเสียงขรึม “ทำไมต้องใช้แม่บุษ บ่าวออกจะเต็มบ้านแค่ทำอาหารเลี้ยงแขก ทำให้พ่อธรรมออกบ่อยไม่ใช่หรือ”

 แม้จะอยู่แต่เรือนเล็ก คุณหญิงแขก็ไม่ได้ปิดหูปิดตาเรื่องแขกไปใครมา หลายครั้งที่ท่านเห็นว่ามีแขกของบุตรชายมาเยี่ยมเยียนและมีการเลี้ยงอาหารกันอย่างเอิกเกริก

 “อุ๊ย ไม่ทราบนะคะว่าหวง” คุณสร้อยกล่าวเสียงสูง ชายตาไปมองบุษบงที่นั่งอยู่ด้วยอย่างไม่พอใจ “ถ้านังบ่าวโง่ๆ ของดิฉันทำได้ก็ไม่อยากรบกวนบ่าวกิตติมศักดิ์ของคุณแม่หรอกค่ะ พวกนางในครัวไม่มีใครรู้จักเครื่องฝรั่ง ดิฉันได้ข่าวว่าแม่บุษบงคนโปรดนี่ทำมาให้คุณแม่รับมาหลายครั้งแล้วก็เลยอยากให้ช่วย ทางโน้นเขาหัวนอกกันทั้งบ้าน เกรงว่าทำอาหารไทยขึ้นโต๊ะอย่างเดียวจะไม่ถูกปาก หวังว่าคุณแม่จะช่วยหลานนะคะ เดี๋ยวจะอายคู่หมั้นเอา”

 “ทางโน้นยังไม่ได้ตกลงปลงใจ อย่าเรียกว่าคู่หมั้นเลย เพราะคนที่เสียหายที่สุดก็ไม่ใช่ใคร แม่แสงจันทร์ลูกสาวของแม่สร้อยนั่นละ”

 “เอ๊ะ...คุณแม่นี่อย่างไร มาแช่งลูกแสงเสียอย่างนั้น”

 “ฉันไม่ได้แช่ง แต่ได้ข่าวว่าฝ่ายโน้นไปเรียนไกล อายุก็ใช่น้อย ไม่ใช่มีคนรักอยู่แล้วหรือ เผื่อใจเอาไว้บ้าง ที่เตือนก็หวังดีตามประสาคนแก่” ท่านตอบเยือกเย็นเหมือนเดิม มิได้เดือดร้อนแค้นใจไปกับอารมณ์อันแปรปรวนของสะใภ้แต่อย่างใด

 “โอ๊ย! จะมีหรือไม่มีก็ต้องแต่งกับแม่แสงค่ะ ดิฉันจะไม่ยอมให้เขาผิดสัญญาอย่างเด็ดขาด แล้วตกลงดิฉันขอตัวแม่บุษ คุณแม่จะให้ไหมคะ... ว่าไงแม่บุษ พอจะไปช่วยได้ไหม” ประโยคหลังคุณสร้อยหันไปถามบุษบงโดยตรงเป็นการบีบบังคับทางอ้อม

 บุษบงเงยหน้าขึ้นมองคุณหญิงแขซึ่งมีสีหน้าเรียบนิ่งแต่มองหล่อนด้วยแววตาปรานีอย่างเหลือเกิน หากหล่อนตอบว่าไม่ ท่านก็คงไม่ว่าอะไร แต่หล่อนไม่อยากทำให้ท่านลำบากใจในภายหลังจึงยอมตอบรับ 

 “เจ้าค่ะ บ่าวจะไปช่วยคุณสร้อย อยากให้บ่าวทำอะไรหรือเจ้าคะ บ่าวจะได้เตรียมเครื่องได้ถูกต้อง”

 เมื่อบุษบงถามเช่นนั้นคุณสร้อยก็ชักสีหน้าเพราะไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร 

