บทที่ ๗

 

 คืนนี้เรือนไทยหลังน้อยไม่ได้วังเวงอย่างทุกครั้งที่หล่อนเคยมา และแปลกเหลือเกินที่เมื่อย่างก้าวเข้ามาแล้วก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเหมือนถูกโอบกอดด้วยมือที่มองไม่เห็น กลิ่นดอกไม้จางๆ ลอยอบอวลอยู่ในอากาศชวนให้ใจผาสุกลืมเรื่องทุกข์ร้อนไปจนหมดสิ้น

 บุษบงฝังสมบัติเอาไว้ใต้ถุนเรือน หมายตาเสาต้นที่อยู่ตรงกลางเป็นจุดสังเกต จากนั้นก็ลงมือขุด ทว่าดินตรงนั้นค่อนข้างแข็งจึงยกจอบขึ้นเหวี่ยงลงไปสุดแรงหมายจะขุดดินแข็งตรงนั้นให้เป็นหลุมพอที่จะฝังกำปั่นลงได้

 เพล้ง!

 จอบกระทบบางอย่างที่ซ่อนอยู่ใต้ดิน เสียงนั้นทำให้หล่อนทั้งตกใจและสงสัยในคราเดียวกัน จึงฉวยไต้ที่นำมาด้วยส่องดูแล้วก็พบว่ามันคือหม้อดินเผาซึ่งบัดนี้มีรูโหว่ด้วยฝีมือของหล่อนเอง

 หม้อใบนั้นไม่ได้มีราคาค่างวดอะไร ภายในบรรจุของบางอย่าง บุษบงจึงล้วงออกมาดูก็พบว่ามันเป็นเพียงเศษผ้าเก่าสีคล้ำ หล่อนมองมันอย่างสนใจ เพิ่งเห็นว่าบนผืนผ้านั้นมีรอยอักษรเก่าๆ ซึ่งเป็นภาษาที่หล่อนไม่อาจตีความได้ และระหว่างที่กำลังงุนงงอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงเพรียกหา ซึ่งหล่อนจำได้ดีว่าคือเสียงของแม่นั่นเอง

 “ขึ้นมาบนเรือนซิลูก”

 บุษบงไม่มีความหวาดกลัวเรือนหลังนี้อีกแล้ว ยัดผ้าเอาไว้ในหม้อที่แตกดังเดิมแล้วเอาดินกลบ จากนั้นก็เดินขึ้นเรือนพร้อมกับกำปั่นที่นำติดตัวมาด้วย

 เมื่อก้าวเข้าไป ภายในเรือนไม่ได้มืดมิด มีแสงสว่างจางๆ เหมือนแสงดวงจันทร์สาดส่องทำให้มองเห็นได้ค่อนข้างชัด พื้นเรือนสะอาดสะอ้าน หยากไย่บนเพดานอันตรธานไป ทุกอย่างดูผ่องใสยังคงได้กลิ่นหอมเย็นเหมือนกลิ่นดอกไม้ลอยลมมา และเพิ่งรู้ว่ากลิ่นนั้นคือกลิ่นดอกมะลิ

 “แม่บัวของแม่ มาหามาเถอะ”

 หล่อนถือกำปั่นเดินเข้าไปหาแม่โดยไม่อิดออด แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าแม่กำลังร้องไห้

 “แม่เป็นอะไรไป ใครทำร้ายแม่”

 ผู้เป็นแม่หันมากอด ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาจนทำให้หล่อนเจ็บปวดไปด้วย

 “แม่บัว แม่ขอโทษ ขอโทษที่แม่ปกป้องลูกไม่ได้”

 บุษบงงวยงง หล่อนไม่รู้ว่าแม่กำลังพูดถึงสิ่งใด แต่หล่อนก็ไม่อยากเห็นแม่ร้องไห้ 

 “แม่อย่าร้องไห้นะจ๊ะ บุษไม่รู้ว่าแม่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่แม่โปรดเชื่อว่าบุษไม่เคยโกรธแม่ ไม่แม้แต่จะคิด”

 “นางผู้หญิงชั่วช้าคนนั้นมันคอยแต่จะจองล้างจองผลาญลูก แม่จะไม่ไว้ชีวิตมันแน่ แม่จะแก้แค้นมันให้สาสมกับที่มันทำกับเรา”

 “ใครกันจ๊ะแม่ แม่พูดถึงใคร” ถามไปแล้วหล่อนก็กลัวอาการคลุ้มคลั่งของแม่ที่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด หล่อนรับรู้ถึงแรงพยาบาทอาฆาตแค้นที่รุนแรง และไม่อยากให้แม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เลย 

