บทที่ ๑๖

๑๖

 

 เพล้ง!

 บุษบงมองแก้วที่เกื้อกูลใช้ล้างพู่กันซึ่งแตกละเอียดอยู่บนพื้นด้วยความหวั่นวิตก ไม่รู้ทำไมวันนี้ใจหล่อนไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย คอยแต่จะลอยกลับบ้าน เป็นห่วงทั้งคุณหญิงแขและป้าจำปาอย่างที่หล่อนเองก็ไม่เข้าใจ รู้เพียงแต่ว่าเวลานี้อยากกลับบ้าน อยากกลับไปดูให้อุ่นใจว่าทั้งสองไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย

 “เกิดอะไรขึ้น” เกื้อกูลถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความห่วงใยมากกว่าการตำหนิติเตียน

  บุษบงหันไปมองเขา สีหน้าของหล่อนจืดเจื่อนด้วยความรู้สึกผิดที่ทำข้าวของของเขาเสียหาย

 “บุษ เลินเล่อทำแก้วหล่น ขอโทษนะคะ เดี๋ยวบุษจะชดใช้ให้” บุษบงขอโทษเสียงอ่อย มองแก้วที่แตกกระจายบนพื้นอย่างไม่สบายใจเอาเสียเลย

 “ไม่เป็นไรหรอก” สายตาของเกื้อกูลนั้นไม่ได้มองที่พื้น ทว่าจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าหล่อน ก่อนถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยดุจเดิม “แล้วบุษล่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า”

 “ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร” หล่อนรีบส่ายหน้าปฏิเสธ

 “แต่หน้าบุษซีดเชียว เหมือนคนไม่สบาย ออกมาเถอะฉันจะจัดการเอง”

 เกื้อกูลเสนอตัวเข้าช่วยเหลือ แต่หล่อนเห็นว่าไม่สมควร เพราะที่แก้วแตกนั้นก็เป็นความผิดของตนเอง จึงรีบปฏิเสธ

 “บุษทำเองได้ค่ะ ไม่เป็นไร” หญิงสาวกล่าวพลางก้มลงเก็บเศษแก้วที่พื้น ทว่าความรีบร้อนทำให้คมแก้วบาดลึกเข้าไปในเนื้อจนเลือดสีแดงทะลักออกมาพร้อมกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น

 ทันทีที่เห็น เกื้อกูลก็ผวาเข้ามาคว้ามือบุษบงขึ้นดูด้วยความห่วงใย 

 “ถูกแก้วบาดนี่” เขากล่าวเสียงขรึมเหมือนเป็นคนถูกแก้วบาดเสียเอง

 เลือดที่ไหลออกมาเป็นจำนวนมากเป็นหลักฐานสนับสนุนคำกล่าวของเกื้อกูล แต่แปลกเหลือเกินที่หล่อนไม่รู้สึกเจ็บเพราะใจร้อนรนอย่างประหลาด

 “ออกมาก่อน เดี๋ยวไปทำแผลก่อน ตรงนี้ฉันจะจัดการเอง”

 “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เลือดออกนิดเดียวเอง บุษไม่เจ็บเลย” หล่อนพยายามจะชักมือออก อยากทำหน้าที่ให้เรียบร้อยจะได้ขอเขากลับบ้าน

 “อย่าดื้อ” 

คราวนี้เกื้อกูลไม่ยอมตามใจหล่อนเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา เขากุมมือหล่อนไว้แล้วดึงแขนหล่อนเบาๆ สุดท้ายก็รั้งหล่อนออกไปที่ห้องรับแขกจนได้ บุษบงนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง หัวตาทั้งสองข้างร้อนผ่าว ใจร้อนรนกระวนกระวายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความทุกข์อันไร้สาเหตุคืบคลานปกคลุมไปทั่วหัวใจ

 เกื้อกูลไปที่ตู้ยา หยิบยาและอุปกรณ์ทำแผลมาวางตรงหน้า จากนั้นก็ดึงมือหล่อนไปทำแผลให้อย่างทะนุถนอมซึ่งบุษบงไม่มีกะจิตกะใจจะปัดป้องเหมือนทุกครั้ง และเมื่อเกื้อกูลทำแผลเสร็จก็วางมือหล่อนลงอย่างเดิม ทว่ากลับจับจ้องที่ใบหน้าหล่อนอีกครั้ง

 “เป็นอะไรไป สีหน้าไม่ค่อยดีเลย”

 “ไม่ทราบค่ะ บุษห่วงคุณท่านกับป้าจำปา บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไร” หล่อนตอบไปตามความจริง นับวันหล่อนก็ยิ่งไว้ใจเกื้อกูลเหมือนกับว่าเขาเป็นคนหนึ่งในครอบครัว

 “เอาอย่างนี้ เดี๋ยวทำแผลเสร็จก็กลับบ้านไปเถอะ ทางนี้ฉันจะจัดการเอง” เกื้อกูลอนุญาตอย่างอาทร

