3

เข้าวัง


สาม

เข้าวัง

 

บางคนก็ยินดี บางคนก็หลีกหนีที่จะเข้าวัง

ไม่ใช่ทุกบ้านที่ปรารถนาจะส่งบุตรสาวของตนเข้าไปในวัง ไปเสี่ยงพนันกับอนาคตที่เลื่อนลอยไม่มีสิ่งใดแน่นอน

เบื้องสูงมีคำสั่ง เบื้องล่างก็มีหนทางตั้งรับ บางคนถึงกับโกหกว่าลูกสาวของตนป่วย ด้วยเกรงว่าจะนำโรคไปติดชนชั้นสูง จึงขอตัดสิทธิ์เข้าวังไปเสีย แม้ว่าการกระทำเช่นนี้จะผิดกฎหมาย แต่ขอเพียงเบื้องบนเบื้องล่างตกลงกันเรียบร้อยเป็นพอ สิ่งสำคัญคือต้องไม่มีใครไปฟ้อง ผู้มีอำนาจก็จะทำเป็นปิดตาข้างหนึ่ง

แต่อย่างเว่ยอิงลั่วที่ก่อเรื่องวุ่นวายกลางถนนเช่นนี้ เจิ้งหวงฉีผู้เป็นจั๋วหลิ่งไม่มายุ่งย่อมมิได้

“ว่ามา!” เจิ้งหวงฉีตะคอกเสียงดัง “นี่มันเรื่องอะไรกัน!”

“เอ่อ... คือว่า...” เวลากะหันทันเช่นนี้ เว่ยชิงฉินจะหาข้ออ้างที่สมเหตุสมผลอย่างไรได้

“ให้ข้าอธิบายเอง” เสียงอ่อนหวานดังขึ้นด้านหลังเว่ยชิงฉิน

เว่ยอิงลั่วถูกเชือกมัดอยู่ ลุกขึ้นเดินไม่สะดวก จึงเดินเข่ามาตรงหน้าเจิ้งหวงฉี แหงนหน้าขึ้น รอยเลือดที่เปรอะเปื้อนใบหน้าขับเน้นให้ดวงตาคู่นั้นกระจ่างใสยิ่งกว่าเดิม

“ใต้เท้าจั๋วหลิ่ง ข้าน้อยชื่อเว่ยอิงลั่ว ผู้เข้าคัดเลือกเป็นนางกำนัลในปีนี้เจ้าค่ะ” สีหน้าของนางเยือกเย็น พูดชัดถ้อยชัดคำ “บิดาข้าหวงแหนข้าเกินไป ไม่ยอมส่งข้าเข้าวัง จึงป่าวประกาศไปทั่วว่าข้าสติไม่สมประกอบ แล้วบังคับข้าให้แต่งงานออกไปอยู่ห่างไกล...”

“พอที!” เจิ้งหวงฉีฟังถึงตรงนี้ก็ไม่อยากฟังต่ออีก รู้สึกได้ว่าในเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านนั้น ตนก็ตกเป็นขี้ปากให้คนหัวเราะเยาะไปด้วย เรื่องนี้ต้องโทษใครเล่า เขาจ้องหน้าเว่ยชิงฉินที่เป็นเหมือนตัวการของเรื่องนี้ แล้วพูดเสียงเข้ม “บุตรสาวของไพร่สามกองธงในกรมวัง ต้องเข้าคัดเลือกนางกำนัลทั้งหมด หากลักลอบหมั้นหมายแต่งงานตามใจชอบ อย่าว่าแต่เจ้ากับข้าเลย แม้แต่ตูถ่ง1 กับชานหลิ่ง2 ก็ยังต้องรับโทษด้วย เจ้าไปกินดีหมีหัวใจเสือมาหรือไร!”

“ข้า... ข้า...” เว่ยชิงฉินอึกอักอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็จำต้องคุกเข่าลงอย่างเชื่องช้า โขกศีรษะคำนับพื้น “ความผิดใดๆ ล้วนเป็นของข้าเพียงผู้เดียวขอรับ”

เรื่องราววุ่นวายมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาได้แต่รับผิดไว้ที่ตนคนเดียวเท่านั้น เพื่อไม่ให้ทั้งตระกูลต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นถึงเขาจะไม่รับผิดตอนนี้ กลับไปคนในตระกูลก็โยนความผิดทั้งหมดมาให้เขาอยู่ดี อาจใช้วิธีการที่เด็ดขาดยิ่งกว่า เขาจะได้ไม่มีโอกาสกล่าวโทษคนอื่นได้อีก...