 ราวกับแม่จะสัมผัสได้ถึงความกลัว จึงก้มลงมองและเอ่ยด้วยเสียงที่อ่อนลงเป็นอย่างมาก

 “แม่...แม่ขอโทษที่ทำให้แม่บัวกลัว...แม่จะไม่ทำอีก”

 “ไม่เป็นไรจ้ะ บุษไม่อยากให้แม่โกรธ ไม่อยากให้แม่เป็นทุกข์” หญิงสาวกล่าวทั้งที่ใบหน้ายังซบอยู่กับอกแม่ ยิ้มอย่างเป็นสุขเมื่อได้รับความอบอุ่นจากแม่

 “หลับเถอะลูก แม่จะกล่อมให้ลูกนอน”

 บุษบงหลับตาลง รู้สึกเป็นสุขอย่างที่สุด ก่อนที่เสียงหวานๆ ของแม่จะแว่วเข้าหูมา

 เสียงไก่ขันทำให้บุษบงตื่นขึ้น แล้วหล่อนก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าตนเองกลับมาอยู่ในห้องของคุณหญิงแขทั้งที่ก่อนนอนนั้นเหมือนกับว่าหล่อนเผลอหลับไปที่เรือนทาส 

 เกิดอะไรขึ้น หล่อนกลับมาที่นี่ได้อย่างไรกัน หรือว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝันอีกเช่นเคย...ไม่ หล่อนไปเรือนทาสมาจริงๆ มือที่เปื้อนดินเป็นหลักฐานอย่างชัดแจ้ง ส่วนเรื่องกลับมาได้อย่างไรนั้นหล่อนยังไม่มีเวลาที่จะคิด เพราะมีหน้าที่ต้องทำอีกมากมาย

 บุษบงลุกจากที่นอนเพื่อเตรียมตัวไปตลาดเริ่มต้นกิจกรรมวันใหม่ วันนี้หล่อนมีนัดกับครูแหม่มหรือครูแคทลีน ครูแหม่มอายุมากกว่าหล่อนประมาณสี่ห้าปี อาจจะนับว่าอีกฝ่ายเป็นพี่สาวก็ได้ แต่ด้วยความเคารพหล่อนจึงเรียกครู เนื่องจากแคทลีนสอนหลายสิ่งหลายอย่างให้หล่อน

 วันนี้ครูแหม่มจะสอนหล่อนอบขนมปังซึ่งหล่อนไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน เสียแค่เพียงค่าอุปกรณ์จำพวกแป้ง เนย ไข่ เท่านั้น ฉะนั้นหล่อนต้องรีบทำธุระทางบ้านให้เสร็จ เพื่อที่ช่วงบ่ายจะได้มีเวลาเล่าเรียนอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวล

 หล่อนพบกับครูแหม่มโดยบังเอิญในวันหนึ่งเมื่อสองปีที่แล้ว ขณะกำลังพายเรือเก็บดอกบัวให้คุณหญิงแขนำไปไหว้พระอันเป็นสิ่งที่หล่อนทำอยู่เป็นประจำ ในคลองมีทัศนียภาพเจนตา ทว่าไกลออกไปมีเรือลำหนึ่งเอียงกระเท่เร่จากนั้นก็ล่มลงกลางคลอง และก็พบว่ามีผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่งกำลังจะจมน้ำจึงไม่ลังเลที่จะเข้าช่วยเหลือ และเมื่อนำตัวทั้งสองขึ้นมาบนฝั่งได้ก็พามายังเรือนก่อนเพื่อให้ทั้งสองได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ในเวลานั้นทั้งคู่พูดภาษาไทยได้บ้าง พอซักถามจึงได้รู้ว่าที่แท้ทั้งคู่กำลังจะมายังเรือนหลังนี้เพื่อพบพระยาธรรมานุรักษ์นั่นเอง

 ฝ่ายชายคือโรเบิร์ต ซึ่งได้งานเป็นล่ามในกรมท่า ดูแลติดต่อเรื่องสัญญาการค้ากับต่างประเทศ เขาจะมาฝากเนื้อฝากตัวกับพระยาธรรมานุรักษ์ผู้เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ตามธรรมเนียม แต่เกิดเหตุเรือล่มเสียก่อน และเมื่อไต่ถามก็พบว่าทั้งคู่ยังไม่มีที่อยู่อาศัย คุณหญิงแขจึงแนะนำบ้านเช่าที่อยู่ใกล้ๆ เรือนให้