 “แต่ว่า...” แม้จะได้รับการอนุญาตเช่นนั้นหล่อนก็เกรงใจเขาอยู่ไม่น้อย วันนี้นอกจากจะทำแก้วของเขาแตกแล้ว หล่อนยังจะกลับบ้านก่อนเวลาทั้งที่ยังทำหน้าที่ไม่เสร็จเลยแม้แต่อย่างเดียว

 ดูเหมือนเกื้อกูลจะเข้าใจทุกอย่างโดยเฉพาะความกังวลในใจหล่อน สุดท้ายเขาก็ตัดบทเพื่อให้บุษบงหมดความกังวลเรื่องงานที่คั่งค้างและความรู้สึกที่หล่อนคิดว่ากำลังเอาเปรียบเขาอยู่

 “เอาเถอะ วันหลังค่อยมาทำงานใช้”

 เมื่อได้ยินเช่นนั้นบุษบงก็สบายใจขึ้น อีกทั้งความทุกข์ทรมานใจก็รุมเร้าจนแทบจะอยู่ไม่ติด หล่อนหันไปยกมือไหว้เขาแทนคำขอบคุณและล่ำลาในคราวเดียวกัน

 “ถ้าอย่างนั้นบุษกลับก่อนนะคะ”

 เกื้อกูลพยักหน้า แต่ยังไม่วายห่วงใย มองตามหลังหล่อนไป ใจหายอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน เหมือนกับว่าหล่อนจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก

            

 พอเข้าเขตบ้านบุษบงก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่แปลกไปจากทุกวัน ทุกส่วนของเรือนเงียบราวกับไม่มีคนอยู่ ไม่เว้นแม้แต่ในครัวที่วันนี้คล้ายครัวร้าง ทั้งที่ปกติในยามเย็นเช่นนี้ทุกคนมักจะมารวมตัวกันที่นี่ 

 ระหว่างที่กำลังสงสัยในเหตุผิดปกติอยู่นั้น คนกลุ่มหนึ่งก็มาปรากฏตัวด้วยท่าทางคุกคาม คนที่อยู่หน้าสุดไม่ใช่ใครที่ไหน คุณสร้อยนั่นเอง 

 “จับนังบุษเอาไว้” คุณสร้อยสั่งเสียงดัง

 บ่าวชายหลายคนกรูเข้ามายึดบุษบงทันทีที่สิ้นคำสั่ง แม้บุษบงยังงุนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า แต่ด้วยสัญชาตญาณจึงพยายามสะบัดมือออก ทว่าเรี่ยวแรงน้อยกว่าจึงถูกบังคับให้คุกเข่าลงกับพื้น 

 คุณสร้อยก้าวเข้ามามองหล่อนด้วยแววตาไม่ต่างจากหมาป่ากำลังมองลูกแกะน่าสมเพช

 “จับบ่าวทำไมเจ้าคะ” บุษบงถามพร้อมกับดิ้นรน ไม่รู้เลยว่าทำผิดอะไรทำไมถึงถูกจับอย่างนี้

 “มึงมันชั่วช้านัก ฆ่าคุณแม่กับจำปา”

 หูของบุษบงอื้ออึงเพราะคำกล่าวนั้น ใจหายวาบราวกำลังตกจากที่สูง

 “หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ คุณสร้อยบอกว่ากระไรเมื่อครู่” บุษบงถามเสียงแผ่ว ปฏิเสธทันทีว่าสิ่งที่ตนได้ยินก่อนหน้านั้นไม่ใช่เรื่องจริง

 “นังขี้ข้าเนรคุณ กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง มึงร่วมมือกับชายคู่รักของมึงฆ่าคุณแม่กับจำปา”

 “คุณท่าน ป้าจำปา” บุษบงครางออกมา “ไม่จริงใช่ไหมเจ้าคะ คุณสร้อยพูดไม่จริง”

 “มึงยังกล้ามาตีหน้าซื่ออีกหรือนังบุษ มึงรัดคอคุณแม่จนขาดใจ แล้วเอาแจกันตีหัวจำปาจนเลือดไหลออกมาหมดตัว ถามจริงๆ เถอะนังบุษ ใจมึงทำด้วยอะไรถึงได้ชั่วช้าถึงเพียงนี้”

 ลางสังหรณ์บางอย่างบอกให้บุษบงรู้ว่าหล่อนสูญเสียไม้ใหญ่ที่ใช้พักพิงมาโดยตลอดไปแล้ว ลำคอตีบตันไปหมดกับสิ่งที่ได้ยินจนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้อีก หัวใจเหมือนถูกพระแม่ธรณีสูบลงพื้นพิภพ แล้วบีบอัดด้วยพลังอันมหาศาลจนสะท้านไปทั้งกาย น้ำตาร่วงอย่างมิอาจสกัดกั้น เหตุร้ายนี้ถือว่าเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต

