5

บทที่ 5


5


“ไหวไหมนั่น”


หม่อมมธุรสมองบุตรสาวที่เดินเหมือนร่างไร้วิญญาณผ่านห้องนั่งเล่นไป หลังจากเจอกันไปแล้วเมื่อเช้าตอนที่ลงมาใส่บาตร ซึ่งหม่อมราชวงศ์แพรวพรรณรายเพิ่งเลี้ยวรถสวนเข้ามาที่หน้าประตูวัง กดกระจกลงยกมือไหว้หม่อมมารดา ท่าทางเหมือนคนพร้อมจะหลับ รายงานตัวว่าเพิ่งเสร็จจากการคุมไซต์งานที่โรงแรมของฌอนฤทธิ์ กำชับให้เก็บกวาดสิ่งสกปรกเรียบร้อยก่อนเวลาหกโมงเช้าตามที่ระบุไว้ในสัญญา เพื่อไม่ให้แขกที่มาใช้บริการในเวลาปกติพบเห็นสิ่งรำคาญใจแล้ว เจ้าตัวจึงขับรถกลับบ้านมานอน


เป็นอย่างนี้ล่วงเข้ามาวันที่ห้าของสัปดาห์ เล่นเอาคนที่ป่าวประกาศมาตลอดว่าสู้งานอย่างกับอะไรกัดฟัน ง่วง เหนื่อย เพลีย ยิ่งวันนี้ปวดหัวตุ้บๆ มาตั้งแต่ออกจากโรงแรมตอนตีห้าครึ่ง เพราะเปลี่ยนเวลานอน จากกลางคืนเป็นกลางวัน แถมไม่ได้นอนเต็มวัน จะได้หลับก็ช่วงประมาณเจ็ดโมงหลังรับอาหารเช้าง่ายๆ ที่พี่เลี้ยงเตรียมให้ ก่อนจะตื่นอีกทีราวๆ สิบเอ็ดโมง รับของเที่ยงที่วังแล้วก็รีบเข้าไปที่ไซต์งานอีกที เพื่อดูงานส่วนอื่นที่ทยอยเสร็จเรียบร้อย ตกเย็นก็ต้องสรุปงานให้เจ้าของโรงแรมฟังตามที่ได้รับคำสั่งมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนจะต้องดูแลควบคุมงานที่จะเริ่มในเวลาสี่ทุ่ม ลากยาวไปจนถึงย่ำรุ่งอีกวัน เป็นแบบนี้มาตลอดสัปดาห์ และต้องเป็นไปอีกตลอดสองเดือนครึ่ง นี่เพิ่งผ่านไปได้แค่ห้าวัน ร่างยังจะแหลกเป็นปุ๋ยผง


“คะหม่อมแม่”


ได้ยินเสียง แต่สมองไม่สั่งการ คนหน้าสวยเลยได้แต่หันหาต้นตอ แต่ไม่รับรู้ทั้งสิ้นว่าหม่อมมารดาเอ่ยสิ่งใด


“แม่ถามว่าไหวไหม”


“อ่อ ไหวค่ะ ท่านพ่อล่ะคะหม่อมแม่”


วันนี้เป็นวันศุกร์ จะมีประชุมทีมงานทั้งหมดตอนบ่าย ความพิเศษคือทีมงานของฝั่งโรงแรมก็จะมาร่วมประชุมด้วย ทำให้หม่อมราชวงศ์คนงามไม่อาจอยู่ร่วมโต๊ะเสวยกับหม่อมเจ้าโชติรัตน์ได้เหมือนทุกที


“ทรงงานอยู่ แล้วไม่ทานข้าวก่อนหรือไงวันนี้ เดี๋ยวก็ตั้งโต๊ะเหวยแล้ว”


“ไม่ทันหรอกค่ะ หญิงมีประชุมตอนบ่ายโมง”


คนสวยหมุนข้อมือดูนาฬิกาอีกครั้ง เวลาที่ปรากฏอยู่ตอนนี้คือสิบเอ็ดโมงสี่สิบห้าแล้ว หล่อนควรไปให้ถึงที่โรงแรมก่อนเที่ยงครึ่ง หากจะบรีฟงานกับทีมของ วี.เค. ก่อน


