1

บทที่ 1


1

 

‘ชุนพ่อขา อุ้มๆ หนูมายเหนื่อย’ เด็กหญิงตัวป้อมวัยห้าขวบในชุดกระโปรงสีหวานหยุดเดินกะทันหัน แล้วหันมาเอ่ยเรียกบิดาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนขัดกับใบหน้ายับยุ่งชื้นเหงื่อ

‘อุ้มหนูหน่อย นะๆ’ เอ่ยบอกพร้อมกับชูแขนอวบขึ้นทั้งสองข้าง เรียกรอยยิ้มละมุนจากคนเป็นบิดาที่เดินตามหลังอยู่อย่างเอ็นดู

ร่างสูงเดินเข้าไปหาคนตัวเล็ก ค้อมตัวลงพร้อมกับยื่นท่อนแขนแข็งแรงออกไปรวบตัวเด็กหญิงขึ้นอุ้มแนบอกอย่างเอาใจ ทำเอาอีกฝ่ายชูแขนสูงส่งเสียงร้องเย้ๆ อย่างดีใจ

‘ชุนพ่อใจดี’ เด็กหญิงบอกเสียงหวาน แล้วซบหน้าเข้ากับซอกคอของบิดาอย่างออดอ้อน

‘พี่มัตถ์ละก็ ชอบไปตามใจลูก เดี๋ยวยายหนูก็ได้ใจ’ คนเป็นภรรยาที่เดินตามหลังมาต่อว่าเสียงขุ่นอย่างไม่เห็นด้วย เมื่อเห็นว่าสามีชอบตามใจลูกสาวตัวน้อยอยู่เสมอ

‘ลูกยังเด็กอยู่เลย ไม่เป็นไรหรอก’

ปรมัตถ์บอกอย่างดื้อดึงพร้อมกับหอมแก้มป่องฟอดใหญ่ เรียกเสียงหัวเราะคิกคักอย่างจั๊กจี้จากลูกสาว ทำเอาคนเป็นภรรยาได้แต่มองอย่างระอาใจ เมื่อคนเป็นสามีไม่ฟังคำท้วงติงจากตัวเองเลยสักนิดเดียว

‘ชุนแม่ขา หนูมายกินติมนะคะ’ เด็กหญิงเอ่ยขอเสียงใสพร้อมกับยกมือชี้โบ๊ชี้เบ๊ยามเดินผ่านหน้าร้านขายไอศกรีมที่มีบรรดาลูกค้าวัยกระเตาะพร้อมด้วยผู้ปกครองยืนออรอคิวกันอยู่เต็มหน้าร้าน

‘นะคะ หนูมายกินติมนะ’

‘ไม่ได้จ้ะ เดี๋ยวเลอะชุดสวย’ มนฤดีห้ามปราม ทำเอาดวงตากลมโตหม่นแสงลงเล็กน้อย ได้แต่มองตามเพื่อนคนอื่นเดินถือไอศกรีมโคนสีสันสดใสตาปรอย ซึ่งท่าทีนั้นทำเอาปรมัตถ์หลุดหัวเราะ

‘หนูมายอยากกินหรือคะลูก’

‘ค่ะ ชุนพ่อ หนูมายอยากกิน’ คนตัวเล็กมองบิดาด้วยสายตาอ้อนวอน

แต่ก่อนที่ปรมัตถ์จะได้ตามใจลูกสาวตัวน้อยอีกครั้งเขาก็หันไปเจอคนรู้จักเข้าเสียก่อน เป็นครอบครัวของรุ่นพี่ซึ่งอยู่บ้านติดกัน เขาจึงส่งเสียงร้องทักทายไปก่อนตัวตามมารยาท

‘สวัสดีครับพี่บูม’

‘อ้าว มัตถ์ มาเหมือนกันเหรอ’

‘ครับพี่ พอดียายตัวเล็กเขามีกิจกรรมเต้นประกอบเพลงน่ะครับ’ ปรมัตถ์ตอบยิ้มๆ

คนตัวป้อมในอ้อมแขนเขาขยับตัวยุกยิกพร้อมกับกางแขนขึ้น ขอโผลงจากอ้อมกอดของบิดา แล้วหันไปเรียกชื่อเด็กชายตัวผอมที่ยืนห่างออกไปอย่างคุ้นเคย

‘พี่แบงค์ขา’

เด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยเสียงใส สามารถจดจำชื่อพี่ชายข้างบ้านได้ขึ้นใจ แม้จะเคยพบเจอกันเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง เพราะครอบครัวของปรมัตถ์และมนฤดีเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังติดกันได้เพียงไม่ถึงเดือน แต่ด้วยความช่างพูด ช่างเจรจาของเด็กหญิงตัวน้อย ทำให้ครอบครัวโชติสถาพัฒน์นึกเอ็นดู เด็กหญิงตัวป้อมจึงกลายเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองรั้วบ้าน จนทำให้สองครอบครัวสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว

‘น้องมายสวัสดีคุณลุงคุณป้าหรือยังลูก’ มนฤดีเอ่ยขึ้นพร้อมกับแตะมือลงบนแขนของลูกสาวเบาๆ เป็นเชิงเตือน เด็กหญิงจึงยกมือป้อมๆ ขึ้นกระพุ่มไหว้กลางอก

‘ซาหวัดดีค่าชุนลุงชุนป้า’

‘พี่บอสกับพี่แบงค์ด้วยจ้ะ’

‘ซาหวัดดีค่า’ คนเสียงใสเอ่ยแจ้วๆ พลางขยับตัวยุกยิกอีกครั้ง

ปรมัตถ์ปล่อยให้ลูกสาวลงยืนบนพื้นด้วยตัวเอง ก่อนคนตัวเล็กจะเดินไปหาเด็กชายทั้งสอง และเป็นลูกชายคนเล็กของบ้านที่เอ่ยทักเสียงหวาน

‘สวัสดีครับคนสวย’

เด็กหญิงฉีกยิ้มกว้าง มองอีกฝ่ายตาแป๋วแหวว ก่อนเอ่ยถามเสียงใส

‘น้องฉวยไหม’