“น่าสงสารจิตใจพ่อแม่” เว่ยอิงลั่วทอดถอนใจ เดินเข่าไปอยู่ข้างๆ เว่ยชิงฉิน ก้มลงมาโขกหน้าผากติดพื้นเช่นกัน เลือดบนหน้าผากเปื้อนอิฐเป็นสีแดง ก่อนเอ่ยขอร้อง “ท่านพ่อไม่อยากให้ข้าเข้าวังไปเป็นนางกำนัลจนเฒ่าชรา ข้าเองก็ไม่อยากให้ท่านพ่อต้องมารับโทษเพราะข้าเช่นกัน ใต้เท้าโปรดเห็นแก่ความรักของพวกข้าพ่อลูก ให้อภัยเขาสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะเข้าไปในวังตามกำหนดแน่นอน”

คำว่า ‘กตัญญู’ จับใจผู้คนเสมอ

มีคนพูดขึ้นมาทันที “ช่างเป็นลูกสาวที่กตัญญูเหลือเกิน นายท่าน คราวนี้ปล่อยพวกเขาไปเถอะเจ้าค่ะ”

“ใช่ๆ น่าสงสารจิตใจพ่อแม่”

“ข้าเองก็มีลูกสาว ใครๆ ก็ปล่อยลูกสาวออกเรือนไปไกลไม่ลงหรอก เข้าวังยิ่งแล้วใหญ่ ย่างเข้าวังลึกล้ำดั่งมหาสมุทร ชาตินี้กว่าจะได้พบกันอีกทีคงยากแล้ว”

เจิ้งหวงฉีเหลือบมองเว่ยอิงลั่วด้วยสีหน้าซับซ้อน

คำพูดของนางช่วยหาทางลงให้ทุกคน เว่ยชิงฉินมิได้กระทำความผิด บิดากับบุตรสาวเข้าใจกัน ส่วนเขาเองก็มิได้ปล่อยปละละเลย หนำซ้ำยังถือโอกาสนี้ทำตามความปรารถนาของราษฎร กลายเป็นขุนนางผู้เที่ยงธรรมได้อีก

“เอาเถอะ” เจิ้งหวงฉีพยักหน้าช้าๆ “เห็นแก่ที่ชาวบ้านช่วยขอร้องให้พวกเจ้า ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปสักครั้ง แต่อย่าทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้อีกเป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่”

“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ” เว่ยชิงฉินพูดพลางโขกศีรษะปลกๆ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าใจ หนำซ้ำเพื่อแสดงความสำนึกจริงๆ เขาจำต้องไปส่งเว่ยอิงลั่วเข้าวังด้วยตัวเองอีกด้วย

“ขอโทษนะท่านพ่อ”

เว่ยชิงฉินหันไปเห็นเว่ยอิงลั่วมองตนด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว และพูดประโยคที่เคยพูดในโรงเก็บศพก่อนหน้านี้ซ้ำอีกครั้ง

“ลูกต้องเข้าวังให้ได้”

เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เว่ยชิงฉินยังจะทำอะไรได้อีก จึงพูดอย่างเดือดดาล “ไปเลย เจ้าไปเลย! จะเป็นจะตายเจ้าก็เลือกเอง ข้าไม่สนแล้ว ข้าจะไม่สนใจอีกแล้ว!”

ในใจได้แต่ตำหนิที่สวรรค์กลั่นแกล้ง ไฉนต้องจำเพาะให้จั๋วหลิ่งเจิ้งหวงฉีเดินผ่านมาทางนี้ในเวลานี้พอดีด้วย

แต่เจิ้งหวงฉีบังเอิญผ่านมาจริงๆ น่ะหรือ

ท่ามกลางผู้คนที่เบียดเสียด ตรงทิศทางที่เจิ้งหวงฉีปรากฏตัว หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งยกมือกดหมวกสานเหนือศีรษะ ซึ่งมีผ้าโปร่งบางสีดำห้อยลงมาปกคลุบใบหน้าของนางไว้ ไม่เช่นนั้นหากให้เว่ยชิงฉินเห็นหน้านางละก็ อาจจะซักถามว่า ‘อาจิน ทำไมเจ้าถึงมาอยู่นี่ได้’