สองสามีภรรยาตกลงปลงใจที่จะอยู่บ้านที่คุณหญิงแขแนะนำ เพราะใกล้กับที่ทำงานและถูกอัธยาศัยไมตรีกับท่านหลังจากนั้นก็ติดต่อไปมาหาสู่กันเรื่อยมาโดยที่เรื่องนี้รู้กันเพียงแค่คนในเรือนเล็กและสองสามีภรรยาเท่านั้น เพื่อป้องกันคนพาลบางคนมาหาเรื่อง

 บุษบงไปมาหาสู่จนรู้จักมักคุ้นกับทั้งสอง นอกจากจะได้เพื่อนหล่อนยังได้เรียนภาษา ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากเรียนแต่ไม่มีโอกาสได้เรียน สองสามีภรรยามีความเป็นมิตรกับหล่อน ไม่มีใครเบื่อหน่ายที่จะคุยกับหล่อน อีกทั้งยังสอนให้ด้วยความเต็มใจ จากฟังกับพูดก็มาเรียนอ่านกับเขียน บุษบงมีพื้นฐานมาบ้างแต่ก็เป็นเพียงพื้นฐานเล็กน้อย ไม่เคยใช้ในชีวิตจริง แต่ทั้งคู่ก็อดทนโดยเฉพาะแคทลีนที่พยายามช่วยฝึกฝนจนบัดนี้หล่อนอ่านออก เขียนได้ค่อนข้างชำนาญ

 แคทลีนกับโรเบิร์ตเป็นคนใจดี มีจิตใจเอื้อเฟื้อ ชอบให้หล่อนยืมหนังสือมาอ่านอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่หล่อนชอบ เนื่องจากหนังสือของแคทลีนมีสีสันชวนอ่าน มีภาพประกอบดึงดูดความสนใจอย่างที่หล่อนไม่เคยเห็นจากหนังสือในตู้ของคุณหญิงแขที่มีแต่ตัวอักษร กระนั้นหล่อนก็ชอบหนังสือเหล่านั้น เพราะเป็นครูที่ทำให้หล่อนอ่านออกเขียนได้และทำให้คุณหญิงแขเพลิดเพลินยามที่หล่อนอ่านให้ท่านฟัง 

 วันนี้บุษบงจึงเริ่มงานตอนเช้าได้อย่างแจ่มใส ใจจดจ่อให้ถึงตอนเย็นโดยไว หล่อนอยากไปบ้านครูแหม่ม อยากเรียนรู้สูตรอาหาร และหนูทดลองของหล่อนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ป้าจำปากับคุณหญิงแขนั่นเอง 

 คุณสร้อยเหลียวมองรอบตัวด้วยความพิศวง สถานที่ที่ยืนอยู่นี้ไม่ใช่สถานที่ที่คุ้นเคย รอบด้านมีแต่ความมืดดำ เสียงหวีดหวิวของสายลมเหมือนเสียงโหยหวนของปีศาจ บรรยากาศรอบกายเยือกเย็นชวนให้ขนลุก ยิ่งเมื่อต้องอยู่คนเดียวยิ่งทำให้ความหวาดหวั่นเพิ่มพูน สิ่งก่อสร้างตรงหน้าคุ้นตานักเพียงแค่แวบแรกก็จำได้ทันที จึงถอยเท้าออกมาด้วยความตกใจ เพราะสถานที่แห่งนี้หลอกหลอนอยู่ในจิตสำนึกไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น

 เรือนทาส...บ้านผีสิงที่ไม่อาจทำลายลงได้ แม้จะพยายามเท่าไรก็ตามที

 สองเท้าจะก้าวออกมา แต่ติดที่มันไม่ขยับดังใจเหมือนมีหมุดที่มองไม่เห็นมาตรึงเท้าเอาไว้ ยิ่งทำให้ในใจลนลาน ยิ่งไปกว่านั้นหูได้ยินเสียงบางอย่าง เสียงที่ไม่เคยได้ยินมาเนิ่นนาน คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเสียงของใครบางคนที่คุ้นเคยกันมา

 “คุณสร้อย” เสียงเรียกนั้นเยียบเย็นยืดยาวกว่าปกติ เนื้อเสียงเย็นจนชวนให้ขนลุก

 “ใคร เอ็งเป็นใคร” คุณสร้อยร้องถามอย่างตื่นตระหนก รู้สึกถึงความหวาดกลัวที่กำลังจะทำให้หัวใจหยุดเต้นเสียเดี๋ยวนั้น

 “บ่าวเองอย่างไรล่ะเจ้าคะ” เสียงนั้นตอบกลับมาจากที่ใดที่หนึ่ง แต่คนพูดยังไม่ปรากฏกายให้เห็น