‘สวยครับ’ เด็กชายตอบเอาใจ ก่อนคว้าคนตัวป้อมขึ้นอุ้มแนบอก ทำเอาคนเป็นมารดาที่ยืนมองอยู่ต้องเอ่ยปรามเนื่องด้วยตัวอ้วนกลมของเด็กหญิงนั้นแทบจะใหญ่กว่าร่างผอมสูงของเด็กชาย

‘อุ้มน้องดีๆ นะลูก ระวังจะทำน้องหล่นนะแบงค์’

‘ครับ’

‘ดูท่าจะไม่หล่นหรอกค่ะ แม่นางฟ้าของมนกอดคอพี่แบงค์แน่นเชียว’ มนฤดีเอ่ยบอกอย่างเอ็นดู

นาถลดาที่ยืนมองอยู่ก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับความน่ารักของทั้งคู่

‘วันนี้น้องมายเต้นๆ เป็นนางฟ้า’

‘จริงเหรอ’ เด็กชายถามพลางก้มมองคนตัวป้อมในชุดกระโปรงฟูฟ่องสีขาวสะอาดสะอ้านอย่างเอ็นดู

‘จริงค่า น้องมายเต้นฉวย’

‘ไหนๆ เต้นยังไง’

‘อย่างนี้ๆ’ บอกพลางยกไม้ยกมือพร้อมกับขยับตัวยุกยิก ทำเอาเด็กชายหัวเราะชอบใจ อดก้มลงหอมแก้มป่องไม่ได้

‘แก้มป่องจังเลย หอมด้วย ไหนมาหอมอีกทีซิ’

‘ไม่อาว’

‘น้า...’ เอ่ยบอกอย่างชอบใจพร้อมกับหอมแก้มป่องๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างมันเขี้ยว ทำเอาคนตัวเล็กกว่าหัวเราะคิกคักเพราะจั๊กจี้ ท่ามกลางสายตาเอื้อเอ็นดูในความสัมพันธ์น่ารักของเด็กทั้งคู่

‘น่ารักที่สุดเลย น้องแก้มป่องของพี่’

 

แชะ! แชะ! แชะ!

“สมาย เบี่ยงหน้ามองกล้องนิดครับ” เสียงกดชัตเตอร์ที่ดังขึ้นระรัวพร้อมกับน้ำเสียงอันคุ้นเคยดึงสติของหญิงสาวที่หลงวนอยู่กับความทรงจำเดิมๆ ให้หวนกลับมายังปัจจุบัน หลังปล่อยให้มันจมอยู่กับอดีตอยู่ชั่วนาทียามเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นมา

“เชิดหน้าขึ้นนิด มองจิกกล้องหน่อยครับ สวย ดีมาก”

ร่างเพรียวระหงทำตามคำสั่งของช่างภาพหนุ่มอย่างว่าง่าย ด้วยการเชิดใบหน้าสะสวยขึ้นสู้กล้องและแอ่นอกอวบให้ผลิพุ่งตามคอนเซปต์เซ็กซี่ที่ทางนิตยสารตั้งไว้ พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนท่าทางการโพสไปเรื่อยๆ อย่างมืออาชีพ เพียงไม่นานงานถ่ายแบบครั้งสำคัญก็เสร็จสิ้นลงอย่างเรียบร้อยและทันเวลาที่วางไว้ รักษามาตรฐานการทำงานของตัวเองไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งนั่นเป็นข้อดีที่ทำให้ผู้ว่าจ้างวางใจ และมักจะเรียกใช้งานเธอเสมอ แต่กว่าจะมีวันนี้ได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอเลย เพราะหญิงสาวต้องทำงานอย่างหนักมาตลอดเพื่อพิสูจน์ตัวเอง

มนยา จิราวัฒนกุล เป็นพริตตีลำดับต้นๆ ของมอเดลลิงชื่อดัง ซึ่งมีสาวประเภทสองอย่างแก้วเกล้าที่รู้จักผู้คนในแวดวงบันเทิงเป็นเจ้าของ และด้วยภาพลักษณ์ของมนยาที่ค่อนข้างสมบูรณ์พร้อม ทั้งใบหน้าสะสวย หุ่นดี มีทรวดทรงเว้าโค้งน่ามองในสัดส่วน 34-24-35 พร้อมด้วยส่วนสูงสมตัวกว่าหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตร ทำให้มนยาได้รับการสนับสนุนจากเจ้าของมอเดลลิงเป็นพิเศษ จะเรียกว่าถูก ‘ดัน’ ก็ไม่ผิดนัก เพราะแก้วเกล้ามักจะป้อนงานให้มนยาอยู่เสมอ

แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมด เนื่องด้วยตัวมนยาเองก็มีความสามารถ เรียนจบจากมหาวิทยาลัยด้วยเกรดเฉลี่ยที่เกือบทำให้ได้รับเกียรตินิยม ซ้ำยังสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งความสามารถนั้นถือเป็นใบเบิกทางให้เธอได้รับงานมากกว่าเพื่อนร่วมอาชีพบางคน ที่เอาแต่คอยกระแนะกระแหนเธออยู่เสมอ แต่หญิงสาวก็พยายามไม่ใส่ใจ ตั้งใจทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด ทำให้บรรดาลูกค้าเรียกใช้งานเธออย่างไม่ขาด ทั้งออกงานบูทต่างๆ ถ่ายแบบ รีวิวสินค้า และอื่นๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีเวลาหยุดพัก เลยทำให้เธอดูเหมือนมีรายได้เข้ากระเป๋าเป็นกอบเป็นกำ แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังของเธอไม่ได้สวยงามหรือโรยไปด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่เห็นกันนักหรอก

“สมาย มาดูรูปสิว่าโอเคไหม” ตากล้องหนุ่มที่ทำงานด้วยกันบ่อยๆ จนคุ้นเคยกันดีเอ่ยเรียก

หญิงสาวเดินไปหยิบผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่มาใช้ ก่อนเดินตรงไปหาร่างสูงด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“ลองเช็กดูครับ ถ้าตรงไหนไม่พอใจบอกพี่ได้นะ” อีกฝ่ายบอกพร้อมกับเบี่ยงคอมพิวเตอร์พกพาที่กำลังแสดงภาพถ่ายของเธออยู่เต็มหน้าจอมาให้ดู

