6

บทที่ 6 เพี้ยน


6

เพี้ยน

 

ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพตอนนี้ โทสะของยุพดีคงเหมือนกับแผ่นดินที่สั่นไหวจนสามารถทำบ้านเรือนถล่มลงมาจนราบเป็นหน้ากลอง ทว่าผู้ที่รับรู้ถึงความผิดปกตินี้กลับมีเพียงเทพอารักษ์ตัวเล็กๆ ที่อยู่ใต้อาณัติของเทพสาว เธอตัวสั่นงันงกจนน่าเวทนา เกรงว่าตนจะซวย โชคร้าย และตกเป็นที่ระบายโทสะแก่ยุพดี เหตุเพราะมีคนกล้าหยามกามเทพอันดับหนึ่งด้วยการบุกรุกเข้ามาในอาณาเขต และสร้างความเสียหายแก่มนุษย์ในความดูแลของยุพดีให้เจ็บช้ำน้ำใจจนร้องโหยหวนอีก

“เฑียร!” เสียงสบถนั้นตวาดชื่อของผู้ที่ถือดีท้าทายอำนาจของยุพดี แม้ว่าเธอจะมัวแต่นอนอยู่บนวิมานจนละเลยหน้าที่มาสามสิบห้าปี แต่ไม่ได้หมายความว่ายุพดีจะไร้พลังอำนาจ และหากฝ่ายนั้นกล้าดีท้าทายเธอถึงเพียงนี้ ยุพดีก็จะทำให้เขารู้ว่าบนโลกนี้ไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียวที่เป็นกามเทพ!

“เจ้าเทพนั่น...กล้าเล่นสกปรกถึงเพียงนี้เชียว!”

“อย่าเพิ่งโกรธเลยเจ้าค่ะ...ท่านเฑียรบันดาลให้เกิดเรื่องเมื่อครู่ก็จริง แต่เมื่อคืนมิใช่ฝีมือท่านเฑียรนะเจ้าคะ” เสียงอ่อยๆ นั้นเป็นของเทพบริวารสาวที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ตรงหน้ายุพดี แม้จะเป็นเทพ แต่ยุพดีก็ยังมีความรู้สึกรักโลภโกรธหลงอยู่ เนื่องจากเป็นเทพที่อยู่ใกล้ชิดกับพวกมนุษย์ที่สุด และนี่คงเป็นเหตุผลที่พระพรหมท่านเลือกใช้งานกามเทพทั้งหลาย แทนที่จะลงมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์ด้วยตัวเองให้สกปรกเพราะอารมณ์และกิเลสหลากหลายที่กล่าวมาก่อนหน้านี้

“หากไม่ใช่เขาแล้วมันจะเป็นใครไปได้” ยุพดีตวัดสายตามามองยังเทพบริวารที่เธอส่งมาดูแลช้องนางเมื่อหลายปีก่อน แล้วกระแทกลมหายใจด้วยความหงุดหงิด “นี่คงจะอยากให้อ้ายมนุษย์นั่นลงเอยกับช้องนางของเราจนตัวซี้ตัวสั่น ถึงได้ใช้พลังกระจอกๆ ทำเรื่องพรรค์นี้”

“แต่ว่าชายที่ชื่อวรุณรักษ์เป็นเนื้อคู่...”

“รู้แล้วว่าเป็นเนื้อคู่!” ยุพดีตวาดเทพอารักษ์สาวอีกหนอย่างอดไม่ได้ ก็ไม่ใช่เพราะไอ้คำว่าเนื้อคู่นี่หรอกหรือ ที่ทำเธอและเฑียรต้องกลับมาพบเจอกันตลอดหลายภพชาติที่ผ่านมา

“แล้วเจ้าไม่เห็นหรือไรว่าคำสาปของช้องนางมิได้หายไป นั่นก็เพราะอ้ายมนุษย์นั่นไม่ยอมคืนคำสักทีอย่างไรเล่า”

“แล้วเช่นนี้...เราจะทำอย่างไรต่อไปดีเจ้าคะ” เทพอารักษ์สาวหน้าเสีย เธอเองก็อยากให้ยุพดีหลุดพ้นจากหน้าที่อันยาวนานนี้เหมือนกัน ไม่ใช่เพราะเธออยากเห็นยุพดีผู้เป็นนายได้เลื่อนขั้นจากกามเทพไปทำหน้าที่อื่น แต่เป็นเพราะเธอไม่อยากเห็นยุพดีทนทรมานกับการเห็นมนุษย์ในความรับผิดชอบของตัวเองตายตกอีกครั้ง

ความผูกพันเป็นสิ่งที่น่ากลัวในสายตาเทพอารักษ์สาว เธอเห็นชีวิตของมนุษย์หลายคนที่ตายไปและเวียนว่ายกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง พวกเขาล้วนแต่เคยรัก...ทว่าเมื่อตายไปก็เลิกรักได้ พวกเขาเคยเจ็บปวด...พอตายไปก็ลืมสิ้นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวด

ที่ว่า หรือกระทั่งคนที่ทำให้พวกเขาเจ็บปวด แต่ความผูกพันนั้นหากโชคดี บางครั้งก็อาจจะสามารถตัดขาดได้ แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะทิ้งเศษเสี้ยวบางอย่างเอาไว้ในดวงจิตที่เวียนว่ายกลับมาเกิดอีกครั้ง

อย่างชายที่ชื่อวรุณรักษ์นั้นเห็นชัดๆ ก็คือ ความหลงใหลที่เขามีให้แก่ดอกไม้ ซึ่งในภพนี้ก็ยังปรากฏให้คนรอบข้างเห็นได้อย่างชัดเจน ขณะที่เนื้อคู่ของเขาอย่างช้องนางชอบของสวยๆ งามๆ อย่างเช่นเพชรนิลจินดา ขนาดว่ามีกิจการร้านเพชรเป็นล่ำเป็นสันกันเลยทีเดียว

แววตาเจ็บช้ำของหญิงสาวยามมองเศษซากของสร้อยเพชรนั้นยังชัดเจนในความรู้สึกของกามเทพเช่นยุพดี และเทพอารักษ์ผู้เป็นบริวาร มันเรียกว่าแววตาของคนที่หัวใจสลายอย่างแน่นอน ไหนจะเสียงร้องโหยหวนอันน่าสงสารของช้องนางอีกเล่า วรุณรักษ์และเฑียรช่างเก่งกาจเรื่องทำร้ายหัวใจของช้องนางเหลือเกิน

“ก็ทำเรื่องที่ต้องทำน่ะสิ” กลับมาทำหน้าที่กามเทพได้ไม่เท่าไร ยุพดีก็ใช้ภาษาสมัยใหม่ของพวกมนุษย์เสียแล้ว ผิดกับเฑียรที่อยู่เคียงข้างมนุษย์ของเขามาเนิ่นนาน แต่ก็ยังพูดด้วยภาษาโบราณ และเขาก็คงไม่คิดที่จะเรียนรู้หรือเปลี่ยนแปลงการพูดของเขาให้มาเป็นแบบคนสมัยใหม่เหมือนช้องนางในเร็วๆ นี้แน่

สิ้นคำพูด ร่างบอบบางของยุพดีก็อันตรธานหายไปกับสายลม ทิ้งเทพอารักษ์สาวให้อยู่เฝ้าบ้านเหมือนเช่นทุกครั้ง ทว่าครั้งนี้ความรู้สึกในแววตาของเทพอารักษ์สาวกลับเปี่ยมไปด้วยความกังวล ห่วงผู้เป็นนายและมนุษย์ที่เธอเฝ้าปกปักรักษามาตั้งแต่อ้อนแต่ออก

ยิ่งหากว่าภพนี้ช้องนางยังต้องพบจุดจบอันน่าเศร้าเหมือนชาติก่อนๆ ครั้งนี้คงไม่ได้มีเพียงยุพดีที่หลั่งน้ำตาและเศร้าโศกกับความตายของช้องนางอีกแล้ว เธอเองก็คงหลีกหนีชะตากรรมที่ต้องเรียนรู้ความโทมนัสอันแสนสาหัสพร้อมกับผู้เป็นนายไปไม่ได้ หากกามเทพทั้งสองอย่างยุพดีและเฑียรไม่สามารถทำให้ช้องนางและวรุณรักษ์ลงเอยกันได้

 

งานวันเกิดของเพื่อนช้องนางนั้น หญิงสาวปรากฏตัวในชุดตัวสวยที่ลองแล้วลองอีกจนพึงใจ ทว่าลำคอระหงกลับไร้เครื่องประดับเช่นเดียวกับข้อมือเรียว เนื่องจากก่อนมาที่งานนี้ช้องนางได้นำเศษซากของลูกๆ ที่เธอรักไปให้ช่างที่ร้านซ่อมแซม และได้คำตอบว่าไม่เกินสัปดาห์หน้า ทั้งสร้อยคอและสร้อยข้อมือของเธอก็จะกลับมาอยู่ในสภาพสวยงามดังเดิม

น่าเจ็บใจนัก!

