6

บทที่ ๖

บทที่ ๖

 

คำว่าหนีตายที่แท้จริงเป็นอย่างไรก็เพิ่งจะรู้วันนี้ ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังไปไหน ไม่รู้ซ้ายรู้ขวา ไม่รู้ว่าวิ่งออกมาไกลเท่าไร แทนจันทร์รู้แต่ว่าเธอก้มหน้าก้มตาและเรียกได้ว่าแทบจะหลับตาวิ่ง เพราะควันทำให้แสบตาจนลืมตาแทบไม่ขึ้น ใช้ประสาทสัมผัสแค่ว่าตรงไหนร้อนคือไม่ไป ตรงไหนตันก็เปลี่ยนทิศ คิดแค่ว่าตรงไหนมีแสงอาทิตย์ ตรงไหนมีอากาศ นั่นคือเป้าหมายที่เธอจะไป

ทุลักทุเลจนคลำทางออกมาได้ถึงสุดทางเดิน บริเวณนี้ดีกว่าทางเดินแคบๆ ที่วิ่งผ่านมา เพราะมันเป็นเหมือนโถงกว้างที่มีหน้าต่างบานยาวใหญ่ช่วยระบายอากาศ ทำให้พอหายใจได้ และไฟก็ยังลามมาไม่ถึง

เมื่อมาถึง อย่างแรกที่ทำคือโผออกไปเกาะขอบหน้าต่าง ยื่นหน้าออกไปสูดอากาศด้านนอก หอบหายใจอย่างแรงด้วยความเหนื่อยจากการหลับหูหลับตาวิ่ง แต่ยิ่งหอบก็ยิ่งไอ ควันไฟที่สูดเข้าไปทำให้เธอแสบจมูก แสบคอ แสบตาจนน้ำตาคลอ โก่งตัวไอจนเหมือนคอจะหลุด 

ออกซิเจนจากด้านนอกช่วยต่อลมหายใจอันน้อยนิด ที่ว่ามันเหลือน้อยนิดนั้นเพราะไฟเบื้องหลังคงจะลามมาถึงในไม่ช้า และไม่มีทางถอยหลังกลับไปได้แล้ว เพราะทางที่วิ่งหนีตายมาก็เห็นอยู่ว่าไม่ต่างกับทางลงนรกเลยแม้แต่น้อย ส่วนจะไปทางไหนต่อนั้นก็ยังจนปัญญา มองไปรอบๆ ก็มีแต่ผนังและเพลิง ไม่มีทางไหนจะรอดได้อีกแล้ว 

นอกจาก...

“คุณ! บ่อน้ำนี่ลึกมั้ย”

วีร์โผเข้ามาเกาะขอบหน้าต่างข้างๆ เพื่อพิจารณาตามคำถาม มองลงไปก็เห็นเป็นสวนขนาดกว้างสำหรับใช้เป็นที่พักผ่อนของพนักงาน ตำแหน่งตรงหน้าต่างนี้ตรงกับบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งใจขุดไว้เพื่อทำให้บรรยากาศของสวนดูไม่แข็งจนเกินไป

“ลึก แต่ไม่มาก ประมาณสี่ห้าเมตรได้”

สมองของตำรวจสาวคำนวณอย่างรวดเร็ว 

“ได้อยู่”

“อะไรได้อยู่” 

ชายหนุ่มรีบหันขวับไปถามเพราะกลัวความคิดของหญิงสาวตรงหน้า จากที่ผ่านมาก็เห็นเต็มสองตาแล้วว่าแม่ตำรวจคนนี้บ้าดีเดือดแค่ไหน ทั้งปืน ทั้งไฟ ทั้งโจร ไม่ตกใจอะไรเลยสักนิด ลุกขึ้นมาวิ่งได้หน้าตาเฉยไม่ว่าจะล้มคะมำไปกี่รอบ แถมยังมีแรงลากเขาตะลุยไฟหนีจนมาอยู่ตรงนี้ได้

“กระโดด!”

“ไม่!” เขาปฏิเสธแบบไม่ต้องคิดทันทีที่ได้ยินความคิดที่กลัวอยู่แล้วว่าเธอจะพูดออกมา

“แล้วคุณจะย้อนกลับไปเป็นหมูย่างหรือให้ไอ้โม่งมันเอากระสุนเจาะหัวคุณอีกเหรอ” แทนจันทร์ย้อน “เราไม่มีทางหนีแล้ว ถ้าไม่อยากตายก็ต้องกระโดดลงไปทางนี้แหละ”

คำว่า ‘เรา’ นั้นหมายถึงเธอและตัวเขาด้วย แม้น้ำเสียงและคำพูดนั้นจะไม่น่าฟัง แต่วีร์ก็ต้องยอมรับว่ามันคือเรื่องจริง เจ้าของสถานที่รู้คำตอบข้อนี้ดีที่สุด เพราะตำแหน่งที่พวกเขาอยู่นี้คือส่วนหลังของออฟฟิศซึ่งไม่มีทางเชื่อมไปยังทางออกตรงไหนได้แล้ว ถ้าจะกลับไปยังบันไดทางเข้าหรือบันไดหนีไฟก็ต้องฝ่าดงเพลิงย้อนกลับไป ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางรอดไปถึงอีกฝั่งได้แน่

“เชื่อฉันสิ ฉันเคยเรียนมา” เธอยืนยัน กอดอกพร้อมเอามือจับปากทำท่าพิจารณาอย่างครุ่นคิด “ที่ความสูงระดับนี้ ถ้าเรารู้จักวิธีกระโดดลงไปให้ถูกท่า การลงไปในน้ำมีโอกาสรอดสูงกว่าลงบนดินอยู่แล้ว คุณเป็นนักวิทยาศาสตร์นะ เรื่องแค่นี้ไม่รู้ได้ไง”

คนเป็นนักวิทยาศาสตร์มองคนพูดที่เป็นตำรวจแบบงงๆ เพราะไม่เคยเห็นหลักการวิเคราะห์ไหนไร้ข้อมูลเช่นนี้ ไม่มีสูตรคำนวณตามแรงฟิสิกส์ ไม่มีผลการทดลอง ไม่มีสมมุติฐาน และไม่มีอะไรพิสูจน์ได้เลยว่าจะเกิดขึ้นจริง แต่เจ้าตัวกลับมั่นอกมั่นใจหลักการที่ตัวเองพูดจนกล้าเอาคำว่า ‘โอกาสรอด’ ไปแลกได้อย่างไม่สะทกสะท้านเหมือนไม่มีความลังเลใดๆ ทั้งสิ้น

“แต่นี่มันตึกสามชั้นนะคุณ” ชายหนุ่มย้ำ

“ก็สามชั้นไง” หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ “และถ้าคุณยังอยู่บนตึกสามชั้นนี่ คุณได้ตายอย่างเดียว แต่ถ้าคุณกระโดดลงไปคุณยังมีสิทธิ์รอด เชื่อฉันเถอะน่า ฉันคำนวณดูแล้วนะ ความสูงแค่นี้ถ้ากระโดดลงไปดีๆ ก็ไม่ตายหรอก”

‘ความสูงแค่นี้’ คือความสูงของตึกสามชั้นที่ต้นไม้ด้านล่างเหลือต้นเท่าจาน ก้อนหินเหลือก้อนเท่าเหรียญสิบ ขนาดมองจากตรงนี้ลงไปใจยังหวิว แต่คนออกความคิดไม่ได้สนใจและไม่รอฟังความคิดเห็นใด

“ตอนกระโดดให้เอาขาลง กอดอก เก็บมือไว้แนบลำตัวที่สุด อย่าให้มีอวัยวะส่วนไหนยื่นออกจากตัว แล้วคุณจะไม่เจ็บ”

การสอนภาคทฤษฎีจบลงแล้ว นักเรียนมองครูผู้สอนที่ย่อวิธีให้กระชับ สั้น ง่าย แถมทำเป็นตัวอย่างทันทีโดยยกขาขึ้นคร่อมขอบหน้าต่างแล้วหมุนตัวออกไปนั่งบนขอบ โดยไม่สนใจหรือถามความเห็นเลยว่าเขาเห็นด้วยและอยากทำตามหรือไม่

‘ถ้าไม่บ้าคือทำไม่ได้’