 “เอ็งเป็นใคร ออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะลงหวายให้หลังลายทีเดียว” คุณสร้อยขู่ทว่าเสียงสั่นระรัว พยายามจะก้าวเท้าเดิน แต่ก็ทำไม่ได้

 เสียงที่ตอบกลับมาคือเสียงหัวเราะแหลมอย่างสะอกสะใจ เสียงหัวเราะที่คุ้นเคยอย่างที่สุด พลันหล่อนก็ฉุกคิดขึ้นมา

 “มะลิ นั่นเอ็งใช่ไหม อีนังผีร้าย อีผีตายโหง” คุณสร้อยถามเสียงสั่นลนลาน ถอยร่นไปเบื้องหลังด้วยความหวาดกลัว

 เสียงหัวเราะนั้นยังดังไม่หยุด หนำซ้ำยังใกล้เข้ามาทุกที และนั่นทำให้คุณสร้อยแน่ใจว่ากำลังโดนดี ผีมะลิที่เคยล้างผลาญเมื่อกว่าสิบปีก่อนกำลังกลับมาอีกครั้ง

 “แน่จริงก็ออกมาซิ อีวิญญาณชั่ว คราวนี้กูจะขังมึงไม่ให้ได้ผุดได้เกิดไปชั่วพันปีหมื่นปี” คุณสร้อยกลั้นใจท้าทาย เสแสร้งว่าไม่กลัวทั้งที่มือไม้เย็นเฉียบไปหมด ยังไม่รู้เลยว่าหากผีมะลิเล่นงานตนขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร

 เสียงหัวเราะหายไป กลายเป็นเสียงแสดงความอาฆาตและคั่งแค้นแทน

 “ถึงเวลาแล้วที่กูจะทวงทุกสิ่งทุกอย่างจากมึง มึงจะไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่ชีวิตของมึง กูจะให้มึงชดใช้ให้กูให้หมด”

 “ไม่มีทาง สัมภเวสีอย่างมึงจะทำอะไรกูได้ กูไม่กลัวมึงหรอก” ชั่ววูบนั้นคุณสร้อยท้าทายออกไป กว่าจะได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้นั้นเหนื่อยยากเหลือเกิน ดังนั้นจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำให้ทุกอย่างที่หวังไว้พังทลายโดยเด็ดขาด

 “มึงคอยดูไปก็แล้วกัน เริ่มจากผัวมึง กูจะขอคืน”

 “ไม่ กูไม่ยอม” คุณสร้อยกรีดร้อง ทั้งหวาดกลัวทั้งโกรธเคืองปนกัน เมื่อเหลียวมองอีกครั้งก็เห็นสามีของตนกำลังเดินอยู่กับใครคนหนึ่ง เดินขึ้นไปบนเรือนทาสจึงคิดจะวิ่งตาม กระนั้นก็ยังไม่อาจก้าวเท้าได้ จึงร้องเรียกด้วยใจอันร้อนรนเพราะแรงหึง “คุณพี่ อย่าไปกับมัน อย่าทิ้งดิฉันไป”

 “แม่สร้อย เป็นอะไรไป”

 เสียงนั้นดึงรั้งคุณสร้อยให้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เมื่อลืมตาขึ้นมาคุณสร้อยก็พบสีหน้าพิศวงของพระยาธรรมานุรักษ์ผู้เป็นสามี พอกะพริบตาถี่ๆ จึงได้รู้ว่าฝันร้ายไปเท่านั้น แต่เป็นความฝันที่น่ากลัวเหลือเกิน น่ากลัวจนใจยังสั่นถึงเดี๋ยวนี้

 “เป็นกระไรไปรึ ร้องเสียงดังลั่นบ้าน” ผู้เป็นสามีถาม สีหน้าค่อนข้างแปลกใจ

 ความตกใจและอาการขวัญเสียทำให้คุณสร้อยโผเข้ากอดสามีแน่น กลัวเหลือเกินว่าความฝันนั้นจะเป็นความจริง แล้วต้องพบกับความเจ็บปวดอย่างในฝัน ซึ่งคงไม่อาจทนได้อย่างแน่นอน “ดิฉันฝันร้าย ฝันร้ายเหลือเกิน”

 “แค่ฝันร้ายเท่านั้น” พระยาธรรมานุรักษ์โอบกอดภรรยาเพื่อปลอบใจ “ฝันว่ากระไร บอกให้ฉันฟังบ้างได้หรือเปล่า”

