3

บทที่ 3


 

3

 

ท่ามกลางกลุ่มคนมากมายที่กำลังยืนเบียดเสียดกันวุ่นวายอยู่เต็มสถานีรถไฟฟ้ากลางกรุงในชั่วโมงเร่งด่วน มีร่างเพรียวระหง สัดส่วนได้รูปชวนมองในชุดเสื้อยืดเอวลอยพอดีตัว โชว์ช่วงเอวบอบบางซึ่งโผล่วับแวมจากขอบกางเกงยีนเอวต่ำแบบสกินนีสีดำ กำลังยืนก้มหน้าก้มตาอยู่หลังเส้นกั้นด้วยท่าทีคร่ำเคร่ง ดวงตากลมจดจ้องโทรศัพท์ในมือนิ่ง ไม่ได้เห็นสายตาคนรอบข้างที่จับจ้องเธออย่างเป็นจุดสนใจแม้สักนิดเดียว ขณะที่นิ้วยาวเรียวปัดหน้าจอโทรศัพท์มือถือด้วยท่าทางคล่องแคล่วว่องไว เพ่งสายตาอ่านข้อความในโปรแกรมแชตแบบกลุ่มที่มีสมาชิกเป็นบรรดาพริตตีในสังกัดของแก้วเกล้าร่วมสามสิบชีวิต

 

เจ๊เกล้า_KK : งานถ่ายแบบโฆษณาคู่กับรถสปอร์ตที่บีเอ็นคาร์สออโต้อิมพอร์ตบ่ายโมงตรง รับหนึ่งคน ค่าแรงเจ็ดพัน หักหนึ่งพัน ขอคนผิวขาว สูงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตรขึ้นไป

 

ทันทีที่อ่านข้อความจบมนยาก็รีบรัวนิ้วตอบกลับอย่างรวดเร็ว อาศัยช่วงเวลาที่เพื่อนร่วมงานคนอื่นยังคงนอนหลับใหลชิงตอบรับงานทันที

 

สมาย_มนยา : สมายรับค่ะ

 

และโปรแกรมก็ขึ้นว่าข้อความถูกอ่านแล้วทันที ตามมาด้วยข้อความสั้นๆ เป็นการรับทราบ ก่อนโทรศัพท์มือถือในมือเธอจะสั่น แสดงหมายเลขสิบหลักของปลายสาย เธอจึงรีบกดรับและกรอกเสียงลงไป

“ค่ะเจ๊เกล้า”

“ใจคอจะรับทุกงานเลยหรือสมาย ไม่คิดจะพักผ่อนบ้างหรือไง” เสียงแก้วเกล้าดังลอดมาตามสายเป็นเชิงเย้าแหย่

มนยายิ้มบางๆ ก่อนตอบเสียงกลั้วหัวเราะ “สมายทำไหวค่ะ”

“จ้า เจ๊รู้ว่าหนูทำไหว แต่ทำงานงกๆ แบบนี้มีเงินหักเก็บบ้างหรือเปล่าฮึ” ปลายสายท้วงถามมาอย่างห่วงใย

มนยาเดินไหลตามฝูงชนเข้าไปยืนภายในรถไฟฟ้าที่ยังไม่แออัดเท่าไหร่นัก โดยเลือกยืนอยู่ตรงบริเวณริมประตูรถไฟฟ้าอีกด้านซึ่งปลอดคน

“มายก็แบ่งออมอยู่บ้างค่ะ แต่ก็ไม่ได้มากมายเท่าไหร่”

“เก็บๆ บ้างสิ ช่วงไหนงานน้อยจะเดือดร้อนเอานะ”

“มายจะพยายามค่ะเจ๊ แต่ภาระค่าบ้านก็เยอะอยู่ ไหนจะค่าน้ำค่าไฟอีก ค่ามือถือก็ยังผ่อนไม่หมดเลย” มนยาร่ายยาวอย่างไม่อาย ยังแอบนึกภูมิใจลึกๆ ที่ตัวเองสามารถหาเงินมาจ่ายภาระต่างๆ ได้

“แค่ฟังก็เหนื่อยแทนแล้ว”

“ขอบคุณเจ๊ที่เป็นห่วงนะคะ ช่วยหางานให้มายเยอะๆ ก็พอ”

“เจ๊ไม่หา ลูกค้าก็เรียกเราบ่อยอยู่แล้ว” ปลายสายแค่นน้ำเสียงติดชื่นชม “แล้วช่วงนี้แม่เราเป็นยังไงบ้าง”

“ก็เหมือนเดิมค่ะ ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ นี่มายก็แอบเอาเก็บเงินค่ารักษาพยาบาลเผื่อไว้”

“แอบจิ๊กแบบนั้น เดี๋ยวแม่เราก็สงสัยเอาหรอกว่าทำไมได้เงินน้อย” แก้วเกล้าเอ่ยปรามมาตามสายอย่างห่วงใย

“งั้นมายจะโกหกแม่ว่าช่วงนี้ไม่มีงาน”

“แล้วแน่ใจนะว่าแม่เราจะไม่หาเรื่องทะเลาะอีก”

“ทะเลาะก็ต้องทะเลาะค่ะ มายไม่รู้ว่าไอ้เหล้าที่แม่กินเข้าไปมันจะออกฤทธิ์ขึ้นมาเมื่อไหร่ เงินที่เก็บไว้ก็เผื่อไว้รักษาท่านนี่แหละค่ะ หากวันหนึ่งป่วยแล้วต้องเข้าโรงพยาบาลขึ้นมาจริงๆ”