ชายหนุ่มได้นึกในใจ โมโหตัวเองอยู่เหมือนกันที่ตอนนี้สมองตื้อจนวิเคราะห์และหาคำตอบอะไรมาโต้แย้งไม่ทัน อีกทั้งเวลาก็บีบคั้นเข้ามาเรื่อยๆ และเพราะไม่เห็นทางเลือกอื่นแล้ว เขาจึงต้องยอมยกขาขึ้นคร่อมขอบหน้าต่างแล้วหมุนตัวออกไปนั่งในท่าเดียวกับหญิงสาวคนข้างๆ 

ในสภาวะที่ไหล่ชนไหล่ เบื้องหลังคือมัจจุราชแห่งความตายที่ไล่ล่าพวกเขามาจนสุดทาง อันที่จริงความรู้สึกของคนสองคนไม่ได้ต่างกัน แม้แทนจันทร์จะเป็นคนออกความคิดนี้ ต่อให้ฝึกภาคปฏิบัติมาดีแค่ไหน ความเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีความกล้าและความกลัวก็ทำให้ความหวิวที่ขาส่งผลมาถึงใจยามมองลงไปเช่นกัน แต่แทนจันทร์ก็ไม่คิดเปลี่ยนใจ เพราะถือคติว่าถ้ายังเห็นทางไปก็ต้องดิ้นให้ถึงที่สุด 

“เชื่อใจฉัน ฉันไม่ปล่อยให้คุณเป็นอะไรหรอก”

สองสายตาหันมามองหน้ากัน สำหรับอาชีพการงานของตำรวจ แทนจันทร์ก็คิดว่านี่คือหน้าที่และความรับผิดชอบของตนที่ต้องให้กำลังใจประชาชนที่อยู่ในความดูแล โดยทำให้เขารู้สึกอุ่นใจและเชื่อมั่นในการทำงานของเจ้าหน้าที่ แต่สำหรับประชาชนผู้ที่เคยผ่านเหตุการณ์เสี่ยงตายมาน้อยกว่านั้นไม่ได้รู้สึกอุ่นใจ กลับยิ่งรู้สึกว่าประหลาดและเหลือเชื่อกับความสุดโต่งของผู้หญิงคนนี้ที่ยังยิ้มในสถานการณ์แบบนี้ได้ 

“ผมก็ไม่มีตัวเลือกแล้วนี่” วีร์ตอบอย่างจำยอม

“งั้นดี” ผู้หมวดสาวที่ไม่ได้รู้ว่านั่นคือการประชดประกาศเสียงดังข่มความหวิวในใจ “ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม พอสามแล้วกระโดดเลยนะ...หนึ่ง” 

ทั้งที่เป็นคนนับเอง แต่ใจมันก็อดฝ่อลงไม่ได้

“สอง”

พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วย

“สาม”

ผู้หมวดสาวตะโกนสามลั่นพร้อมหลับตาปี๋และทิ้งตัวลงมาจากขอบหน้าต่าง กลั้นลมหายใจไว้พร้อมเพราะรู้ว่ามันจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่จะ...

ตูม!

ถ้าเมื่อครู่คือนรกที่เต็มไปด้วยไฟแผดเผากายแทบไหม้ ความเย็นของน้ำนี่ก็เหมือนเมืองน้ำแข็งที่อุณหภูมิตัดกันสุดขั้ว 

แรงกระแทกนั้นทำเอาเจ็บๆ แสบๆ ผิวพอตัวอยู่เหมือนกัน แต่นั่นไม่สำคัญเท่ามวลน้ำที่ไหลผ่านปากและจมูก แม้จะกลั้นหายใจไว้ แต่มันก็อึดอัดจนอดใจหายไม่ได้ แทนจันทร์พยายามตั้งสติให้นิ่งที่สุด พอรู้สึกว่าดิ่งลงมาจนสุดแล้วก็เตรียมกางแขนเพื่อจะโผว่ายขึ้นไป

‘โอ๊ย!’

ความเจ็บร้าวแล่นขึ้นมาตามแขนขวาจนไม่อาจขยับได้ คงเป็นตอนที่โดนแรงระเบิดในห้องทดลองจนกระเด็นเอาแขนขวากระแทกพื้น เพิ่งรู้สึกปวดตอนนี้ที่จะยกแขนขึ้นเพื่อว่ายน้ำขึ้นไป ดังนั้นแขนเดียวที่เหลือจึงต้องพยายามตะเกียกตะกายตะกุยน้ำพาตัวขึ้นไปยังด้านบนที่มองเห็นแสงสว่างรางๆ สองขาช่วยถีบน้ำสุดตัว แต่ไม่รู้ทำไมกลับยิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังจมลึกลงไปแทนที่จะพุ่งขึ้นไปสู่ผิวน้ำ

เมื่อเสียการทรงตัวไปข้างหนึ่งก็ทำให้การพยุงตัวนั้นยากมากขึ้น ความเร็วของการขยับตัวไม่ทันน้ำที่ไหลเข้ามาในร่างกาย ลมหายใจที่กลั้นไว้ค่อยๆ หมดไปกับการตะเกียกตะกายที่ไม่ไปไหน ความรู้สึกเหมือนจะวูบลง วูบลง แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้มือข้างซ้ายยังพยายามตะกายน้ำสุดชีวิต

‘หายใจ...ไม่ออก’

มันอึดอัด แน่น และเธอเริ่มสำลัก ลมหายใจเริ่มติดขัดเพราะอ้าปากหายใจโดยอัตโนมัติแต่มีน้ำเข้ามาแทนที่อากาศ แม้จะพยายามว่ายสุดแรงแต่ตัวก็ยิ่งจมลงๆ และแสงบนผิวน้ำก็ดูห่างไกลขึ้นทุกทีๆ

‘ช่วยด้วย...’

สัญชาตญาณสุดท้ายร้องขอความช่วยเหลือ ทั้งที่จิตใจเริ่มกลัวว่า สิ่งเดียวที่จะช่วยให้เธอพ้นจากความทรมานนี้ได้คือห้วงลมหายใจแห่งมัจจุราชเท่านั้น

ก่อนแสงสว่างสุดท้ายจะหายไปและลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหมดลง แทนจันทร์ก็รู้สึกว่ามือซ้ายที่ลอยอย่างไร้จุดหมายถูกกระตุกวูบขึ้นไปในทิศทางตรงข้าม ตอนแรกคิดว่าตัวเองเห็นภาพหลอนที่ว่าแสงสว่างบนผิวน้ำใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่มองสักพักก็รู้ว่ามันไม่ใช่ความฝัน เธอกำลังถูกดึงขึ้นไปจริงๆ คราวนี้นอกจากมือก็เหมือนมีคนมาโอบอุ้มและดึงเธอให้ลอยขึ้นมา แค่นั้นก็รู้ตัวว่าไม่ใช่ความฝัน สองมือจึงเริ่มช่วยเหลือตัวเองอีกครั้งด้วยการไขว่คว้าจับที่ยึดนั้น และใช้ขาช่วยถีบให้ตัวเองพ้นจากห้วงแห่งความทรมานนี้โดยเร็ว

“เฮือก!”

“คุณ!”

แทนจันทร์สูดลมหายใจเต็มปอดในเฮือกแรกที่โผล่ขึ้นมาจากน้ำได้ก่อนจะโดนลากขึ้นฝั่ง ตอนแรกที่ยังมึนๆ งงๆ อยู่คิดว่าหูฝาดที่ได้ยินเสียงคนเรียก แต่เธอไม่สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากสูดลมหายใจเข้าปอด คราวนี้เธอสำลักอย่างแรง เพราะว่าอากาศเข้าไปแทนที่น้ำที่ยังออกจากตัวไม่หมดแบบผิดจังหวะ จึงทำให้ทั้งไอ ทั้งสำลัก ทั้งหอบจนตัวโก่ง ก่อนล้มลงไปนอนกับพื้นอย่างหมดแรง

“เป็นอะไรมั้ยคุณ”

ภาพที่เห็นตอนแรกขณะที่สติยังไม่กลับมาเต็มที่ คือภาพใบหน้าเลือนรางของผู้ชายคนหนึ่งที่ก้มลงมาตรงหน้า สภาพเขาเปียกปอนไปทั้งตัวไม่ต่างจากเธอ เขามองเธอด้วยแววตาร้อนรน ตอนแรกแทนจันทร์ก็ยังงงๆ เพราะไม่เคยเห็นแววตาแบบนี้ของเขามาก่อน จำได้ขึ้นใจว่าถ้าเป็นคนคนนี้จะต้องมีแต่ความเย็นชาไม่ต่างกับอะไรกับการสัมผัสก้อนน้ำแข็งก้อนหนึ่ง พอมันเปลี่ยนเป็นแววตาที่ดูกังวลร้อนรนเช่นนี้ เธอจึงไม่มั่นใจขึ้นมาว่าใช่คนคนเดียวกับที่เธอคิดหรือเปล่า มันดูเหมาะจะเป็นแววตาของ ‘คนไม่ใช่คน’ ที่เธอเคยเห็นมากกว่า

“ลักกี้” เธอพึมพำเสียงแหบพร่าอย่างแผ่วเบาเหมือนล่องลอยอยู่ในความฝัน จิตเริ่มคิดว่าในเมื่อลักกี้เป็นผี ถ้าเธอเห็นลักกี้อยู่ตรงหน้าจริงๆ ก็น่าจะแสดงว่าเธอ...