“แล้วเมื่อเช้าก็ไม่รับอาหารเช้า”


น้ำเสียงเหมือนจะดุ แต่ก็เจือความเป็นห่วงอย่างชัดเจน มองลูกสาวที่ถอดเค้าความงามของหล่อนไปไม่มีผิดเพี้ยน แต่หน้าดันคล้ายพระพักตร์ของท่านชายเสียอย่างนั้น


“ไม่เป็นไรค่ะหม่อมแม่ เดี๋ยวหญิงไปก่อนนะคะ”


พูดจบเจ้าตัวก็ปรี่ขึ้นรถมินิออสตินสีเขียวเข้มคันจิ๋วทันใด ยอมเอารถออกมาใช้ได้จะครบหนึ่งสัปดาห์เพราะเวลาที่ต้องเข้าออกงานเปลี่ยนไป ทำให้รถไม่ติดจนคนอารมณ์ร้อนหงุดหงิดใจ ขับออกมาได้ไม่ถึงสิบห้านาทีก็ถึงที่ทำงาน เจ้าตัวรีบถอยรถคันจิ๋วเข้าจอดในช่องจอดของพนักงานทั่วไปของโรงแรม ไม่มีป้ายชื่อให้ต้องวนหาเหมือนคนอื่นๆ ดีที่ส่วนใหญ่พนักงานประจำของวันซ์ ริวาไม่นิยมนำรถส่วนตัวมาทำงาน ที่จอดเลยหาไม่อยากอย่างที่คิด คว้าข้าวของออกจากรถแล้วเดินดุ่มเข้าห้องที่เพื่อนร่วมงานนั่งอยู่ ยกมือไหว้ศักดา หัวหน้างานด้านวิศวกรรม ถึงแม้จะไม่ชอบใจ แต่ก็มีมารยาทพอตัว


“เพิ่งมาเหรอคุณหญิง”


ก็เห็นอยู่ยังอุตส่าห์แดกดัน ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ควรจะอยู่ดูงานกับหล่อนเหมือนกัน แต่กลับมักง่ายโผล่มาเดินดูในเวลาทำงานปกติ ตกเย็นก็แทบจะไม่อยู่คุมงานหรือคุยกับโฟร์แมน


“ก็เพิ่งเห็นดิฉันเดินเข้ามาไม่ใช่หรือคะ”


ไม่ได้อยากจะยียวน แต่อดไม่ได้จริงๆ แพรวพรรณรายเลยตอกกลับไปดอกหนึ่ง วางกระเป๋าแล้วหยิบคอมพิวเตอร์ขึ้นมา ก่อนเจรจางานในความรับผิดชอบ ไม่อยากพูดคุยนอกเรื่องกับคนคนนี้มากนัก ขัดใจตั้งแต่เรื่องที่ไม่ยอมให้หล่อนเจาะคานคราวนั้นแล้ว


“แหม ก็นึกว่าจะมานานแล้ว ไปเดินดูงานอยู่ เห็นขยันขันแข็งแบบนี้ผมก็เบาใจ ทีแรกนึกว่าจะไม่เอาถ่านเสียอีก”


“อ่อค่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ดิฉันไม่ใช่พวกเหลาะแหละ ทำงานเอาหน้า อะไรที่อยู่ในความรับผิดชอบของตัวเอง หรือที่มีความรับผิดชอบร่วมกัน ดิฉันทำหมดแหละค่ะ” ตาเหยี่ยวที่ถอดแบบพระบิดาออกมาปรายมองเพื่อนร่วมงาน บอกให้รู้ว่าถึงจะอ่อนวัยแต่ไม่อ่อนแอ พร้อมที่จะไฟต์กับคนที่มาหาเรื่องหล่อนทันทีเหมือนกัน


“มีอะไรที่ดิฉันต้องทราบก่อนประชุมร่วมกับทางวันซ์ ริวาไหม งานในส่วนของคุณศักดามีอะไรติดขัดหรือเปล่า”


“ก็ไม่มีอะไรนิ”