หลังจากที่ให้ช่างที่ไว้ใจตรวจดูว่าอะไรที่ทำให้สร้อยขาดออกจากกันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เหมือนของเล่นไร้ราคาค่างวด แทนที่จะเป็นเครื่องประดับราคาแพงมาตรฐานสูงลิ่ว พบว่าที่รอยขาดแต่ละรอยเหมือนถูกบางอย่างที่คมกริบตัดให้มันขาดออกจากกัน...

แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ช่างที่ร้านของช้องนางยืนยันเสียงแข็งแถมสาธิตให้ช้องนางดูเองเลยว่า การที่จะแยกชิ้นส่วนของสร้อยแต่ละเส้นออกจากกันนั้นยากและใช้เวลานานพอสมควร ช้องนางเองก็มั่นใจว่าไม่มีใครและไม่มีของมีคมชิ้นไหนเข้าใกล้เธอแน่ในตอนที่สร้อยคอของเธอขาด ทว่าตอนที่สร้อยอยู่ในมือของเทวี เธอเห็นกับตาว่ามันขาดออกจากกันอย่างง่ายดาย เหมือนแป้งทำขนมที่ถูกมีดตัดออกเป็นส่วนๆ

แต่สร้อยนี่เป็นของจากร้านของเธอเชียวนะ ช้องนางไม่คิดว่าช่างของเธอที่ส่งไปอบรมถึงเมืองนอกเมืองนา จะไร้จรรยาบรรณขนาดที่ว่าผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐานออกมาให้ลูกค้าเหมือนกัน แต่ว่าตอนที่สร้อยขาดมันก็...เอ๊ะ...มันยังไงกันแน่...

ช้องนางพยายามคิด .คิดแล้วคิดอีก เพื่อจะหาเหตุผลมาอธิบายเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น จะว่าแปลกไหมก็ไม่ถึงขั้นที่ว่าแปลก เพียงแต่หญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไมเท่านั้น หากเธอหาเหตุผลที่พอจะเป็นไปได้มาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้ละก็...ขอเพียงเหตุผลข้อเดียวช้องนางก็คงจะไม่หงุดหงิดเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

บ้าจริง!

“ช้องยังไม่ดื่มเหมือนเดิมใช่ไหม”

“ฮะ อ้อ...อื้ม...” ช้องนางหันขวับไปมองเพื่อนที่นั่งอยู่ถัดไปจากเธอแล้วพยักหน้า ดวงตากลมของหญิงสาวคลายความหงุดหงิดลงครู่หนึ่งเมื่อเหลือบเห็นขวดไวน์ยี่ห้อดัง ซึ่งเป็นเครื่องดื่มในงานที่เพื่อนของเธอจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ และแน่นอนว่าคนที่ถือศีลห้าอย่างเคร่งครัดเช่นช้องนาง ไม่เคยรู้ว่าเจ้าเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมมาตั้งแต่สมัยโบราณนั้นมีรสชาติเช่นไร กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่เคยคิดอยากจะลอง

“เราไม่ดื่ม ขอน้ำอัดลมให้เราก็พอ”

“อะไรกันเนี่ยช้อง ขนาดนี้แล้วยังไม่ดื่มอีกเหรอ” เสียงโอดโอยด้วยความเสียดายนั้นมาจากเพื่อนอีกคนที่นั่งตรงข้าม ในวัยสามสิบห้าควรจะเป็นวัยที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แล้วสนทนากับกลุ่มเพื่อนได้เป็นชั่วโมงๆ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนซัดเอาให้เมามายแล้วกลายร่างเหมือนตอนเด็กๆ กันแล้ว

ทว่าช้องนางในวัยเด็กกับช้องนางในวัยสามสิบห้านั้น ก็ยังยืนยันที่จะอยู่กับแก้วน้ำอัดลมของเธอตลอดงานเหมือนเดิม ไม่ว่าจะงานอะไรหรืองานของใครก็ทำให้ศีลข้อห้าหญิงสาวขาดไม่ได้

“ไม่ละ” ช้องนางส่ายศีรษะ ไม่รู้สึกว่าการที่เธอไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นทำให้เธอพลาด หรือขาดสีสันในชีวิตไปแต่อย่างไร อันที่จริงแล้วกลับกันเสียอีก หลายต่อหลายครั้งที่ช้องนางนึกดีใจหลังเห็นคนรอบตัวของเธอทำเรื่องที่ไม่ควรทำลงไปเพียงเพราะดื่มเจ้าน้ำเปลี่ยนนิสัยพวกนี้เข้าไป บางคนครอบครัวแตกแยก บางคนทำร้ายคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ บางคนก็ขับรถออกไปแล้วฆ่าคนอื่นไปโดยไม่ตั้งใจก็มี...

“แกก็น่าจะเลิกดื่มได้แล้วนะ ไหนหมอแกสั่งให้เพลาๆ เหล้ายาลงมาไม่ใช่เหรอ”

“โห ฉันไม่ใช่แกนะช้องที่เหล้ายาไม่เคยแตะ แบบนี้จะมีความสุขได้ไงวะ” เพื่อนคนเดิมเบ้หน้า ปัญหาสุขภาพมาเยือนในวัยสามสิบกว่า แต่เขากลับไม่หวั่นใจสักนิด คนเราต่อให้ไม่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ หากดวงจะตายเพราะโรคร้ายก็ตายอยู่ดีนั่นแหละ ขอมีความสุขแล้วเสพสุขจนพอใจก่อนตายดีกว่า

“ตอนนี้ฉันก็ไม่ได้ทุกข์นะแก” ช้องนางบอกยิ้มๆ พลางยกแก้วน้ำอัดลมของตัวเองกระดก งานวันเกิดนี้นับว่าเป็นงานที่น่าเบื่อสำหรับช้องนาง แต่จะโทษตัวงานอย่างเดียวก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะว่าก่อนมาที่นี่เธอเองก็อารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก แต่พอเหลียวไปเห็นแขกในงานที่เธอรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างกำลังสนทนากันอย่างออกรสออกชาติแล้ว ช้องนางก็จำต้องถอนหายใจออกมายาวเหยียด นึกเสียใจที่เธอตอบรับคำเชิญก็ตอนนี้

“ช้องๆ” ชื่อของช้องนางถูกเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงกระซิบกระซาบ ช้องนางชะเง้อคอข้ามโต๊ะไปหาต้นเสียงก่อนจะเลิกคิ้วนิดๆ เชิงถามว่าเขาเรียกชื่อเธอทำไม

“แฟนไอ้เกดน่ะ ใช่คนคนเดียวกับนายทุนที่เพิ่งมาร่วมลงทุนกับ ดิ ฌอห์น หรือเปล่า”

“ถ้าชื่อเอซก็ใช่ หมอนั่นแหละแฟนเกด” ตอบไปแล้วช้องนางก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตาขึ้นฟ้า ไม่ใช่เพราะริษยาเพื่อนสนิทอย่างเกศราที่เพิ่งเปิดตัวคบหากับนักธุรกิจพ่อหม้ายลูกติดตาน้ำข้าวไปเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่เพราะว่าเธอนึกเบื่อคนรักของเกศราที่เดี๋ยวนี้ชอบฮุบตัวเพื่อนสนิทของเธอไว้กับตัว จนเกศราไม่มีเวลาไปที่ไหนๆ กับเธอเหมือนแต่ก่อน “เขามีลูกใช่มั้ย” คำถามนั้นไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจังอะไรจากเพื่อนสนิทของเกศรา เพราะฝ่ายนั้นปากยื่นปากยาว เล่าเรื่องคนรักของเกศราต่อหน้าตาเฉย “น่าเสียดาย เกดยังสาวยังสวยไม่น่าคว้าพ่อหม้ายอย่างนั้นมาเป็นแฟน”