“ประเสริฐจริงแม่คุณเอ๊ย” แก้วเกล้าทำเสียงล้อเลียนจนมนยาหลุดหัวเราะ ซึ่งกิริยาเผลอไผลของหญิงสาวนั้นทำเอาผู้โดยสารหนุ่มคนหนึ่งที่แอบมองเธออยู่หน้าแดง

“ถ้าเป็นเจ๊นะ ป่านนี้ลอยแพนานแล้ว” คนเป็นรุ่นพี่แค่นเสียงอย่างไม่ค่อยเกรงใจ ด้วยรู้ฤทธิ์มารดาของหญิงสาวพอสมควร

แต่กระนั้นมนยาก็ยังเอ่ยแย้ง “ยังไงท่านก็ยังเป็นแม่ของมายนี่คะ”

“จ้ะๆ เจ๊ไม่เถียง” อีกฝ่ายบอกอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ก่อนถามไถ่ “แล้วนี่ตอนเช้ามีงานก่อนใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ มายกำลังไป ตอนนี้อยู่บนรถไฟฟ้า อีกสิบนาทีน่าจะถึงค่ะ”

“ตั้งใจทำงานละกัน เจ๊ฝากงานคุณแทนไว้แล้ว”

“ค่ะเจ๊” มนยารับคำอย่างไม่อิดออด รับรู้ถึงความห่วงใยที่อีกฝ่ายมอบให้มาตลอด

“แล้วนี่ตอนบ่ายจะไปต่อยังไง”

“มายขึ้นรถเมล์ไปได้ค่ะ”

“ถ้างานชุกแบบนี้นะ เจ๊แนะนำให้ซื้อรถมือสองมาขับสักคันดีไหม สะดวกดีด้วย”

มนยาย่นจมูกเล็กน้อยหลังได้ฟังคำแนะนำของอีกฝ่าย “เจ๊พูดเหมือนไม่รู้จักมายดี มายขับรถเป็นที่ไหน”

“ฝึกขับแป๊บเดียวเองจ้ะ สะดวกสบายดีด้วย”

“ไม่เอาหรอกค่ะ เสียเวลาทำงาน โดยสารรถเมล์ รถแท็กซี่ดีกว่า เร็วดีด้วย”

“จ้า แม่เวิร์กกิงวูแมน จะรับงานอะไรก็ดูเอาหน่อยละกันนะ เจ๊เป็นห่วง”

“ค่า ขอบคุณเจ๊เกล้ามากนะคะ”

“จ้ะ ถ้าถึงที่ทำงานแล้วส่งข้อความบอกเจ๊ด้วยนะ”

“รับทราบค่ะ” มนยาบอกส่งท้ายก่อนกดวางสายพร้อมด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่จุดขึ้นบนริมฝีปาก ดีใจที่อย่างน้อยก็มีคนคอยเป็นห่วงเธอจริงๆ แม้อีกฝ่ายจะคอยยุให้เธออกตัญญูต่อมารดาอยู่เรื่อยก็ตาม ซึ่งมนยาก็ไม่เคยถือโทษโกรธอะไร เพราะรู้ว่าแก้วเกล้าหวังดี ไม่อยากเห็นเธอถูกมารดาทำร้ายจิตใจ

มือเรียวหย่อนโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟฟ้า เห็นยอดตึกสูงต่ำสลับกันเต็มไปหมดดูละลานตา ทั้งอะพาร์ตเมนต์ ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และคอนโดหรูหราหลายสิบชั้นที่ตั้งตระหง่านสลับกันเป็นดอกเห็ด คาดหวังว่าสักวันเธอจะต้องมีเงินมากพอที่จะซื้อมันให้ได้สักห้อง เธอจะได้หลุดออกจากวงโคจรเดิมๆ มีที่ซุกหัวนอนที่อบอุ่น ไม่ต้องมาคอยระแวดระวังพวกขี้ยาข้างบ้าน หรือพวกคุมบ่อนที่มาตามทวงหนี้มารดาและเข้านอกออกในบ้านเธออย่างไม่เกรงใจ ซึ่งเป็นสักวันที่มนยาเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กัน

เท้าเรียวในรองเท้าคัตชูแบบใสอวดเท้าเปลือยก้าวตามผู้โดยสารคนอื่นออกไป เมื่อมาถึงสถานีจุดหมาย ก่อนก้าวฉับๆ ตรงไปยังสตูดิโอแห่งหนึ่ง ซึ่งใช้เป็นสถานที่ถ่ายแบบปกนิตยสารแนวเซ็กซี่ ที่เธอได้รับงานไว้พร้อมด้วยค่าแรงแพงลิบ ซึ่งจำนวนเงินมากมายที่ได้รับหมายถึงการเปิดเผยเนื้อตัวที่มากขึ้นด้วย และมนยาจะต้องทำใจรับให้ได้

“สวัสดีค่ะ” คนเสียงใสร้องทักทายอย่างร่าเริงทันทีที่ผลักประตูสตูดิโอเข้าไป หญิงสาวรีบฉีกยิ้มหวานนำไปก่อน ยามที่บรรดาทีมงานของทางนิตยสารหันมามอง ก่อนจะได้รับรอยยิ้มตอบกลับมาเช่นเดียวกัน

“น้องสมายทานอะไรมาหรือยังคะ พี่ซื้อสลัดติดมือมาด้วย หนูจะทานก่อนไหม” ทีมงานสาวร่างอวบเดินดิ่งเข้ามาหาหญิงสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วเอ่ยถามอย่างห่วงใย

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวมายไปเปลี่ยนชุดเลยดีกว่า” มนยาปฏิเสธอย่างเกรงใจ เพราะไม่บ่อยนักที่กองถ่ายแบบจะเตรียมอาหารไว้ให้แบบนี้