คนแก่กว่ายักไหล่ ลุกขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายทิ้งก้นลง เล่นเอาคนมีเลือดสีน้ำเงินหน้าตึง ทั้งที่เขาบอกว่ามีงานต้องอัปเดตกันนิดหน่อย แต่พอหล่อนนั่งลง เขาก็ลุกหนีขึ้นมาดื้อๆ


“ผมไปรอที่ห้องประชุมนะ คุณพร้อมเมื่อไหร่ก็ตามไปละกันนะ อย่าช้าแล้วกัน เกรงใจผู้ใหญ่บ้าง”


หญิงสาวนั่งหวิวๆ ตลอดการประชุม พยายามฝืนตัวให้ประคองสติไม่ให้เป็นลมไป เพราะรู้สึกอาการไม่สู้ดีพอๆ กับที่แทบระงับอารมณ์ไม่ให้ขย้ำคอเพื่อนร่วมงานไม่ได้


“...ถ้าจะมีอะไรติดขัดก็คงเป็นส่วนของคุณหญิงนั่นแหละ เห็นว่าสปาชั่วคราวจะเสร็จไม่ทันอาทิตย์หน้านิ แล้วยังงี้ตัวสปาจริงจะเริ่มปิดรีโนเวตได้เมื่อไหร่”


ได้ยินแบบนั้นแพรวพรรณรายก็หันขวับ ไหนว่าไม่มีปัญหาอะไร แล้วทำไมมาหักหน้ากันแบบนี้ หากทีมก่อสร้างทำไม่ได้ตามที่กำหนดเวลาไว้ ทีมวิศวกรก็ควรจะต้องบอกกันบ้าง


“เอ่อ...ไม่เห็นมีใครแจ้ง”


แพรวพรรณรายพูดเหมือนคนตั้งสติไม่ได้ เพราะไม่เคยรู้จักหมาลอบกัดแบบที่กำลังเผชิญอยู่ แต่เจ้าตัวก็ตั้งหลักได้ไว รีบสวนกลับทันที


“แต่นั่นแหละค่ะ ปกติคนงานควรจะต้องแจ้งทีมคุณ ซึ่งถ้าการที่ดิฉันไม่ทราบก็แปลว่าคุณไม่ได้บอก แต่เอาเถอะค่ะ นี่มันเป็นปัญหาภายในของ วี.เค.” ตาเหยี่ยวจ้องเพื่อนร่วมงานตาไม่กะพริบ สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด อย่างไรเสียบริษัทนี้ก็เป็นของญาติสนิท ต่อให้หล่อนจะไม่ได้ไม่เสียไปมากกว่าเงินเดือนที่รับในแต่ละเดือน แต่หล่อนก็ถือว่าเป็นความรับผิดชอบที่หล่อนต้องปกป้องชื่อเสียงของบริษัทเช่นกัน หน้าสวยหันหาฌอนฤทธิ์ที่เลิกคิ้วมองมานิ่งๆ เหมือนรอฟังคำอธิบายจากคนที่เขาจ้างทำงานอยู่


“ดิฉันยังไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรถึงจะไม่ทัน ยังไงเดี๋ยวขอไปคุยกับคนที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงอีกที แล้วเย็นนี้ดิฉันจะรีบแจ้งทางวันซ์ ริวานะคะ”


เพราะรู้ดีว่าเย็นนี้ต้องเจอเจ้าของโรงแรมอีกรอบ พยายามสื่อสารกับชายหนุ่มทางสายตาว่าอย่าเพิ่งคาดคั้นเอาความอะไรตอนนี้เพราะร่างกายก็ไม่ไหว สมองก็ไม่ทำงาน


ดูเหมือนว่าฌอนฤทธิ์จะไม่เข้าใจ แถมยังเค้นสิ่งที่เขาต้องการจะรู้


“ผมต้องการคำตอบตอนนี้ ไหนเมื่อวานตอนคุณพาผมเดินดูงาน คุณยังบอกว่าทุกอย่างอยู่ในกำหนดเวลาเดิมไง”


“ค่ะ”