 ตั้งแต่จำความได้หล่อนมีเพียงคุณหญิงแขคอยอุ้มชูไม่ต่างจากแม่ผู้ให้กำเนิด ส่วนป้าจำปานั้นก็เปรียบประดุจครูที่คอยสอนทุกอย่าง...เมื่อท่านทั้งสองจากไป ชีวิตของหล่อนก็เหมือนหมดสิ้นลงเช่นกัน 

 หัวใจปริ่มขาดรอน มือเล็กสะบัดจากการเกาะกุม อย่างไรก็ตามหล่อนก็อยากเห็นกับตาว่าท่านทั้งสองได้ทิ้งหล่อนไปแล้วจริงๆ แต่หล่อนก็ไม่อาจสะบัดหลุด เนื่องจากคนคุมตัวจับมือเอาไว้อย่างแน่นหนา เมื่อไร้หนทางจึงต้องหันไปอ้อนวอนทั้งน้ำตา

 “ปล่อยฉันเถอะนะ ฉันจะไปหาคุณท่าน”

 “แหม...เล่นละครเก่งเหลือเกินนะ ทีอย่างนี้มาทำเป็นโอดครวญ ไม่มีใครเชื่อมึงอีกแล้วนังบุษ มึงกับชู้รักของมึงร่วมมือกันฆ่าคุณแม่กับจำปา”

 “ไม่นะเจ้าคะ บ่าวไม่ได้ทำ บ่าวไม่เคยมีคู่รักที่ไหน” บุษบงปฏิเสธเสียงสั่น พยายามตั้งสติรับมือกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แม้มันจะกะทันหันและนำความเศร้าโศกอันใหญ่หลวงมาให้ แต่ก็รู้ว่าหากไม่กล่าวอะไรออกไปก็จะกลายเป็นคนผิดตามที่ถูกยัดเยียดข้อกล่าวหา

 “ยังจะแก้ตัว วันนั้นนังกลอยมันเห็นชัดๆ ว่าเอ็งนัดแนะผู้ชายมาพบที่เรือนทาส”

 บุษบงมองหน้าผู้ใส่ร้ายตนอย่างโกรธแค้น ไม่คิดเลยว่าจะถูกเล่นงานด้วยเรื่องนั้น จะกล่าวไปหลักฐานก็น้อยเต็มที 

 “ชายคนนั้นเป็นมิตรที่ดีของบ่าว เขาเป็นคนดี ไม่มีทางทำเรื่องอย่างนี้แน่นอน”

“ออกรับแทนเทียวนะนังบุษ กูจะบอกให้เอาบุญว่ากูไม่เชื่อ มึงไปพูดอย่างนี้ก็ไม่มีใครเชื่อ หญิงกับชายไม่มีคำว่ามิตรหรอก แต่มันเป็นอย่างอื่น”

“ถ้าคุณสร้อยไม่เชื่อ จะเรียกมาถามก็ได้นะเจ้าคะ บ่าวบริสุทธิ์ใจ บ่าวไม่ได้ทำ”

คุณสร้อยอมีสีหน้าผิดปกติไปเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด

“พอที กูไม่อยากฟังคำแก้ตัวของมึง เอานังบุษไปล่ามโซ่ใส่ตรวนขังเอาไว้ก่อน ขังไว้ที่ห้องหลังโรงครัว ให้ไกลหูไกลตารอเจ้าคุณกลับบ้านแล้วค่อยว่ากัน ส่วนพวกเอ็งทั้งหลาย อย่าให้รู้ว่าใครคิดจะปล่อยมันออกมา เพราะถ้ากูรู้ กูเอาตายแน่” ประโยคหลังคุณสร้อยกล่าวกับบ่าวที่มุงดูอยู่ ซึ่งต้องขู่เอาไว้เพราะเชื่อว่าต้องมีคนเวทนาสงสารบุษบง โดยเฉพาะพวกบ่าวด้วยกัน

 “ไม่นะเจ้าคะ ขอบุษไปหาคุณท่านก่อน” บุษบงคร่ำครวญ พยายามปัดป้องมือที่จับยึดตนเองไว้ แต่ถึงแม้จะสะบัดเท่าใดก็ไม่หลุด

 ในแววตาของคุณสร้อยไม่มีคำว่าเมตตา ริมฝีปากยกขึ้นน้อยๆ ราวกับจะเย้ยหยันชะตากรรมของเด็กสาวที่จากนี้ไปจะไม่มีใครคุ้มกะลาหัว เหมือนลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด

 “พวกมึงมัวยืนรออะไร ไม่ได้ยินที่กูบอกรึว่าให้เอามันไปขัง หรือพวกมึงจะให้กูขังพวกมึงด้วย”