นิ้วแข็งแรงกดเลื่อนภาพถ่ายให้หญิงสาวดูทีละภาพๆ อย่างช้าๆ เหมือนเช่นทุกครั้ง เพื่อให้หญิงสาวได้เช็กความเรียบร้อยของตัวเอง ซึ่งภาพร่างแบบบางในชุดเสื้อผ้ารัดรูปน้อยชิ้น โชว์สัดส่วนเว้าโค้งและเนินอกอวบอิ่มก็ทำเอาเจ้าตัวเม้มปาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากยิ้มรับและซ่อนทุกความรู้สึกไว้ภายใต้ใบหน้ายินดี

“สมายโอเคไหม”

“ถ้าตรงคอนเซปต์ของเล่ม มายก็โอเคทุกรูปแหละค่ะ” มนยาตอบพร้อมกับฝืนยิ้มสวย ทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทั้งที่ความเป็นจริงเธอยังไม่คุ้นชินกับงานที่ต้องโชว์เรือนร่างสักนิดเดียว แม้ว่าจะคร่ำหวอดอยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่อายุสิบแปดปีก็ตาม

“ถ้างั้นเอาตามนี้นะครับ”

“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างง่ายๆ ไม่อยากทำตัวเรื่องมากให้เสียงาน แม้จะรู้สึกว่าเสื้อผ้าเซตนี้ดูเซ็กซี่เกินงามไปนิดก็ตาม

“ถ้าพี่แทนไม่มีอะไรแล้ว งั้นมายขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”

“เชิญครับ”

มนยายิ้มให้อีกฝ่ายอีกครั้ง ก่อนหมุนตัวเตรียมเดินไปยังห้องแต่งตัว แต่ยังไม่พ้นจุดถ่ายแบบดีก็ถูกชายหนุ่มเรียกเอาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวครับสมาย”

“พี่แทนมีอะไรหรือคะ” มนยาหยุดเดินแล้วหันไปมองหน้าคนถามอย่างสงสัย

“เลิกงานแล้ว ไปกินข้าวกับพี่ไหม”

“ขอบคุณที่ชวนนะคะ แต่วันนี้มายต้องรีบกลับบ้านน่ะค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธทันที พร้อมกับส่งยิ้มบางๆ ให้ ทำเอาช่างภาพหนุ่มหน้าเจื่อน เมื่อคำตอบที่ได้รับเป็นเหมือนเช่นทุกครั้งที่เขาพยายามเอ่ยชวน

“มายขอโทษจริงๆ นะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ ไว้ครั้งหน้าก็ได้”

หญิงสาวเพียงยิ้ม ไม่ได้ตอบรับคำพูดนั้นว่าครั้งหน้าเธอจะยอมไปรับประทานอาหารกับเขาหรือเปล่า เพราะเธอไม่อยากเพิ่มปัญหาให้ตัวเอง แค่จัดการกับชีวิตก็เหนื่อยมากพอแล้ว

แทน หรือ ภวิศ เป็นหนุ่มหล่อที่เพียบพร้อมทั้งฐานะและการศึกษา เขาเป็นลูกหลานไฮโซที่เปลี่ยนงานอดิเรกมาเป็นงานหลัก และทำได้ดีจนก้าวขึ้นมาเป็นมืออาชีพได้อย่างไม่ยากเย็น ซึ่งภาพลักษณ์ดูดีและโพรไฟล์สมบูรณ์แบบทำให้เขาเป็นที่หมายปองของบรรดาพริตตีและนางแบบทั้งหลายในวงการ

มนยาไม่อยากไปแก่งแย่งตบตีกับใครๆ จึงพยายามหลีกเลี่ยง ทำเป็นมองไม่เห็นมิตรไมตรีที่เขาหยิบยื่นให้ เพราะการที่ภวิศดูสนอกสนใจเธอมากกว่าเพื่อนร่วมอาชีพคนอื่นๆ ทำให้เธอถูกเพื่อนร่วมวงการหลายต่อหลายคนมองค้อนจนตาแทบหลุด

“ให้พี่ไปส่งไหม” ภวิศไม่ละความพยายาม เช่นเดียวกับมนยาที่ไม่ละความพยายามที่จะปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวมายต้องแวะไปทำธุระด้วย ขอบคุณพี่แทนมากๆ นะคะ”

“ครับ” อีกฝ่ายรับคำเสียงเบา สีหน้าดูผิดหวังเล็กน้อย แต่มนยาทำเป็นมองไม่เห็น และรีบขอตัว

“ถ้างั้นมายไปก่อนนะคะ”

“ครับ กลับบ้านดีๆ นะ” เขาส่งความห่วงใยส่งท้าย

หญิงสาวหมุนตัวเดินออกมาอย่างรวดเร็ว และได้แต่นึกขอโทษอีกฝ่ายในใจที่ไม่สามารถรับไมตรีจากเขาได้จริงๆ

มนยาเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดเสื้อกล้ามสีเทาอ่อนรัดรูปกับกางเกงยีนขาสั้นกุดเป็นเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งเนื้อบางเบาและกางเกงสกินนีขายาวสีดำสนิท ก่อนแวะไปบอกลาทีมงานของผู้ว่าจ้างแล้วจึงขอตัวกลับหลังจากงานทั้งหมดเสร็จสิ้น โดยปฏิเสธการไปรับประทานอาหารกับทางทีมงานเหมือนอย่างเคย

 

ร่างระหงเดินออกจากสตูดิโอแล้วก้าวฉับๆ ตรงไปที่ป้ายรถโดยสารอย่างเร่งรีบแทนการเรียกใช้บริการรถแท็กซี่เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ก่อนจะแวะไปเลือกซื้ออาหารสำหรับมื้อเย็นที่หน้าปากซอยทางเข้าหมู่บ้าน ที่มีร้านสะดวกซื้อและรถเข็นขายอาหารคับคั่ง โดยเลือกกับข้าวจากเมนูที่มารดาชื่นชอบ นั่นคือแกงส้มชะอมไข่และหอยลายผัดฉ่า