“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง อยากทำอะไรก็ทำไป เอาเป็นว่าทำให้ดีที่สุด อย่าให้ขายหน้าบ้านโน้นเป็นพอ”

 “ถ้าอย่างนั้นวันพรุ่งนี้บ่าวจะไปเรียนรายการอาหารให้คุณสร้อยทราบอีกทีว่าจะทำอะไร”

 “เอาอย่างที่เอ็งว่านั่นละ” เพียงเท่านั้นคุณสร้อยก็สะบัดหน้าหันหลังเดินลงเรือน โดยมีบ่าวคนสนิทเดินตามติดไป 

 “แปลกนะเจ้าคะที่วันนี้เดินมาขอให้แม่บุษไปช่วย ธรรมดาเห็นจิกหัวใช้เลย ไม่เคยเห็นหัวคุณหญิงแม้แต่สักครั้งเดียว” จำปาวิจารณ์เมื่อลับร่างผู้เป็นสะใภ้ของคุณหญิงแข

 “ไม่แปลกหรอก เขาคงมาดูว่าฉันตายหรือยัง แม่บุษลงไปก็ระวังตัวนะ ไกลหูไกลตาฉันช่วยเหลือลำบาก”

 “เจ้าค่ะ แต่บุษยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดี” บุษบงพึมพำ ยังไม่รู้ว่าเครื่องฝรั่งอะไรที่จะเหมาะกับการรับแขก และอะไรที่จะทำให้คุณสร้อยพอใจ

 “ทำไมไม่ลองไปถามฝรั่งตัวจริงเล่า บางทีอาจจะรู้ดีก็ได้”

 “จริงด้วยเจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวบุษจะไปถามครูแหม่ม”

 “ไปเถอะ แต่อย่ากลับให้มืดค่ำ ทางมันรกเดี๋ยวจะถูกงูเงี้ยวเขี้ยวขอมันกัดเอา”

 เมื่อคุณหญิงแขอนุญาต บุษบงก็ลงเรือนตรงไปยังบ้านพักของโรเบิร์ตกับแคทลีน เพื่อขอคำแนะนำเรื่องอาหารฝรั่งที่จะเตรียมขึ้นโต๊ะรับแขก

 บ้านโรเบิร์ตล็อก บุษบงเดินดูรอบๆ บ้านก็ไม่พบทั้งสองคน จึงตัดสินใจที่จะกลับ แต่ระหว่างนั้นหลังต้นมะพร้าวมีเรือนอีกหลังหนึ่งซึ่งปกติปิดตาย ไม่มีใครอยู่อาศัยมานานหลายปี ทว่าเวลานี้ประตูหน้าต่างทุกบานเปิดกว้างราวกับเจ้าของบ้านเต็มใจอย่างยิ่งที่จะให้ผู้คนไปเยี่ยมเยียน บุษบงมองสะพานที่ทำจากไม้แผ่นเดียวสำหรับข้ามผ่านท้องร่องในสวนด้วยความลังเล ในที่สุดก็ตัดสินใจข้ามไป เผื่อบางทีแคทลีนกับโรเบิร์ตอาจจะอยู่ที่นั่น

 เมื่อเข้าไปถึงตัวบ้าน บุษบงก็พบว่าเจ้าของบ้านกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ใต้ซุ้มเฟื่องฟ้า เขาหันหลังให้และไม่รับรู้ถึงการมาเยือน หล่อนเองก็ไม่อยากรบกวนเขาจึงพยายามเดินให้เงียบที่สุด แล้วก็พบว่าตรงหน้าเขามีขาตั้งแบบสามขาวางไม้กระดานแผ่นใหญ่ บนไม้กระดานแผ่นใหญ่มีกระดาษแผ่นหนึ่ง ชายหนุ่มกำลังตวัดดินสอสีดำลงเส้นก่อให้เกิดภาพตามที่เขาเคยบอกไว้ว่าเป็นจิตรกร