ก็เมื่อวานมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ขนาดตอนหล่อนดูช่างเมื่อตอนตีสี่ก็ยังเห็นทุกคนทำงานได้ตามตาราง ไม่มีล่าช้า หน้าสวยก้มลงเพราะอาการวิบวับในหัว แต่คนอื่นพานเข้าใจไปว่าเจ้าตัวก้มหน้าลงด้วยความอายที่โดนตำหนิ


“แล้วนี่พวกคุณไม่เตรียมงาน ไม่สรุปอะไรกันมาก่อนบ้างหรือยังไง ทำงานกันแบบไหน”


“จะให้ผมไปสรุปตอนไหน กว่าคุณหญิงจะเสด็จมาทำงานก็จะได้เวลาประชุมแล้วนะครับ”


คนตั้งใจจะสร้างเรื่องรีบใส่ไฟต่อเมื่อเห็นคุณหญิงทำท่าโมโหไม่พอใจ อีกทั้งลูกค้าใหญ่อย่างฌอนฤทธิ์ยังดุอีกฝ่ายในที่สาธารณะแบบนี้ด้วย


“คุณฌอน ใจเย็นๆ เถอะครับ เดี๋ยวผมจัดการให้ คุณหญิงเธอยังไม่เคยทำงาน”


คนมีวัยสูงกว่าทำหน้าเหมือนเห็นใจ ในนัยน์ตาวาววับด้วยความสะใจ ซึ่งฌอนฤทธิ์เห็นเข้าพอดี เลยได้แต่เบะปาก ไม่ตกเป็นเครื่องมือของใคร หันไปสบตาดนัยแทน เป็นอันบอกให้รู้ว่าเขาจะเลิกประชุมแค่เพียงเท่านี้ ก่อนจะผินหน้ากลับไปมองคุณหญิงแห่งวังวิริยาอีกครั้ง อดแปลกใจไม่ได้ที่คนชอบต่อปากต่อคำนิ่งเฉย หลับตาแน่นจนหัวคิ้วขมวดเข้าหากัน


“ถ้ายังไม่มีอะไรคืบหน้ามากกว่านี้ก็เลิกประชุม”


พูดจบร่างสูงก็ลุกขึ้นทันที ตั้งท่าจะเดินประกบหลังแบบทุกที แต่แล้วเจ้าของโรงแรมก็ต้องหันหน้ากลับเพราะเสียงโวยวายยกใหญ่ แล้วใจก็หายวาบเมื่อเห็นแพรวพรรณรายฟุบลงไปกับพื้นไม่พอ ยังมีเลือดไหลออกจากหน้าผาก ทำเอาฌอนฤทธิ์พุ่งพรวดรวบร่างบางขึ้นด้วยตัวเองอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวทันที รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เปล่งเสียงดังให้คนตามตัวหมอ ส่วนเขาหอบคนตัวบางเดินดุ่มๆ ไปที่ห้องทำงานของตัวเอง โดยไม่สนใจสายตาบริวารที่งงกันเป็นไก่ตาแตก


“คงพักผ่อนน้อย”


“แล้วแผล ไม่ต้องเย็บแน่เหรอ”


คนที่สวมสูทสีเทายืนนิ่งถามขึ้น เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวในปรากฏรอยเลือดของสตรีที่นอนยาวอยู่ที่โซฟาในห้องทำงานเขา ตาคมมองร่างบางที่ยังไม่ได้สติอย่างที่ใครก็อ่านความหมายไม่ออก ทั้งที่จริงๆ เจ้าตัวใจเต้นไม่ตรงจังหวะตั้งแต่หันไปเห็นแพรวพรรณรายนอนนิ่งอยู่ที่พื้นห้องประชุม จำได้ติดใจว่าเขาพึมพำคลอเคลียกับหน้าผากใสของคนสวยที่เขาอุ้มวิ่งมาตลอดทางว่าอย่าเป็นอะไร


“ไม่ต้องค่ะ เลือดอาจจะดูเยอะไปสักหน่อย แต่ไม่เป็นอะไร”


“แล้วจะเป็นแผลเป็นไหม” คนตัวโตยังถามไม่หยุด อดใจหายไม่ได้ที่หน้าสวยผิวใสต้องมีริ้วรอย