“พ่อหม้ายแล้วยังไง” ช้องนางเอ่ยถามเสียงแข็ง เธอไม่ชอบหน้าเอซและติเขาเรื่องมีลูกติดก็จริงอยู่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะชอบใจเวลาที่ใครมาพูดถึงคนรักของเพื่อนสนิทไม่ดีอย่างตอนนี้ “เขาเป็นคนดี ให้เกียรติเกด ไม่คบกับไอ้เกดหลบๆ ซ่อนๆ ฉันก็ถือว่าเขาเป็นคนดีแล้ว”

“ใช่ๆ ฉันเคยเห็นเขาพากันไปทานข้าวที่ร้านบุหลันด้วย” พยานที่เห็นความหวานของเพื่อนสนิทช้องนางและคนรักนั้นเอ่ยสนับสนุนคำพูดเมื่อครู่ของช้องนางด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน “เวลาอยู่ด้วยกันแล้วน่ารักมาก เจอคุณมาสฟ้าด้วยนะแก”

พอมีชื่อของไฮโซสาวที่มีชื่อเสียงเรื่องความสามารถพิเศษทว่าชอบเก็บตัวเงียบ ไม่สุงสิงกับใคร ช้องนางก็สามารถละสายตาจากใบหน้าซีดเผือดของเพื่อนร่วมโต๊ะที่พลั้งปากพูดถึงเกศรากับคนรักในแง่ไม่ดี แล้วกลับมามองหน้าของกองหนุนของเธอแทน

ดวงตาของช้องนางเปล่งประกายด้วยความหวัง ผู้หญิงที่ชื่อมาสฟ้าคนนี้ช้องนางเคยมีโอกาสพบอยู่สองครั้ง ครั้งแรกเธอไปพบมาสฟ้าถึงที่บ้านพร้อมกับเกศรา ครั้งที่สองนั้นเธอแวะไปที่บ้านสวนแห่งนั้นเพียงคนเดียวพร้อมกับเครื่องหอมโบราณหลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายชอบ

ทว่าทั้งสองครั้งที่แวะไปไม่มีครั้งไหนเลยที่ช้องนางจะได้รับคำทำนายจากมาสฟ้าเกี่ยวกับเรื่องเนื้อคู่ของเธอ ผู้หญิงคนนั้นเพียงมองหน้าเธอด้วยสายตาที่มีแต่ความเห็นใจ ก่อนจะย้ำให้เธอเชื่อมั่นใจโชคชะตาของตัวเอง แต่พอถามถึงเรื่องเนื้อคู่ว่าเธอจะได้พบกับเขาแน่ใช่ไหม มาสฟ้าก็ทำเพียงยิ้มเศร้าๆ แล้วตอบว่า

‘ไม่ทราบค่ะ มาสไม่เห็นอะไรเลย...’

แล้วแบบนี้จะให้เธอเข้าใจว่าอย่างไรได้อีก นอกจากเธอจะไม่มีโอกาสได้พบหน้าเนื้อคู่ของเธอเหมือนดั่งที่หมอดูชื่อดังคนแล้วคนเล่าทำนายเป็นเสียงเดียวกัน!

“ท่าทางคุณมาสฟ้าเขาจะรู้จักเกดด้วยนะ” เท่านั้นสายตาทุกคู่ก็พร้อมใจกันตวัดมามองที่ช้องนาง ไม่ต้องมีคำพูดช้องนางก็เข้าใจได้โดยทันทีว่าทุกคนต้องการให้เธอทำอะไร ช้องนางเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวของเพื่อนสนิทให้ใครฟังอยู่แล้ว หญิงสาวครุ่นคิดกับตัวเองอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ก็รู้จักแหละ ไอ้เกดมันเคยเจอคุณมาสฟ้าเธอครั้งหนึ่ง”

“โห...ยอมใจเลย” เสียงหนึ่งชื่นชมเกศราออกมาจากใจจริง ใครๆ ก็รู้กิตติศัพท์เรื่องความเย่อหยิ่งของมาสฟ้าผู้นี้ ทว่าเกศรากลับเข้าถึงตัวมาสฟ้าได้อย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน อย่างน้อยก็คนในงานเลี้ยงนี้แหละที่ไม่เคยมีใครเข้าถึงตัวมาสฟ้าได้

“สมกับเป็นเจ้าของบริษัท Even for you ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้”

“บ้า ใครบอกว่าไม่มี” เสียงหนึ่งแย้งขึ้นมาขันๆ ก่อนจะเหลือบมองไปยังช้องนาง “ก็หาแฟนให้ไอ้ช้องไงที่บริษัทไอ้เกดทำไมได้”

ว่าแล้วหล่อนก็หัวเราะคิกคักกับเพื่อนที่มาด้วยกัน ขณะที่คนไม่เคยมีแฟนนั้นหน้าตึง เหลือบมองใบหน้าระรื่นของเจ้าของคำพูดกระแนะกระแหนเมื่อครู่ ก่อนจะยิ้มเย็นๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

“ถ้ามีแล้วต้องผิดศีลข้อกาเมฯ อย่างแกก็ไม่ไหวนะ รวิน”

เรื่องที่รวินนั้นเป็นบ้านเล็กของนายตำรวจยศใหญ่คนหนึ่งไม่ใช่ความลับ เพราะอีกฝ่ายขยันโอ้อวดเหลือเกิน ทว่าก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยออกมาตรงๆ เหมือนอย่างที่ช้องนางเพิ่งทำไปเมื่อครู่เลยสักคน และนั่นทำให้บรรยากาศในงานเงียบกริบลงก่อนความอึดอัดจะเข้ามาแทนที่

“เป็นฉัน ฉันไม่กล้าทำหรอกนะ ตอนเป็นต้องอับอายคนเขาไปทั่ว แถมตอนตายยังต้องปีนต้นงิ้วอีก ลำบากตายเลย” พูดจบช้องนางก็ปิดปากหัวเราะคิกคักเหมือนที่อีกฝ่ายเพิ่งทำกลบเกลื่อนการเสียมารยาทของตน แล้วปิดท้ายว่า “หยอกๆ นะรวิน ไม่โกรธเนาะ”

ทุกคนในที่นั้นยกเว้นรวินต่างยิ้มขัน เหลือบมองช้องนางสลับกับรวินด้วยสายตาวิบวับ คาดหวังว่าอาจจะเกิดเรื่องสนุกๆ บนโต๊ะอาหารก็ได้ แต่แน่นอนว่าสุดท้ายก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น คงจะเพราะว่าครั้งนี้คู่กรณีของรวินเป็นคนของบ้านเทวารักษ์อย่างช้องนาง รวินจึงต้องข่มความโกรธของตัวเองเอาไว้ แล้วคาดโทษเจ้าของรอยยิ้มกวนประสาทนั้นเอาไว้ในใจ

เธอไม่ด่าช้องนางกลับคืน ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะปล่อยมันไปง่ายๆ นี่...รอดูเถอะ เป็นคราวของเธอเมื่อไหร่ นางคุณหนูผู้ดีเก่านี่จะต้องได้รับบทเรียนและเสียใจที่กล้าฉีกหน้าเธอต่อหน้าเพื่อนๆ อย่างนี้!

ช่วงเวลาแก้แค้นที่รวินรอคอยมาถึงอย่างรวดเร็วในตอนที่ช้องนางแยกตัวไปเข้าห้องน้ำช่วงท้ายงาน พอสบโอกาสหญิงสาวจึงเดินตามไปติดๆ แต่ก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว เมื่อเห็นว่าช้องนางเดินเข้าห้องน้ำห้องหนึ่งไปเรียบร้อย ร่างระหงของรวินก็ปรี่เข้าไปแย่งถังน้ำที่แม่บ้านใช้ถูพื้นมาถือไว้ ไม่สนใจฟังเสียงร้องเตือนของแม่บ้านวัยกลางคน จากนั้นรวินก็เดินเข้าห้องถัดจากช้องนาง ปืนขึ้นไปยืนบนชักโครกแล้วยกถังน้ำนั้นสาดเข้าไปยังห้องข้างๆ จนหมดถัง

หญิงสาวยิ้มกริ่มกับตัวเอง รอฟังเสียงกรีดร้องของช้องนางอยู่ด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ทว่าผ่านไปเกือบนาที รวินก็ยังไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องของคู่กรณี อันที่จริงเธอไม่ได้ยินเสียงน้ำที่เธอสาดลงไปด้วยซ้ำ รวินจึงอดไม่ได้ที่จะชะเง้อหน้ามองข้ามผนังห้องน้ำไปดูผลงานของตัวเอง

และแล้วรวินก็ต้องกะพริบตาปริบๆ ด้วยความสับสน เพราะนอกจากช้องนางไม่ได้ร้องกรี๊ดที่โดนเธอสาดน้ำถูพื้นรดหัวแล้ว ตัวช้องนางยังไม่เปียกแม้แต่ปลายผม!