“แต่คุณแทนยังนั่งทานมื้อเช้าอยู่เลยจ้ะ อีกเป็นชั่วโมงกว่างานจะเริ่ม ไปทานอะไรสักหน่อยดีกว่า”

“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ มายเกรงใจ” หญิงสาวปฏิเสธพร้อมกับยิ้มบางๆ

“เกรงใจอะไรกันคะ พี่ๆ เตรียมไว้ให้” อีกฝ่ายคะยั้นคะยอ “ไปเถอะค่ะ ไปหาอะไรกินรองท้องสักหน่อย”

“ถ้างั้นก็ได้ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ”

“จ้ะ เชิญทางนี้เลย” ทีมงานสาวบอกพลางผายมือแล้วเดินนำมนยาไปยังห้องรับรองของสตูดิโอที่จัดเป็นห้องรับประทานอาหารชั่วคราว มีทั้งกาแฟสด ขนมปัง อาหารเช้าแบบอเมริกันที่มีทั้งสลัด แฮม ไส้กรอก และไข่ดาว รวมทั้งแซนด์วิชหลากหลายไส้

ทันทีที่มนยาผลักประตูเข้าไป ร่างสูงที่นั่งเด่นอยู่ท่ามกลางนางแบบสาวสวยอีกสองสามคนก็เงยหน้าขึ้นมามองและยกมือขึ้นโบกทักทายเธอ เธอจึงส่งยิ้มตอบกลับไป และจำต้องเดินเข้าไปร่วมโต๊ะกับเขาอย่างเสียไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าจะถูกเพ่งเล็งจากนางแบบคนอื่นที่หันมาเมียงมอง เนื่องจากช่างภาพหนุ่มหล่ออย่างภวิศเป็นที่หมายปองของบรรดานางแบบทั่ววงการ

“สวัสดีค่ะพี่แทน” มนยายกมือขึ้นไหว้ทักทายอีกฝ่ายอย่างให้ความเคารพ เป็นการสร้างช่องว่างระหว่างกันให้มากขึ้น ซึ่งเขาก็รับไหว้เธออย่างไม่ติดใจอะไร

“สมายเพิ่งมาหรือครับ ทานอะไรมาหรือยัง” ตากล้องหนุ่มเอ่ยถามทันทีที่หญิงสาวทรุดนั่งลง

“ยังค่ะ พอดีพี่เขาชวนมาทานสลัด”

“เอากาแฟไหม” ภวิศถามพลางชูแก้วกาแฟในมือขึ้น

มนยาส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ดีกว่าค่ะ มายไม่ดื่มกาแฟ”

“แล้วนี่มายังไง รถไฟฟ้าหรือแท็กซี่”

“รถไฟฟ้าค่ะ ขึ้นต่อเดียวถึงเลย” หญิงสาวตอบคนช่างซักยิ้มๆ ตามมารยาท

“เช้าแบบนี้ คนไม่เยอะแย่เลยหรือ”

“ยังไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ค่ะ”

“แล้ว...” ภวิศลากเสียงหยั่งเชิง ก่อนเอ่ยหยอดทีเล่นทีจริง “เมื่อไหร่จะสนใจอยากนั่งรถยนต์ส่วนตัวบ้างล่ะครับ รถพี่ว่างนะ พร้อมรับส่งตลอดเวลาด้วย”

“ขอบคุณนะคะ แต่มายยังชอบใช้ขนส่งสาธารณะมากกว่า”

“นกอีกแล้วแฮะ” ภวิศพึมพำเสียงเบา

มนยาหัวเราะแผ่วๆ ก่อนหันไปขอบคุณทีมงานของทางนิตยสารที่ยกจานสลัดออกมาเสิร์ฟ แล้วก้มหน้าก้มตาสนใจแต่จานอาหารของตัวเอง

“แล้ววันนี้มีงานกี่งานหรือครับ” คนตัวสูงชวนคุยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย มองหญิงสาวใช้ส้อมจิ้มผักสลัดสดกรอบเข้าปากพลางๆ ด้วยสายตาพึงใจ

“สองค่ะ มีถ่ายแบบโฆษณาตอนบ่ายอีกหนึ่งงาน”

“แล้วไปยังไงล่ะครับ พี่ขอไปส่งได้ไหม”

“คะ?” คิ้วสวยเลิกขึ้นสูง ก่อนที่เธอจะหันไปมองหน้าคนพูดอย่างแปลกใจ เพราะวันนี้ภวิศไม่เว้นช่องว่างให้เธอได้เอ่ยปฏิเสธเหมือนเช่นทุกครั้ง

“ไม่ได้หรือครับ” ชายหนุ่มถามพร้อมกับยิ้มบางๆ

คำว่า ‘นก’ ของเขาเมื่อครู่ทำให้มนยาไม่กล้าพูดหักหาญน้ำใจเขาตรงๆ จึงเลี่ยงถามออกไป

“แล้ว...พี่แทนไม่มีงานต่อหรือคะ”

“พี่ว่างครับ”

“เอ่อ...” มนยาอ้ำอึ้ง ทำเอาภวิศที่มองอยู่รู้สึกผิดที่ความดึงดันของตัวเองทำให้หญิงสาวต้องลำบากใจ แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยปากว่าไม่เป็นไรเหมือนเช่นทุกครั้งที่ถูกปฏิเสธ มนยาก็หันมาบอกกับเขาเสียก่อน

“ถ้าไม่เป็นการรบกวนพี่แทนจนเกินไป งั้นก็ได้ค่ะ”

“ครับ” เขารับคำอย่างออกจะงุนงง ก่อนจะรีบเปลี่ยนน้ำเสียง ด้วยกลัวว่ามนยาจะเปลี่ยนใจ “ยินดีครับ”