“เอ่อ...อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ผิวคน จริงๆ มันมียาลบรอยแผลเป็น ถ้าทาตั้งแต่ยังเป็นแผลสดๆ แบบนี้คงไม่เหลือรอยหรอกค่ะ”


ได้ยินแบบนั้นฌอนฤทธิ์ก็ถอนใจด้วยความโล่งอก แต่ยังไม่ละสายตาจากคนมีเลือดสีน้ำเงินที่หน้าตาเริ่มมีสีเลือดขึ้น นี่ก็นอนเก่งนอนทนอย่างที่ท่านชายตรัสไว้จริงๆ จนถึงขนาดนี้ยังไม่ได้สติลุกมาขอบคุณเขาสักนิดที่ช่วยไว้ คิดได้เท่านั้นแพรวพรรณรายก็เหมือนจะเริ่มรู้สึกตัว ขยับเล็กน้อย


ชายหนุ่มปราดเข้าไปแตะเรียกทันที ทั้งอยากเห็นอีกคนได้สติ ทั้งกลัวหล่อนจะกลิ้งตกลงมาจากที่นอนชั่วคราว “คุณหญิง”


“อือ...”


“คุณหญิงตื่น”


“ห้านาทีนะ หญิงง่วง”


คนเป็นลมจนหลับไปพึมพำตอบ เพราะนึกว่าพี่เลี้ยงที่วังมาปลุกอย่างทุกที ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่มีคนรับใช้ผู้ชายคนไหนขึ้นมาบนตำหนักกลางได้ เท่านั้นตาหวานก็ปรือปรอยลืมขึ้น ก่อนจะทะลึ่งลุกพรวดด้วยความตกใจเพราะหน้าของเจ้าของโรงแรมห่างจากหน้าหล่อนแค่คืบ แต่พอเคลื่อนไหวเร็วๆ แบบนั้นอาการวิงเวียนก็เข้ามาโจมตีอีกครั้งจนต้องยกมือขึ้นกุมหัว เล่นเอาฌอนฤทธิ์ซึ่งนั่งลงบนส้นเท้าตัวเองส่ายหน้า ปรามเด็กที่โตมานานแล้วเบาๆ


“อย่าซ่า ค่อยๆ ลุก” พูดจบก็หันหาคุณหมอประจำโรงแรมอีกที และพยักหน้าส่งสัญญาณว่าต้องการให้เข้ามาตรวจเช็กอีกครั้ง


นายแพทย์อายุพอๆ กันอดสงสัยไม่ได้ว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกันเป็นพิเศษหรือเปล่า


“เอ่อ...คุณหญิง ดิฉันหมอปาริชาตนะคะ ไม่ทราบว่ามีโรคประจำตัวอะไรหรือเปล่าคะ”


คนสวยส่ายหน้าเร็วๆ ปฏิเสธทันใด ทำให้เวียนหัวมากขึ้นจนต้องยกมือกุมขมับอีกที ก่อนจะพบว่ามีปลาสเตอร์แปะอยู่ ความเจ็บเริ่มแล่นเริ้วให้สงสัย ก่อนจะทบทวนความทรงจำระหว่างที่ปากก็เอ่ยถามความเป็นไปที่เกิดขึ้นกับตนเอง


“แพรวเป็นอะไรคะ ทำไมมีแผล”


“เป็นลม ล้มหัวขูดกับมุมโต๊ะ”


คนที่อาสาอุ้มมาตอบแทนหมอ มองหน้าสวยไม่วางตา เพราะยังไม่วางใจอาการของอีกคน ขัดใจนิดๆ ที่หญิงสาวแทนตัวเองด้วยชื่อกับทุกคน แต่ใช้คำว่า ‘ดิฉัน’ กับเขา


“อ่อ แล้วนี่คือ...”