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!

ร่างบอบบางของรวินรีบร้อนออกมาจากห้องน้ำ พอดีกับที่ประตูห้องข้างๆ เปิดออกมา ก่อนจะเห็นสีหน้าสงสัยของช้องนาง

“รวิน...มีอะไรหรือเปล่า”

รวินไม่สนใจตอบคำถามของช้องนาง หญิงสาวกระชากไหล่ดึงอีกฝ่ายออกมาจากห้องน้ำแล้วเบียดตัวเองเข้าไปแทนที่ กวาดตามองพื้นที่แห้งสนิทอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

ไม่มีทาง...เป็นไปไม่ได้...ก็เธอเทน้ำทั้งถังลงมาอย่างนั้น จะเป็นไปได้ยังไงที่ทั้งช้องนางแล้วก็พื้นนี่ไม่เปียกแม้แต่นิดเดียว!

“รวิน แกทำของหายเหรอ ฉันช่วยหามั้ย”

ช้องนางถามอีกฝ่ายตามมารยาทมากกว่าต้องการจะช่วยเหลือจากใจจริง ทว่าเมื่อเห็นรวินหมุนตัวกลับมาหาเธอพร้อมกับใบหน้าซีดเผือด เหมือนเพิ่งเจอผีมาหยกๆ ช้องนางก็เริ่มเป็นห่วงหญิงสาวขึ้นมาเล็กน้อย เกรงว่าหากรวินเป็นลมเป็นแล้งไปแล้วเธออาจจะตกเป็นแพะรับบาป

“รวิน แกโอเคหรือเปล่า”

“ปะ...เปล่า ไม่มีอะไร” พูดจบแล้วรวินก็เดินลิ่วออกไป ทิ้งให้ช้องนางมองหน้ากับคนทำความสะอาดที่เดินสวนเข้ามาด้วยความไม่เข้าใจ ช้องนางยื่นคอเข้าไปมองในห้องน้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าเธอไม่ได้ทิ้งเศษซากอารยธรรมที่ไม่ดีไม่งามเอาไว้ จนทำให้รวินเห็นแล้วหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เมื่อแน่ใจว่าห้องน้ำอยู่ในสภาพปกติ ช้องนางก็เพียงยักไหล่ บอกตัวเองว่ารวินอาจจะเพี้ยนไปเองมากกว่า แล้วหญิงสาวก็หมุนตัวเดินกลับเข้างานไปบอกลาเพื่อนๆ ก่อนจะแยกตัวกลับบ้าน

 

วรุณรักษ์ไม่เคยคิดว่าชีวิตของเขาจะใกล้เคียงคำว่าบัดซบเลยจนกระทั่งวันนี้!

อยู่ดีๆ ตอนที่เขากำลังดูดฝุ่นอยู่ในห้องครัว ก็มีน้ำจากไหนไม่รู้สาดลงบนหัวเขาเสียโครมใหญ่ แถมน้ำที่ว่ายังเหม็นและมีฝุ่นเปื้อนตามตัวเขาเต็มไปหมด ทำให้ชายหนุ่มต้องทิ้งเครื่องดูดฝุ่นแล้ววิ่งขึ้นห้องไปอาบน้ำชำระร่างกาย จะว่าท่อแตกหรือก็ไม่ใช่ เพราะฝ้าก็ไม่มีคราบน้ำอยู่

วรุณรักษ์ตัดสินใจแล้วว่าเขาเกลียดความผิดเพี้ยนที่เกิดขึ้นกับเขาตอนนี้ที่สุดเลย! ที่ปิดตากับฝันบ้าๆ นั่นก็ครั้งหนึ่งแล้ว นี่ยังมีน้ำจากที่ไหนก็ไม่รู้ราดหัวเขาอีกจนบ้านสุดที่รักต้องแปดเปื้อนแบบนี้...เขาที่อยู่มาเป็นสิบปียังไม่เคยสร้างความเสียหายให้บ้านของตัวเองเท่าไอ้น้ำบ้านั่นเลย ทั้งชีวิตของวรุณรักษ์ไม่มีครั้งไหนเลยที่ชายหนุ่มจะรู้สึกโกรธถึงเพียงนี้ เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น ต้องหาที่มาของไอ้น้ำสกปรกพวกนั้นให้ได้!

วรุณรักษ์คิดอย่างหมายมาดกับตัวเองขณะเดินไปยังห้องเครื่องที่มีแผงควบคุมระบบไฟฟ้าของบ้าน รวมถึงจอมอนิเตอร์ของกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งเอาไว้ทั้งในและนอกบ้าน หลังจากทำความสะอาดและตรวจดูภายในห้องครัวเรียบร้อยแล้วว่าไม่มีบริเวณไหนที่ท่อน้ำรั่ว ยิ่งเป็นน้ำสกปรกแบบนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ กล้องวงจรปิดจึงเป็นความหวังสุดท้ายที่วรุณรักษ์เหลืออยู่

ชายหนุ่มเปิดภาพกล้องวงจรปิดย้อนไปยังช่วงเวลาที่เรื่องวินาศสันตะโรเกิดขึ้นกับเขา แล้วจ้องหน้าจอด้วยสายตาคมกริบ ไม่นานวรุณรักษ์ก็ต้องผงะออกห่างจากหน้าจอ หน้าคมซีดเผือดไปครู่ใหญ่กว่าชายหนุ่มจะได้สติ เมื่อรู้ตัวอีกครั้งวรุณรักษ์ก็กลับมานั่งในห้องนั่งเล่นเรียบร้อย คิดกับตัวเองอยู่นานกว่าจะควานหามือถือขึ้นมากดเบอร์ของสหรัถ เรียกให้มาที่บ้านนอกเวลางานเป็นครั้งแรกตั้งแต่พวกเขาทำงานร่วมกัน

พักใหญ่ทีเดียวกว่าเสียงเครื่องยนต์จะดังขึ้นที่หน้าบ้านของวรุณรักษ์ และอีกอึดใจต่อมาสหรัถก็วิ่งหน้าตาเหลอหลาเข้ามาในบ้านของผู้เป็นนาย

“คุณวรุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” สหรัถถามเสียงกระหืดกระหอบ ทั้งที่ความจริงระยะทางจากรถเข้ามาในบ้านของวรุณรักษ์นั้นไม่ได้ไกลเท่าไร เมื่อเห็นว่าเจ้านายของตัวเองยังนิ่งขึงไม่ตอบคำถาม สหรัถจึงค่อยๆ ย่องไปนั่งที่โซฟา เอื้อมมือไปแตะแขนของวรุณรักษ์เบาๆ พร้อมกับเรียกชื่อของเจ้านาย

“คุณวรุณครับ”

“มาแล้วหรือรัถ” วรุณรักษ์หลุดออกจากภวังค์ความคิดของตัวเอง ดวงตาคมที่ยังเหม่อลอยนั้นเลื่อนไปมองหน้ามือขวาของตนแล้วถอนหายใจ “มาแล้วก็ดี...”