มนยาอาศัยอยู่กับมารดาที่บ้านเช่าหลังหนึ่งในชุมชนแออัด โดยที่ผู้คนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพหาเช้ากินค่ำแตกต่างกันไป ทั้งค้าขายและรับจ้าง มีทั้งขายอาหาร ขายผัก ขายปลาหมึกย่าง รวมไปถึงขายลูกโป่งตามงานวัดด้วย เรียกได้ว่าเป็นชุมชนที่มีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกัน แต่นับว่าเป็นความโชคร้ายของมนยาที่รายล้อมไปด้วยบรรดาเพื่อนบ้านสอดรู้ ที่จ้องจะอยากรู้ทุกเรื่องในครอบครัวเธอ

“กลับมาแล้วรึนังมาย แม่แกเมาหัวราน้ำแต่วันเลย เห็นว่าเล่นไพ่ได้ไปหลายพันเลยนี่ ป่านนี้ซื้อเหล้ากินจนหมดไปแล้วมั้ง”

ป้าข้างบ้านในซอยเดียวกันเกาะขอบรั้วไม้โผล่หน้าออกมาทักทายด้วยประโยคที่ทำให้มนยาต้องแอบกลอกตา เธอรู้ดีว่ามารดาจะมีสภาพเป็นอย่างไรในทุกๆ เย็น แต่ก็ไม่ชอบใจทุกครั้งที่เพื่อนบ้านมาตะโกนแจ้งข่าวจนคนทั้งซอยรู้ไปด้วยกันหมดแบบนี้ มนยาเพียงทำเฉย ไม่โต้ตอบ ขณะที่คนสูงวัยกว่ายังพูดต่อโดยไม่รับรู้ถึงความขุ่นเคืองใจของเธอสักนิด

“แล้วนั่นซื้ออะไรมาเต็มไม้เต็มมือล่ะ ไปแก้ผ้าถ่ายรูปมาอีกละสิ เงินดีแบบนี้น่าให้นังแจ๋มมันไปทำบ้างจริงๆ ถ้ามันไปทำต้องได้เงินเยอะกว่าแกแน่ๆ เลย ลูกฉันน่ะทรงโตอย่างกับลูกแตงโมแน่ะ” ว่าพลางหัวเราะคิกคักชอบใจ

มนยาแอบกลอกตา นึกค่อนในใจว่าแค่หน้าอกใหญ่ก็ใช่ว่าจะทำงานนี้ได้ดีกันทุกคนซะที่ไหน

“ถ้าป้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะจ๊ะ” มนยาเอ่ยตัดบทแล้วก้าวเร็วๆ จากมา ไม่ยอมอยู่ฟังคำบริภาษว่าเธอไม่มีมารยาทที่เดินหนีผู้ใหญ่ แต่นั่นเป็นสิทธิ์ของเธอที่จะปกป้องตัวเองนี่

ร่างบางหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านไม้หลังซอมซ่อ ก่อนผลักประตูรั้วเหล็กที่เขรอะไปด้วยสนิมเข้าไปด้านใน เดินผ่านสวนหย่อมที่รกเรื้อไปด้วยหญ้าสูงเพราะไม่มีคนดูแล ตรงไปยังตัวบ้านไม้แบบสองชั้นที่ยังคงปิดสนิท

“กลับมาแล้วจ้ะ” หญิงสาวส่งเสียงร้องบอกยามเปิดประตูบ้านเข้าไปแล้วเจอกับความมืดมิด ก่อนเอื้อมมือบางไปกดสวิตช์ไฟจนมันสว่างไปทั่ว เผยให้เห็นร่างผอมของมารดานั่งอยู่บนพื้นข้างโซฟาตัวเก่าพร้อมด้วยขวดเหล้าและจานใส่ถั่วลิสงคั่วหล่นกระจัดกระจาย ซึ่งเป็นภาพที่ทำให้คนตั้งใจทำงานหนักมาตลอดทั้งวันรู้สึกหมดเรี่ยวแรง

“แม่...” มนยาร้องเรียกมารดาเสียงระโหย พลันความรู้สึกเหนื่อยล้าก็ทำให้หยาดน้ำเอ่อคลอนัยน์ตากลมสวย

“กลับมาแล้วเรอะ” เสียงอ้อแอ้ดังตอบกลับมา ก่อนที่คนเป็นมารดาจะผงกศีรษะที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงซึ่งพิงอยู่กับโซฟาตัวเก่าขึ้นช้าๆ แล้วเบือนหน้าซูบตอบมามองลูกสาวที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงประตูคล้ายถูกสาป

“แกมาก็ดีแล้ว ไปซื้อเหล้าเพิ่มให้ฉันหน่อย”

มนยาเม้มปากแน่นขณะเพ่งมองขวดเหล้าขนาดเล็กสองขวดที่กลิ้งอยู่บนพื้นอย่างเจ็บปวดหัวใจ ก่อนจะทำใจกล้าเอ่ยปากเตือน

“แม่ดื่มเยอะเกินไปแล้วนะจ๊ะ”

“เรื่องของฉัน บอกให้ไปซื้อก็ไปซื้อสิ”

“แต่แม่ควรกินข้าวบ้างนะจ๊ะ หนูซื้อแกงส้มชะอมไข่กับหอยลายผัดฉ่าอย่างที่แม่ชอบมาด้วยนะ” หญิงสาวพูดเอาใจด้วยความรู้สึกเจ็บปวด แต่ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของมารดาได้เลย

“ฉันจะกินเหล้า ไม่กินข้าว”

“แต่ว่าแม่กินเหล้าจนผอมมากแล้วนะ”

ปึ้ก!

มนยาน้ำตาร่วงยามที่มนฤดีปาแก้วพลาสติกตรงมายังเธอด้วยท่าทีเกรี้ยวกราดพร้อมกับแผดเสียงใส่อย่างไม่พอใจ

“แกเป็นลูก อย่าบังอาจมาสั่งสอนฉัน!”