ตาหวานมองรอบห้องที่พัก เริ่มเอะใจว่าหล่อนไม่ได้ถูกพามาส่งที่ห้องพยาบาลแน่ๆ ก่อนจะมาหยุดสายตาที่ชายหนุ่ม เห็นรอยเลือดบนเสื้อเขาก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จนหน้าสวยมีแต่สีเลือดเพราะความเขินอาย


“คุณอุ้มมาเหรอคะ”


“ลากมามั้ง นี่ห้องทำงานผม ดีขึ้นไหม ป่วยทำไมไม่พักที่วัง ดันทุรังมาทำงานทำไม ตายในหน้าที่นี่เขาให้เงินเพิ่มเหรอ” อดไม่ได้ที่จะยียวนก่อนจะตอบคำถามที่หญิงสาวถาม แต่ตอบไม่จบ


แพรวพรรณรายอยากยู่ปากใส่ ติดที่เขามีบุญคุณ คุณหญิงที่ได้รับการอบรมมาดีเลยยกมือไหว้ขอบคุณเขา จะได้ไม่ต้องติดค้างอะไรกัน


“ขอบคุณนะคะ ดิฉันไม่ได้ป่วย นี่ก็ดีขึ้นแล้ว ขอตัวไปทำงานต่อดีกว่า”


“ไม่ป่วยจะล้มพับลงไปยังงั้นได้ยังไง ไหนหมอซักสิ ผมถามดีๆ ก็ตอบกวนๆ มันทุกครั้งนะคุณน่ะ”


ปาริชาตเองก็เริ่มจะอ่อนใจ ก็เมื่อครู่หล่อนจะซักประวัติคนไข้อยู่แล้ว แต่นายจ้างนั่นละมาขัดจังหวะ อดได้กลิ่นเคมีบางอย่างระหว่างสองคนนี้ไม่ได้


“คุณหญิงไม่สบายอยู่ก่อนหรือเปล่าคะ พักผ่อนปกติ นอนหลับได้ไหม”


“หลับได้ปกติค่ะ แต่อาทิตย์นี้นอนน้อย นอนไม่เป็นเวลา แล้วที่เป็นลมคงเพราะยังไม่ได้ทานอะไร”


ได้ยินแบบนั้นฌอนฤทธิ์ก็หมุนข้อมือดูเวลา นี่เกือบสามโมงแล้ว แม่คนนี้อยู่มาได้อย่างไรโดยไม่กินข้าว จากนั้นก็หันหาดนัย สื่อสารบางอย่างทางสายตา โดยที่อีกคนก็ก้มหัวรับคำบัญชาอย่างรู้ใจ


“อ่อ งั้นยิ่งไม่ต้องห่วงอะไรมาก พักผ่อนเยอะๆ ทานอาหารหน่อยก็วิ่งปร๋อเหมือนเดิมแล้วค่ะ” ประโยคหลังคุณหมอวัยสี่สิบหันไปบอกกับเจ้าของโรงแรมที่ตอนนี้เดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานเรียบร้อยแล้ว ตั้งท่าจะเซ็นเอกสารที่ค้างอยู่ทั้งๆ ที่ยังมีผู้ป่วยนั่งอยู่ที่โซฟา กิริยาดูเป็นธรรมชาติจนปาริชาตแอบฟันธงในใจว่าทำกิริยากันเองขนาดนี้แปลว่า คนคู่นี้คงมีซัมติงกันบ้าง ไม่แน่ใจว่าที่หม่อมราชวงศ์คนสวยเป็นลมนี่เพราะมีอัตราการตั้งครรภ์หรือเปล่า แต่จะให้ซักประวัติคนไข้ต่อก็น่าเกลียด อีกอย่างสองคนนี้ก็ไม่ใช่เด็กไม่รู้ประสา หากมีอัตราเสี่ยงคงคิดอ่านกันเองได้


“ขอบคุณคุณหมอนะคะ”


“ค่ะ ถ้ามีอะไรก็เชิญที่ห้องพยาบาลได้ หมอไปก่อน”


“หญิงไปด้วยค่ะ”


เมื่อเห็นคนนอกอีกคนตั้งท่าจะเดินออกจากห้องนายใหญ่ หญิงสาวก็ไม่รอช้าที่จะออกไปด้วยในทันที ทว่าเสียงทุ้มของคนที่นั่งทำงานอยู่กลับดังขึ้น ทำเอาขาเรียวยาวที่กำลังจะวาดลงจากเก้าอี้นอนขนาดสามที่นั่งชะงัก


“คุณหมอไปได้ แต่คุณ...”