“ทำไมครับ” ดวงตาของสหรัถเริ่มหลุกหลิกเพราะไม่ไว้ใจผู้เป็นนาย รู้สึกว่าวรุณรักษ์แปลกๆ ไปกว่าทุกครั้ง “คุณวรุณเรียกผมมามีอะไร”

“ตามมา...” วรุณรักษ์ลุกขึ้นแล้วเดินนำสหรัถออกไปเพื่อดูกล้องวงจรปิด วรุณรักษ์ต้องการความมั่นใจว่าเขาไม่ได้หลอนไปเอง เขาต้องการพยานอีกคนเพื่อยืนยันว่า สิ่งที่เขาเพิ่งดูไปเมื่อครู่นี้เกิดขึ้นกับเขาจริงๆ ไม่ใช่ความฝัน

 

ภายในบ้านของวรุณรักษ์นั้นนอกจากชายหนุ่มกับสหรัถแล้ว ยังมีเฑียรที่อยู่และรู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด และเขาก็รู้ถึงที่มาของน้ำสกปรกที่ทำให้วรุณรักษ์หัวเสียด้วย เพราะระหว่างที่เขาตามวรุณรักษ์ออกไปตัดดอกไม้นั้น กามเทพหนุ่มใช้พลังของตัวเองดลบันดาลให้ช้องนางรับรู้ถึงการมีตัวตนของวรุณรักษ์ แม้จะเป็นวิธีการที่ไม่ดีและสร้างความเสียหายให้กับฝ่ายนั้นเล็กน้อย

เห็นสภาพเปียกปอนของมนุษย์ในความรับผิดชอบของตัวเองแล้ว เฑียรก็อดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้ เขาทำให้ช้องนางรับรู้ถึงการมีอยู่ของวรุณรักษ์ด้วยการทำให้ของรักของหวงของหญิงสาวเสียหาย ยุพดีก็เอาคืนเขาด้วยวิธีการเดียวกัน ทว่าแสบสันกว่าเป็นไหนๆ แม่กามเทพตัวดีนั่นทำให้บ้านสุดหวงของวรุณรักษ์สกปรกและเหม็นคลุ้ง ไม่แน่ว่าป่านนี้เธออาจจะกำลังขบขันอยู่ก็เป็นได้ เพราะการสะบัดเมือเพียงครั้งเดียวของเธอทำให้วรุณรักษ์คลั่งได้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

แต่ก็นับว่าประสบความสำเร็จ เนื่องจากเฑียรรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของโชคชะตาเรื่องคู่ครองของวรุณรักษ์ ไม่แน่ว่าตอนนี้หญิงสาวอาจจะตามหาคำตอบอยู่ก็ได้ ว่าอะไรที่เป็นสาเหตุของเรื่องประหลาดๆ ที่เกิดขึ้นกับเธอ เหมือนกับที่วรุณรักษ์กำลังตามหาคำตอบอยู่ตอนนี้

กามเทพหนุ่มมองสีหน้าของวรุณรักษ์แล้วถอนหายใจ เขาหายตัวไปโผล่ข้างกายมนุษย์ทั้งสองที่กลับมาหารือกันอยู่ในห้องรับแขก แล้วนิ่งฟังด้วยอยากรู้ว่าวรุณรักษ์ขบคิดเรื่องใดอยู่ หลังจากที่เขาและยุพดีบันดาลให้เกิดเรื่องพิสดารขึ้น

“ฉันเข้าใจไม่ผิดใช่ไหมรัถ ไอ้น้ำบ้านั่นราดลงมาบนหัวฉันทั้งๆ ที่ไม่มีท่อน้ำรั่ว มันเหมือนกับ...ล่องหนมา”

เฑียรพยักหน้าหงึกๆ กับคำพูดของวรุณรักษ์ ที่เขาพูดมาล้วนถูกต้อง น้ำนั่นมาโผล่ที่นี่เพราะยุพดีต้องการให้บทเรียนแก่เขาเท่านั้น

“แต่คุณวรุณแน่ใจนะครับว่าไม่ได้ไปขัดขาใครเข้า” มือขวาของวรุณรักษ์มีสีหน้าย่ำแย่ไม่ต่างจากผู้เป็นนาย ดีหน่อยก็ตรงที่ผมของเขาไม่ส่งกลิ่นตุๆ เหมือนวรุณรักษ์เท่านั้น “มีคนทำของใส่นายหรือเปล่าครับ”

“อย่ามางมงาย ใครมันจะเสกน้ำสกปรกมาราดหัวคนอื่น” วรุณรักษ์อยากจะเตะมือขวาของตน ท่าทีเย็นชาของชายหนุ่มสลายไปเพราะเรื่องน่าขนลุกที่ไม่สามารถอธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์

“ก็จริงนะครับ ถ้าเป็นพวกทำเสน่ห์ให้หลงใหลละก็ไม่แน่...” สหรัถพึมพำเบาๆ ด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด วรุณรักษ์เป็นนักธุรกิจก็จริงอยู่ แต่ธุรกิจน้ำดื่มของชายหนุ่มก็ไม่ได้มีคู่แข่งที่น่ากลัวจนต้องลงมือห้ำหั่นกันด้วยไสยศาสตร์ หากเป็นการทำคุณไสยให้เจ้านายของเขาหลงใหลยังจะมีความไปได้มากกว่าอีก เพราะชายหนุ่มมีหน้าตาดี มีฐานะ แถมยังโสดอีก

“แล้วใครล่ะครับจะทำ”

เฑียรนิ่วหน้า คุณไสยชั้นต่ำพวกนั้นไม่มีทางเข้าถึงตัววรุณรักษ์ได้อยู่แล้ว เพราะชายหนุ่มมีเทพอย่างเขาอยู่คุ้มครอง หากมนตร์ดำพวกนั้นเข้ามาเกี่ยวข้อง ภารกิจของเขาย่อมยากลำบากกว่าที่เป็นอยู่

แต่ดูเหมือนวรุณรักษ์จะไม่คิดเช่นนั้นเพราะชายหนุ่มนิ่งขึงไป ราวกับว่ากำลังขบคิดถึงความเป็นไปได้ของสิ่งที่มือขวาของตนเพิ่งเอ่ยมา

“ถ้าโดนทำใส่แล้วมันจะเป็นยังไง” วรุณรักษ์ถามเสียงเบา ก่อนจะมองหน้ามือขวาของตนด้วยความตั้งใจ พร้อมกับพยายามนึกถึงอาการของตนเองในตอนนี้

“ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกครับ” ผู้ที่ได้ยินคนอื่นๆ เล่าต่อกันมาอีกทีอย่างสหรัถนั้นออกตัว ก่อนจะเริ่มร่ายอาการของผู้ที่โดนทำคุณไสยใส่ให้ผู้เป็นนายฟังเป็นวรรคเป็นเวร “แต่ผมเคยได้ยินมาว่าถ้าเราโดนทำของใส่ เราก็จะกระวนกระวาย คิดถึงแต่หน้าของคนที่ทำของใส่เรา อยากเห็นหน้าเขา อยากอยู่กับเขา...เหมือนจะตายอะไรทำนองนี้”

“เราจะเสียใจหรือเปล่า จะเศร้าตอนเห็นหน้าเขาด้วยมั้ย” วรุณรักษ์เอ่ยถึงอาการที่เขาเป็นอยู่ ขณะที่กามเทพอย่างเฑียรซึ่งฟังอยู่นั้นต้องกระแทกลมหายใจแรง และตอนนั้นเองที่วรุณรักษ์สะดุ้งสุดตัว หันกลับไปมองพื้นที่ว่างข้างขวา เขาสัมผัสได้ว่ามีลมร้อนๆ พัดผ่านแก้มเขาวูบหนึ่ง แต่พอเห็นว่าที่บริเวณนั้นไม่มีใครนั่งอยู่ วรุณรักษ์จึงค่อยๆ ขยับกายหนี แน่ใจว่าเมื่อครู่นี้เป็นลมหายใจของคนแน่ๆ ที่เป่ารดแก้มของเขา

“ไม่เคยได้ยินว่าเราจะเสียใจตอนที่เราเจอหน้าเขานะครับ” น้ำเสียงของผู้รอบรู้อย่างสหรัถนั้นทำให้วรุณรักษ์จำต้องข่มความกลัวของตนเอาไว้ แล้วหันกลับมาตั้งใจฟัง “แต่ผมว่าสมัยนี้มันไม่น่าจะมีของพวกนี้อยู่แล้วละครับคุณวรุณ”

“แล้วเรื่องน้ำที่ราดหัวฉันแกจะอธิบายยังไงรัถ”

“ก็...” เลขาฯ หนุ่มชะงักค้างไปครู่หนึ่งก่อนเม้มปากแน่น อยากจะแย้งเจ้านาย แต่ภาพกล้องวงจรปิดยังติดตาเขาไม่หาย เห็นกันชัดๆ เลยว่าที่มาของน้ำสกปรกพวกนั้นคืออากาศว่างเปล่า มวลน้ำขุ่นแหวกอากาศมาแล้วราดลงบนศีรษะของเจ้านายที่กำลังดูดฝุ่นอยู่ในห้องครัวอย่างขะมักเขม้น

“อาจจะเป็นเรื่องลึกลับที่อธิบายไม่ได้ก็ได้ครับคุณวรุณ”

“ฉันไม่อยากจะเล่าให้แกกลัวหรอกนะรัถ...” วรุณรักษ์เกริ่น ทำให้เฑียรและสหรัถพร้อมใจกันขยับนั่งหลังตรงแน่ว ตั้งใจฟังสิ่งที่ชายหนุ่มจะเล่าต่อไปด้วยสีหน้าต่างกัน เฑียรทำหน้าลุ้นพร้อมกับตั้งใจฟัง ด้วยหัวใจเปี่ยมความหวังว่าวรุณรักษ์จะตามหาที่มาของเรื่องพิสดารที่เกิดขึ้นกับเขา ขณะที่สหรัถทำหน้าเหมือนกลืนของขม

เล่นเปิดหัวมาอย่างนี้จะไม่ให้เขากลัวได้อย่างไรล่ะ...