 บุษบงเดินเข้าไปใกล้จนกระทั่งถึงระยะที่มองเห็นภาพวาดนั้นอย่างชัดเจน และภาพนั้นก็ทำให้หล่อนตะลึงงัน

 ในความมืดมิดเรือลำหนึ่งลอยอยู่ในคลอง มีเพียงแสงจากตะเกียงเจ้าพายุเป็นตัวนำทาง หิ่งห้อยนับร้อยบินอยู่เหนือต้นลำพูริมตลิ่ง ในเรือมีผู้โดยสารสามคน คนหนึ่งคือชายหนุ่มสีหน้าสงบนิ่งทำหน้าที่ฝีพาย อีกคนหนึ่งคือหญิงชราที่นอนสลบไสลหนุนตักหญิงสาวสีหน้าทุกข์ร้อนกระวนกระวาย

 หล่อนเข้าถึงอารมณ์ของภาพวาด เพราะมันคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในคืนนั้น คืนที่ทำให้รู้ว่ามิตรภาพอันงดงามยังมีอยู่ในโลก 

 “อ้าวบุษ มาตั้งแต่เมื่อไหร่”     

 เสียงของเกื้อกูลดึงหล่อนกลับมาสู่ปัจจุบัน และเมื่อถูกจับได้ว่ากำลังแอบมองเขาก็ทำเอาหล่อนทำหน้าไม่ค่อยถูก จึงก้มหน้าแล้วตอบอย่างไม่เต็มเสียงนัก

 “เพิ่งมาเมื่อครู่นี่เองค่ะ”

 “ฉันกำลังวาดรูปอยู่” เขาเอ่ยไม่เต็มเสียงเช่นกัน

 “ค่ะ ฉันเห็นแล้ว ภาพของคุณสวยมาก” หล่อนเอ่ยชมจากใจ

 สีหน้าเขาดีขึ้นและมีรอยยิ้มอ่อนๆ เมื่อได้รับคำชม

“ขอบคุณ แต่เธอคงไม่ว่าใช่ไหมที่ฉันวาดรูปเธอโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตก่อน”

 “ทำไมฉันต้องว่าคะ ฉันไม่ใช่คนขี้หวงอย่างนั้นเสียหน่อย”

 ชายหนุ่มยิ้มยินดีก่อนที่จะอธิบาย “ตอนแรกฉันว่าจะวาดให้เสร็จเสียก่อนแล้วค่อยให้เธอดู อาจจะไม่เหมือนนัก เพราะฉันวาดจากความทรงจำ แต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุด”

 บุษบงอยากเถียงเหลือเกินว่าภาพวาดของเขานั้นเหมือนอย่างเหลือเกินโดยเฉพาะใบหน้าของหล่อน เขาวาดได้เหมือนจนหล่อนนึกว่ากำลังส่องกระจกอยู่ แต่ก็เลือกที่จะเก็บคำกล่าวนั้นเอาไว้ด้วยคิดว่าไม่สมควร

 “รูปนี้หรือคะที่จะเอาไปประกวด” บุษบงถาม ชักเริ่มสนใจงานของเขาขึ้นมา

 “ใช่ แต่ต้องส่งสองรูป รูปแรกเป็นรูปเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือสถานที่ ซึ่งฉันเลือกที่จะวาดรูปนี้ คืนนั้นเป็นความประทับใจที่ฉันคิดว่าคงไม่มีวันลืมไปจนตาย ส่วนอีกรูปต้องเป็นรูปคน ฉันจึงอยากให้เธอมาเป็นแบบให้อย่างไรล่ะ พอจะเปลี่ยนใจกรุณาฉันได้หรือยัง” ท้ายประโยคเสียงของเกื้อกูลนุ่มนวลเป็นเชิงออดอ้อนอยู่ในที