 คุณสร้อยเงยหน้าขึ้น จ้องลึกลงไปในตาของผู้เป็นสามี เอ่ยเสียงกระด้างเพราะอารมณ์หึงหวงยังติดมาจากความฝัน “ดิฉันฝันว่าคุณพี่จะมีหญิงอื่น”

 “ฉันจะไปมีคนอื่นได้อย่างไร เมื่อรักแต่แม่สร้อยคนเดียวเท่านั้น”

 “ใครจะไปรู้ได้ ดิฉันแก่แล้ว มิได้น่าพิศวาสเหมือนแต่ก่อน”

 “ชักไปกันใหญ่ เอาละ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันจะไปทำงานเสียที สายมากแล้ว ที่เข้ามาจะบอกว่าวันนี้ฉันไม่กลับมารับข้าวเย็น น่าจะมีงานที่กรมจนดึก”

 “งานอะไร ทำไมดิฉันไม่รู้เรื่อง” คุณสร้อยซักเสียงขุ่น

 “งานเลี้ยงพวกฝรั่ง ฉันไม่บอก เพราะถึงไปก็พูดกับใครไม่รู้เรื่อง”

 “คุณพี่กำลังว่าดิฉันว่าโง่อย่างนั้นหรือคะ”

 “ไม่ใช่อย่างนั้น” พระยาธรรมานุรักษ์เอ่ยออกมาอย่างอ่อนใจ เมื่อเรื่องราวชักบานปลายไปกันใหญ่ “เอาละ ถ้าอยากไปตอนเย็นจะให้เรือมารับ แต่จะขอเตือนแม่สร้อยเอาไว้สักหน่อยว่างานน่าเบื่อหน่าย อย่ามากระฟัดกระเฟียดเอาตอนที่ฉันกำลังทำงานอยู่ก็แล้วกัน”

 คุณสร้อยหน้าง้ำ ครั้นเมื่อสามีกำลังจะเดินออกไปก็นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องของลูกชายที่ต้องให้พระยาธรรมานุรักษ์ช่วยจัดการ นั่นคือเรื่องที่สันติไม่ยอมไปสอบไล่ขึ้นชั้นเรียน หากไม่รีบแก้ไขอาจจะตกชั้น ซึ่งคงเป็นที่ติฉินนินทาไปทั่ว

 “เดี๋ยวก่อนค่ะคุณพี่ เมื่อวานลูกสันไม่สบาย มีสอบไล่ชั้นที่โรงเรียนจึงไม่ได้ไปสอบ อย่างไรคุณพี่ช่วยไปเจรจากับครูใหญ่ให้หน่อยเถอะค่ะว่าให้ลูกผ่านๆ ไป ดิฉันไม่อยากเห็นลูกเสียใจอับอายขายขี้หน้าคนอื่นถ้าต้องซ้ำชั้น”

 “อะไรกัน เมื่อวานก็เห็นดีๆ ไม่เห็นเจ็บไข้ได้ป่วยอะไร แล้วอีกอย่างเรื่องพรรค์นี้ต้องไปสอบไล่ชั้นกันเอาเอง ไปบอกครูใหญ่อย่างนั้นได้กระไรกัน”

 คำค้านนั้นทำให้คุณสร้อยหน้าตึง เถียงกลับทันควันด้วยท่าทีและสีหน้าไม่พอใจ

 “ดิฉันบอกว่าไม่สบายก็ไม่สบายซิเจ้าคะ คิดว่าลูกสันเกเรหรืออย่างไร ลูกดิฉันไม่ใช่คนอย่างนั้นเสียหน่อย แล้วเรื่องสอบนี่ก็ไม่เห็นจำเป็นสักนิด พออายุพอเข้ารับราชการได้คุณพี่ก็ช่วยฝากฝัง ลูกพระยาเสียอย่างจะกลัวอะไร”

 พระยาธรรมานุรักษ์ส่ายหน้าอีกครั้งเมื่อคุณสร้อยออกรับแทนลูก และอยากจะคัดค้านแต่บางอย่างในใจบังคับให้ยอมตามโดยไม่โต้แย้งใดๆ “ส่งไปเรียนที่เมืองนอกดีไหม ลูกผู้ใหญ่หลายคนก็ไปกัน”

 “เมืองนอก เมืองฝรั่งน่ะหรือคะ” คุณสร้อยอุทานออกมาอย่างตกใจ “ดิฉันบอกแล้วว่าไม่ให้ไป ถ้าลูกไปดิฉันคงคิดถึงลูกแย่ เรียนที่นี่ก็พอ พอเรียนจบคุณพี่ก็ฝากให้ทำงาน ไม่เห็นจำเป็นต้องให้ไปไกลบ้าน เส้นสายของเราก็มี เป็นถึงลูกพระยา ตำแหน่งคงไม่น้อยหน้าคนอื่นหรอก”