“แม่”

“ไปสิ ไปซื้อเหล้ามาให้ฉันเดี๋ยวนี้!” หญิงสาวกลืนก้อนแข็งๆ ที่แล่นขึ้นมาจุกอกลงไป ก่อนจะวางถุงกับข้าวในมือลงบนโต๊ะแล้วหมุนตัวเดินออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงเผาะอย่างเสียใจ แล้วก็พลันนึกถึงอดีตที่เคยเต็มไปด้วยความสุขท่วมท้นหัวใจ อดีตที่มีพ่อและแม่แสนดี ไม่ใช่แม่ที่จงเกลียดจงชังเธอแบบนี้

ปรมัตถ์ บิดาของมนยาเป็นลูกชายคนเดียวของเศรษฐีตระกูลเก่าที่มีมรดกหลายล้าน แถมยังเป็นข้าราชการที่มีตำแหน่งใหญ่โตในกระทรวงการต่างประเทศ นั่นจึงทำให้มนฤดี มารดาของหญิงสาว ซึ่งเป็นเพียงลูกสาวแม่ค้าธรรมดาๆ กลายเป็นคุณนายที่มีคนรู้จักนับหน้าถือตาตามไปด้วย

มนยาจำได้ว่าตอนนั้นตัวเองมีความสุขมาก เพราะทุกเย็นที่กลับมาจากโรงเรียน เธอจะได้เห็นพ่อแม่อยู่กันพร้อมหน้า โดยที่มารดาทำกับข้าวอยู่ในครัว ส่วนบิดามักจะนั่งทำงานหรือไม่ก็อ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาใน

ห้องรับแขก มีเด็กหญิงมนยานั่งทำการบ้านอยู่ใกล้ๆ พอช่วงเย็นย่ำก็จะนั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วยกันอย่างมีความสุข

แต่ความสุขเหล่านั้นไม่ยั่งยืน เมื่อบิดาของมนยาประสบอุบัติทางรถยนต์ขณะกำลังเดินทางไปประชุมผู้ปกครองให้เธอแทนมารดาซึ่งติดนัดสังสรรค์กับเพื่อน และเสียชีวิตในเวลาต่อมา หลังเข้ารับการรักษาตัวในห้องไอซียูได้เพียงแค่สองชั่วโมง นำมาซึ่งความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของเด็กสาววัยเพียงสิบหกปี เพราะมนยามิได้เสียเพียงแค่บิดา แต่เธอได้สูญเสียตัวตนของมารดาไปด้วย นับจากวันนั้นคุณแม่แสนดีก็เปลี่ยนไป มนฤดีที่เคยรักใคร่เธอดีมาตลอดตั้งแง่เกลียดชังเธอราวกับไม่ใช่ลูกในไส้ ซ้ำยังบอกว่าเป็นความผิดของเธอที่ทำให้บิดาต้องตาย

มนฤดีมองมนยาเป็นเพียงเศษฝุ่นน่ารำคาญในอากาศ ทั้งรังเกียจและเกลียดชัง ไม่ยินดียินร้ายกับชีวิตของหญิงสาวสักนิด เหมือนไม่มีมนยาอยู่ในบ้าน แต่กระนั้นหญิงสาวก็ยังรักและเทิดทูนอีกฝ่ายไม่เปลี่ยนแปลง

หลังจากการเสียชีวิตของปรมัตถ์ จากที่มนฤดีเคยใช้เงินอย่างสมฐานะก็เปลี่ยนเป็นใช้จ่ายเกินตัว หมดเงินไปกับข้าวของเครื่องใช้แบรนด์เนมที่เลือกซื้อมาประดับกาย เพื่อแลกกับคำชื่นชมจากบรรดาสมาคมแม่บ้านในกระทรวง อีกนัยก็เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าตัวเองยังมีความเป็นอยู่ที่ดีมาก แม้จะสูญเสียสามีซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวไปแล้วก็ตาม นั่นทำให้เงินประกันและเงินเก็บก้อนสุดท้ายที่มีอยู่ร่อยหรอลงไปอย่างรวดเร็ว และหมดไปในที่สุดเมื่อมนฤดีติดการพนัน

แรกๆ มารดาของมนยาก็เล่นเป็นครั้งคราวกับกลุ่มเพื่อนไฮโซ โดยอ้างว่าเพื่อความบันเทิงและคลายความทุกข์ที่เกิดจากความสูญเสียซึ่งกัดกินใจ แต่พักหลังกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อมารดาแทบจะไม่กลับบ้านเลย มนฤดีออกตระเวนเล่นการพนันตามบ่อนไปเรื่อยทั้งในและต่างประเทศ มีทั้งได้และเสีย ซึ่งพักหลังๆ จะเสียมากกว่าได้ ทำให้ข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านเริ่มหายออกไปทีละชิ้นสองชิ้น รวมถึงกระเป๋าราคาเรือนแสนหลายสิบใบ ชุดเครื่องทองและเครื่องเพชรในตู้เซฟที่มารดาเธอเคยบอกว่าหวงนักหนา ไม่เว้นแม้กระทั่งบ้านที่ใช้ซุกหัวนอนด้วย มนฤดีผลาญทุกอย่างในระยะเวลาไม่เกินสองปี ทรัพย์สิ้นหลายสิบล้านที่เคยมีก็หมดลง แล้วชีวิตของมนยาก็เปลี่ยนไป

...

เสียงชิงช้าตัวเก่าภายในสวนสาธารณะกลางหมู่บ้านดังเอี๊ยดอ๊าด ยามร่างแบบบางที่นั่งอยู่เพียงลำพังท่ามกลางความมืดโยกตัวเบาๆ ใบหน้าสะสวยที่เลอะเปรอะคราบน้ำตาแหงนเงยขึ้นมองผืนฟ้าสีดำสนิทที่ไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกมืดมัวในใจของเธอ

พลันน้ำตาที่เธอคิดว่ามันคงแห้งเหือดไปแล้วก็หยดแหมะลงมาอีกครั้ง ยามนึกถึงเรื่องราวในวันวานที่เต็มไปด้วยความสุขใจ ทั้งภาพครอบครัวสุขสันต์ที่พร้อมหน้ากัน ภาพรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะที่ถูกลบเลือนไป เหลือทิ้งไว้เพียงคราบน้ำตา

หญิงสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาทิ้ง แล้วก็ได้แต่ภาวนาในใจให้คนที่นอนหลับสบายอยู่บนฟ้าส่งพลังและแรงใจมาให้เธอได้มีเรี่ยวแรงสู้ต่อ

‘พ่อมัตถ์จ๋า สมายคิดถึงพ่อเหลือเกิน’

 

ปึ้ก!