 บุษบงรู้สึกถึงความร้อนบนใบหน้าจึงเสมองไปทางอื่น เพราะสายตาของเขามักจะทำให้หล่อนหายใจไม่ค่อยออก โดยเฉพาะในเวลานี้ด้วยแล้ว จากที่ได้รู้จักกับเกื้อกูลมาระยะหนึ่ง หล่อนก็รู้ว่าชายหนุ่มเป็นคนดี มีน้ำใจ เชื่อถือได้ จะเป็นไรหรือไม่หากหล่อนจะทำตามที่เขาขอร้อง

 ใจหล่อนตอบว่าไม่เป็นไร หล่อนไว้ใจเขา แต่เมื่อถามถึงความเหมาะสมก็คงไม่เหมาะสม ก็เขาเป็นผู้ชายและหล่อนเป็นผู้หญิง จะมาอยู่กันลำพังสองต่อสองคงไม่ใช่เรื่องที่น่าดูนัก แต่ถ้ากล่าวถึงความกตัญญู เขาทำอะไรให้ตั้งมากมาย คงจะใจดำไปหน่อยหากหล่อนจะเมินเฉยต่อเรื่องนี้

 “ตกลงค่ะ ฉันยินดีเป็นแบบให้คุณ แต่ฉันยังกังวลเรื่องของความเหมาะสม จะเป็นไปได้ไหมคะถ้าฉันจะขอให้ไปวาดรูปฉันที่บ้านของครูแหม่ม โดยตลอดระยะเวลาที่คุณทำงานครูแหม่มจะต้องอยู่ด้วย ส่วนเรื่องเวลานั้นฉันอาจให้คุณได้ไม่มากนัก เพราะฉันมีหน้าที่ แต่ก็จะพยายามปลีกตัวมาทำงานให้คุณให้ได้มากที่สุด” หล่อนตั้งเงื่อนไขอย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจของตนเอง

 “ได้ซิ เรื่องนั้นไม่มีปัญหาเลยสักนิด ฉันดีใจที่สุดท้ายเธอตอบรับคำชวนของฉันเสียที ส่วนเรื่องเวลาเธอไม่ต้องกังวล ฉันขอเวลาแค่วันละครึ่งชั่วโมงเท่านั้น และถ้าวันไหนเธอติดธุระก็บอกได้ รูปนี่กว่าจะส่งก็อีกหลายวัน ความจริงกำหนดส่งอีกสามเดือน แต่ฉันต้องฝากใส่เรือไป กว่าจะเดินทางไปถึงอิตาลีก็กินเวลานานอยู่ ไม่อยากส่งให้กระชั้นนัก”

 “ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันก็ตกลง” หล่อนตอบรับอย่างเข้าใจคำอธิบายของเขา

 “ขอบใจมาก แม้รูปที่ฉันวาดจะไม่ได้รับรางวัลเลย แต่ฉันก็คิดว่ารูปนี้คงมีความหมายมากที่สุดในชีวิต ว่าแต่เธอมีธุระอะไรหรือเปล่าถึงได้เดินมาถึงนี่”

 พอเขาทักขึ้นบุษบงจึงนึกได้ว่าหล่อนมาทำอะไร เพราะรูปวาดของเขาทำให้ลืมเรื่องสำคัญไปเลย

 “ฉันมาหาครูแหม่ม บ้านใส่กุญแจเอาไว้ ฉันนึกว่าจะมาอยู่ที่นี่”

 “สองคนนั้นเขาออกไปข้างนอก มีเพื่อนจากอังกฤษมาพักที่โมเต็ลในพระนคร เห็นว่าจะกลับกันวันมะรืน คงพาเพื่อนเที่ยวกระมัง อาจจะออกไปถึงอยุธยา”

 “กลับวันมะรืนเชียวหรือคะ” บุษบงอุทานออกมาอย่างผิดหวังด้วยความลืมตัว ถ้าครูแหม่มกลับมาวันมะรืน ซึ่งก็เป็นวันเดียวกับที่บ้านคู่หมั้นของแสงจันทร์มากินอาหารก็คงไม่ทันกาล