“ค่ะ” มนยายิ้มรับบางๆ แล้วนั่งกินสลัดในจานต่อจนหมด โดยมีภวิศคอยนั่งเป็นเพื่อนคุย ก่อนจะแยกย้ายกันเมื่อถึงเวลาเริ่มงาน

ภวิศไปประจำที่ของช่างภาพ ขณะที่มนยาต้องสลัดภาพลักษณ์ตัวเองออก เปลี่ยนไปสวมใส่เสื้อผ้าที่ทางนิตยสารได้ตระเตรียมไว้ รวมถึงสวมบทบาทเป็นนางแบบมืออาชีพที่รับมือกับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี โดยซ่อนความรู้สึกระคายใจไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย

 

การถ่ายแบบเซตแรกเริ่มขึ้นบนเตียงนอน มนยาอยู่ในชุดสปอร์ตบาร์สีดำสนิทอวดเนินอกอวบอิ่ม หน้าท้องแบนราบและช่วงเอวคอด รับกับสะโพกผายในกางเกงขาสั้นตัวจิ๋วรัดรูป ก้าวขึ้นนั่งบนเตียงนอนที่ปูด้วยผ้าห่มนวมสีขาวสะอ้าน โดยมีฉากหลังเป็นผ้าม่านผืนใหญ่สีครีม มีแสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบเรือนกายแบบบาง ให้ภาพได้ตรงตามคอนเซปต์ sexy morning ของทางนิตยสารเป็นอย่างดี ซึ่งทันทีที่ชัตเตอร์ในมือภวิศลั่น ความเป็นมืออาชีพของมนยาก็เริ่มขึ้นทันที แบบที่ทำให้การถ่ายเซตสอง สาม และสี่ผ่านไปอย่างง่ายดาย

“น้ำส้มค่ะน้องสมาย” ทีมงานคนเดิมนำน้ำส้มคั้นแก้วโตมาเสิร์ฟ ขณะที่มนยากำลังเช็ดเครื่องสำอางอยู่ภายในห้องแต่งตัว รอภวิศที่ยังทำงานไม่เสร็จไปพลางๆ

“ขอบคุณมากเลยนะคะ”

“พี่ยินดีจ้ะ ถ้าน้องสมายอยากได้อะไรเพิ่มเติมก็บอกได้เลยน้า” อีกฝ่ายบอกอย่างใจดี ก่อนเอ่ยชมเสียงแจ๋ว “วันนี้น้องสมายสวยมากเลยน้า แถมยังเซ็กซี่สุดๆ เลย”

“ขอบคุณนะคะ”

“จ้ะ ถ้างั้นเดี๋ยวพี่ขอตัวไปทำงานก่อนนะ มีอะไรก็เรียกได้เลย”

“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า และมองส่งฝ่ายนั้นไปจนลับตา ก่อนหยิบแก้วน้ำส้มเย็นเฉียบขึ้นมาจิบพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในใจ ยามที่ได้เจอกับคนที่เข้ามาทำดีด้วยมากๆ แบบนี้ เพราะประสบการณ์ในการทำงานที่ผ่านมาเตือนว่าคนประเภทนี้มักไม่น่าไว้ใจ

ครืด...ครืด...

มนยาก้มมองโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่น เห็นภาพใบหน้าสวยใสของเพื่อนสนิทโชว์หราอยู่เต็มหน้าจอ จึงรีบกดรับและกรอกเสียงทักทายลงไปอย่างไม่รีรอ เพราะครั้งสุดท้ายที่เจอกัน จำได้ว่าฝ่ายนั้นไปต่างประเทศ

“ว่าไง...”

“แกอยู่ไหน ออกมาเจอกันหน่อยสิ” เสียงแจ้วๆ จากปลายสายดังสวนมาอย่างรวดเร็ว แต่แทนที่มนยาจะตอบกลับถามไปอีกทาง

“กลับมาเมืองไทยแล้วหรือ”

“แกถามเหมือนว่าฉันจะไปตั้งรกรากอยู่ที่ญี่ปุ่น แค่ไปเที่ยวย่ะ ไม่ได้ย้ายบ้าน”

“จ้า เที่ยวเป็นเดือนๆ” มนยาค่อนเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย ตอบฉันมาก่อนว่าจะออกมาเจอกันหน่อยได้ไหม”

“ถ้าแกอยากเจอฉันควรนัดล่วงหน้าสักสองอาทิตย์นะคะ จะได้เคลียร์คิวให้”

“โอ๊ย เบื่อคนคิวทองมาก” โชติกาค่อนแคะ ก่อนจะย้ำถามอีกรอบ “แล้วตกลงว่ามาไม่ได้เหรอ”

“ติดงานน่ะ ไปไม่ได้จริงๆ”

“เซ็งจัง” เพื่อนสนิททำเสียงเบื่อหน่าย และป่านนี้คงจะกำลังทำตาปะหลับปะเหลือกอยู่ “แล้วฉันจะได้เจอแกเมื่อไหร่ยะ เราไม่เจอกันนานแล้วนะ”

“ช่วงนี้งานแน่นมากเลยน่ะ เดี๋ยวต้องขอเช็กตารางงานก่อน”

“เพลาๆ บ้างก็ได้ ทำงานหนักไปก็ใช่ว่าจะได้ใช้เงินมากมายเสียหน่อย”

“ก็ฉันมีภาระ” มนยาแย้ง

ปลายสายรับคำอย่างเสียไม่ได้ “จ้ะ แม่คนขยัน แล้วช่วงนี้แม่เป็นไงบ้างล่ะ ดีขึ้นบ้างหรือยัง”