 เพราะความรักและความห่วงของคนเป็นแม่ เกรงว่าหากลูกไปอยู่ไกลหูไกลตาจะลำบากจึงคัดค้านทุกครั้งที่สามีเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา และคิดว่าบารมีของพระยาธรรมานุรักษ์น่าจะทำให้ลูกได้เปรียบคนอื่น หรือไม่หากสันติไม่คิดจะทำงานทำการก็ยังไหว สมบัติในบ้านก็มีมากจนกินใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด เรื่องอะไรจะต้องให้ลูกไปไกลถึงต่างบ้านต่างเมือง

 “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ เรื่องสอบไล่ขึ้นชั้น เดี๋ยวฉันจะไปจัดการให้”

 อีกครั้งที่พระยาธรรมานุรักษ์เออออ ไม่ต่อความอะไรด้วยทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ แต่สุดท้ายก็เกรงใจเมียมากกว่าความถูกต้อง

 ตอนบ่ายของวัน คุณสร้อยออกมานั่งรับลมเล่นที่ระเบียง และตัดสินใจว่าเย็นนี้จะออกงานกับสามีด้วยจึงให้กลอยจัดเตรียมเสื้อผ้าและเครื่องแต่งตัวเอาไว้ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้การไปออกงานกับผู้เป็นสามีแต่ละครั้งจะถูกมองด้วยแววตาประหลาดไม่อาจพูดคุยกับใครได้ เนื่องจากไม่ใคร่สมาคมกับใครเพราะมีปมเรื่องชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย แม้แต่ตำแหน่งคุณหญิงก็ยังไม่ได้รับทั้งที่สามีเป็นถึงพระยา แต่เพราะความฝันเมื่อคืนทำให้หล่อนไม่ค่อยไว้ใจนัก

ก่อนหน้านี้สมัยยังหนุ่มพระยาธรรมานุรักษ์นั้นเจ้าชู้ ละเลยหมางเมินในตัวหล่อนอยู่หลายหน กว่าจะจับให้อยู่มือก็ต้องใช้สารพัดพิธี และไม่อาจจะไว้ใจได้เลยว่าผู้เป็นสามีจะไม่แปรเป็นอื่นจึงต้องตามไปสอดส่องดูแล โดยไม่สนใจว่าการกระทำนั้นจะทำให้คนอื่นอึดอัดหรือไม่

 หากถามว่าที่ผ่านมาหล่อนเหนื่อยหรือไม่กับความรู้สึกเช่นนี้ คุณสร้อยตอบได้ทันทีว่าเหนื่อยและอ่อนล้าอย่างเหลือเกิน แต่ความรักก็มิอาจหยุดหัวใจ ซึ่งความรักที่ว่านั้นไม่ได้หมายถึงพระยาธรรมานุรักษ์ แต่เป็นลูกทั้งสอง

 การได้เกิดมาในตระกูลอันสูงส่งคือบุญวาสนาของลูกทั้งสองทำให้ได้ทุกอย่างมาครอบครอง และในฐานะของคนเป็นแม่จะไม่ยอมให้ใครมาแย่งชิงไปแม้แต่แดงเดียว ทุกอย่างจะต้องเป็นของสันติกับแสงจันทร์อย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น จะไม่มีผู้หญิงคนไหนได้แบ่งสมบัติอันมากมายนี้ไป หากมีใครเข้ามา หล่อนก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดคนผู้นั้นอย่างที่เคยทำมาแล้ว

 ระหว่างที่จิตใจกำลังล่องลอยแสงจันทร์ก็เดินตรงเข้ามาหา ท่าทางของลูกสาวแสดงถึงความหงุดหงิดอย่างชัดเจน ทั้งที่ตอนออกไปยังอารมณ์ดีอยู่แท้ๆ

 “แสงจันทร์กลับมาแล้วหรือลูก” คุณสร้อยเอ่ยทัก

 “ค่ะคุณแม่” แสงจันทร์ตอบรับและนั่งลงบนตั่งด้วยกิริยากระแทกกระทั้น

 “แล้วทำไมหนูกลับมาเร็วนักล่ะลูก กานดาไม่อยู่หรือ” คุณสร้อยถามขึ้นอย่างแปลกใจ เมื่อเหลือบมองนาฬิกาแล้วพบว่าลูกสาวออกไปเพียงชั่วโมงเศษเท่านั้น ปกติหากขอไปหาเพื่อนสนิทก็จะกลับเย็นหรือไม่ก็มืดค่ำ