 บุษบงจึงไม่มีโอกาสได้ไปกราบลาคุณหญิงแข หล่อนถูกบ่าวชายที่มีกำลังมากกว่าลากไปยังใต้ถุนโรงครัว ซึ่งเดิมเป็นห้องกักขังทาสที่ทำผิด แต่เลิกใช้ไปนานแล้วนับตั้งแต่การเลิกทาสเริ่มต้นขึ้น หล่อนถูกโยนเข้าไปอย่างไม่ปรานีปราศรัยนัก ทว่าความเจ็บปวดของร่างกายไม่ได้ทำให้บุษบงอนาทรเลยแม้แต่น้อย เพราะความเจ็บปวดทั้งหลายทั้งมวลมารวมที่หัวใจหมดทั้งสิ้น

 ทุกอย่างเป็นแค่ฝันร้าย นั่นคือคำที่หล่อนภาวนาอยู่ในทุกขณะจิต แค่หลับตาลงแล้วตื่นขึ้นมาใหม่สิ่งที่เป็นอยู่ก็จะจางหาย แต่เมื่อลองทำแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น หล่อนถูกใส่ร้าย ถูกขัง และที่สำคัญที่สุดหล่อนได้สูญเสียผู้ที่หล่อนรักยิ่งดุจชีวิตไปแล้ว

บุษบงถูกขังอยู่ในห้องเก็บของใต้ถุนเรือนใหญ่ น้ำตาหลั่งรินออกมาเป็นสาย เพราะดูเหมือนว่าคำภาวนาของหล่อนจะไม่เป็นจริง หล่อนได้ยินเสียงคนเดิน เสียงคนพูดกัน ทุกคนคงเตรียมงานให้คุณหญิงแขและป้าจำปา มีเพียงหล่อนเท่านั้นที่ไม่ได้ออกไปช่วย ความรู้สึกหลายอย่างประดังเข้ามา ที่หนักที่สุดคือรู้สึกว่าตัวเองเนรคุณ

 “คุณท่านของบุษ ป้าจำปา อย่าทิ้งบุษไป บุษไม่เหลือใครอีกแล้ว” หล่อนคร่ำครวญด้วยหัวใจที่แตกสลาย เหมือนเรืออับปาง ชิ้นส่วนกระจัดกระจายอยู่ในมหาสมุทร จากนี้ไปชีวิตของหล่อนจะไม่มีวันเหมือนเดิม หนทางข้างหน้ามืดมนอย่างเหลือเกิน

 “แม่บุษ” เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้นที่ประตู บุษบงจึงถลาไปยังที่มาของเสียงนั้นทันที และหล่อนก็จำได้ว่าเสียงนี้คือเสียงของยายเจียมอีกผู้หนึ่งที่เอื้อเอ็นดูหล่อนเรื่อยมา

 “ยายเจียม ปล่อยบุษ บุษจะไปกราบท่านเป็นครั้งสุดท้าย” เมื่อถึงเวลานี้หล่อนยอมรับแล้วว่าคุณหญิงแขและป้าจำปาจากไปแล้ว สิ่งเดียวที่ปรารถนาคือขอไปอำลาท่านเป็นครั้งสุดท้าย

 “แม่บุษ ข้าปล่อยเอ็งไม่ได้หรอก คุณสร้อยเธอคาดโทษไว้ หากใครปล่อยเอ็งท่านจะเอาให้ตาย”

 “แต่ฉัน...ฉันไม่ได้ฆ่าคุณหญิง” หล่อนกล่าวเสียงเครือ 

 “ข้ารู้ว่าเอ็งถูกใส่ร้าย”

 คำกล่าวนั้นเหมือนแสงสว่างที่เข้ามาในหัวใจที่มืดมน น้ำตาหล่อนไหลอีกครั้งเพราะความตื้นตัน อย่างน้อยก็มีใครสักคนเชื่อว่าหล่อนไม่ได้ทำ

 “ขอบใจนะจ๊ะป้าที่เชื่อฉัน”

 “ใครก็เชื่อเอ็งทั้งนั้นละ แต่ฐานะบ่าวอย่างพวกเราไม่มีสิทธิ์คัดค้านอะไรนายได้ เอาเถอะ รอให้เจ้าคุณพิพากษาท่าน น่าจะมีความเป็นธรรมบ้าง เอ้า นี่ข้าวปลาข้าเจียดจากในครัวมาให้ กินเสียจะได้มีแรงมายืนยันความบริสุทธิ์”

 ชามข้าวถูกยื่นมาทางช่องลม บุษบงรับมาด้วยความซาบซึ้ง แต่กลับไม่รู้สึกหิวแม้แต่นิดเดียว ลำคอตีบตันไปหมด ท้องถูกเติมเต็มด้วยความเศร้าสร้อยและอาดูร

 “ขอบใจนะจ๊ะป้า”

 “ไม่เป็นไร รีบกินเสีย ข้าไปก่อน เดี๋ยวคุณสร้อยเห็นเข้าจะเดือดร้อนกันทั้งคู่”