ตายแล้ว

ความรู้สึกเสียใจแล่นปราดขึ้นมาจับใจ มันบีบให้หัวใจเธอฝ่อและน้ำตาเอ่อคลอ แต่ขณะเดียวกันความรู้สึกซาบซึ้งใจนิดๆ ที่ไม่ต้องเหงาโดดเดี่ยวแม้ยามลาโลกก็วิ่งเข้ามาปลอบประโลม อย่างน้อยยังมีผีลักกี้ที่คอยรอรับเธอ ได้เห็นแววตาเป็นห่วงและท่าทางกังวลของเขาแล้วก็ซึ้งใจ มือซ้ายข้างที่ยังพอขยับได้เอื้อมไปสัมผัสแก้มเย็นชืดนั้นเบาๆ เพราะอยากขอบคุณ

แก้มนั้นเย็นเฉียบ มีหยดน้ำเกาะพราวบนผิวหน้าและเส้นผมยุ่งๆ 

เอ๊ะ! สมองฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้

ทำไมถึงจับตัวลักกี้ได้ ทำไมไม่ทะลุผ่านเหมือนวันนั้น ผีนี่ไม่มีตัวตนไม่ใช่หรือ

ยกเว้นนี่จะไม่ใช่ลักกี้!

“คุณเรียกใครว่าลักกี้”

ดอกเตอร์วีร์!

มือเล็กหดกลับ น้ำเสียงไร้อารมณ์ปลุกเธอตื่นจากความตายได้อย่างรวดเร็วทันใจ รีบขยับตัวลุกแก้เก้อทั้งที่ยังหายใจหายคอไม่คล่องเพราะรู้ว่าตัวเองเผลอปล่อยไก่ตัวใหญ่ และถ้ายังนอนเป็นผักอยู่แบบนั้นก็คงจะโดนสายตาเย็นชานั่นจ้องจนพรุนแน่ 

“เรายังไม่ตาย!”

เมื่อลุกขึ้นทรงตัวได้ก็ยิ้มรับชีวิตที่เกิดใหม่อย่างดีใจ ใช้คำว่า ‘เรา’ ได้อย่างเต็มปาก เพราะมองดูอีกคนแล้วเขาก็ดูปลอดภัยดี การจับต้องตัวเขาได้แสดงว่าเขาไม่ใช่ผีแน่ๆ ยิ่งทำให้ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์รู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยก็ปฏิบัติภารกิจสำเร็จ พาอีกคนให้รอดมาด้วยกันได้อย่างที่ตั้งใจ แม้เนื้อตัวจะเปียกมะล่อกมะแล่ก เปื้อนดินเปื้อนโคลนก็ไม่สนใจ รีบสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด มองภาพบรรยากาศสดใสเบื้องหน้าที่ไม่มีควันไฟหนาทึบแสบจมูกแสบตา ความรู้สึกตอนนี้จึงเหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริงๆ 

“บ้าสุดๆ เลย นึกว่าจะไม่รอดแล้ว”

“ใช่ บ้ามากจริงๆ”

วีร์สรุปเช่นกัน ลอบถอนหายใจเบาๆ ตอนแรกอีกฝ่ายนอนนิ่งไปจนเขากังวลแทบตายว่าเธอจะไม่มีลมหายใจแล้ว แต่พอเห็นว่าลุกขึ้นมานั่งหน้าตาเบิกบานพูดจ้อได้ก็หมดห่วง ทิ้งตัวลงไปนอนแผ่หลาอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เพราะกว่าตัวเองจะตะเกียกตะกายขึ้นมาจากน้ำได้ก็แทบหมดแรง ยิ่งต้องหอบหิ้วอีกร่างขึ้นมาด้วยก็ยิ่งใช้แรงเป็นสองเท่า

“ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณนรก โอ๊ย! ขอบคุณ”

เสียงขอบคุณสรรพสิ่งของคนข้างๆ ตัวยังดังโฉงเฉง 

“คุณควรจะขอบคุณผมมากกว่ามั้ย ที่ไปลากคุณขึ้นมาจากก้นบ่อน่ะ”

“ก็จริง” 

แทนจันทร์เออออกับการทวงบุญคุณเหมือนเพิ่งนึกได้ หันขวับมามองชายหนุ่มข้างๆ แล้วก็ต้องรู้สึกแปลกๆ เพราะไม่คุ้นตานักที่เห็นดอกเตอร์วีร์ที่เธอรู้จักในฐานะเจ้าของศูนย์วิจัยระดับประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้มักเห็นเขาในโทรทัศน์หรือตามสื่อในภาพชุดสูทหรือเสื้อกาวน์กับหลอดทดลอง บัดนี้นอนแผ่หลาอยู่บนพื้นหญ้าแบบหมดแรง ใบหน้ามอมแมมหมดสภาพ

“คุณ...คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ย ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่มั้ย” 

ชายหนุ่มยอมรับว่าต้องโงหัวขึ้นมามองหน้าอีกฝ่ายเพราะงงกับคำถามนั้น ทั้งที่ตัวคนถามเพิ่งขึ้นมาจากก้นบ่อด้วยสภาพเกือบตาย แต่เธอกลับมานั่งถามคนอื่นว่าเป็นอะไรมั้ยโดยที่ไม่ได้สนใจสภาพดูไม่จืดของตัวเองสักนิด ใบหน้าและเนื้อตัวเลอะเทอะมอมแมมด้วยคราบควันเปื้อนดำและโคลน เสื้อผ้าเปียกชุ่มมีรอยขาดไหม้รุ่งริ่งไปทั้งตัว ปากเล็กที่เจรจาเจื้อยแจ้วด้วยคำพูดที่แน่นอนว่าไม่เสนาะหูทำให้เธอยิ่งดูห่างไกลกับสารบบผู้หญิงธรรมดาโดยสิ้นเชิง ซึ่งความไม่ธรรมดานี้ก็พิสูจน์ได้จากความบ้าที่ลากเขาบุกกองไฟ กระโดดตึกสามชั้น และปิดท้ายด้วยการนั่งยิ้มไหว้ขอบคุณสวรรค์ที่รอดจากการจมน้ำตายมาได้

ความฉงนทำให้วีร์เผลอจ้องคนที่รอดตายมาด้วยกันและเพิ่งได้เห็นใบหน้านั้นแบบชัดเจนเต็มสองตาครั้งแรก จะเรียกว่าชัดเจนก็ไม่เต็มปาก เพราะมันดูราวกับเด็กน้อยที่เล่นมาเลอะจนมอมไปทั้งหน้า ดวงตากลมโตแป๋วแหววเหมือนลูกแก้วใสจึงเป็นสิ่งที่สว่างที่สุดบนใบหน้านั้นตอนนี้ 

ดวงตาที่จู่ๆ ก็ทำให้เกิดคำถามที่ไม่ควรนึกขึ้นได้ที่สุดในสถานการณ์แบบนี้

ทำไมเขาคุ้นตาคู่นี้มากเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

“ว่ายังไงคุณ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“ผมไม่เป็นอะไร” วีร์ดึงตัวเองออกมาจากคำถาม รีบตอบก่อนจะเลิกใส่ใจความคิดที่ไร้เหตุผลของตน กลับมาอยู่กับปัจจุบัน เมื่อเงยหน้าไปมองขอบหน้าต่างนั้นแล้วก็นึกขอบคุณสวรรค์ที่ยังไม่อยากได้เขาไป “คุณรู้ได้ยังไงว่ามันจะปลอดภัยถ้าเรากระโดดจากความสูงขนาดนั้น”

“อ๋อ...ฉันเดาน่ะ”

“ฮะ!” นักวิทยาศาสตร์หนุ่มอ้าปากค้าง ตอนแรกยังนึกว่าเธอล้อเล่น เพราะเขาคิดว่าคำตอบคงมาจากข้อมูลการสอบภาคปฏิบัติของตำรวจหรือการเรียนภาคทฤษฎีในหลักสูตรพิเศษใดๆ แต่คำตอบจริงๆ มันน่าเหลือเชื่อกว่านั้น

“แต่คุณบอกว่าคุณเรียนมา”

“เรียนอะไร ฉันเป็นตำรวจนะคุณ ไม่ใช่นักวิจัยแบบคุณ จะเรียนทำไม”

“นี่คุณโกหกผม!” ดอกเตอร์ร้องลั่น

“นิดหน่อยน่า” หญิงสาวโบกมือตอบแบบไม่คิดมาก “ก็ถ้าฉันไม่บอกแบบนั้นคุณจะกล้ากระโดดลงมามั้ยล่ะ ป่านนี้น่าจะสุกกินได้อยู่บนตึกแล้ว”

นี่มันตำรวจหรือมิจฉาชีพกันแน่นี่...