 “อยู่ค่ะ แต่มีคนที่แสงไม่ชอบหน้าอยู่ด้วยแสงก็เลยกลับมาก่อน”

 “ใครกันจ๊ะที่ลูกไม่ชอบ”

 “ก็แม่พรรษาลูกคหบดีคนดังไงล่ะคะ พวกลูกเศรษฐีใหม่ที่กำลังชูคอในพระนครตอนนี้” สีหน้าแสงจันทร์บ่งบอกชัดเจนถึงความไม่ชอบใจ “มันมองว่าลูกโง่เง่าเสียเต็มประดา แสงไม่ชอบสายตาของมันเลยค่ะ”

 “อะไร มาว่าลูกแม่อย่างนั้นได้ยังไงกัน” คุณสร้อยร้องเสียงแหลมด้วยความไม่พอใจ “ไม่ได้ แม่ต้องจัดการ เป็นแค่ลูกพ่อค้าแต่มาว่าลูกพระยามันช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียแล้ว”

 “มันไม่ได้ว่าลูกตรงๆ หรอกค่ะ แต่มันคุยกันเป็นภาษาฝรั่งคงตั้งใจจะข่มลูกว่าพวกมันจบจากคอนแวนต์ที่ปีนัง โก้หรูตายละ” แสงจันทร์แบะปากด้วยความหมั่นไส้เต็มที

 คุณสร้อยลูบหลังบุตรสาว หวังให้อารมณ์เย็นลงพลางเสนอวิธีการแก้ปัญหา

 “เอาไหมลูก ลองไปเรียน แม่จะส่งเรียนโรงเรียนฝรั่งเอาที่ดีที่สุดแพงที่สุด ลูกจะได้พูดกับเพื่อนรู้เรื่องอย่างไรเล่า” เวลานี้มีโรงเรียนฝรั่งมาเปิดในพระนครหลายแห่ง หากลูกสาวสนใจที่จะเรียน หล่อนก็ยินดีสนับสนุน

 “ไม่เอาหรอกค่ะ เรียนไปทำไม ถ้าเรียนแสงก็ต้องอยู่ในกฎอยู่ในระเบียบ แสงเป็นถึงลูกพระยา จะให้พวกครูมาสั่งโน่นสั่งนี่ได้อย่างไร คนพวกนั้นเป็นใครกัน ก็แค่ฝรั่งขี้ครอก” 

แสงจันทร์เป็นคนที่ถือยศถาบรรดาศักดิ์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง หล่อนภาคภูมิใจอย่างเหลือเกินกับการเป็นแสงจันทร์ บุตรสาวพระยาธรรมานุรักษ์ เพราะไม่ว่าจะเยื้องกรายไปทางไหนก็ได้รับการต้อนรับอย่างพินอบพิเทาจากคนทั้งหลายดังนั้นหล่อนจะไม่ยอมฟังคำสั่งใครแม้แต่แม่ของตัวเองที่หล่อนนึกดูถูกว่าเป็นเพียงลูกเจ๊กเจ้าของบ่อน

 เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่แสงจันทร์ไม่ค่อยชอบใจนัก ชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยของมารดาดึงให้หล่อนไม่สง่าอย่างที่ควร บางครั้งเวลาไปสมาคมกับเพื่อนๆ ก็มักจะมีคนมองมาด้วยแววตาเยาะหยันทำเอาหล่อนหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอาย ดังนั้นเมื่อหล่อนรู้เรื่องนี้จึงไม่เคยเหยียบย่างไปบ้านฝั่งธนฯ อันเป็นบ้านเดิมของมารดา และตัดขาดจากญาติฝั่งโน้นทุกคน พยายามซ่อนขนกาที่แซมอยู่ในปีกหงส์ให้มิดชิดที่สุดเท่าที่จะทำได้

 “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจลูกแสงเถอะ แม่เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียนไปทำไม อีกหน่อยก็ต้องออกเรือน เสียเงินเสียทองเปล่าๆ” สุดท้ายคุณสร้อยก็ยอมตามใจบุตรสาว ไม่เซ้าซี้เรื่องการเล่าเรียนเพื่อหาความรู้อีก แสงจันทร์ก็เหมือนจะลืมเรื่องนั้นไปอย่างง่ายดาย เพราะเวลานี้จิตใจของหล่อนกำลังหมกมุ่นอยู่กับคู่หมั้นหนุ่ม