 เสียงฝีเท้ายายเจียมเงียบไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ความอ้างว้างเดียวดาย บุษบงร้องไห้ออกมาอีกครั้งด้วยความเจ็บปวด หล่อนไม่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่าคุณหญิงแขกับป้าจำปา แต่หล่อนปฏิญาณว่าจะต้องเอาคนร้ายมาลงโทษให้จงได้ 

 บุษบงหลับตาลงอย่างปวดร้าว เมื่อสิ้นคุณหญิงแขหล่อนก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ หากจะถูกฆ่าตายตามคุณหญิงไปก็ไม่คิดเสียใจเลย

 “แม่บุษ ย่าไม่เคยสั่งสอนให้เจ้าเป็นคนอ่อนแอเช่นนั้น เจ้าต้องอยู่และอยู่อย่างมีความสุขหลานรักของย่า”

 บุษบงลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนั้นในหัว เสียงของคุณหญิงซึ่งหล่อนจำได้ไม่มีวันลืม

 “คุณท่าน” หล่อนร้องเรียก โหยหาและคิดถึงท่านอย่างเหลือเกิน รู้สึกเหมือนใจกำลังจะขาด ทั้งที่ท่านอยู่บนเรือนแท้ๆ กลับไปกราบท่านไม่ได้ “บุษผิดเอง หากบุษไม่ทิ้งคุณท่านกับป้าจำปาเอาไว้ เรื่องอย่างนี้คงไม่เกิดขึ้น”

 “อย่าโทษตัวเอง ทั้งหมดเกิดเพราะกรรม” เสียงของคุณหญิงยังก้องในหัว แม้ถึงวาระสุดท้ายท่านยังให้อภัย

 บุษบงสะอื้น “บุษจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีคุณท่านกับป้าจำปา บุษอยู่ไม่ได้ อย่าทิ้งบุษไปนะเจ้าคะ”

 “กรรมดีจะคุ้มครองเจ้าเอง ต่อจากนี้ไปย่าขอให้เจ้าเจอแต่เรื่องดีๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นขอให้ทำดีเหมือนที่เคยทำ”

 นั่นคือคำสั่งเสียสุดท้ายที่มาพร้อมกับสายลมเย็นและกลิ่นหอมละมุนของน้ำอบที่คุณหญิงแขมักใช้อยู่เป็นประจำ และเป็นสัญญาณบอกหล่อนว่าท่านได้จากไปแล้ว จากไปชั่วนิรันดร์ทว่าความดีและทุกสิ่งที่งดงามของท่านยังคงอยู่ให้คนรุ่นต่อไปได้ระลึกถึง

 “คุณท่าน คุณท่านของบุษ”

 บุษบงสะอื้น ไม้ใหญ่ที่หล่อนพึ่งใบบุญอาศัยอยู่อย่างร่มเย็นบัดนี้ล้มเสียแล้ว แต่แปลกเหลือเกินที่ท่านแทนตัวเองว่าย่าและเรียกหล่อนว่าหลานรัก ทั้งที่ตำแหน่งนั้นมิใช่ของหล่อนเลย แต่คำนั้นกลับทำให้หล่อนมีแรงใจขึ้นมาอย่างประหลาด ความอบอุ่นกำซาบซ่านเข้ามาในหัวใจ ปัดเป่าความอาดูรหม่นหมองให้จางไปในชั่วขณะหนึ่ง

 พระยาธรรมานุรักษ์รับรู้ข่าวการเสียชีวิตของมารดาอย่างสงบ และการจัดงานก็ยอมให้เป็นไปตามที่คุณสร้อยชี้แนะ คือให้ตั้งศพที่เรือนใหญ่เพื่อให้สมเกียรติ แต่จะบอกข่าวการเสียชีวิตของท่านกับญาติที่สนิทเท่านั้น และจะรีบปลงศพภายในสามวันส่วนศพของป้าจำปาก็ถูกนำไปฝังตั้งแต่ท่านยังกลับมาไม่ถึงเรือน ด้วยเหตุผลว่าสยดสยองเกินกว่าที่จะใส่โลงแล้วตั้งไว้ในบ้าน และยากที่จะจัดการกับน้ำเหลืองและกลิ่นหากศพขึ้นอืด

ส่วนศพของคุณหญิงแขที่ให้ปลงศพเร็วกว่ากำหนดนั้น คุณสร้อยอ้างว่าเป็นศพผีตายโหง หากเก็บไว้นานจะเป็นเสนียดจัญไรติดบ้าน

นี่เป็นอีกครั้งที่พระยาธรรมานุรักษ์รู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง อยากจะเปลี่ยนใจคัดค้านจัดงานศพมารดาให้สมเกียรติ คือเก็บไว้จนครบปีแล้วค่อยเผา แต่มีบางอย่างเข้ามาคุกคามจิตใจ ทำให้ไม่อาจเอ่ยปากเรื่องนี้กับคุณสร้อยได้ เมื่อเจ้าคุณรับฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็หันไปมองร่างมารดาที่บัดนี้ใบหน้าเริ่มเป็นสีคล้ำ นอนสงบนิ่ง ไร้ลมหายใจ และไม่มีวันลุกขึ้นมาอีก