เขาเงยหน้าจากกองเอกสารตรงหน้า ปราบและปรามคุณหญิงแสนดื้อให้อยู่กับที่


“...นั่งรอตรงนี้ เดี๋ยวอีกสักพักค่อยไป”


“แต่...”


“ไม่มีแต่! ในฐานะที่ผมเป็นนายจ้าง ผมสั่งอะไร คุณก็ต้องทำ!”


ฌอนฤทธิ์ไม่ปล่อยให้แพรวพรรณรายสงสัยนาน ทันทีที่แพทย์ประจำโรงแรมปลีกตัวออกไป หญิงสาวก็ตั้งท่าจะอ้าปากถาม พอดีกับที่ดนัยเดินนำแม่บ้านที่เข็นรถเข็นอาหารเข้ามาในห้องเจ้าของโรงแรม คนมีเลือดสีน้ำเงินก็เข้าใจเรื่องราวทันที เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดชายหนุ่มถึงต้องมาดูแลเอาใจใส่กันแบบนี้


“กินซะ เดี๋ยวก็ล้มลงไปอีก แล้วเย็นนี้ไม่ต้องมาเดินตรวจงานนะ กินเสร็จก็กลับบ้านไปนอน”


“แต่ดิฉันยังไม่มีคำตอบเรื่องที่สปาไม่เสร็จ”


มือบางหยิบแซนด์วิชขึ้นมากินอย่างไม่เกี่ยงงอน หิวจนกินช้างได้ทั้งตัว แต่กิริยามารยาทในการรับประทานก็ไม่ส่อให้เห็นถึงความโหยหิวเลย ยังดูกะล่อยกะหลิบน่าเอ็นดูมาก จนคนที่แอบมองผ่านขอบกระดาษอดยิ้มไม่ได้


เวลาป่วยก็ดูเชื่องดี


“ก็ช่างมัน ไว้วันจันทร์ค่อยมาบอกก็ได้”


ดนัยที่ยังรอเอกสารซึ่งต้องได้รับการอนุมัติจากนายใหญ่ถึงกับเงยหน้าจากไอแพดมอง ไม่เคยคิดว่าคนเอาจริงเอาจัง เห็นเรื่องงานมาก่อนทุกอย่างในโลกแบบฌอนฤทธิ์จะพูดอะไรแบบนี้


“แต่...”


“ทำไมต้องแต่”


ชายหนุ่มทั้งถอนหายใจ ทั้งกระแทกปากกา ทั้งพิงหลังที่พนักเก้าอี้พร้อมๆ กัน มองคนที่ค่อยๆ เล็มของว่างที่เขาให้ไปจัดหามาให้


“ทำไมต้องพูดยาก ผมให้พักมันไม่ดีหรือไง จะต้องให้หัวแตกไปจริงๆ ใช่ไหมถึงจะเข็ด”


“ก็คุณบอกเองว่าอยากได้คำตอบเรื่องสปาวันนี้”


เสียงหวานที่ดูอ่อนแรงแข็งกร้าวขึ้นมา แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้คนดุอย่างเขาสะดุ้งสะเทือน


“ผมเปลี่ยนใจละ ทานให้เสร็จ ทั้งแซนด์วิช ทั้งน้ำส้ม”


ใจจริงอยากสั่งอาหารร้อนเป็นเรื่องเป็นราวมาให้หม่อมราชวงศ์แพรวพรรณราย แต่ท่าทางจะใช้เวลามากเกินกว่าที่หญิงสาวซึ่งไม่ได้รับอะไรลงท้องจะทนไหว เขาจึงสื่อสารให้ดนัยจัดอาหารว่างชนิดหนักท้องมาให้ ซึ่งอีกคนก็รู้ความ ทำได้ดั่งใจ


“ไม่ไหวหรอก ทานได้แค่นี้แหละ”