 “มีอะไรสำคัญหรือเปล่า เอ่อ...หมายถึงฉันพอจะช่วยเธอได้ไหม หรือว่าคุณหญิงท่านไม่สบายอีก” เกื้อกูลเดาจากท่าทางทุกข์ร้อนของหล่อน

 บุษบงลังเลที่จะบอกปัญหาแก่เขา แต่เมื่อนึกได้ว่าเขาเคยผ่านเมืองนอกมาบางทีอาจจะพอรู้จักอาหารฝรั่งบ้าง

 “ฉันอยากมาปรึกษาครูแหม่มเรื่องทำอาหารฝรั่งขึ้นโต๊ะค่ะ จะมีแขกมาเยี่ยมที่บ้านในอีกสองวันข้างหน้านี้ ฉันได้รับมอบหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรดี”

 “คงเป็นแขกสำคัญมาก เป็นแขกต่างชาติหรือ”

 “ไม่ใช่หรอกค่ะ คนไทย บ้านของคู่หมั้นคุณแสงจันทร์แต่ไปอยู่เมืองนอกเสียนาน คุณสร้อยเธอจึงคิดว่าคงไม่ค่อยคุ้นกับอาหารไทยนักจึงอยากจัดอาหารฝรั่งขึ้นโต๊ะด้วย”

 เมื่อกล่าวจบบุษบงก็รู้สึกว่าเกื้อกูลมีสีหน้าแปลกๆ คล้ายเขาตกใจแต่แล้วสีหน้าแบบนั้นก็หายไป

 “ไม่รู้สินะ ฉันว่าคนไทยแม้จะไปอยู่เมืองนอกเมืองนามา แต่ก็คงไม่มีใครลืมอาหารไทยหรอก ฉันว่าการเห่อฝรั่งมังค่าจนมากเกินไปบางครั้งก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกเท่าไรนัก หากให้ฉันเสนอว่าควรทำอะไรขึ้นโต๊ะ ฉันคงเสนออาหารไทยหรืออาหารฝรั่งรสชาติไทย น่าจะทำให้แขกประทับใจได้มากกว่า เพราะการเสิร์ฟอาหารแบบฝรั่งแท้ๆ นั้นยุ่งยาก ไม่เหมาะกับคนไทยหรอก”

 “คุณกรุณาบอกหน่อยได้ไหมคะว่าเสิร์ฟแบบฝรั่งเป็นอย่างไร” หล่อนถามรายละเอียด เพราะอยากรู้เผื่อจะเอามาประยุกต์ใช้ได้บ้าง

“ได้ซี มื้อค่ำเสิร์ฟห้าจาน เรียงตามลำดับอย่างนี้ อาหารจานแรกก็เป็นพวกของกินเล่น ชิ้นเล็กๆ ไม่ต้องมากนัก จะรสจืดหรือรสจัดก็ได้แล้วแต่จะจัด จานที่สองเป็นพวกซุป ก็น้อยๆ อีกเช่นกัน ไม่ต้องมากจนเกินไปเพราะจะทำให้อิ่มเสียก่อน จานที่สามก็เป็นพวกอาหารทะเลจำพวกกุ้ง ปลา อาจจะย่างหรือรมควันก็ได้ เสิร์ฟพร้อมไวน์ ส่วนจานที่สี่เป็นอาหารหลัก เน้นเป็นพวกเนื้อสัตว์ จานสุดท้ายก็เป็นของหวานตบท้าย”      

“ยุ่งยากจังนะคะ” เมื่อเขาอธิบายจบ หล่อนก็เห็นด้วยที่เขาบอกตั้งแต่แรกว่ามันยุ่งยากไม่เหมาะกับครัวไทย