มนยายืนนิ่งคาหน้าประตู มองแก้วพลาสติกใบเก่าที่เปรอะไปด้วยเหล้าขาวดีกรีแรงกลิ้งอยู่บนพื้น หลังมันลอยหวือมากระทบแก้มเธออย่างแรงทันทีที่หญิงสาวเปิดประตูบ้าน

“แกหายหัวไปไหนมาฮ้า ฉันบอกให้ไปซื้อเหล้าให้ฉันไง!”

มือบางที่กำถุงพลาสติกบรรจุขวดเหล้าขาวสั่นระริก ขณะที่ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วซีกหน้าและหัวใจยามสบเข้ากับแววตารังเกียจที่มองมา

“แล้วไหนเหล้าฉันล่ะ”

“นี่จ้ะ” หญิงสาวบอกเสียงเบาแล้วขยับเข้าไปหาคนเป็นมารดาพร้อมกับยื่นถุงในมือให้

คนรอถลึงตามองอย่างโมโห “แกไปตั้งนาน แต่ซื้อมาให้ฉันขวดเดียวเนี่ยนะ อีลูกเลว!” มนฤดีตวาดลั่นอย่างไม่พอใจ พร้อมกับฟาดฝ่ามือลงบนแขนของลูกสาวอย่างแรงหลายที ทำเอาคนถูกกระทำร้องอุทธรณ์

“หนูเจ็บนะแม่” มนยาร้องทั้งน้ำตาปริ่มๆ เธอไม่ได้เจ็บกาย แต่เจ็บที่หัวใจเพราะถูกกระทำให้เสียความรู้สึกครั้งแล้วครั้งเล่า

“เจ็บน่ะสิดี จะได้ตายๆ ไปซะ”

“แม่...” เธอเอ่ยราวกับจะขาดใจ มองมารดาที่หยิบขวดเหล้าไปรินใส่แก้วเก่าๆ อย่างเจ็บปวด “หนูเป็นลูกแม่นะ”

“ลูกที่ฉันไม่ต้องการน่ะสิ แกน่าจะตายแทนพ่อแกไปซะ ถ้าเป็นแบบนั้นชีวิตฉันคงไม่ต้องลำบากแบบนี้ เป็นเพราะแกแท้ๆ อีมารผจญ ถ้าพ่อแกไม่ไปงานประชุมให้แก พ่อแกก็ไม่ต้องมาตาย” มนฤดีเค้นเสียงพร้อมกับยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอึกใหญ่ ขณะที่มนยาได้แต่ยืนมองภาพนั้นอย่างช้ำใจ

“ฉันละเกลียดแกนัก”

“หนูรู้...”

“รู้แล้วก็ไปให้พ้นหน้าฉันซะ!”

มนยายืนนิ่ง แม้ว่ามารดาจะพูดจารุนแรงแบบนั้น แต่ในฐานะที่เธอเป็นลูกก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี หญิงสาวจึงยืนมองมารดาที่กระดกเหล้าดื่มอึกๆ ด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

“แม่ก็อย่าลืมกินข้าวด้วยนะจ๊ะ”

“หุบปาก!” มนฤดีตวาดด้วยความชิงชัง “ไม่ต้องมาเป็นห่วงฉัน นี่มันชีวิตฉัน”

“แม่...”

“ออกไป๊!”

มนยาเม้มปากแน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ ก่อนจะยอมเดินถอยออกมาอย่างอ่อนใจพร้อมกับยกมือขึ้นปาดน้ำตา และบอกหัวใจตัวเองให้ชินชากับความใจร้ายของมารดาให้ได้สักที

 

มือบางแตะลูกบิดเก่าๆ บนประตูไม้บานเล็ก ก่อนผลักเข้าไปในห้องนอนขนาดเล็ก ที่ค่อนข้างโล่งเพราะมีเพียงเตียงนอนเล็กติดริมหน้าต่าง ตู้เสื้อผ้าเก่าๆ ที่ประกอบขึ้นจากโครงเหล็กและใช้ผ้าคลุมอย่างง่ายๆ โต๊ะเครื่องแป้งตัวเล็ก มีกระจกบานเล็กวางอยู่บนนั้นพร้อมด้วยเครื่องสำอางแบรนด์ดังที่หญิงสาวเป็นพรีเซนเตอร์วางไว้อย่างเป็นระเบียบ ซึ่งดูขัดกับสภาพห้องนอนโกโรโกโสของมนยามาก ข้างๆ โต๊ะเครื่องแป้งเป็นห้องน้ำขนาดเล็กที่มีฝักบัว กระจก บนชั้นวางเล็กๆ ใต้กระจกมีเครื่องประทินผิวหลากหลายแบบวางอยู่และชักโครก ไม่มีอ่างสำหรับใส่น้ำ หญิงสาวจึงใช้ถังใบเล็กรองน้ำไว้สำหรับใช้ทำความสะอาดชักโครกแทน

ร่างบางทรุดนั่งลงบนเตียงนอนหลังเก่า ขณะที่มือเล็กปาดน้ำตาออกจากแก้มใสด้วยความเจ็บปวดใจ เพราะการกระทำของมารดาไม่ต่างอะไรจากมีดที่แทงลงบนแผลเหวอะหวะซ้ำไปซ้ำมา พลันช่วงเวลาแห่งค่ำคืนแสนหวานก็ผุดมาในความคิดราวกับจะช่วยปลอบประโลมให้เธอหายเจ็บปวดกับปัจจุบัน

‘ชื่ออะไร’ คนเสียงเข้มเอ่ยถาม หลังยกแก้วแอลกอฮอล์ขึ้นดื่ม ขณะที่มือใหญ่ซึ่งโอบเรือนร่างระหงในชุดเดรสรัดรูปเข้ามาแนบกายไล้ไปตามลำแขนกลมกลึงแผ่วเบา ทำเอาหญิงสาวในอ้อมแขนขนลุกซู่

‘สมายค่ะ ชื่อสมาย’

‘ชื่อเพราะ’ เขาชมสั้นๆ พลางจิบแอลกอฮอล์ในมือจนหมดแก้ว แล้วหันไปมองหน้าคนในอ้อมแขนอย่างสำรวจท่ามกลางแสงไฟสลัว เห็นปลายจมูกโด่งเชิดรั้นรับกับริมฝีปากอวบอิ่มที่เคลือบด้วยลิปสติกสีส้มอิฐ สีเดียวกันกับที่แต่งแต้มบนพวงแก้มอิ่ม

‘สวย’

‘คะ?’