 “คุณแม่ว่าคุณเกื้อเขาจะชอบลูกไหม”

 หากเป็นคนอื่นถามคุณสร้อยคงมองด้วยความหมั่นไส้ที่เด็กสาวอายุเพิ่งผ่านสิบห้าอาจหาญพูดเรื่องเช่นนี้ขึ้นต่อหน้าผู้ใหญ่ แต่เมื่อเป็นบุตรสาวสุดที่รักจึงพยักหน้าเออออด้วยความเอ็นดู

 “ชอบสิ มีอะไรที่จะไม่ชอบ ลูกแม่ออกจะงามอย่างนี้”

 คำชมของมารดาเกือบทำให้แสงจันทร์เท้าไม่ติดพื้น ดวงตาดรุณีแรกรุ่นแพรวพราว ฝันถึงวันที่จะได้เจอหน้าคู่หมายและเห็นเขาตกตะลึงในความงามของตน

 “แสงว่าจะดัดผม เอาให้ทันสมัย เห็นกานดากับพรรษาทำมาสวยเชียวค่ะ เขาใช้น้ำยาของฝรั่งค่ะคุณแม่” แสงจันทร์กล่าวอย่างตื่นเต้น เพราะเวลานี้วิธีที่หล่อนใช้ทำผมอยู่คือการใช้เหล็กร้อนจากเตาถ่านมานาบให้ผมเป็นลอน นอกจากจะยุ่งยากแล้วยังไม่ค่อยอยู่ทรง ต้องใส่ขี้ผึ้งเพื่อให้ผมอยู่ตัว

 “ก็เอาซิลูก” คุณสร้อยเห็นด้วย “ว่าแต่มันแพงหรือเปล่า ไอ้น้ำยาดัดผมที่ลูกว่า”

 “จะสวยก็ต้องลงทุนหน่อยซิคะ”

 เมื่อลูกสาวกล่าวเช่นนั้น คุณสร้อยก็รู้ดีว่าตนไม่มีสิทธิ์แย้งอะไรอีกนอกจากให้เงิน 

 “แล้วนี่พ่อสันติไปไหน ใครเห็นบ้าง” คุณสร้อยถามถึงลูกชายฝาแฝดที่หายหน้าหายตาไปตั้งแต่เช้าจนกระทั่งบัดนี้ยังไม่กลับมายังเรือน

 บ่าวที่นั่งรอรับใช้อยู่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ

 “จะไปไหนได้คะ นอกจากไปเล่นถั่วเล่นโป” แสงจันทร์กล่าวขึ้นอย่างอดไม่อยู่ นิสัยของพี่ชายช่างเป็นที่น่าเอือมระอานัก วันๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่เล่นการพนัน

 “อย่าพูดเสียงดังนักซิลูก เจ้าคุณพ่อได้ยินเข้าพี่เขาจะโดนทำโทษ”

 “โดนเสียก็ดี เมื่อเช้าหยิบสร้อยข้อมือของแสงไปเส้นหนึ่ง บอกว่าจะไปต่อทุน แสงไม่ได้ยินยอมจะให้เลยแม้แต่นิดเดียว คอยดูเถิด ตอนเย็นถ้าเจ้าคุณพ่อมา แสงจะฟ้อง”

 “อย่านะลูกแสง” คุณสร้อยร้องห้ามเสียงหลง “เดี๋ยวแม่จะคืนให้สองเส้น แต่ลูกแสงห้ามบอกเรื่องนี้กับเจ้าคุณพ่อ”

 สีหน้าของแสงจันทร์ดีขึ้น “ถ้าเช่นนั้นแสงขอสร้อยข้อมือทองลงยากับสร้อยมรกตนะคะ” หล่อนกล่าวทันทีที่ได้โอกาส เพราะแท้จริงแล้วหล่อนก็ไม่คิดจะฟ้องบิดา แต่ต้องการของคืนมากกว่า

 คุณสร้อยค้อนบุตรสาวเสียหน้าคว่ำ “เดี๋ยวเข้าไปหยิบก็แล้วกัน... ให้ใครไปตามหาคุณสันติที ตามให้พบก่อนที่เจ้าคุณจะกลับมาจากงานคืนนี้”

 “เจ้าค่ะ” บ่าวรับคำสั่งแล้วคลานออกไป

หัวใจคุณสร้อยยังเต็มไปด้วยความกังวล กลัวว่าถ้าสามีกลับมาแล้วไม่พบว่าสันติป่วยตามที่อ้างเอาไว้ ลูกชายจะถูกทำโทษหนัก 


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น