ใบหน้าซีดๆ ใต้คราบเขม่าควันของดอกเตอร์หนุ่มแดงขึ้นมาด้วยความโกรธ นี่ยังไม่นับเรื่องที่เธอเล่นละครกระชากกระเป๋าแถมผลักเขาหน้าหงาย แต่โชคดีที่คราบเขม่านั้นปิดสีหน้าไว้ คนที่โดนอาฆาตจึงไม่รู้ตัว แล้วก็ไม่ได้หันมาสนใจด้วยเพราะมัวแต่สำรวจสภาพร่างกายตัวเองตรงนู้นทีตรงนี้ที ยิ่งทำให้คนถูกต้มเดือดปุดๆ กับท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่เมื่อหญิงสาวดึงแขนเสื้อที่ขาดรุ่งริ่งออกแล้วโยนทิ้ง รอยบางอย่างที่มือก็ทำให้เขาชะงัก 

ข้อมือเล็กๆ ข้างขวาขึ้นรอยแดงพาดยาวสี่แถบ มันแดงช้ำเหมือนถูกบีบอย่างแรง หน้านิ่วๆ นั้นบ่งบอกความเจ็บเมื่อสัมผัส ครู่หนึ่งที่เธอหันมามองหน้าเขาและเห็นว่าเขาจ้องอยู่เช่นกัน เจ้าหล่อนเก็บสีหน้าทั้งหมด ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ขยับมือซ่อนไว้ข้างหลังแล้วเปลี่ยนเรื่องราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้โกหกคุณอย่างหนึ่งนะ”

วูบหนึ่งที่แววตาของชายหนุ่มแสนสับสน ท่าทางนั้นทำลายตรรกะและกลไกสมองของเขาที่กำลังวิเคราะห์จนหมดสิ้น คำพูดที่กำลังจะเอ่ยเลยหายไปด้วย ปล่อยให้คนตัวเล็กยิ้มร่า ยืดอกยักคิ้ว พร้อมทำหน้าแสนภูมิใจ

“บอกแล้วว่าเราต้องรอด ฉันไม่มีทางปล่อยให้คุณตายอยู่บนนั้นหรอก”

เห็นท่าทางสุดแสบแล้วเขาก็ได้แต่ถอนหายใจทิ้ง แต่เรื่องนี้ก็เป็นความจริงไม่ต่างจากที่เธอว่า เมื่อย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่แล้วก็ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะรอดมาได้จริงๆ โดยเฉพาะตอนโดนคนร้ายเอาปืนจ่อหัวเพื่อบังคับจะเอากระเป๋าเซรุ่มจากมือเขา

“แต่พวกมันได้เซรุ่มไปแล้ว” เจ้าของผลงานพึมพำอย่างเสียดาย

แทนจันทร์เองก็คอตกเมื่อนึกถึงสิ่งที่ผิดพลาดของงานนี้ รีบถามกลับอย่างมีความหวัง

“แต่คุณมีอันสำรองใช่มั้ย อันนั้นมันแค่...”

“ไม่มี...อันนั้นคือเซรุ่มต้นฉบับที่สมบูรณ์ที่สุด”

โครงการเซรุ่มพูดความจริงเป็นงานวิจัยชิ้นล่าสุด โพรเจกต์นี้เป็นโพรเจกต์เดียวที่ชายหนุ่มคิดค้นและวิจัยด้วยตนเองทุกขั้นตอน มันควรจะเสร็จสมบูรณ์ไปแล้วหากเขาไม่ประสบอุบัติเหตุปางตายก่อนหน้านี้ เหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้แผนงานทั้งหมดล่าช้าไปมาก โดยเฉพาะครั้งนี้ที่เซรุ่มตัวที่ถูกขโมยไปคือเซรุ่มต้นแบบที่สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งจะนำมาเป็นสูตรในการผลิตและทดลองใช้จริงในคดีที่ตำรวจต้องการ และตอนนี้มันก็คงไม่มีให้ทดลองอีกต่อไปแล้ว

“เป็นความผิดฉันเอง” แทนจันทร์อ้าปากค้างกับความจริงที่เพิ่งรู้ นึกแล้วก็แค้นที่ปล่อยให้พวกมันเอากระเป๋าเซรุ่มไปได้ เพราะมันหมายความว่าการทดสอบใช้เซรุ่มกับชาติเพื่อสาวตัวไปถึงกษิณก็ต้องช้าลงไปอีกเช่นกัน

“คุณไม่ผิดหรอก คุณเลือกช่วยผม” ชายหนุ่มว่า เพราะเขาเป็นคนที่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดีที่สุด “จริงๆ แล้วถ้าตอนนั้นคุณเห็นแก่องค์กรคุณแล้วเอาเซรุ่มไป มันก็คงยิงผมทิ้งไปแล้ว”

“ฉันจะไปทำแบบนั้นได้ยังไง”

วีร์หันไปมองคนตัวเล็กที่กอดเข่าคอตกอยู่ข้างๆ ไม่รู้ทำไมหน้ามุ่ยๆ นั่นทำให้เขามีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

“คุณ...”

“ฉันจะไปทำแบบนั้นได้ยังไง ฉันก็ไม่ได้โง่นะ ฉันรู้ว่าถึงฉันให้เซรุ่มมันไป มันก็ยิงคุณหัวแบะอยู่ดี ก็มันตามยิงคุณมาตั้งแต่ข้างใน แล้วมันจะปล่อยให้คุณรอดอยู่ตรงหน้าเหรอ”

คำวิเคราะห์แบบขวานผ่าซากแต่มีเหตุผลทำเอาสายตาคนที่ลอบมองเปลี่ยนไป ชายหนุ่มส่ายหัว

“เซรุ่มน่ะถึงจะโดนพวกมันเอาไป แต่ถ้ายังมีสมองคุณอยู่จะผลิตใหม่อีกกี่พันขวดก็ได้” แทนจันทร์ว่า “ตัวคุณน่ะมีคนเดียว ถ้าตายไปจะไปหาตัวแทนมันก็ไม่ได้แล้วไง เอาตัวคุณไว้น่ะถูกต้องแล้ว”

ตัวแทน...งั้นหรือ

เมื่อจบประโยคนั้น เหมือนจะเป็นแค่การจบบทสนทนาธรรมดา แต่ดวงตาสีอัลมอนด์ของชายหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าตกอยู่ในห้วงความคิดบางอย่างที่ทำให้สีหน้าที่มักจะไร้ความรู้สึกอยู่แล้วนิ่งขรึมลงไปอีก แต่คนที่นั่งอยู่ข้างกันไม่ได้สังเกตเห็น เพราะมัวแต่หูผึ่งและเบนความสนใจไปยังเสียงที่ดังใกล้เข้ามาจากนอกรั้ว 

“เสียงรถตำรวจ มีคนมาแล้วคุณ”

 

จากถนนด้านหน้าศูนย์วิจัยที่ตั้งอยู่สุดซอยลึก ณ วันเสาร์ที่แสนจะเงียบเหงา ในตอนนี้เต็มไปด้วยรถดับเพลิง รถกู้ภัย รถตำรวจ ทุกคันเปิดไฟสัญญาณสีแสบตา ส่งเสียงดังลั่นไปทั้งซอย หน่วยงานที่ทำหน้าที่หนักที่สุดเห็นจะเป็นรถดับเพลิงสามคันที่ระดมฉีดน้ำไปยังตึกต้นเพลิงตรงหน้า โชคดีที่วันนี้ไม่ใช่วันทำงานจึงไม่มีพนักงานด้านในและไม่ต้องกังวลเรื่องการช่วยเหลือคน การทำงานจึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและควบคุมเพลิงได้ในที่สุด