คนถูกถามเงียบไปด้วยไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี เพราะมารดาไม่ได้มีพฤติกรรมรุนแรงเหมือนเก่า แต่ก็ยังไม่หายขาดจากนิสัยเดิมๆ

“ไม่ต้องตอบละ ฉันพอจะเดาได้”

“มันก็ไม่ได้แย่เหมือนช่วงแรกๆ หรอกน่า”

“ไม่ใช่มันไม่แย่ มันแย่เหมือนเดิม แต่เป็นเพราะแกชินกับมันแล้วต่างหาก” โชติกากระแทกเสียง เธอรับรู้เรื่องราวของเพื่อนมาตลอด เนื่องจากเป็นคนที่อยู่กับมนยาในทุกช่วงชีวิต ตั้งแต่เข้าเรียนมัธยม ตอนที่เพื่อนเป็นที่ยอมรับของทุกคน เพราะมีฐานะร่ำรวยและมีบิดาเป็นถึงข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ จนถึงช่วงเวลาที่มนยาตกระกำลำบากและไม่เหลือใคร แต่โชติกาก็ยังคงอยู่เคียงข้างมนยาเสมอ เพราะไม่เคยคิดจะคบเพื่อนจากฐานะ

“ฉันจะไม่พูดมาก เพราะรู้ว่าพูดไปก็เท่านั้น แต่ขอให้แกดูแลตัวเองดีๆ ถ้าเป็นไปได้ อยากให้แกซื้อปืนติดตัวไว้สักกระบอก”

“จะบ้าเหรอ!” มนยาร้องอย่างตกใจ

“ไม่บ้าหรอก สังคมตรงนั้นที่แกอยู่มันสุ่มเสี่ยงจะตาย จะว่าไป ฉันสั่งซื้อปืนให้แกเลยดีกว่า”

“อย่านะไอ้โช แกจะให้ฉันพกไว้ลั่นใส่ตัวเองหรือไง ใช้ก็ใช้ไม่เป็น”

“โว้ย แกนี่มันน่ามันเขี้ยว ไอ้นู่นก็ไม่เอา ไอ้นี่ก็ไม่เอา”

“เอาน่า ฉันดูแลตัวเองได้ แกไม่ต้องเป็นห่วง” มนยาบอกให้เพื่อนคลายกังวล ก่อนจะได้ยินปลายสายบ่นเสียงอู้อี้ดังลอดมาเร็วๆ จนไม่สามารถจับใจความได้ เธอจึงรีบพูดตัดบท

“เดี๋ยวฉันต้องไปทำงานต่อแล้วละ ค่อยคุยกันนะ”

“ไม่ต้องโทร. มาล่ะ ถ้าแกอยากเจอฉันก็มาหาฉันเลย” โชติกามัดมือชก

มนยาหลุดหัวเราะ ก่อนจะรับปากอย่างเสียไม่ได้ “โอเคๆ ถ้าฉันไปเมื่อไหร่จะโทร. ไปบอกนะ”

“อือ อย่าให้รอนานจนมีน้ำโหนะยะ”

“จ้า” หญิงสาวลากเสียงยาวพร้อมยิ้ม ก่อนจะกดวางสายในที่สุด แล้วจึงหันกลับไปลบเครื่องสำอางออกจากใบหน้าตามเดิมเพื่อให้เสร็จทันก่อนที่ภวิศจะเสร็จงานและไปส่งเธอที่โชว์รูมรถยนต์ซึ่งใช้เป็นสถานที่ถ่ายแบบอีกงานของวันนี้

 

“ขอบคุณพี่แทนมากนะคะที่มาส่ง” มนยาเอ่ยขึ้นยามที่ภวิศชะลอความเร็วรถลงและจอดเทียบฟุตพาทหน้าโชว์รูมรถหรูสไตล์โมเดิร์นหลังใหญ่

“จะไม่ให้พี่ลงไปเป็นเพื่อนจริงๆ เหรอ”

“ไม่เป็นไรค่ะ มายเกรงใจ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ” ภวิศรับคำง่ายๆ ทั้งที่ในใจอยากจะเสนอตัวแทบแย่ แต่กลัวว่ามนยาจะผลักช่องว่างใส่มากกว่าเดิม จึงปลอบใจตัวเองว่าวันนี้ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว

“ถ้าเลิกงานเย็นแล้วไม่มีรถกลับ ก็โทร. หาพี่ได้นะครับ”

“ขอบคุณมากค่ะ แต่มายไม่รบกวนดีกว่า” มนยาบอกก่อนจะเปิดประตูรถยนต์ลงไปยืนอยู่ริมฟุตพาท

ภวิศเลื่อนกระจกรถลง ยื่นหน้าออกมาเอ่ยว่า “งั้นพี่ไปก่อนนะ”

“ค่ะ ขับรถดีๆ นะคะ” มนยาบอกยิ้มๆ ก่อนยืนรอจนกระทั่งภวิศขับรถออกไป จึงได้หมุนตัวเดินไปตามถนนคอนกรีตที่ทอดตัวขนานกับสนามหญ้าสีเขียวขจีตรงไปยังโชว์รูม ซึ่งเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสไตล์โมเดิร์น กรุด้วยกระจกบานใหญ่ใสแจ๋ว ทำให้มองเห็นรถยนต์หรูหลายสิบคันจอดอวดโฉมอยู่ด้านใน มีตัวอักษรภาษาอังกฤษและตัวเลขเก้าหลัก ซึ่งเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของทางโชว์รูมตั้งตกแต่งเด่นหราอยู่ที่บริเวณด้านหน้าอาคาร