 “ใช่ นอกจากอาหารแล้วยังมีวิธีการกินด้วยซึ่งยุ่งยากกว่า และจากที่จะทำให้เกิดความประทับใจ ฉันว่าเจ้าของบ้านคงอึดอัดน่าดู ไหนจะช้อน ไหนจะส้อม ไหนจะมีดอีก ฉันว่าจัดแบบไทยเถอะ บ้านนั้นไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร แล้วก็ไม่ได้เห่อวัฒนธรรมฝรั่งจนลืมการกินอยู่แบบไทย”

 “คุณรู้จักพวกท่านอย่างนั้นหรือคะ”

 “ฉันก็ตอบไปตามเนื้อผ้า เชื่อเถอะว่าคนที่ไปอยู่เมืองฝรั่งนานๆ ต่างก็คิดถึงอาหารไทยกันทั้งนั้น”

 สิ่งที่เกื้อกูลกล่าวนั้นหล่อนก็เห็นด้วยไม่น้อย เพราะหากหล่อนเป็นคนไทยแล้วต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเป็นเวลานานย่อมต้องคิดถึงบ้านเกิดเป็นธรรมดา 

 “ขอบคุณมากนะคะสำหรับคำแนะนำ ฉันจะลองเอาไปคิดดูว่าจะเอาอะไรขึ้นโต๊ะดี” บุษบงพนมมือไหว้ขอบคุณ 

เกื้อกูลยกมือรับไหว้ “ฉันยินดีที่จะช่วยเหลือทุกอย่าง เพียงแค่เธอบอกมาเท่านั้น”

 บุษบงอิ่มใจกับประโยคแสดงความเอื้อเฟื้อของเขา และน่าแปลกเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เพิ่งผ่านเข้ามาในชีวิต แต่กลับช่วยเหลือหล่อนในเรื่องสำคัญหลายเรื่องด้วยกัน จนบางครั้งหล่อนก็คิดว่ารู้จักเขามาเนิ่นนาน หลายครั้งที่รอยยิ้มอ่อนๆ ของเขาเข้าไปรบกวนในห้วงคำนึงของหล่อน เสียงทุ้มนุ่มนวลของเขาเข้าไปปลอบประโลมถึงในฝัน ซึ่งคงเป็นอาการของคนไร้ที่พึ่ง เมื่อมีมือหนึ่งยื่นมาช่วยเหลือก็ทำให้ซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเขา

 เมื่อทำธุระเสร็จ หล่อนก็เห็นว่าไม่เหมาะที่จะอยู่คุยกับเขาตามลำพัง จึงขอตัวกลับบ้าน โดยหาข้ออ้างที่เหมาะสม

 “ถ้าอย่างนั้นฉันขอกลับก่อน ออกมานานแล้วเดี๋ยวทางบ้านจะเป็นห่วง”

 “เดี๋ยวฉันไปส่ง” เขาวางดินสอลง แล้วลุกขึ้นยืนปัดเศษยางลบออกจากกางเกง แต่หล่อนรีบห้ามเพราะคิดว่าเป็นการรบกวนเขามากเกินไป อีกอย่างเธอก็เดินจนชำนาญทางแล้ว

 “อย่าลำบากเลยค่ะ ฉันกลับเองได้”

 เกื้อกูลส่ายหน้า ดวงตาคมปลาบมองหล่อนดุๆ ราวกับไม่ชอบใจที่ถูกขัดใจ “ตรงนี้ทิ้งไปได้ ไม่สำคัญอะไรนักหรอก ฉันอยากไปส่ง”

 เมื่อเขายืนยันเช่นนั้นหล่อนก็คร้านที่จะค้าน สุดท้ายก็ออกเดินนำหน้า ส่วนเขาเดินตามหลัง เว้นระยะไม่ใกล้หรือไกลจนเกินไป และระหว่างทางเกื้อกูลกับหล่อนไม่ได้คุยกันแม้แต่คำเดียว แต่แปลกที่โลกของหล่อนกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น มั่นคง ปลอดภัย


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น