หลังจากโดนเจ้าหน้าที่พยาบาลรุมเข้ามาตรวจร่างกายด้วยเครื่องไม้เครื่องมือหลายชนิด และดูแล้วว่าไม่มีสภาพร่างกายส่วนไหนผุพังเสียหาย วีร์ก็วุ่นวายอยู่กับการติดต่อประสานงานพนักงานแผนกต่างๆ เพื่อประเมินความเสียหายคร่าวๆ พูดคุยกับผู้ดูแลตึกและมอบหมายงาน จบขั้นตอนอันวุ่นวายหลายชั่วโมงด้วยการนั่งเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทีมสืบสวนฟัง

“ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับดอกเตอร์ วันนี้คงขอรบกวนแค่นี้” ตำรวจหนุ่มปิดแฟ้มงานที่จดหลังจากที่ได้รับข้อมูลไปส่วนหนึ่ง “เดี๋ยวรบกวนดอกเตอร์ตามมาทางนี้นะครับ ทางเราจะให้เจ้าหน้าที่ไปส่งคุณกลับที่พัก”

วีร์พยักหน้าให้ตำรวจหนุ่มนามว่าต่อพงษ์ซึ่งเป็นผู้เข้ามาสอบปากคำ สาเหตุที่จำชื่อตำรวจนายนี้ได้เพราะว่าเคยพบตั้งแต่ที่โรงพยาบาล วันนี้ทางตำรวจยืนยันว่าจะไปส่งเขาถึงที่พักเพื่อความปลอดภัย เขาจึงต้องยอมเดินตามไปยังรถของเจ้าหน้าที่ซึ่งจอดอยู่ห่างออกไปทางถนนด้านหลัง ไกลจากความวุ่นวายของประตูหน้าที่เต็มไปด้วยผู้คนพอควร

“คุณรู้มั้ยว่าตอนที่ผมเห็นคุณอยู่ที่นี่ ผมคิดอะไร”

เสียงสนทนาดังชัดเจนมาจากท้ายรถกระบะของเจ้าหน้าที่ มันค่อนข้างดังแบบไม่เกรงใจใคร คงเพราะเห็นว่าไม่มีคนอื่นอยู่ในบริเวณนี้

“ผู้กอง...”

แม้จะไม่เห็นหน้า แต่วีร์จำเสียงอ่อยๆ ของคนตอบได้ว่าเป็นเสียงของตำรวจสาวที่ช่วยเขาไว้ พอเลี้ยวพ้นมุมมาก็เห็นคนสองคนยืนหันหลังให้และไม่ได้สังเกตเห็นการมาของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มที่เธอสนทนาด้วยคือผู้กองจิณณ์ ผู้กองคนที่เคยไปสอบปากคำเขาที่โรงพยาบาลนั่นเอง

“แทนจันทร์”

วีร์เลิกคิ้วเมื่อได้ยินชื่อหญิงสาวเป็นครั้งแรก แต่คิดไปคิดมานี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาสนใจจะได้ยินต่างหาก รู้สึกชื่อนี้มันประหลาด ชื่อที่ดูนุ่มนวลขัดกับบุคลิกเจ้าเล่ห์นั้นโดยสิ้นเชิง

“ไม่ต้องมาทำหน้าเศร้า ผมรู้ว่าคุณไม่เคยฟังผมเลย ผมขอให้คุณพักจากคดีนี้ แต่คุณก็ก่อเรื่องจนถูกพักงานยาว และคราวนี้คุณยังมาโผล่ที่นี่ มีทั้งไฟไหม้ มีทั้งมือปืน”

ผู้กองหนุ่มที่ตามตำแหน่งคงเป็นผู้บังคับบัญชาร่ายยาว น้ำเสียงขุ่นเคือง ส่วนคนฟังก็ได้แต่ก้มหน้าคอตก ด้วยสภาพที่เปียกมะล่อกมะแล่ก เนื้อตัวมอมแมม พอโดนดุก็ยิ่งทำให้ตัวที่เล็กอยู่แล้วหดเล็กลงไปอีกจนเหมือนเด็กน้อยที่โดนครูทำโทษ

“ผู้กอง...ฉันไม่ได้จะไม่เชื่อฟังผู้กองนะ ฉัน...”

“ผมผิดเองที่ไม่มีความสามารถพอที่จะดูแลควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชา” สีหน้าของจิณณ์เย็นเยียบขณะพิจารณามองผู้ใต้บังคับบัญชาตรงหน้า “ผมไม่เข้าใจ ผมบอกตลอดให้คุณระวังตัว แล้วนี่อะไร ตัวมีแต่รอยแผล แล้วกระโดดลงมาจากตึกสามชั้น คุณคิดว่าผมจะรู้สึกยังไง แทนจันทร์”

คนที่ไม่ได้ตั้งใจแอบฟังบทสนทนาได้ยินทุกประโยค ตอนแรกก็เกือบจะนึกเห็นใจแม่ตำรวจหน้าม่อยคนนั้นที่งานนี้โดนเจ้านายสวดเละเทะ แต่หลังจากฟังประโยคสุดท้ายของผู้กองจิณณ์จบ ความคิดของคนยืนมองก็เปลี่ยนไปทันที ระดับสมองของนักวิจัยประมวลผลสรุปความได้ทันทีว่าเธอไม่ได้ถูกเจ้านายต่อว่าเพราะหน้าที่การงานแล้ว แววตาและน้ำเสียงของชายหนุ่มดูมีอะไรมากกว่านั้นอย่างชัดเจน

“อ่า...คือ...ไม่ต้องตกใจครับ ไม่ต้องตกใจ พี่จิณณ์กับพี่จันทร์เขาคุยกันแบบนี้อยู่แล้ว” หมวดต่อพงษ์ซึ่งเดินนำหน้าหันมาอธิบายด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “พี่จิณณ์เขาต้องขู่สักหน่อย ไม่งั้นพี่จันทร์ก็ไม่เข็ดเสียที”

สมองวิเคราะห์ต่อจากท่าทางของเพื่อนร่วมงานที่ดูไม่ได้เดือดร้อน ทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าความสัมพันธ์ที่มากกว่าเจ้านายและลูกน้องนั้นไม่ผิดจากที่คิด แต่ใครจะเป็นอย่างไรย่อมไม่ใช่เรื่องของเขาอยู่แล้ว ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้เหมือนไม่ได้สนใจ แต่เก็บข้อสงสัยไว้ในใจลึกๆ เพียงอย่างเดียวคือ ผู้กองจิณณ์ที่ดูเป็นคนเอาการเอางาน ด้วยตำแหน่งหน้าที่ดูมีอนาคตไกล ทำไมถึงได้ชอบผู้หญิงประหลาดไม่สมหญิงแบบนี้ได้ 

“อ้าว...ผู้กอง ผู้หมวดครับ มาถกเถียงเรื่องคดีอะไรกันอยู่ตรงนี้”

ต่อพงษ์กระแอมขัดจังหวะ ทำหน้าระรื่นเข้าไปขัดบทสนทนาเพื่อไม่ให้มีเสียงดังออกมาจนอาจทำให้แขกผู้มีเกียรติที่คนทั้งกองปราบปรามต้องเกรงใจและไม่เคยเข้าใจความสัมพันธ์นี้มาก่อนตกใจกลัว เขาพยักพเยิดไปทางวีร์ซึ่งยืนกอดอกรออยู่ด้านหลังเป็นสัญญาณให้ทั้งสองรู้ตัว

เมื่อเห็นว่ามีคนนอกเข้ามา จิณณ์ก็เก็บสีหน้าขุ่นมัว แต่ก็ยังแสดงออกผ่านแววตาชัดเจนว่าที่โมโหนั้นเป็นเพราะความห่วงอย่างเดียวล้วนๆ ซึ่งคนถูกมองก็ยังไม่รู้ตัว เพราะได้แต่ก้มหน้ามองพื้นงุดๆ ไม่กล้าสบตาเพราะกลัวถูกเด้งออกจากงานรอบสอง

“ผมกำลังจะไปส่งดอกเตอร์ที่ที่พักน่ะครับ” ต่อพงษ์รายงาน

“ผมยังยืนยันอยากให้คุณพิจารณาเรื่องทีมคุ้มกันของเราอีกรอบนะครับดอกเตอร์” จิณณ์จำต้องสนใจเรื่องงานก่อน เขาหันมาเอ่ยกับพยานปากเอกของเหตุการณ์

“ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไร” วีร์ยังยืนยันเจตนาเดิมที่เขาปฏิเสธการที่ตำรวจจะส่งคนมาคุ้มกันเพื่อความปลอดภัย “ผมค่อนข้างชอบความเป็นส่วนตัว แล้วก็ไม่อยากรบกวนพวกคุณ”

“ไม่ได้นะคุณ” เสียงเล็กๆ ของผู้หญิงหนึ่งเดียวในวงสนทนาดังแทรกขึ้นมา จากที่เคยคอตกก็เปลี่ยนมาทำตาโตเมื่อพูดถึงเรื่องงาน “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาส่วนตัวแล้ว พวกมันกลับมายิงหัวคุณซ้ำแน่ๆ ให้ผู้กองเขาจัดทีมอารักขาให้น่ะถูกแล้ว”

ต่อพงษ์แทบจะเป็นลมกับคำพูดลูกพี่ที่ไม่ได้ให้เกียรติตำแหน่งดอกเตอร์เจ้าของศูนย์วิจัยเลย เช่นเดียวกับจิณณ์ที่เริ่มกลับมากุมขมับอีกรอบ

“แล้วที่พักคุณ ไอ้ต่อบอกว่าเป็นแค่คอนโดธรรมดา มันจะไปปลอดภัยได้ยังไง”

“แทนจันทร์...” 

เสียงกำราบต่ำๆ ของเจ้านายเหมือนจะทำให้เจ้าตัวเพิ่งรู้ตัว ต้องยอมถอยไปยืนมองหน้าพยานเรื่องเยอะแบบไม่เข้าใจ 

“ถ้ายังไงผมจะคอยส่งสายตรวจไปดูแลพื้นที่รอบๆ ให้นะครับ เพื่อความสบายใจของทีมเราและเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนความเป็นส่วนตัวของคุณ คุณติดต่อพวกผมได้ตลอดเวลาทั้งเบอร์ราชการและเบอร์ส่วนตัวเลย”

วีร์พยักหน้ารับข้อเสนอ กล่าวขอบคุณสั้นๆ ก่อนจะเดินไปขึ้นรถเจ้าหน้าที่ที่ต่อพงษ์เปิดประตูรอ

“อ้อ! เดี๋ยวก่อนดอกเตอร์”

“อะไรอีกพี่จันทร์” ต่อพงษ์ทำเสียงท้อ เมื่อจู่ๆ แทนจันทร์ซึ่งอุตส่าห์ยอมถอยไปได้ตะโกนเรียกชายหนุ่มที่กำลังก้าวขึ้นรถราวกับเรียกเพื่อนเล่น 

“อะไรของแกไอ้ต่อ ฉันแค่จะคืนของให้ดอกเตอร์เขา”

แทนจันทร์ดุเมื่อเห็นสีหน้าของลูกน้อง ก่อนจะเดินผ่านหน้าไปยื่นบางสิ่งให้ชายหนุ่ม 

“ของคุณรึเปล่า” เจ้าของดวงตากลมๆ ถาม ยื่นของในมือพรวดไปตรงหน้า “ฉันเห็นมันร่วงอยู่”

กลางมือเธอคือสร้อยคอโซ่สีเงิน ตัวจี้เป็นวงกลมคล้ายแหวนพลาสติกสีขาววงเล็กๆ ที่ดูไม่เข้ากับความแพงของสายสร้อยโดยสิ้นเชิง

“ขอโทษนะ แต่ฉันน่าจะเป็นคนทำขาดตอนที่คุณช่วยฉันขึ้นมาจากน้ำ ตอนนั้นคว้าอะไรได้ก็คว้าไปก่อน มันเลยติดมือฉันมา”

เธอประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นดอกเตอร์ผู้ที่ดูชีวิตไม่ค่อยสนใจอะไรรีบคว้าสร้อยเส้นนี้หมับ พออยู่ในมือตัวเองก็เอาไปสำรวจดูว่ามันเป็นอย่างไร เมื่อเห็นว่าแค่สายโซ่ขาด นัยน์ตาก็ฉายแววโล่งใจ

“ขอบคุณ”

เขากล่าวเพียงสั้นๆ ก่อนหมุนตัวขึ้นรถไป ทิ้งให้หญิงสาวที่ปกติไม่ค่อยสนใจอากัปกิริยาเล็กๆ น้อยของใครต้องขมวดคิ้ว 

แทนจันทร์เริ่มคิดแล้วว่าดอกเตอร์คนนี้ประหลาดนัก ตอนที่อยู่กับเขาสองคน เขาก็ดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่ไม่รู้ทำไมพอตอนนี้ถึงทำตัวห่างเหินราวกับเขาอยู่บนภูเขาและกำลังยืนมองเธอที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่บนพื้นหญ้า รัศมีอำมหิตไม่น่าเข้าใกล้เปล่งประกายไม่หยุดตั้งแต่เริ่มมีคนอื่นเข้ามา และทั้งที่เธอช่วยเขาให้พ้นจากความตายหลายต่อหลายรอบ เธอไม่ได้ยินคำขอบคุณจากเขาสักคำ แต่กลับมาขอบคุณง่ายๆ ตอนที่เธอคืนสร้อยเส้นหนึ่งให้เขา

ประหลาดคนจริงๆ 

แทนจันทร์สรุปความก่อนเดินจากไป โดยที่ไม่ได้รู้ว่า ชายหนุ่มที่ตนกล่าวถึงก็รู้สึกกับเธอไม่ต่างกับที่เธอคิด 

วีร์ก้มลงมองสายสร้อยในมือ จี้พลาสติกคล้ายวงแหวนสีขาวดูเล็กนิดเดียวเมื่ออยู่กลางมือใหญ่ เขานิ่งมองมันอยู่สักพักเหมือนโดนตรึงด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เข้ามาสะกิดใจเป็นรอบที่สองของวัน ตกใจที่มันโถมเข้ามาหนักเมื่อเห็นว่าเจ้าของดวงตากลมโตเหมือนลูกแก้วเป็นคนยื่นสร้อยเส้นนี้กลับมาให้เขา

ภาพบางอย่างที่หายไปจากความทรงจำมานานย้อนกลับเข้ามาในหัว แต่สมองที่มักใช้ตรรกะเหตุผลเป็นหลักก็รีบเข้ามายับยั้งไม่ให้ใจคิดไปไกล 

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองผ่านกระจกรถติดฟิล์มทึบ ก็เห็นหญิงสาวตัวเล็กยังคงเที่ยวเดินไปยื่นหน้าคุยกับคนนู้นคนนี้ ทำงาน ทำหน้าที่ของตัวเองต่อราวกับไม่ได้ถูกพักงานตามที่ได้ยิน ทั้งที่ตัวเองก็อยู่ในสภาพมอมไปทั้งตัวและไม่ควรทำอะไรต่อได้แล้วทั้งสิ้น นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มสรุปความคิดได้อย่างเดียวเหมือนกัน

ผู้หญิงอะไร ประหลาดคนจริงๆ

 

ลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาจนม่านสีขาวปลิวสะบัด สายลมที่สัมผัสกายคนที่นอนอยู่บนเตียงทำให้เจ้าของร่างรู้สึกตัวตื่น ตอนแรกคิดว่าเพราะไม่ได้ห่มผ้าจึงรู้สึกว่าอากาศคืนนี้เย็นกว่าปกติ แต่พอควานหาผ้าห่มที่ปลายเตียงขึ้นมาคลุมร่างกายจึงรู้ว่าอาการหนาวสั่นนี้ไม่ใช่เพราะลมจากหน้าต่างที่ลืมปิด แต่มันหนาวจากข้างในคล้ายคนจะเป็นไข้

แทนจันทร์ลืมตามองนาฬิกาที่ปลายเตียง เห็นว่าเป็นเวลาเกือบเข้าวันใหม่แล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไร จำได้ว่าตอนกลับมาถึงห้องแล้วล้มตัวลงนอนพักนั้นแดดยังจ้า จึงไม่ได้เปิดไฟทิ้งไว้ ห้องเลยมืดสนิทแบบนี้ ที่จริงเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ตั้งแต่ก่อนกลับมา พอเข้าห้องได้ก็เลยสลบ รู้ตัวดีว่าสาเหตุของอาการไข้นี้คงเป็นการอักเสบที่แขนขวาซึ่งเจ็บร้าวระบมจนไม่อยากขยับ โดยเฉพาะช่วงต้นแขนที่ขยับมากก็ทำเอาเจ็บไปทั้งตัว