มนยายกมือขึ้นผลักประตูกระจกเข้าไปด้านใน พลางกวาดตามองไปทั่วโถงกว้างอย่างสำรวจ ก่อนที่หนึ่งในสามพนักงานสาวในชุดยูนิฟอร์มสีเทาเข้มซึ่งยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์จะหันมาเห็นเธอเข้าจึงรีบเดินมาต้อนรับอย่างรวดเร็ว พร้อมกับร้องทักเสียงหวาน

“สวัสดีค่า”

มนยายกมือขึ้นรับไหว้แทบไม่ทัน ยามที่ฝ่ายนั้นกระพุ่มมือไหว้เธอเสียอ่อนช้อย

“ไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้หรือเปล่าคะ”

“คือ...มาถ่ายแบบน่ะค่ะ” มนยาตอบสั้นๆ

พนักงานสาวอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะอุทานเบาๆ “อ๋อ มาถ่ายแบบโฆษณาใช่ไหมคะ”

“ค่ะ”

“งั้นเชิญทางด้านนี้เลยค่ะ”

พนักงานบอกพลางเดินนำไปยังห้องรับรอง โดยมีมนยาเดินตามไปติดๆ และเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับกลุ่มบุคคลที่คาดว่าเป็นทีมงานของทางโชว์รูมนั่งอยู่สี่คน เป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารักในชุดเดรสสีหวาน สาวประเภทสองหุ่นดี และชายหนุ่มสองคนที่พร้อมใจกันหันมามองมนยาเป็นตาเดียว

“เอพานางแบบมาส่งน่ะค่ะ” พนักงานสาวข้างมนยาเอ่ย

หญิงสาวหนึ่งเดียวในนั้นรีบลุกขึ้น แล้วเดินตรงเข้ามาหามนยา “นางแบบที่มาถ่ายโฆษณาน่ะหรือคะ”

“ใช่แล้วค่ะ”

“งั้นเดี๋ยวเราเริ่มงานกันเลยนะคะ”

มนยายิ้มรับยามที่หญิงสาวในชุดสีสวยหันมาพูดกับเธอ

“บอลกับเป้ไปเช็กแสงรอก่อนก็ได้ เดี๋ยวเรากับพี่จ๋อมแจ๋มพานางแบบไปเปลี่ยนชุดกับแต่งหน้าทำผมก่อน”

“โอเค” ชายหนุ่มสองคนรับคำอย่างไม่อิดออด ก่อนจะขนเครื่องมือเดินนำออกไปก่อนก็หันมาส่งยิ้มให้มนยา หญิงสาวจึงก้มศีรษะรับและส่งยิ้มบางๆ ตอบกลับไป

“งั้นเดี๋ยวเชิญทางนี้เลยค่ะ”

“ค่ะ” มนยารับคำ ก่อนเดินตามคนชวนไปตามทาง โดยมีสาวประเภทสองหน้าสวยถือกระเป๋าเครื่องสำอางเดินตาม

มนยาถูกจับเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้าทำผมเสียใหม่ ใช้เวลาไม่นานก็กลายร่างเป็นพริตตีสาวสวยแสนเฉี่ยวในชุดเดรสสั้นแบบเกาะอกสีดำ อวดช่วงไหล่เปล่าเปลือยขาวผ่อง ตัดกับโชกเกอร์หนังเส้นเล็กประดับเพชรเม็ดกระจิริดตรงลำคอดูกระจุ๋มกระจิ๋ม

“คุณสมายนี่ผิวดีมากเลยนะคะ ผิวเนี้ยนเนียน หน้าก็สวยมากเลย” ช่างแต่งหน้าชมเปาะยามแต่งแต้มเครื่องสำอางลงบนใบหน้าของหญิงสาวที่ยิ้มรับบางๆ

“ขอบคุณค่ะ”

“ว่าแต่คุณสมายอยู่มอเดลลิงไหนหรือคะ”

“เคเคมอเดลลิงน่ะค่ะ ของพี่เกล้า”

“หืม มอเดลลิงดังเสียด้วย” อีกฝ่ายว่าพลางทำตาโต ก่อนหยิบลิปสติกสีแดงสดมาทาลงบนริมฝีปากของหญิงสาวเป็นลำดับสุดท้าย เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ประตูห้องแต่งตัวถูกผลักเข้ามา

“เสร็จหรือยังคะพี่จ๋อมแจ๋ม ช่างภาพพร้อมแล้วค่ะ”

“เสร็จพอดีเลยค่ะคุณน้อง ดูสิคะ คุณสมายสวยมากเลย” เอ่ยพร้อมกับผายมือให้หญิงสาวมองมนยาที่ลุกขึ้นยืน

“สวยจริงๆ ด้วยค่ะ อย่างกับหลุดมาจากนิตยสารเลย”

“คุณฝันก็ชมเกินไปค่ะ แต่ก็ขอบคุณนะคะ”

“ฝันพูดจริงๆ ค่ะ เดี๋ยวยังไงเราไปที่รถกันเลยนะคะ จะได้ให้บอลเช็กแสง”

“ค่ะ” มนยาพยักหน้ารับ ก่อนเดินตามทอฝันออกไปยังจุดถ่ายแบบโฆษณาที่มีรถสปอร์ตคันงามรุ่นใหม่ล่าสุดจอดอยู่ โดยด้านหลังเป็นกำแพงสีเทาเข้ม มีตัวอักษรบ่งบอกชื่อของโชว์รูมติดอยู่

“เดี๋ยวคุณสมายลองยืนพิงกำแพงหน่อยนะครับ ผมจะเช็กแสง”

“ได้ค่ะ” มนยารับคำ ก่อนเดินไปโพสท่าพิงกำแพง โดยมีทอฝันและจ๋อมแจ๋มยืนมองอยู่ที่ด้านหลังช่างภาพหนุ่ม