บนโลกนี้เรื่องบังเอิญเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เรื่องบังเอิญส่วนมากเมื่อมาชำระสะสางภายหลังล้วนแล้วแต่เกิดจากฝีมือคนทั้งสิ้น

“คุณหนู ข้าเชิญจั๋วหลิ่งเจิ้งหวงฉีมาตามที่ท่านสั่งแล้วเจ้าค่ะ” อาจินมองผ่านผ้าโปร่งบางไปทางเว่ยอิงลั่ว แล้วถอนหายใจแผ่วเบา “หวังว่าที่ข้าทำเช่นนี้จะไม่เป็นการทำร้ายท่าน หวังว่าท่านจะสมปรารถนาอย่างแท้จริง มิใช่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับพี่สาวท่าน...”

 

วันที่สอง เดือนสอง ปีที่หกแห่งรัชศกเฉียนหลง เว่ยอิงลั่วถอดชุดแต่งงานสีแดงออก เปลี่ยนเป็นชุดสีฟ้าเรียบง่ายแบบนางกำนัล พร้อมด้วยนางกำนัลใหม่กลุ่มหนึ่งย่างเท้าเข้าสู่อุทยานหลวงที่พรั่งพร้อมด้วยมวลหมู่บุปผา

นางกำนัลส่วนใหญ่อายุราวสิบห้าสิบหกปี อันเป็นช่วงวัยที่อยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสาที่สุดในชีวิต แต่ละคนต่างก็เหลียวซ้ายแลขวา ถูกดึงดูดด้วยดอกโบตั๋นและผีเสื้อสีชมพู มีเพียงเว่ยอิงลั่วผู้เดียวที่สายตาไม่ว่อกแว่ก มองดูสิ่งใดก็ล้วนเย็นชาเฉยเมย

นางคิดในใจว่า ‘ดอกไม้บานสะพรั่งงดงามเช่นนี้ เป็นเพราะดูดซับโลหิตของพี่หญิงไปใช่หรือไม่’

“พวกเจ้าเสียงดังอะไรกันน่ะ” นางกำนัลใหญ่ที่เป็นหัวหน้าทนเสียงเจี๊ยวจ๊าวเหมือนนกกระจอกแตกรังของพวกนางไม่ไหว จึงแค่นเสียงกำราบ “ที่นี่คือวังต้องห้าม สถานที่สูงส่งเป็นหนึ่งในใต้หล้า ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะส่งเสียงเอะอะกันได้หรือ รีบเดินเร็วเข้า!”

เว่ยอิงลั่วกำลังจะเดินไป ก็มีนางกำนัลคนหนึ่งมาดึงแขนเสื้ออยู่ข้างๆ แม้จะกดเสียงค่อนข้างเบา แต่ก็พอให้บรรดานางกำนัลน้อยที่อยู่รอบข้างได้ยิน

“พวกเจ้าดูนั่นสิ ทางนั้น!”

เว่ยอิงลั่วอดย่นหัวคิ้วไม่ได้ คิดในใจว่าอีกฝ่ายช่างอยู่ไม่สุขอะไรเช่นนี้ นางกำนัลใหญ่เพิ่งจะกำชับอยู่ด้านหน้าว่าไม่ให้พวกนางพูดจาหรือจ้องมองอะไรส่งเดช คล้อยหลังนางก็ทำท่าทางแบบนี้เสียแล้ว อีกทั้งนางไม่ได้ยุกยิกแค่คนเดียว ยังดึงทุกคนร่วมวงไปด้วย

ใช่ แม่นางคนนี้คล้ายจะชื่อว่าจิ่นซิ่ว

เจ้าตัวก็สมดั่งนาม ใบหน้าเรียวเล็กดุจเมล็ดแตง เอวบางอ้อนแอ้น นิ่มนวลตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า คู่ควรกับชื่ออันไพเราะอย่างจิ่นซิ่วยิ่งนัก