 พระยาธรรมานุรักษ์ไม่รู้ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้เกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง บางครั้งก็หลงลืมว่ามีมารดาอยู่ร่วมบ้าน ทั้งที่ไม่เคยคิดจะละเลยและอยากทำหน้าที่ลูกกตัญญู แต่เมื่อใดที่คิดจะไปหามารดา ใจก็ร้อนรุ่มแปลกๆ สุดท้ายเมื่อก้าวออกจากเรือนแล้วก็ต้องกลับมาในทันใด

 “เอาใส่โลงเถอะ” เจ้าคุณกล่าวเสียงเรียบเช่นเดียวกับสีหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนเห็นความโศกเศร้าในแววตาของท่าน หลังจากที่ดูเฉยชามานาน

 บ่าวชายสี่คนยกร่างไร้วิญญาณของคุณหญิงแขลงโลงจำปาลงรัก ทว่าขณะยกกำไลข้อเท้าทองที่ยายเจียมเป็นผู้สวมใส่ให้เจ้านายเก่าก็เกิดหลุด แล้วกลิ้งมาหยุดอยู่ตรงหน้าคุณสร้อยกับกลอยอย่างน่าอัศจรรย์

 “กรี๊ด!” กลอยหวีดร้องเสียงดัง และกระโดดกอดขาเจ้านายด้วยความตกใจ “คุณสร้อยเจ้าขา”

 ผู้ถูกเรียกเองก็หน้าเผือดไปเช่นกัน แต่ปรับเปลี่ยนสีหน้าได้อย่างรวดเร็วทั้งที่ตกใจอยู่ไม่น้อย

 “นังกลอย” คุณสร้อยชักเท้าออก ถลึงตามองบ่าวที่แสดงพิรุธออกมา “เอ็งจะกลัวอะไร หยิบกำไลไปสวมให้คุณแม่เดี๋ยวนี้”

 ดวงตาของนางกลอยเบิกกว้าง ทว่าไม่กล้าขัดใจคุณสร้อย จึงเอื้อมมือไปหยิบกำไลข้อเท้าที่พื้น และเมื่อสัมผัสกับกำไลกลอยก็ถึงกับสะดุ้งโหยงเพราะรู้สึกว่ามันเย็นจนเกือบจะเป็นน้ำแข็ง บ่าวประจำตัวคุณสร้อยปล่อยมือจากกำไลทองล้ำค่าทันทีแล้วโผเข้าหานายตนเช่นเดิม และกอดขาเอาไว้แน่น

 “คุณสร้อยเจ้าขา บ่าว...บ่าวกลัว”

 สีหน้าของคุณสร้อยแสดงถึงความไม่พอใจอย่างยิ่งยวด ขึงตามองบ่าวอย่างโกรธๆ ทว่าอีกฝ่ายเอาแต่กอดขาตัวสั่น ไม่เงยหน้าขึ้นมองเลยแม้แต่นิดเดียว

 “เอ็งนี่มันตาขาวไม่เข้าเรื่อง”

 สุดท้ายคุณสร้อยก็หยิบกำไลข้อเท้านั้นขึ้นมาแล้วเดินไปสวมให้คุณหญิงแขด้วยตนเอง ทว่าเมื่อสวมเสร็จก็เหลือบไปเห็นเงาเลือนรางอยู่ตรงประตู และเงานั้นช่างคุ้นตาอย่างเหลือเกิน

มือเท้าของคุณสร้อยเย็นเฉียบ เย็นไปถึงสันหลังเมื่อเห็นว่าเงานั้นคือแม่สามีที่ตนเพิ่งฆ่าตายอย่างทารุณเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ครั้นเมื่อรีบถอนสายตาจากตรงนั้นก็ดันไปปะทะเข้ากับใบหน้าของศพ รอยเขียวคล้ำจากการถูกรัดคอเริ่มกลายเป็นสีม่วง ใบหน้าอวบอูม ลิ้นจุกคับปากขาวซีดอันเป็นสภาพที่ไม่น่าดูเลยแม้แต่นิดเดียว และที่ทำให้เสียขวัญมากกว่าจุดอื่นก็คือตาที่เหลือกถลนจนแทบจะหลุดออกมานอกเบ้า

อุปาทานราวกับดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาอย่างอาฆาตแค้น

 คุณสร้อยถอยห่างออกมาเพื่อให้สายตาพ้นจากศพของมารดาสามี แต่ดูเหมือนการถอยหนีจะไม่ได้ผลเพราะเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว ราวกับผู้พูดกระซิบกระซาบอยู่ข้างหู

 “แม่สร้อย...หล่อนต้องได้รับผลกรรม หล่อนมันคนชั่วช้า ฉันขอให้หล่อนพบเจอแต่ความทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น”