“เชิดหน้าขึ้นนิดหนึ่งครับ อย่างนั้นแหละ สวย” เสียงทุ้มๆ ดังขึ้นพร้อมเสียงลั่นชัตเตอร์อย่างพอใจยามที่มนยาโพสท่าได้อย่างสวยงาม

พริตตีสาวชะงักไปนิดเมื่อเหลือบไปเห็นร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิทเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวอีกคนและก้มลงกระซิบถามคนตัวเล็กอย่างสนิทสนม ก่อนที่ชายหนุ่มคนนั้นจะเงยหน้ามองตรงมาที่เธอ ทำเอามนยารีบหลุบตาหลบแทบไม่ทันด้วยอาการใจเต้นระรัว ได้แต่หวังว่าเครื่องสำอางบนใบหน้าของตัวเองจะช่วยกลบความเคยคุ้นในอดีตให้หมดไป และได้แต่พร่ำภาวนาในใจว่าขออย่าให้ร่างสูงตรงหน้าจดจำเธอได้เลย

 

บารมีก้าวลงจากรถยนต์ส่วนตัวที่ถอยเข้าซองจอดรถสำหรับผู้บริหารของโชว์รูมด้วยความเร่งรีบ ก่อนก้าวเร็วๆ เข้าไปในตัวอาคารสำนักงานอย่างรวดเร็ว เพราะมาสายเกินเวลานัดหมายกับบวรเวทร่วมครึ่งชั่วโมง เนื่องจากถนนสายที่

มุ่งหน้ามายังโชว์รูมนี้เกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวชนกับรถแท็กซี่ทำให้การจราจรบริเวณนั้นติดขัด และทำให้เขามาสายในที่สุด

“สวัสดีค่า บีเอ็นคาร์สออโต้อิมพอร์ตยินดีต้อนรับค่ะ มีอะไรให้รับใช้ไหมคะ” พนักงานสาวคนหนึ่งรีบเดินตรงเข้ามาหาบารมี ในขณะที่ชายหนุ่มกวาดตามองหาพี่ชายไปทั่วโถงกว้างของโชว์รูม

“คุณบวรเวทอยู่ไหนหรือครับ”

“คะ?” หญิงสาวทำเสียงแปลกใจ

บารมีต้องก้มหน้าลงมองเล็กน้อย ก่อนอีกฝ่ายจะชะงักไปยามเห็นใบหน้าของเขาเต็มตา บารมีรู้ว่าตัวเองเป็นน้องชายที่หน้าตาไม่เหมือนพี่ชายสักเท่าไหร่ แต่เค้าหน้าที่เหมือนบิดาทั้งคู่คงพอจะทำให้พนักงานสาวเอะใจบ้าง

“ผมเป็นน้องชายของเขา รบกวนบอกหน่อยว่าเขาอยู่ที่ไหน”

“อะ...อ๋อ ดะ...ได้ค่ะ สักครู่นะคะ” พนักงานสาวรับคำเสียงตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์เพื่อสอบถามจากเพื่อนร่วมงานอีกคน และเดินกลับมาบอกคนที่ยืนรออยู่ที่เดิม

“คุณบอสกำลังดูการถ่ายแบบโฆษณาอยู่ที่อาคารจัดแสดงค่ะ เดินตรงไปทางด้านนี้ แล้วเลี้ยวซ้ายค่ะ”

“ขอบคุณครับ” เขาเอ่ยก่อนจะก้าวเร็วๆ ตรงไปยังจุดหมาย โดยมีบรรดาพนักงานสาวมองตามแผ่นหลังกว้างในเสื้อโปโลสีเทาเข้มตาปรอย แล้วหันไปกระซิบกระซาบกันพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างพึงพอใจ

คนร่างสูงซึ่งตกเป็นหัวข้อการสนทนาไม่ได้สนใจ เพราะเอาแต่ก้าวเร็วๆ ไปยังสถานที่ถ่ายแบบสลับกับก้มมองนาฬิกาข้อมืออย่างรีบเร่ง ทำให้ไม่ทันระวังในจังหวะที่กำลังจะเลี้ยวตรงหัวมุม จึงชนเข้ากับร่างบางที่เดินสวนมาอย่างจัง

“อุ๊ย” อีกฝ่ายอุทาน แล้วเซถอยหลังไปหลายก้าว แต่ดีที่ยกมือขึ้นยึดกำแพงไว้ก่อน จึงไม่ล้มก้นจ้ำเบ้าลงไป

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ขอโทษด้วย ผมไม่ทันได้ระวัง”

“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ” มนยารีบก้มหน้างุดเสียจนคางแทบจะจดอกทันที หลังได้ยินเสียงห้าวๆ ของคู่กรณีที่เธอจำได้ขึ้นใจ

“ไม่เป็นอะไรแน่นะครับ” บารมีถามย้ำพลางกวาดตามองร่างแบบบางในชุดเดรสสั้นเกาะอกที่เอาแต่เบี่ยงหน้าหลบสายตาเขาอย่างสำรวจ ก่อนกลิ่นกายหอมกรุ่นจะโชยเข้าจมูก ซึ่งให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด จนเขาต้องหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างจับสังเกต

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะ” มนยาบอกแล้วเตรียมเดินหนีทันที แต่ช้ากว่ามือใหญ่ที่คว้าข้อมือเล็กเอาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวก่อนสิ”

“ขอโทษเถอะค่ะ พอดีฉันมีงานต่อ ต้องรีบไป”