นางกำนัลน้อยกลุ่มหนึ่งมองตามเสียง เลยเข้าไปในดงดอกท้อก็เห็นซิ่วหนี่ว์3 หลายคนเดินเยื้องกรายมา แต่ละคนอรชรอ่อนช้อย งดงามยิ่งกว่าบุปผา ในมือโบกพัดเบาๆ กลิ่นหอมจรุงลอยมาแต่ไกล มีทั้งมะลิและกุหลาบ ช่างสดชื่นตื่นตายิ่ง

นางกำนัลน้อยที่หน้าตาเหมือนตุ๊กตาคนหนึ่งกะพริบตาปริบๆ “พี่จิ่นซิ่ว พวกนางเป็นใครน่ะ เทพธิดาหรือ”

คำถามนี้ช่างอ่อนต่อโลกยิ่งนัก แม่นางคนนี้หน้าตาเหมือนเด็ก เว่ยอิงลั่วจำได้ว่านางอายุน้อยที่สุดในหมู่พวกนาง อายุเพียงสิบสี่ปี มีนามว่าจี๋เสียง

นางผู้นี้ก็สมดั่งนามเช่นกัน หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราราวกับตุ๊กตา แค่ได้มองก็ทำให้คนรู้สึกว่าโชคดี

“พวกนางคือซิ่วหนี่ว์ที่ผ่านการคัดเลือกขั้นรอง เตรียมจะเข้าคัดเลือกหน้าพระพักตร์น่ะ” หลิงหลงทำหน้าตาอิจฉา ราวกับมีมือยื่นออกจากดวงตาไปกระชากคว้าปิ่น ต่างหู และเสื้อผ้าของอีกฝ่าย แล้วนำมาสวมเองทั้งหมด

“ชุดสวยจังเลย” จี๋เสียงมีสีหน้าอิจฉาเช่นกัน เพียงแต่ความอิจฉานั้นแตกต่างจากหลิงหลงโดยสิ้นเชิง เหมือนเด็กน้อยข้างบ้านจ้องมองถังหูลู่ในมือคนอื่นมากกว่า “ถ้าข้าได้สวมชุดแบบนั้นบ้างก็ดีสิ”

จิ่นซิ่วได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเยาะ “นั่นน่ะเป็นกุลสตรีชั้นสูงจากตระกูลใหญ่ทั้งนั้น เข้าวังมาก็เป็นเจ้านาย คนอย่างพวกเราถึงจะผ่านด่านก็เป็นได้แค่นางกำนัลรับใช้พวกนางเท่านั้นแหละ เจ้าน่ะ...”

นางยกศอกกระทุ้งจี๋เสียง “อย่าฝันกลางวันไปหน่อยเลย!”

“ระวัง!” เว่ยอิงลั่วตะโกนบอก แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว

จี๋เสียงเดิมก็ตัวเล็กบอบบาง ต้องใช้สองมือถึงจะยกถังไม้ที่ใส่น้ำถูพื้นได้ ทั้งยังยกอย่างลำบากพอควร ลำพังแค่ยืนกับที่ก็ยังส่ายไปมา ตอนนี้จิ่นซิ่วกระแทกศอกใส่แขนนางที่กำลังสั่นอย่างหมดแรง ถังไม้นั้นจึงร่วงหลุดจากมือทันที แล้วตามด้วยเสียงโครม ถังไม้หล่นลงบนพื้น น้ำสกปรกที่อยู่ในถังกระจายออกมาเหมือนสาดหมึก กระเด็นไปถูกชายกระโปรงของซิ่วหนี่ว์คนหนึ่ง

จี๋เสียงตกใจจนหน้าซีด ลนลานโผเข้าไปที่เท้าของอีกฝ่าย “ขอโทษ ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าจะเช็ดให้ท่านเดี๋ยวนี้”

เผียะ!

จี๋เสียงถูกตบจนหน้าหันก่อนล้มกลิ้งไปกับพื้น เปรอะเปื้อนน้ำสกปรกไปทั้งตัว ดูมอมแมมเหมือนสุนัขตัวน้อยน่าสงสาร

“นางบ่าวสารเลว!” ซิ่วหนี่ว์มีสีหน้ากราดเกรี้ยว “ชุดผ้าเมฆาหอมของข้าตั้งใจซื้อมาจากเจียงหนานเพื่อเตรียมคัดเลือกหน้าพระพักตร์วันนี้โดยเฉพาะ ตอนนี้เจ้ามาทำเลอะเทอะ แล้วข้าจะสวมอะไรไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท!”