“เมื่อคืนนี้มีที่ปิดตาสีชมพูของใครก็ไม่รู้มาโผล่ในห้องนอนของฉัน”

“...ครับ?” สหรัถขานเสียงเบาหวิว พลันขนบนกายของชายหนุ่มก็พร้อมใจกันลุกเกรียว “โผล่มาเหมือนไอ้น้ำพวกนั้นน่ะหรือครับคุณวรุณ”

“อื้ม” วรุณรักษ์พยักหน้า “ไม่ใช่ของคุณแม่...แล้วก็ไม่มีใครเข้ามาในบ้านของฉันเลย”

เฑียรส่ายศีรษะแย้ง เรื่องที่ปิดตาสีหวานนั้นไม่ใช่ฝีมือเขา แต่เป็นฝีมือของผู้อื่นต่างหาก “ครับผม” เรื่องนี้สหรัถทราบดี ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่บ้านพักส่วนตัวของวรุณรักษ์อีกแล้ว นอกจากพ่อและแม่ของชายหนุ่ม และเขาที่เป็นเลขาฯ

“แล้วเมื่อคืนฉันก็ฝัน...ฝันถึงคุณช้องนาง”

“หรือว่า...”

“อย่ามาไร้สาระ” วรุณรักษ์ตัดบทเลขาฯ ของตน ด้วยรู้ว่าสหรัถจะเอ่ยสิ่งใดออกมา “คุณช้องนางไม่ใช่คนงมงาย เขาไม่คุณไสยใส่ฉันหรอก”

เฑียรย่นหน้าหลังได้ยินเช่นนั้น เขามั่นใจว่าวรุณรักษ์เข้าใจเรื่องที่ช้องนางไม่ได้ทำคุณไสยมนตร์ดำใส่ตัวเองถูกต้องแล้ว แต่เรื่องที่หญิงสาวไม่ใช่คนงมงายนั้นเฑียรค้านอยู่ในใจ เขาสัมผัสได้ถึงความเชื่ออันแรงกล้าจากตัวหญิงสาวแม้ว่าจะพบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง และหากดูจากพลังอันมากมายของยุพดี ไม่มีทางที่ช้องนางจะเป็นคนไร้ศรัทธาเรื่องบาปบุญคุณโทษ เพราะมนุษย์ที่ไม่มีศีลมีธรรมย่อมทำให้เทพที่ดูแลอยู่ด้อยพลังไปด้วย

ขนาดเขาที่ตามติดวรุณรักษ์ซึ่งนับว่าไม่ได้เป็นมนุษย์เลว ยังถูกบั่นทอนพลังไปกว่าครึ่ง ด้วยวรุณรักษ์ยังข้องแวะกับกิเลสอยู่พอสมควร โดยเฉพาะศีลข้อห้าเรื่องสุราเมรัย ดังนั้นทุกครั้งที่ชายหนุ่มดื่ม พลังของเฑียรก็ลดลงไปมากทีเดียว

“ผมก็ไม่คิดว่าคุณช้องนางจะทำคุณไสย แต่ว่าคุณวรุณครับ...บางทีสิ่งที่เรามองไม่เห็นเราก็ไม่ควรที่จะลบหลู่นะครับ”

“หมายความว่ายังไง” วรุณรักษ์เหลือบมองหน้าเลขาฯ ของตน “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ อย่าลีลา”

“ก็คุณวรุณยังไม่เคยทำบุญบ้านเลยไม่ใช่หรือครับ”

เรื่องนี้เป็นความจริง ตั้งแต่ขึ้นบ้านใหม่วรุณรักษ์ก็ไม่เคยทำบุญบ้านเลยสักครั้ง

“ไหนๆ หลวงตาเพิ่มก็กลับมาจากธุดงค์แล้ว ทำไมคุณวรุณไม่นิมนต์ท่านมาทำพิธีสักหน่อยล่ะครับ”

นับว่าเป็นความคิดที่ดี เฑียรหันมองใบหน้าราบเรียบของวรุณรักษ์อย่างดูท่าที เรื่องนิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีเพื่อเสริมสิริมงคลให้แก่บ้านนั้นเขาเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควร อีกทั้งภิกษุที่สหรัถเรียกขานนามว่าหลวงตาเพิ่มก็เป็นพระที่มีศีลมีธรรม ย่อมดีต่อวรุณรักษ์และตัวเขาเองที่อาศัยอยู่ภายในสถานที่นี้

“เกรงใจหลวงตา...” วรุณรักษ์พึมพำ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอของเลขาฯ เสียทีเดียว “แต่ฉันว่าไม่เกี่ยวหรอก อาจจะแค่บังเอิญ”

เฑียรอยากกลอกตา หากเป็นคนอื่นเผชิญหน้ากับสิ่งที่วรุณรักษ์เพิ่งเจอคงวิ่งแจ้นไปหาพระ หรือไม่ก็คนทรงเจ้าเพื่อหาคำตอบแล้ว ไยมนุษย์ของเขาจึงโง่งม ไม่เข้าใจสัญญาณที่เขาตั้งใจบอกเสียที หรือต้องให้เขาทำยิ่งกว่านี้

“คุณวรุณครับ! น้ำแหวกอากาศมาแบบนั้นเรียกว่าบังเอิญไม่ได้แล้วครับ!” สหรัถแย้งเสียงหลง ซึ่งนับว่ามีไหวพริบอยู่บ้าง “ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่เลยนะครับ”

“ก็ยังไม่ได้ลบหลู่ มันอาจจะเป็นฟิสิกส์”

ไม่ไตร่ตรองสิ่งที่เขาพยายามบอกก็นับว่าลบหลู่แล้วในความรู้สึกของเฑียร

“ไม่มีกฎฟิสิกส์ข้อไหนอธิบายได้ว่าทำไมน้ำเหม็นๆ จากที่หนึ่งถึงมาโผล่ที่หนึ่งได้หรอกนะครับ” สหรัถถอนหายใจแรง เมื่อไหร่เจ้านายของเขาจะรู้สึกกลัวสิ่งที่มองไม่เห็นและอธิบายไม่ได้เหมือนที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้บ้าง “ผมพูดจริงๆ นะครับคุณวรุณ มันต้องมีอะไรแล้วละครับ”

“อย่าไร้สาระ” วรุณรักษ์ที่อยู่กับเหตุผลทางวิชาการมาทั้งชีวิตปรามลูกน้องของตนที่เริ่มเพ้อเจ้อไปกันใหญ่ ชายหนุ่มเรียกสหรัถมาเพื่อเตือนสติให้เขา ไม่ใช่ทำให้เขาขาดสติยิ่งกว่าเดิม

“แล้วคืนนี้จะนอนไหน”

“ผมไม่กลับบ้านหรอกนะครับ ให้ผมนอนที่ห้องรับแขกนะครับคุณวรุณ” สหรัถส่ายหน้าดิก ให้เขาขับรถฝ่าความมืดจากบ้านของวรุณรักษ์ไปตอนนี้ เขายอมตายดีกว่า

“อื้ม จะค้างก็ค้างเถอะ” สำหรับวรุณรักษ์แล้ว มีเพื่อนอยู่ในบ้านคืนนี้ก็คงดีกว่าต้องนอนหลับเพียงลำพังหลังจากเรื่องชวนหลอนเพิ่งเกิดขึ้น