“คุณตำรวจ คุณตำรวจ”

แวบแรกคิดว่าตัวเองฝันที่ได้ยินเสียงคนเรียกจากปลายเตียง

“อ้าว! นี่คุณไม่สบายเหรอ”

และแล้วก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้ฝัน เพราะเสียงมันดังชัดมากเหลือเกิน แล้วก็ดันเป็นเสียงคุ้นหูที่มักจะได้ยินในเวลาดึกประมาณนี้ตลอดเสียด้วย บวกกับกลิ่นน้ำหอมผู้ชายอ่อนๆ ที่ลอยมาตามลม ทำให้เธอรู้ทันทีว่าจะต้องเจอกับอะไรถ้าลืมตาขึ้น เริ่มภาวนาว่าขออย่าให้เป็นอย่างที่คิด เตรียมดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดตาตัวเองไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน

“ผมเอง ลักกี้ไง”

แทนจันทร์อยากจะแหวตอบว่า ‘รู้แล้ว!’ มาทั้งเสียงทั้งกลิ่น แถมแนะนำตัวเองเสร็จสรรพด้วยชื่อใหม่แบบนี้จะให้ไม่รู้ได้อย่างไร แต่ที่เธอยังไม่กล้าเปิดตาดี เพราะถึงแม้เสียงจะใช่ กลิ่นจะใช่ แต่กลัวว่าภาพที่เห็นอาจจะไม่เหมือนเดิม ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คน คนที่กลัวสิ่งที่ไม่ใช่คนมากที่สุดจึงผวาเอาไว้ก่อนว่าอาจจะมาในเวอร์ชันแลบลิ้นปลิ้นตาเหมือนในหนังก็ได้

“เปิดตาคุยกับผมเถอะ ผมไม่มีอะไรน่ากลัวจริงๆ นะ”

เสียงนุ่มๆ เหมือนจะเจือแววปลอบโยนอันเป็นเสียงประจำตัวของเขาทำให้ความระแวงของคนฟังลดลงไปได้ครึ่งๆ บวกกับความอยากรู้ว่าจะเป็นจริงตามที่บอกไหม จึงค่อยๆ ลดผ้าลงและเปิดตาดูทีละครึ่ง มองเห็นผีหนุ่มตนเดิมยืนอยู่ห่างจากปลายเตียงไปพอสมควร แต่คราวนี้เขาดูน่ากลัวน้อยลงเมื่อไม่ได้อยู่ในชุดโรงพยาบาล แต่สวมเสื้อยืดแขนยาวสีขาวและกางเกงขายาวสีเทาคล้ายชุดนอน ตามเนื้อตัวไม่มีผ้าพันแผลแล้ว เลยทำให้เขาดูเหมือนมนุษย์ทั่วไปที่กำลังเตรียมเข้านอนในเวลาดึกเช่นนี้ 

และที่ไม่เคยเปลี่ยน แต่รู้สึกว่าหลอนยิ่งกว่าการมายืนแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ ก็คือใบหน้านั้น ใบหน้าที่เหมือนคนที่เธอเผชิญเวรเผชิญกรรมมาด้วยเมื่อตอนกลางวันไม่มีผิดเพี้ยน

นี่เธอจะต้องโดนทั้งผีและคนหน้าตาแบบนี้หลอกหลอนทั้งตอนกลางวันและกลางคืนเลยหรือนี่

“คุณไปทำอะไรมาถึงไม่สบายแบบนี้” เขายื่นหน้ามาถามเบาๆ ยังคงรักษาระยะห่างแบบมีมารยาท แววตาและน้ำเสียงดูเป็นกังวล “อาการเป็นยังไงบ้าง นี่กินข้าวกินยารึยัง”

แทนจันทร์ชะงักเล็กน้อยกับน้ำเสียงนุ่มๆ นั้น ถึงกับปรับสีหน้าไม่ถูก เพราะเผชิญกับใบหน้านี้มาทั้งวัน แต่สิ่งที่ได้ยินมีแต่คำพูดเรียบๆ บนใบหน้าไร้ความรู้สึกที่เรียบยิ่งกว่าคำพูด แต่พอมาตอนกลางคืนดันได้มาเจอกับทรงหน้าเดิมที่ดูกังวล ถามไถ่จริงจังด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย เลยทำให้เผลอสับสน ปรับตัวไม่ทันไปเหมือนกัน 

“ฉัน...ฉันไม่เป็นอะไร” หญิงสาวตอบแบบไม่ค่อยไว้ใจและตะขิดตะขวงใจกับภาพลักษณ์ที่ไม่คุ้นเคยนั้น 

“ไม่เป็นอะไรได้ยังไง ก็เห็นอยู่ว่าไม่สบาย ทำไมต้องโกหกด้วย”

หญิงสาวอึ้งไปนิดๆ เมื่อเจอผีดุ มันไม่ได้น่ากลัวเหมือนในหนัง เพราะผีตนนี้ดุด้วยสายตาราวกับเธอเป็นเด็กน้อยจอมดื้อ น้ำเสียงนั้นจริงจังจนคนไม่อยากโดนว่าว่าเป็นตำรวจขี้โกหกรู้สึกผิด จึงพูดอ้อมแอ้ม บอกความจริงไปเล็กน้อย

“ก็แค่เป็นไข้นิดหน่อย ปวดเนื้อปวดตัว” 

“แล้วไปทำอะไรมา ทำไมถึงเป็นแบบนี้” ลักกี้บ่นพึมพำ 

‘ก็ไปช่วยคนนิสัยประหลาดที่หน้าเหมือนนายมาน่ะสิ’

คำตอบแบบนั้นดังได้แค่ในใจ ความคิดครู่หนึ่งที่เข้ามาในหัวคือ แม้จะตกปากรับคำผีไปแล้วว่าจะช่วยเขาตามหาตัวตนที่แท้จริง แต่ขืนเธอบอกไปว่าได้เจอคนที่รูปร่างหน้าตาเหมือนเขาเป๊ะๆ นายผีลักกี้นี่ต้องตามมาหลอกหลอนเธอไม่เลิกรา เช้า กลางวัน เย็น จนเธอประสาทกินแน่ๆ แม้เขาจะไม่ได้ดูเลวร้าย แต่ทางที่ดีเธอควรช่วยแบบให้นายผีนี่อยู่ห่างเธอที่สุดจะดีกว่า

“ก็ไปช่วยคนตามที่นายบอกไง”

“จริงเหรอ” ลักกี้เลิกคิ้ว ตาโต พยักหน้าอย่างยินดีที่คำแนะนำของตนถูกนำไปใช้ “แต่วันหลังจะไปช่วยใครก็ต้องรู้จักดูแลตัวเองด้วยรู้มั้ย ไม่ใช่ช่วยคนอื่นจนตัวเองไม่สบายแบบนี้”

แทนจันทร์ทำหน้าเหย อยากจะแคะหูตาตัวเองออกมาดูว่าได้เห็นและได้ยินไม่ผิดเพี้ยนจริงๆ 

อะไรจะต่างกันได้ขนาดนี้

ทั้งที่ใบหน้าเหมือนกันราวกับถอดแบบ แต่นิสัยช่างต่างกันสุดขั้วราวกับคนละคน ดอกเตอร์วีร์คนเมื่อตอนกลางวันเย็นชา เมินเฉย มองทุกคนราวกับอากาศธาตุ เหมือนมีกำแพงหนากั้นไว้ตลอดเวลา ไม่น่าเข้าใกล้เพราะไม่สามารถหยั่งรู้ได้เลยว่าในใจอันแสนซับซ้อนนั้นคิดอะไรอยู่ ในขณะที่วิญญาณตรงหน้านี้แม้จะมีที่มาลึกลับ แต่ท่าทางกลับดูไม่มีพิษมีภัย สุภาพเรียบร้อย นุ่มนวล ดูมีความเป็นห่วงเป็นใยคนอื่น ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่คน แต่ดูลึกลับซับซ้อนน้อยกว่าคนเสียอีก

จากที่เคยคิดว่าเขาสองคนอาจจะมีสิทธิ์เป็นคนคนเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกัน ตอนนี้เริ่มกลับมาไม่แน่ใจอีกแล้ว 

“เขาคงจะเป็นคนสำคัญมากนะ คุณถึงยอมลงทุนช่วยจนตัวเองเจ็บตัวแบบนี้”