“ขออภัยเจ้าค่ะ ขออภัยเจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้มีเจตนาจริงๆ” จี๋เสียงร้องไห้พลางตะเกียกตะกายขึ้นมา มือสาละวนล้วงผ้าเช็ดหน้าสะอาดออกมา “บ่าวจะเช็ดให้เจ้าค่ะ บ่าวจะเช็ดให้สะอาดเดี๋ยวนี้...”

“ไสหัวไป!” ซิ่วหนี่ว์ยกเท้าขึ้นมาถีบด้วยสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ แรงถีบนั้นทั้งเร็วและหนัก อีกทั้งยังถีบตรงใบหน้าประหนึ่งจี๋เสียงมิได้เป็นคน แต่เป็นสุนัขสกปรกตัวหนึ่ง

จี๋เสียงกรีดร้องขณะล้มกลิ้งออกไป แล้วก็ใช้ทั้งมือและเท้ายันตัวขึ้นมาอีก เลือดกำเดาไหลเปรอะหน้า โขกศีรษะรัวราวกับโขลกกระเทียม “ขออภัย ขออภัยเจ้าค่ะ…”

“ฮึ!” ซิ่วหนี่ว์หันไปมองนางกำนัลใหญ่ “เจ้าว่าข้าควรให้อภัยนางหรือไม่”

แม้จะเพิ่งรู้จักกันไม่นานนัก แต่จิตใจก็อ่อนไหว เมื่อเห็นจี๋เสียงตกอยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนั้น นางกำนัลหลายคนก็อดอึดอัดใจมิได้ แต่ก็ทำเพียงเงียบกริบปานจักจั่นในฤดูหนาว ไม่กล้าออกหน้าพูดแทนจี๋เสียง กลัวว่าจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย บัดนี้ได้ยินคำพูดของซิ่วหนี่ว์ก็พากันหันไปมองนางกำนัลใหญ่ วาดหวังว่านางจะช่วยพูดแทน

แต่เว่ยอิงลั่วรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ พวกนางแต่ละคนยังไม่กล้าช่วยจี๋เสียง แล้วคนฉลาดที่ผ่านโลกมามากอย่างนางกำนัลใหญ่จะกล้าขัดใจซิ่วหนี่ว์ที่อาจเป็นพระสนมในอนาคต เพียงเพื่อช่วยนางกำนัลธรรมดาๆ คนหนึ่งหรือ

และแล้วก็เป็นดังคาด นางกำนัลใหญ่ปั้นยิ้มพูดเอาใจ “นายหญิงน้อยอูหย่า เด็กๆ พวกนี้เป็นนางกำนัลที่เพิ่งเข้าวัง โง่เขลาเหมือนหมู ท่านจะตีจะด่าอย่างไรก็ได้ อย่าโมโหให้ร่างกายทรุดไปเลยเจ้าค่ะ”

บรรดานางกำนัลได้ยินเช่นนั้น บ้างก็ทำสีหน้าผิดหวัง บ้างก็จ้องมองอย่างขัดเคือง จากนั้นปากก็ยิ่งปิดสนิทกว่าเก่า แต่ละนางล้วนเป็นคนฉลาดกันทั้งนั้น เรื่องที่นางกำนัลใหญ่ยังไม่กล้าทำ พวกนางก็ยิ่งไม่กล้าทำเข้าไปใหญ่

ตอนนี้คนที่จะช่วยพูดให้จี๋เสียงได้ คงมีแต่ซิ่วหนี่ว์ที่มีฐานะเสมอกันเท่านั้น

“พี่อูหย่า” เสียงสั่นเครือดังขึ้น “นางไม่ได้ตั้งใจ ท่านปล่อยนางไปเถอะนะ”

‘มีซิ่วหนี่ว์ยอมออกหน้าแทนจี๋เสียงด้วยหรือ’

1 คือตำแหน่งของขุนนางกลาโหมผู้บังคับบัญชาแปดกองธง

2 คือตำแหน่งทางทหารรองจากตูถ่ง ในแต่ละกองธงจะมีชานหลิ่งห้าคน

3 แปลว่าหญิงดีงาม คือสตรีได้รับคัดเลือกเข้าวังให้มาเป็นนางสนม

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น