“ดื่มสักหน่อยไหม เผื่อจะนอนหลับง่ายขึ้น” อันนี้วรุณรักษ์บอกกับตัวเองมากกว่าถามความเห็นของสหรัถ เพราะร่างสูงของเจ้าของบ้านเดินลิ่วไปหยิบไวน์ออกจากตู้แช่ แล้วหาที่เปิดขวดเสียวุ่นวาย

เห็นดังนั้นทั้งสหรัถและกามเทพอย่างเฑียรจึงเข้าใจ แท้จริงแล้วไม่ใช่ว่าวรุณรักษ์จะไม่กริ่งเกรงเรื่องลึกลับที่เกิดขึ้น เพียงแต่เขาไม่ใช่พวกกระต่ายตื่นตูมหรือคนที่จะทำอะไรเอะอะมะเทิ่ง ชายหนุ่มคงจะหาวิธีจัดการในแบบของตัวเองไปเงียบๆ

ก่อนอื่นวรุณรักษ์จะต้องขับไล่ความกลัวออกไปจากสมองของเขาให้ได้ในคืนนี้ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่สามารถข่มตาหลับแน่ๆ

ไม่นานหลังจากไวน์ขวดที่สองหมดลง สหรัถก็สลบเหมือดบนโซฟากลางห้องรับแขกเรียบร้อยแล้ว ทว่าวรุณรักษ์ไม่รู้สึกต่างจากปกติแม้แต่นิด ชายหนุ่มไม่รู้สึกกรึ่มด้วยซ้ำขณะที่ผู้ที่ดื่มด้วยกันนั้นไม่เหลือสภาพ หัวคิ้วของวรุณรักษ์ขมวดมุ่น มือแกร่งเอื้อมไปหยิบขวดไวน์แดงตัวต้นเหตุที่ทำให้สหรัถหลับใหลขึ้นมาพลิกดูปริมาณแอลกอฮอล์ สิบสองเปอร์เซ็นต์นั้นนับว่าเป็นระดับปกติของไวน์ที่เขาดื่ม แต่ดื่มไปตั้งสองขวดขนาดนี้ วรุณรักษ์ก็ควรที่จะหมดสภาพได้แล้ว เขาไม่ควรตาใสและจำเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนดื่มไวน์ได้แบบนี้สิ

ริมฝีปากของวรุณรักษ์เม้มเข้าหากันแน่น เขาไม่ใช่พวกคอทองแดงที่ดื่มไวน์เข้าไปสองขวดแล้วจะไม่เมา บางสิ่งบางอย่างบอกเขาว่ามันผิดปกติแล้ว แต่สุดท้ายร่างสูงก็ลุกพรวด บอกตัวเองว่าต่อให้คิดหาสาเหตุจนสมองแตก เขาก็ไม่มีทางจะได้คำตอบ สู้ขึ้นไปนอนแล้วค่อยขบคิดเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาในวันพรุ่งนี้ก็ยังไม่สาย

ทว่าทันทีที่วรุณรักษ์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นสิ่งแปลกปลอมที่ไม่เคยมีอยู่ในบ้านเลยทางหางตา พอเขาหันไปเห็นมันวางหราอยู่บนโต๊ะกลมที่ตั้งไว้สำหรับวางแจกันดอกไม้ ดวงตาของวรุณรักษ์ก็เบิกโพลงด้วยความตกใจ จนชายหนุ่มต้องยกมือหยิกตัวเองแรงๆ เผื่อเขาอาจจะแค่ฝันไป แต่เมื่อรู้สึกเจ็บจี๊ด สีหน้าที่ดีขึ้นได้เพียงไม่นานของวรุณรักษ์ก็กลับไปย่ำแย่ เหมือนก่อนที่เขาจะลงมือมอมเหล้าย้อมใจตัวเอง

กระเป๋าถือของผู้หญิงวางนิ่งอยู่ข้างแจกันดอกไม้ของวรุณรักษ์ ชายหนุ่มมั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ว่าก่อนหน้านี้พื้นที่ตรงนั้นว่างเปล่า ไม่ควรจะมีกระเป๋าผู้หญิงที่ไหนวางอยู่ตรงนั้น วันนี้ทั้งวันนอกจากสหรัถแล้วก็ไม่มีใครเข้ามาที่นี่ทั้งนั้น แล้วกระเป๋านั่นมาได้ยังไง...

เฑียรลอบมองใบหน้าของวรุณรักษ์ที่ซีดเซียวเหมือนไก่ต้มด้วยความสมใจ เมื่อครู่เขาดลบันดาลให้เจ้าน้ำเมาทั้งหมดไปออกฤทธิ์ที่ช้องนาง ก่อนยุพดีจะตอบโต้เขากลับมาแทบจะทันที ด้วยการส่งสิ่งของที่ช้องนางมักถือติดตัวอยู่แทบจะตลอดเวลาให้มาปรากฏที่บ้านของวรุณรักษ์

กามเทพหนุ่มยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ อย่างน้อยครั้งนี้วรุณรักษ์คงไม่สามารถมองผ่านสัญญาณที่เขาพยายามส่งให้ได้อีกแล้ว ต่อให้ชายหนุ่มพยายามหลอกตัวเองว่ามันไม่มีอะไร แต่เจ้าวัตถุสีดำนี่คงจะช่วยย้ำเตือนได้ไม่มากก็น้อย

วรุณรักษ์มองกระเป๋าถือใบน้อยแบบที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ใช้กันด้วยสายตาหวาดระแวง บอกกับตัวเองว่าเขาน่าจะเมาแหละถึงได้เห็นภาพหลอน แต่ถึงจะคิดว่าเป็นภาพหลอน วรุณรักษ์กลับไม่ลังเลที่จะก้าวเข้าหากระเป๋าถือใบนั้น เขาหยิบมันขึ้นมาดูก่อนคิ้วเข้มจะขมวดเข้าหากันแน่นยิ่งกว่าเดิม

“ไม่ใช่ภาพหลอน...ของจริงนี่หว่า” วรุณรักษ์พึมพำ ก่อนจะหันไปมองสหรัถหวังให้มาช่วยยืนยันอีกแรง แต่เมื่อได้ยินเสียงกรนของมือขวา วรุณรักษ์ก็ต้องถอนหายใจ อีกอย่างคงไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วยยืนยันอะไรแล้ว จับได้เต็มไม้เต็มมือขนาดนี้คงจะต้องยอมรับกับตัวเองแล้วละว่าเป็นของจริง

“นี่มันเรื่องหาอะไรกันเนี่ย...” ชายหนุ่มสบถ ความหงุดหงิดหลังจากเจอเรื่องประหลาดมาทั้งวันทำให้วรุณรักษ์ลืมตัว และไม่สนใจว่าเขากำลังพ่นคำพูดชนิดไหนออกจากปาก ชายหนุ่มไม่ได้สนใจอะไรแล้วตอนนี้ เขาเปิดกระเป๋าในมือดูสิ่งที่อยู่ด้านในเพื่อหาคำตอบให้กับความสงสัยของเขาทันที

แม้จะยังยืนยันไม่ได้ว่าใครเป็นต้นเหตุของเรื่องบ้าๆ นี่ แต่วรุณรักษ์ก็มั่นใจว่าเจ้าของกระเป๋าใบนี้คงมีชะตากรรมไม่ต่างจากเขานักหรอก หากข้าวของของเธอมาโผล่ที่บ้านของเขาได้ มันก็อาจจะเป็นไปได้ที่ข้าวของของเขาจะไปโผล่ที่บ้านเธอเหมือนกัน

มือหนาหยิบมือถือเครื่องบางขึ้นมาดูเป็นอย่างแรก กดเปิดดูหน้าจอเผื่อว่าเจ้าของมันจะใช้รูปตัวเองเป็นรูปหน้าจอ แต่เมื่อเห็นว่ารูปหน้าจอนั้นเป็นรูปเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยในความเชื่อของคนจีนที่กำลังเป็นที่นิยม ซึ่งเพื่อนๆ ของเขาหลายคนก็แชร์มันมาให้เขาเห็นผ่านสื่อโซเชียล วรุณรักษ์จึงต้องเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเป็นอย่างที่สอง ค่อนข้างมั่นใจว่าเขาจะหาตัวเจ้าของกระเป๋าใบนี้ได้จากบัตรชนิดต่างๆ ที่อยู่ในนี้อย่างแน่นอน

และก็เป็นอย่างที่วรุณรักษ์คิด เขาได้รู้ตัวเจ้าของกระเป๋าจริง ทำให้ร่างสูงซวนเซเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าใครคือผู้ร่วมชะตากรรมในการเผชิญเรื่องประหลาดทั้งหลายกับเขา

ช้องนาง เทวารักษ์ เป็นเจ้าของกระเป๋า ทั้งบัตรประชาชน ใบขับขี่ และบัตรสมาชิกต่างๆ ล้วนยืนยันว่ากระเป๋าใบนี้เป็นของเธอคนนั้น

ความตกใจโผล่เข้ามาในความรู้สึกของวรุณรักษ์เป็นอย่างแรก ก่อนจะเป็นความยินดี แล้วเปลี่ยนเป็นความสับสน ไม่เข้าใจว่าอะไรที่ทำให้เขาและหญิงสาวต้องมาพบเจอกับเรื่องที่อธิบายไม่ได้เหล่านี้ หรือว่ามันจะเกี่ยวข้องกับความฝันเมื่อคืน...