 เสียงแช่งเป็นผลให้คุณสร้อยกลัวลนลาน ขวัญหนีดีฝ่อจนต้องรีบหลับหูหลับตาถอยออกมาให้ห่างที่สุดเท่าที่ทำได้ คุณสร้อยขนลุกชัน แม้จะมีจิตใจที่หยาบช้าเพียงใด แต่เมื่อพบกับเรื่องเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว

 “ว้าย! ตาเถรยายชี” คุณสร้อยกรีดร้องเสียงหลงเมื่อถอยไปปะทะกับอะไรบางอย่าง เข่าแทบจะทรุดลงไปตรงนั้นดีที่ใครบางคนประคองเอาไว้เสียก่อน ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แสงจันทร์ผู้เป็นบุตรสาวนั่นเอง

 แสงจันทร์สวมชุดดำทั้งตัว ขับให้ผิวขาวลออผุดผ่อง และดูผุดผ่องเกินไปที่จะอยู่ในงานศพ

 “คุณแม่คะ เป็นอะไรไป”

 เสียงเรียกของบุตรสาวทำให้คุณสร้อยได้สติ รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ทั้งที่ใจยังตระหนกและหวาดกลัว

 “เปล่า...เปล่าหรอกลูก ไม่มีอะไร ลูกมากราบลาคุณย่าเป็นครั้งสุดท้ายเสียซิลูก” คุณสร้อยกล่าวกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พยายามสลัดภาพที่เห็นออกจากหัว คิดว่าเป็นความฟุ้งซ่านของตัวเองเท่านั้น

 “ค่ะคุณแม่”

 แสงจันทร์เข้ามากราบคุณหญิงแข โดยพยายามทำสีหน้าให้โศกเศร้าพอเป็นพิธี เนื่องจากหล่อนไม่ได้ผูกพันกับผู้เป็นย่ามากนัก ปกติแทบจะไม่พบปะพูดคุยกัน ยิ่งระยะหลังด้วยแล้วหล่อนมักจะสนใจเรื่องอื่นมากกว่าญาติผู้ใหญ่ท่านนี้จนแทบจะลืมไปเหมือนกันว่าในอาณาบริเวณของบ้านนี้มีท่านร่วมอาศัยอยู่ด้วย

 เด็กสาวลุกขึ้นทันทีอย่างไม่อ้อยอิ่งเมื่อกราบเสร็จ แล้วเอามือลูบผ้าซิ่นสีดำระยับของตนเองให้เรียบร้อย การตายของคุณย่านั้นฉุกละหุกจนหล่อนไม่มีเวลาเตรียมตัวหาเสื้อผ้าชุดใหม่ เท่าที่มีก็เป็นตัวเก่าที่ตัดมาสองสามปีเอาไว้ใส่ไปงานศพญาติผู้ใหญ่จึงดูล้าสมัยเต็มที หล่อนจึงเดือดร้อนเรื่องนี้มากกว่าเหตุการณ์สยองและน่าเศร้าที่เกิดขึ้นในบ้าน

 แสงจันทร์เดินมายืนข้างมารดา แล้วกระซิบเบาๆ พอให้ได้ยินกันแค่สองคน

 “คุณแม่คิดจริงๆ หรือคะว่านังบุษเป็นคนฆ่าคุณย่ากับป้าจำปา นังบุษรักคุณย่ามาก แล้วจะลงมือฆ่าคุณย่าอย่างนั้นหรือคะ แสงว่าเป็นไปไม่ได้” 

แสงจันทร์ออกความเห็น แต่กลับไม่ถูกใจคุณสร้อยเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่การพูดจาครั้งนี้เป็นสิ่งที่มีเหตุมีผลมากก็ตาม

 “เอ๊ะ แม่แสง...ถ้านังบุษไม่ได้ฆ่าแล้วแม่แสงคิดว่าใครฆ่า แม่หรือยังไง”

 แสงจันทร์หน้าง้ำที่ถูกมารดาดุเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี หล่อนสังเกตอยู่บ้างเหมือนกันว่าวันนี้มารดาหงุดหงิดและจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว บางครั้งก็ผวายามใครเรียกทักจนหล่อนแปลกใจ แต่เมื่อคิดว่ามารดาอาจจะตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องที่สงสัยจึงถูกตัดทิ้งไป แต่เรื่องที่มารดาดุใส่อย่างไร้เหตุผลหล่อนไม่ยอมเด็ดขาด

 “ทำไมคุณแม่ต้องโกรธด้วยคะ แสงก็แค่ถาม” แสงจันทร์กล่าวด้วยเสียงค่อนข้างห้วนเพราะไม่พอใจ