นอกจากป่วย เวลาเจ้าตัวมีเรื่องเครียดก็มักจะกินอะไรไม่ลงเสียดื้อๆ เป็นโรคปกติที่ใครๆ ก็เป็นกัน แต่ไม่มีใครรู้ว่าหม่อมราชวงศ์แพรวพรรณรายก็เป็นเช่นกัน และจะพานเป็นหนักถึงขั้นอาเจียนเลยทีเดียวหากยังไม่หายเครียด


“ผมสั่งให้ทานให้หมด จะเล็มขนมปังไปจนสามทุ่มก็ไม่เป็นไร แต่คุณต้องทานให้หมด”


เขาย้ำเต็มปากเต็มคำ ชัดเจนทุกคำพูดชนิดที่คนดื้อด้านอย่างหล่อนยังไม่กล้าหือ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่หล่อนเกรงคำพูดเขา ทั้งๆ ที่ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยกลัวอะไร


“แต่ดิฉันไม่ไหว...มันตื้อ...”


“แล้วยังไง จะให้หมดแรงล้มไปอีกใช่ไหม นี่ผมต้องพูดประโยคเดิมกับคุณกี่ครั้ง ไหนว่าโตแล้ว แต่ทำไมดื้อเป็นเด็กๆ”


คนตัวโตทิ้งงานมายืนเท้าสะเอวจ้องหน้าหญิงสาวแบบไม่สนใจว่าดนัยยังยืนอยู่ในห้อง


“ดิฉันไม่ได้ดื้อ แต่ทานไม่ไหว เข้าใจไหม ยิ่งเครียดยิ่งจะอ้วก”


เพราะทั้งนอนน้อย ทั้งหมดแรง แถมยังมีคนมาขึ้นเสียงใส่ อธิบายอะไรก็ไม่เข้าใจ หญิงสาวเลยน้ำตาคลอขึ้นมาเสียดื้อๆ เล่นเอาคนหน้านิ่งที่ยืนจ้องตาหล่อนอยู่หน้าซีดเผือด ตกใจทำอะไรไม่ถูก


“เฮ้ย! ร้องทำไม ยังไม่ได้ทำอะไร”


ฌอนฤทธิ์หันรีหันขวางเห็นดนัยยื่นกล้องทิชชู่ให้กํรับมาดึงออกหลายแผ่นติดกันยื่นให้คนที่เริ่มจะเป่าปี่เสียงดังขึ้นทุกที


“เฮ้ย! หยุดร้อง ใครได้ยินเข้าก็หาว่าผมรังแกคุณสิ”


“แล้วที่บีบบังคับกันอยู่นี่ไม่ได้รังแกหรือไง ต่อให้บริษัทดิฉันจะรับเงินจากคุณ แต่คุณไม่มีสิทธิ์บังคับกันแบบนี้ ดิฉันไม่ใช่ลูกใช่เมียคุณนะที่จะมาบีบกันให้กินให้นอน”


“มันก็น่าทำให้เป็นเมียนะ ถ้าจะฟังกันดีๆ บ้าง”


ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง มองหน้าคนที่รับทิชชูจากเขาไปเช็ดน้ำตาแต่โดยดี ไม่วายสั่งน้ำมูกเป็นของแถม


“ว่าอะไรนะคะ!”


“เปล่าๆ หยุดร้องน่ะ จะไม่กินแล้วก็ได้ แต่ไม่ต้องลงไปทำงานแล้วนะ”


“ได้ยังไง”


“ก็ผมบอก ไม่อยากรู้แล้วเรื่องสปาน่ะ วันนี้ก็ไม่ว่างฟังรายงาน เดินตรวจงานกับใคร”


“อ้าว...” คนสวยยังสะอึกสะอื้น อารมณ์จะเสียขึ้นมาอีกที จะไม่ตรวจงานกับหล่อนตอนเย็นก็ไม่แจ้งกันก่อน “...ไม่ว่างแล้วทำไมไม่บอก เมื่อตอนประชุมยังบอกว่าจะเอาคำตอบอยู่เลย”


 

“ก็ไม่ว่าง...ต้องไปส่งเด็กป่วยกลับบ้าน และต้องเจรจาให้ออกมาอยู่หอ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น