‘เธอสวย’ คนที่สติไม่เต็มร้อยเอ่ยชมอีกครั้งอย่างพอใจ ก่อนใช้มือใหญ่เชยปลายคางเรียวให้หันมาสบตา ทำเอาหญิงสาวถึงกับตัวสั่น ยามสบเข้ากับดวงตาคมที่ฉายแววความปรารถนา ด้วยกลัวว่าเขาจะจำเธอได้

‘คืนนี้...ไปด้วยกันได้ไหม’

มนยาไม่ได้ตอบ แต่จ้องใบหน้าคมสันนิ่ง ปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบ หลังตัดสินใจดีแล้วว่าเธอจะยอมออกไปกับเขา

‘ไม่ตอบ แปลว่าตกลงนะ’

‘ค่ะ’

‘เด็กดี’ คนร่างสูงใหญ่เอ่ยชมแล้วฉกริมฝีปากหนาลงบนริมฝีปากบางแผ่วเบา ก่อนกดแนบแน่นและตรึงใบหน้าสะสวยไว้ด้วยมือหนาเนิ่นนาน แบบที่หญิงสาวเองก็หลับตาพริ้มรอรับจุมพิตหนักหน่วงอย่างยินยอมพร้อมใจ

มนยาซบใบหน้าลงบนต้นแขนที่วางอยู่บนเข่าที่ตั้งชันขึ้นด้วยความสับสนในหัวใจ แม้จะเป็นเหตุการณ์ฉาบฉวยที่เกิดขึ้นชั่วคราว และทำให้เธอดูเป็นผู้หญิงใจง่าย ยอมตกเป็นของเขาอย่างง่ายดายทั้งที่เจอหน้ากันได้ไม่กี่ชั่วโมง แต่นั่นเป็นสิ่งที่มนยาต้องการและเธอตัดสินใจดีแล้ว เพราะอย่างน้อยเธอก็ได้เป็นของคนที่เธอรัก แม้ว่าเขาอาจจะไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของเธอเลยก็ตาม

 

ร่างเพรียวบางในชุดเสื้อยืดกับกางเกงยีนรัดรูปก้าวออกจากบ้านหลังซอมซ่อแต่เช้าตรู่ หลังทำกับข้าวง่ายๆ อย่างไข่เจียวหมูสับเตรียมไว้ให้มารดาเสร็จเรียบร้อยแล้ว วันนี้เธอมีถ่ายแบบกับผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งตอนเก้าโมงเช้า นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องรีบออกจากบ้าน และอีกเหตุผลหนึ่งคือเลี่ยงการเผชิญหน้ากับมารดาตอนที่อีกฝ่ายไม่เมา เพราะมนยาไม่อยากรับรู้ถึงความเกลียดชังจากมนฤดีจริงๆ

หญิงสาวเดินลิ่วๆ อย่างไม่รีรอไปบนถนนคอนกรีตที่ยังโล่ง ปราศจากยานพาหนะต่างๆ จุดหมายคือป้ายรถโดยสารหน้าปากซอยที่อยู่ไกลออกไปราวหนึ่งกิโลเมตร แต่กระนั้นมนยาก็เลือกเดินแทนที่จะเรียกมอเตอร์ไซค์วิน เพราะจะประหยัดเงินไปได้ถึงสิบบาท พอนึกถึงเหตุผลที่เธอไม่มีเงินเก็บทั้งที่เป็นคนประหยัดอดออมแล้วก็เหนื่อยหัวใจ สาเหตุก็เป็นเพราะมนฤดี เนื่องจากมารดามักจะรีดไถเงินเธอไปเข้าบ่อนเสมอ ไม่ว่าเธอจะแอบเก็บเงินไว้ยังไงก็ตาม พอเธอไม่ให้ มารดาก็เอาโฉนดที่ดินไปจำนองในราคาสูงลิ่ว จนเธอต้องหาเงินไปไถ่คืนมาเพราะมันเป็นสมบัติชิ้นเดียวในชีวิต แม้มันจะไม่มากมายสักเท่าไหร่นัก แต่มันก็เป็นที่ที่เธอเรียกว่าบ้าน

ดังนั้นเงินที่ได้จากการทำงานของมนยาจึงหมุนเวียนอยู่แบบนี้ ซึ่งเธอต้องผ่อนค่าบ้านพร้อมด้วยดอกเบี้ยแพงมหาโหดตกเดือนละหนึ่งหมื่นสามพันบาทอีกเกือบหนึ่งปี กว่าโฉนดเล่มนั้นจะกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง

ร่างเพรียวบางทรุดนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกบริเวณป้ายรถโดยสารเป็นคนแรก พลางทอดสายตามองถนน

หนทางที่ยังไม่มีการจราจรแออัดอย่างเหม่อลอย ก่อนผู้โดยสารคนอื่นจะทยอยเดินออกมารอรถเช่นเดียวกัน และในขณะที่นั่งรอรถโดยสารสาธารณะที่ให้บริการฟรีอยู่นั้น พลันโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายก็ส่งเสียงดังขึ้น หญิงสาวจึงหยิบมันขึ้นมากดรับและกรอกเสียงลงไปอย่างรวดเร็ว

“สวัสดีค่ะเจ๊”

“สมาย ตื่นหรือยังจ๊ะ วันนี้หนูมีงานที่ห้างเดอะเมซพารากอนนะ” แก้วเกล้า สาวประเภทสองร่างใหญ่ เจ้าของมอเดลลิงต้นสังกัดที่ออกจะเอ็นดูมนยาเป็นพิเศษส่งเสียงร้องเตือนแจ้วๆ มาตามสาย