เขากับช้องนางทำอะไรกันไว้หรือเปล่า ถึงต้องเจอเรื่องน่ากลัวแบบนี้...

 

ขณะเดียวกัน เจ้าของกระเป๋าถือที่หายไปโผล่ยังบ้านของวรุณรักษ์ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะรู้ตัวว่า มันอันตรธานหายไปจากเบาะหลังของรถ เพราะหญิงสาวอยู่ในสภาพเมามายจวนจะอาเจียนออกมารอมร่อ ร่างงามโงนเงนอยู่บนเก้าอี้ในโรงพัก รอให้ญาติมาประกันตัวข้อหาเมาแล้วขับ

ช้องนางไม่มีทั้งใบขับขี่หรือกระทั่งบัตรประชาชน มือถือที่เป็นอวัยวะที่สามสิบสามของมนุษย์ก็ไม่มี มีเพียงรถราคาแพงที่จอดเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าโรงพักเท่านั้นที่พอจะบอกถึงฐานะของเจ้าตัวได้ โชคดีที่ด่านตรวจนั้นอยู่ใกล้บ้านของหญิงสาว ตำรวจที่ตั้งด่านก็รู้จักและสนิทสนมกับครอบครัวเทวารักษ์ของช้องนางดี เขาจึงพอจะรู้ว่าควรจะติดต่อญาติผู้ต้องหาอย่างไร

อัศวินและทนายมาถึงโรงพักหลังจากรับแจ้งได้ไม่นาน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล ตาคมกวาดมองไปทั่วโรงพัก กระทั่งพบร่างบอบบางของบุตรสาวในสภาพหลับคอพับคออ่อน อัศวินก็พุ่งตัวเข้าไปประคองร่างงามของช้องนางขึ้นมา ใช้มือตบที่แก้มแดงก่ำนั้นเบาๆ เพื่อเรียกสติบุตรสาว

“ช้อง ช้องลูก” อัศวินขมวดคิ้วกับสภาพของบุตรสาว รู้ดีว่าช้องนางไม่ดื่มเหล้า แต่กลิ่นละมุดที่โชยออกมาพร้อมลมหายใจของช้องนางนั้นคิดอย่างไรก็ต้องบอกว่าเป็นแอลกอฮอล์แน่ แต่อะไรล่ะที่ทำให้ลูกสาวของเขาตัดสินใจดื่มจนเมาและมาลงเอยที่โรงพักแห่งนี้ได้

“ช้อง...ช้องตื่นสิลูก”

“คุณอามาแล้วเหรอครับ” ตำรวจหนุ่มยศร้อยเอกปรี่เข้ามายกมือไหว้อัศวินซึ่งนับว่าเป็นผู้มีพระคุณของเขาอีกคนหนึ่ง หากไม่มีอัศวินสักคนแล้วเขาคงไม่ได้มาสวมชุดสีกากีดั่งวันนี้

“นี่มันอะไรกันคม เกิดอะไรขึ้นเหรอ” อัศวินเงยหน้าถามเด็กที่เขาเคยอุปถัมภ์จนตอนนี้มีหน้าที่การงาน สามารถเลี้ยงตัวเองได้ “ไปเจอช้องที่ไหน ทำไมถึงได้เป็นอย่างนี้”

“ผมเจอพี่ช้องตอนตั้งด่านครับ” คมศักดิ์เล่าด้วยสีหน้าลำบากใจไม่แพ้ใจ ถึงอัศวินเป็นผู้มีพระคุณของเขา แต่เขาก็ต้องทำตามหน้าที่ “ผมรู้ว่าพี่ช้องไม่ใช่คนชอบดื่ม แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้”

แบบนี้ที่คมศักดิ์พูดถึงก็คือเมาจนหมดสภาพ เรื่องที่ช้องนางดื่มเหล้าว่าแปลกใจแล้ว เรื่องที่น่าแปลกใจมากกว่าก็คือหญิงสาวพาตัวเองและรถคันงามฝ่าการจราจรมาโดยไม่ประสบอุบัติเหตุเสียก่อนได้อย่างไร

“ทั้งมือถือ ทั้งกระเป๋าก็ไม่อยู่บนรถ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนนี้หรือเปล่า”

ได้ยินเพียงเท่านั้น หัวใจของอัศวินก็ร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาผละออกมาเพื่อตรวจความเรียบร้อยบนร่างของบุตรสาว หากมีร่องรอยการทำร้ายร่างกายหรือโดนล่วงเกิน เขาจะไปพาช้องนางไปโรงพยาบาลตำรวจได้ทันท่วงที แต่เมื่อเห็นว่าร่างกายทุกส่วนของบุตรสาวยังอยู่ดี ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ อัศวินจึงกลับมาหายใจได้เต็มปอดอีกครั้ง

“อาว่าคงแค่เมาแหละ” อัศวินสันนิษฐาน แต่ก็ใช่ว่าจะวางใจทีเดียว “แล้วนี่อาต้องประกันตัวยังไงบ้าง”

“ครับผม เชิญอาทนายตามมาทางนี้ครับ” คมศักดิ์ผงกศีรษะ เบาใจที่อัศวินมีความเป็นผู้ใหญ่และเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง อีกฝ่ายไม่ใช้ความสนิทสนมส่วนตัวเพื่อช่วยเหลือบุตรสาวเพียงคนเดียว ทว่ากลับพยักพเยิดกับทนายที่พามาด้วยให้เดินตามนายตำรวจหนุ่มรุ่นลูกไปจัดการธุระแทนตน

พอพ้นหลังนายตำรวจหนุ่มและทนายของตน อัศวินที่ประคองร่างไร้สติของช้องนางก็หลับตาลงด้วยความกังวลและสับสน ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับบุตรสาวของตน แต่ถึงจะอยากได้คำตอบจากลูกเพียงใด เขาก็ต้องอดทน เพราะเท่าที่ดูคงจะต้องรอถึงวันพรุ่งนี้ ช้องนางจึงจะมีสติพอที่จะตอบคำถามของเขาได้

อ้อมกอดเดียวจากเพศตรงข้ามที่ช้องนางอนุญาตให้โอบกอดเธอได้นั้นกระชับร่างงามแน่น อัศวินหอมขมับผู้ที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของเขาแผ่วเบา ราวกับกำลังเห่กล่อมลูกสาวตัวน้อยให้หลับฝันอย่างมีความสุข

ในช่วงเวลานั้น ที่พื้นแทบเท้าของอัศวินและช้องนางมีร่างบอบบางในชุดไทยของยุพดีนั่งพับเพียบอยู่โดยที่ไม่มีใครมองเห็น กามเทพสาวที่ซบใบหน้าลงที่ตักแกร่งของอัศวินนั้นดูไม่เหมือนกับเทพธิดาเจ้ายศเจ้าอย่างที่ใครๆ เขาร่ำลือกันให้ทั่วชั้นฟ้า ดวงตาหวานซึ้งเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ทว่าแม้มันจะไหลรินลงบนตักอัศวิน เขาก็ไม่มีทางรับรู้

ดวงตาของยุพดีเหม่อมองออกไปยังที่ที่ไกลแสนไกล มองออกไปยังเรื่องราวกาลเก่า ที่แม้แต่ตัวเธอเองก็แทบจะหลงลืมไปแล้ว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น