“รีบ...หรือว่ากำลังหนีอะไรกันแน่” บารมีถามพร้อมกับเพ่งมองรอยแผลเป็นเล็กๆ ตรงหัวไหล่มนอย่างสะดุดตา และนั่นเป็นหลักฐานอย่างดีที่บอกว่าเขาจำคนไม่ผิด...น้องแก้มป่อง

“ฉันต้องไปแล้วค่ะ อุ๊ย!” มนยาอุทาน เมื่อจู่ๆ มือใหญ่ก็กระตุกข้อมือเธอเบาๆ พร้อมทั้งรั้งแกมบังคับให้เธอหันไปเผชิญหน้ากัน

คนจงใจกลั่นแกล้งเผยยิ้มพอใจ เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวเต็มตา บอกแล้วว่าเขาจำคนไม่ผิด

“เรา...” เขาลากเสียงยาวเป็นเชิงกระเซ้าเย้าแหย่ พร้อมกับขยับเข้ามาใกล้ชิดอย่างคุกคาม จนหญิงสาวต้องถอยหลังหนี “เคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า”

หญิงสาวไม่ได้ตอบ กลับก้มหน้าหลบอย่างมีพิรุธ

“คุณอยู่กับผมคืนนั้นใช่ไหม”

“ไม่” มนยาปฏิเสธแล้วเงยหน้าขึ้นมองบารมีอย่างเอาเรื่อง ดวงตากลมโตลุกวาวราวกับมีก้อนไฟย่อมๆ อยู่ในนั้น และนั่นทำให้บารมีกระตุกยิ้ม

“ถ้าจำได้ ก็อย่าทำเป็นจำกันไม่ได้สิครับ”

“ปล่อยนะคะ” มนยาร้องพร้อมกับพยายามบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมของบารมีที่ยิ่งเห็นร่างบางดิ้นก็ยิ่งรู้สึกพอใจ

“ได้พี่แล้วคิดจะหนีงั้นเหรอ”

“อย่าพูดแบบนี้นะคะ ถ้าคนอื่นมาได้ยินเข้า เขาจะคิดยังไง”

“ก็คิดว่าเราสองคนมีซัมติงกันน่ะสิ” บารมีตอบหน้าตาย ทำเอาคนตัวเล็กอ้าปากค้างอย่างตกใจ

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะคะ”

“ก็รับผิดชอบพี่สิ พี่ถึงจะหยุดพูด ไม่ใช่หนีแบบนี้” เขาบอกเสียงเข้ม แต่แล้วก็ต้องจำใจคลายมือออก เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ กำลังเดินตรงมาทางที่เขาและเธอยืนอยู่ เขาเห็นมนยาหันรีหันขวาง ก่อนจะรีบหมุนตัวเดินออกไป พร้อมกับสายตาของบารมีที่ทอดมองตามจนร่างแบบบางเดินลับตา เป็นจังหวะเดียวกันกับที่บวรเวทเดินพ้นมุมผนังออกมาพอดี

บารมียกมือไหว้พี่ชาย ขณะที่หางตายังมองตามทางที่หญิงสาวเดินไป

“อ้าว มาถึงเมื่อไหร่”

“ผมเพิ่งมาถึงน่ะเฮีย ต้องขอโทษจริงๆ ที่มาไม่ทันเรียนรู้งานอะไรสักอย่าง” บารมีเอ่ยขึ้นอย่างขอลุแก่โทษ ขณะที่พี่ชายโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ

“ไม่เป็นไร มีฝันช่วยดูให้เรียบร้อยแล้ว”

“แต่ผมมีเรื่องอยากให้เฮียช่วยหน่อย”

“อะไรวะ” บวรเวทร้องอย่างไม่จริงจังนัก “มาก็ไม่ทันทำงาน ยังจะมาขอร้องให้ช่วยอีก”

“เอาน่าเฮีย ช่วยผมหน่อย”

“ว่าแต่เมื่อกี้แกเดินสวนกับคุณสมายหรือเปล่า”

“ครับ มีอะไรหรือเปล่า” บารมีย้อนถาม ขณะที่บวรเวททำสีหน้าครุ่นคิด

“ฉันรู้สึกคุ้นๆ กับเขาว่ะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน”

“เขาอาจจะเคยอยู่ข้างบ้านเรามาก่อนก็ได้”

“หมายความว่าไง” คนเป็นพี่ชายเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม แต่บารมีไม่ได้ตอบ

“ผมขอข้อมูลเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้หน่อยสิ”

“ฉันจ้างเขาผ่านมอเดลลิง ไม่มีข้อมูลหรอก”

“งั้นก็หาทางอื่นสิเฮีย เรื่องแค่นี้คงไม่ยากเกินไปสำหรับเฮียหรอก”

“ก็แล้วทำไมไม่จ้างเองวะ” บวรเวทว่าอย่างงุนงง เพราะบารมีก็สามารถจัดการเองได้

“เฮียมีเครดิตดีกว่าผม เฮียก็ต้องช่วยผมสิ”

“ฉันว่าแกขี้เกียจมากกว่า”

บารมีหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “เอาน่าเฮีย ช่วงนี้ต้องปิดโพรเจกต์เยอะ ถือว่าช่วยน้องหน่อยละกัน ขอภายในสามวันนะ”

“ใช้ฉัน แล้วยังจะมาเร่งอีก”

“บ่นเยอะว่ะ” บารมีแค่นเสียง ก่อนจะเอี้ยวตัวหลบมือพี่ชายที่ยกขึ้นเตรียมจะเขกศีรษะเขา ทำเอาคนที่เกือบถูกกระทำหลุดหัวเราะ และนึกขอบคุณอยู่ในใจที่ทฤษฎีโลกกลมเหวี่ยงมนยากลับเข้ามาในวงโคจรของเขาเร็วกว่าที่คาดไว้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น