“ตื่นแล้วค่ะ มายนั่งรอรถโดยสารอยู่”

“โอ๊ย ตื่นเช้ามาก ขยันอะไรเบอร์นั้นกันนักหนาจ๊ะ แม่พริตตีคนดี”

มนยาชะงักไปเล็กน้อย ยามนึกถึงเหตุผลที่รุ่นพี่เอ่ยถาม หญิงสาวรู้ว่าแก้วเกล้าไม่ได้ตั้งใจพูดจี้ใจดำ เพียงแต่ปมในชีวิตเธอมีมากเกินไปก็เท่านั้นเอง

“เหตุผลเดียว เหตุผลเดิมเลยค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงเนือยๆ ทำเอาปลายสายถึงกับเงียบไป

“แม่เราไม่เพลาๆ ลงบ้างเลยเหรอ ยังดื่มหนักอยู่อีกหรือไง”

“ค่ะ เหมือนจะหนักกว่าเดิมด้วย”

“เจ๊อยากให้เราทบทวนเรื่องการย้ายออกมาอยู่คอนโดอีกหน่อยนะสมาย เจ๊รู้ว่าหนูอยากอยู่ดูแลแม่ แต่การที่หนูอยู่กับเขาตอนนี้มันก็แทบไม่ต่างอะไรกับการไม่อยู่อยู่แล้ว”

คำพูดประโยคสุดท้ายของแก้วเกล้าไม่ต่างอะไรกับมีดที่ปักซ้ำๆ ลงบนหัวใจที่แหลกลาญของเธอ อยู่ก็เหมือนไม่ได้อยู่ เพราะมนฤดีไม่เคยไยดีการมีชีวิตอยู่ของเธออยู่แล้ว

“เจ๊ไม่ได้ตอกย้ำหนูนะสมาย” เจ้าของมอเดลลิงเอ่ยขึ้นอย่างกังวลใจ เมื่อได้ยินเพียงความเงียบตอบกลับมา

“มายรู้ค่ะ” หญิงสาวรับคำพร้อมกับยิ้มขมขื่น “มายไม่โกรธหรอก เพราะเจ๊พูดเรื่องจริง”

“เจ๊เป็นห่วงหนู และรักหนูเหมือนน้องเหมือนนุ่ง ที่เจ๊พูดก็เพราะห่วงใยหนูนะ”

“ขอบคุณนะคะเจ๊เกล้า”

“จ้ะ คิดดูให้ดีเรื่องที่พัก ถ้าจะย้ายออกเมื่อไหร่ก็บอกได้ เจ๊หาคอนโดให้หนูได้ทันทีเลย”

“ค่ะ” มนยารับคำไปอย่างนั้น แต่ยังไม่คิดจะย้ายออกจริงๆ เพราะยังไม่สามารถตัดห่วงเรื่องมารดาได้

“งั้นเดี๋ยวเจอกันที่งานนะจ๊ะ”

“ค่ะเจ๊” หญิงสาวรับคำ ก่อนจะกดวางสายด้วยสีหน้าดีขึ้น แม้ชีวิตเธอจะไม่ราบรื่นนัก แต่อย่างน้อยๆ ก็ยังรายล้อมไปด้วยคนดีๆ ที่หวังดีกับเธอจริงๆ

หญิงสาวหย่อนโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าสะพายแล้วขยับตัวนั่งหลังตรง พลางชะเง้อคอมองรถโดยสารที่ยังไม่โผล่มาเสียที แต่แล้วรถสปอร์ตคันหรูที่แล่นเข้ามาในสายตาก็ทำเอาหญิงสาวรีบหันหนีแทบไม่ทัน ก่อนจะนั่งตัวแข็งทื่อ เมื่อรถคันนั้นเลี้ยวปราดเข้าจอดเทียบฟุตพาทใกล้ๆ ก่อนที่ผู้ชายตัวสูงที่นั่งห่างออกไปจะผุดลุกขึ้น แล้วเดินตรงไปที่รถยนต์คันหรูพร้อมๆ กับที่กระจกรถสีทึบเลื่อนลง

เขามาทำอะไรแถวนี้!

มนยาร้อนรนเสียจนแทบอยากจะลุกหนี แต่ถ้าเธอลุกขึ้นก็จะยิ่งทำให้เป็นที่ผิดสังเกต หญิงสาวจึงทำใจกล้านั่งอยู่เฉยๆ ฟังเสียงสนทนาของทั้งคู่อยู่นิ่งๆ

“ขอโทษที่รบกวนให้มารับนะพี่แบงค์ รถผมมันเกเรกะทันหันจริงๆ”

“เฮอะ รถโกโรโกโสพรรค์นั้น ขายเป็นเศษเหล็กจะได้สักกี่บาทวะ”

“โด่พี่ อย่ามาว่ารถผมนะ” คนเป็นรุ่นน้องเกาะประตูรถกระทืบเท้าเร่าๆ และใบหน้ายับยุ่ง ทำเอาคนมองหัวเราะร่า

“ทำท่างอนเป็นตุ๊ดเลยมึง”

“ก็พี่ว่ารถผมนี่”

“แล้วมึงจะไปกับกูไหม”

“ไปสิพี่”

“จะไปก็ขึ้นมาเร็วๆ เลยมึง เดี๋ยวรถเมล์มาด่า” อีกฝ่ายเอ่ยเร่งเสียงเข้ม ชายร่างผอมสูงจึงรีบขึ้นไปนั่งบนรถอย่างรวดเร็ว

มนยาเหลือบตาขึ้นมองเมื่อรถคันนั้นยังไม่เคลื่อนออกไปในทันที ได้ยินเพียงเสียงแว่วๆ ดังมา

“มีอะไรหรือพี่ มองคนรู้จักเหรอ”

เธอไม่ได้ยินเสียงเจ้าของรถเอ่ยตอบ และเบี่ยงหน้าหลบอีกนิด เมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ดังขึ้นแล้วแล่นห่างออกไป ถึงได้หันไปมองท้ายรถยนต์คันหรูที่แล่นห่างออกไปด้วยความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจ

เขากับเธอดูแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น