 ดูเหมือนคำกล่าวของหล่อนจะทำให้มารดารู้ตัว

 “แม่...แม่ขอโทษลูก แม่อาจจะเครียดไปหน่อย แต่ลูกอย่าพูดเรื่องนี้กับใครเชียว ยืนยันอย่างเดียวว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรก็พอ ที่เหลือแม่จะจัดการเอง” คุณสร้อยหันมาขอโทษบุตรสาว พร้อมห้ามพูดเรื่องที่หล่อนเพิ่งกล่าวไปเมื่อครู่

 “แสงก็ต้องพูดอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ใครเขาจะเชื่อที่คุณแม่พูดหรือเปล่าแสงไม่รู้”

 “ก็ต้องเป็นมันนั่นละ ใครกันที่จะรู้ทางหนีทีไล่ ถ้าเป็นคนอื่นเข้ามาก็ต้องมีคนเห็น” คุณสร้อยหาเหตุผลมาอ้าง

 คำพูดของมารดาไม่ได้ทำให้แสงจันทร์คล้อยตามว่าบุษบงเป็นคนฆ่าคุณหญิงแข แต่เมื่อไม่ใช่เรื่องที่ควรจะมาต่อล้อต่อเถียงกันจึงนิ่งเสีย และคิดว่ามีเรื่องอย่างอื่นที่สำคัญมากกว่า

 “คุณแม่ว่าเครื่องแต่งตัวของคุณย่ายังอยู่ไหมคะ”

 “อยู่ซิลูก”

 การตอบอย่างทันควันเช่นนั้นทำให้แสงจันทร์สงสัย “ทำไมคุณแม่รู้คะว่ายังอยู่”

 “เอ่อ...คือ...เอ่อ...แม่ก็เดาเอา ดีแล้วที่ลูกแสงพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เดี๋ยวเราไปดูกัน”

 “โอ๊ย...คุณแม่ไปคนเดียวเถอะค่ะ กลางค่ำกลางคืนแสงไม่เอาด้วยหรอก” แสงจันทร์ปฏิเสธทันที แม้จะอยากได้เครื่องแต่งตัวของคุณหญิงแขมากเท่าไร หล่อนก็ไม่หาญกล้าพอที่จะไปเรือนคุณหญิงแขในยามวิกาล

 “ถ้าอย่างนั้นก็ไปพรุ่งนี้”

 “คุณแม่ไปกับนังกลอยเถอะค่ะ แสงต้องออกไปตัดชุดแต่เช้า ว่าจะเร่งให้ช่างทำให้เสร็จเลย พอนึกอย่างนี้แล้วก็เสียดายนังบุษอยู่เหมือนกัน ฝีมือเย็บผ้าดี ตัดเสื้อก็สวย”

 “เอ๊ะ ทำไมพูดอย่างนั้น มันเป็นคนฆ่าคุณย่าของลูกนะ ส่วนเรื่องชุดที่จะใส่ไม่ต้องกังวลไปหรอกลูก เพราะแขกคงมาไม่มาก แม่ไม่ได้บอกใคร”

 “อ้าว ทำไมล่ะคะ” แสงจันทร์ทำหน้าผิดหวังอย่างที่สุด หล่อนอยากให้งานศพของคุณย่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ เพื่อที่จะได้หน้าได้ตาและแต่งตัวงดงามอวดแขกเหรื่อ เพราะตั้งแต่เกิดมาบ้านนี้ยังไม่เคยจัดงานใหญ่เลยสักครั้ง ไม่ว่างานมงคลหรืองานอวมงคล ครั้งนี้หล่อนจึงตื่นเต้นแม้ว่างานนี้จะเป็นงานศพก็ตาม

 “ก็ตายอย่างนี้มันน่าให้ใครรู้เสียที่ไหน เอาเถอะ ลูกเสร็จงานศพแล้วเราค่อยตัดชุดไว้ทุกข์สวยๆ ใส่กัน” คุณสร้อยตัดบท สีหน้าเริ่มเป็นกังวล สิ่งที่แสงจันทร์สงสัยคนอื่นจะต้องสงสัย และหากบุษบงหาคนมายืนยันความบริสุทธิ์ได้แผนที่วางเอาไว้ก็จะล่มไม่เป็นท่า ท้ายที่สุดภัยจะมาถึงตัว

“แล้วพ่อสันไปไหน” คุณสร้อยถามหาบุตรชาย เพราะตั้งแต่เย็นยังไม่เห็นหน้า

 “ไม่เห็นเหมือนกันค่ะ ยังไม่เลิกจากบ่อนมั้งคะ” แสงจันทร์ทำหน้าเบ้อย่างไม่สบอารมณ์นักยามตอบคำถาม

 “เหลวไหลจริงเชียว” คุณสร้อยบ่นพึมพำ ทั้งที่ความจริงไม่ได้สนใจเรื่องที่สันติจะอยู่หรือไม่อยู่ แต่สนใจจะใช้งานลูกน้องของสันติมากกว่า เนื่องจากมีคนที่หน่วยก้านดีพอจะทำงานใหญ่ได้หลายคน

            


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น