“ก็ไม่เท่าไหร่หรอก” แทนจันทร์ตอบส่งๆ เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดเรื่องตัวตนของคนคนนั้น พยายามพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ความปวดร้าวที่แขนก็แล่นขึ้นมาจนทำให้เผลอร้องโอย

“คุณน่าจะไปหาหมอนะ” ลักกี้มองด้วยสีหน้ากังวล

“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก”

“โกหกอีกแล้ว เป็นอะไรทำไมชอบพูดโกหก ทำไมต้องบอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร เจ็บก็บอกเจ็บ ไม่สบายก็บอกว่าไม่สบายสิ” ลักกี้ย้อนถามกึ่งดุอย่างไม่เข้าใจ “ถ้าผมทำได้นะ ผมจะพาคุณไปหาหมอตอนนี้เลย”

คนโดนผีดุกะพริบตาปริบๆ นอนมองผีที่มีสีหน้าขัดใจ จากตอนแรกที่เขายืนมองอยู่หน้าประตูเหมือนไม่กล้าเข้ามาใกล้เจ้าของห้อง เมื่อไม่เห็นว่าเธอโวยวายอะไรก็ค่อยๆ ขยับเข้ามายืนเกาะปลายเตียงอย่างมีมารยาทด้วยเจตนาที่ดูไม่มีอะไรมากกว่าอยากสำรวจอาการ คราวนี้แทนจันทร์ตั้งใจขยับตัวหนี ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เป็นเพราะรำคาญผีบ่นมากกว่า กว่าจะหันหน้าหนีได้ก็ยากเย็นเพราะระบมไปทั้งตัว หนาวจนต้องกระชับผ้าห่มขึ้นแนบตัว

“เจ็บมากมั้ย”

ดวงตากลมโตของเจ้าของห้องมองวิญญาณประหลาดที่ปลายเตียง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเจ็บตัวจนกลับมานอนซมที่ห้องแบบนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีวิญญาณผีมายืนทำหน้าเป็นห่วงเป็นใยอยู่ใกล้ๆ 

“กินยาแก้ปวดไปแล้ว เดี๋ยวก็น่าจะดีขึ้น”

“แย่จริงที่ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย”

ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องรู้สึกแย่ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอเลยแม้แต่น้อย และไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพอตนเองได้ยินน้ำเสียงสำนึกผิดนั้นแล้วต้องรู้สึกแย่ไปด้วย 

“งั้นคุณพักผ่อนต่อเถอะ มีอะไรบอกผมนะ ผมจะนั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้”

เพราะเจตนาเจ้าตัวแน่วแน่โดยไม่ถามคนป่วยสักคำว่าอยากมีผีเฝ้าไหม ไม่ต้องรอคำอนุญาตก็ขยับเข้ามาทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง กอดอกนั่งมองคนบนเตียงราวกับบุรุษพยาบาลที่ถูกจ้างมาเฝ้าไข้ แทนจันทร์เองก็หมดแรงจะขัด ด้วยเรี่ยวแรงที่น้อยนิดบวกกับยาแก้ปวด แก้อักเสบ คลายกล้ามเนื้อที่กินไปทำให้เริ่มง่วงงุน ไม่มีแรงจะกลัวอีกต่อไป และรู้อยู่แก่ใจว่าร่างนั้นไม่มีร่างกาย ซึ่งก็แน่นอนว่าทำอะไรเธอไม่ได้ อีกทั้งยังนิสัยและเจตนาที่สัมผัสได้ก็ดูห่างไกลจากการมาทำร้ายอยู่พอควร

ดวงตาคู่นั้นจึงค่อยๆ ปิดลง ซุกตัวลงในผ้าห่ม หลับด้วยความรู้สึกว่าปลอดภัยกว่าครั้งไหนๆ และไม่เดียวดายน่ากลัวเหมือนทุกครั้งที่ไม่สบาย ความคิดในใจก่อนจะหลับก็ยังวนเวียนอยู่กับวิญญาณลึกลับข้างเตียง

ผีอะไร...ประหลาดจริงๆ

 

ลานหญ้าข้างสนามเด็กเล่นวันนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสนามฟุตบอลขนาดเล็กที่มีเด็กตัวน้อยสี่ห้าคนวิ่งกันอย่างจริงจัง สมกับที่สมมุติไว้ว่านี่คือการแข่งขันในสนามระดับประเทศ นำทีมโดยเด็กผู้หญิงตากลมผมแกละสองข้างที่เสียงดังกว่าใครเพื่อน นอกจากตัวเองจะลงไปวิ่งเป็นกองหน้า ดันลูกบอลเก่าๆ ด้วยรองเท้าแตะหูคีบจนฝุ่นตลบ ยังคอยตะโกนบอกเพื่อนร่วมทีมให้กระจายไปตามตำแหน่งตัวเอง

‘ไปสิ ไปทางนู้น ไปรอหน้าประตู เร็วสิ เร็ว’

เจ้าของเสียงเล็กๆ สั่งอย่างแข็งขัน ขณะที่เท้าก็พยายามประคองลูกบอลใหญ่เกินตัวให้กลิ้งไปข้างหน้า แต่ดูเหมือนว่าการเป็นทั้งโค้ชและกองหน้าในขณะเดียวกันไม่ใช่เรื่องง่าย บวกกับรองเท้าแตะหูคีบที่แสนเก่าหมดอายุจากการทุ่มเททำงานอย่างหนัก มันเด้งขาดผึงจนทำให้นักกีฬาตัวน้อยสะดุดเสียหลักลงไปนั่งเข่าจิ้มดินกลางสนาม

‘โอ๊ย!’

ไม่ต้องมีกรรมการเป่านกหวีดปรี๊ด การแข่งขันก็หยุดชะงักทันทีเมื่อมีนักกีฬาบาดเจ็บ กลุ่มเพื่อนตัวน้อยต่างวิ่งเข้ามารุมล้อม เจ้าตัวที่ตอนแรกไม่ได้รู้สึกอะไร พอเห็นสีหน้าตื่นตกใจของเพื่อนและเห็นเลือดไหลออกจากแผลก็เริ่มเบะปาก

‘แผลแค่นิดเดียวเอง ไม่เป็นอะไรหรอก’

ปากที่กำลังเริ่มเบะหุบลง สีหน้างุนงงเมื่อได้ยินเสียงบอกสบายๆ ให้ความรู้สึกตรงข้ามกับสีหน้าตื่นๆ ของเพื่อนๆ เจ้าของเสียงซึ่งตัวสูงกว่าเด็กคนอื่นแหวกวงล้อมเข้ามาพร้อมรอยยิ้มแฉ่ง

‘โจรหน้าดำ’ เด็กหญิงเรียกอีกฝ่ายเสียงอ่อยด้วยฉายาที่ตนตั้งให้เมื่อเห็นว่าคนที่โผล่มาล่าสุดนั้นเป็นใคร 

‘ลุกขึ้นมาเร็ว เดี๋ยวพี่พาไปล้างแผลก็หายเจ็บแล้ว’

บนม้าหินอ่อนริมสนามเด็กเล่น เด็กชายตัวโตกว่านั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเด็กหญิงผมแกละที่สีหน้าไม่สู้ดี เขาเอียงคอพิจารณาแผลถลอก จากนั้นก็บรรจงเทน้ำจากขวดราดแผลและใช้ผ้าเช็ดหน้าที่พกมาเช็ดแผลเบาๆ 

‘เจ็บรึเปล่า’ เด็กชายเงยหน้าขึ้นถาม

‘ไม่!’ แม้จะบอกว่าไม่ แต่ดูสีหน้าก็รู้ว่าตรงกันข้าม ปากบางที่เคยพูดฉอดๆ นั้นเม้มแน่น น้ำตาคลอเบ้า แต่ก็พยายามกลั้นสุดใจไม่ให้ร่วงลงมา 

‘ถ้าไม่เจ็บแบบนี้ พี่จะทำแรงๆ เลยนะ’ คนทำแผลตั้งใจแกล้งถาม

‘จริงๆ ก็เจ็บแหละ’ เจ้าของเสียงเล็กรีบเอ่ยโดยไม่รู้ว่าตัวเองถูกคนตัวโตแกล้งเข้าให้แล้ว ‘แต่แม่ครูสอนว่าต้องอดทน เป็นแผลก็ห้ามร้องไห้ เพราะร้องไห้ไม่ได้ทำให้หายเจ็บ’

คนทำแผลอมยิ้มกับคำสารภาพ ทำแผลไปสอนไป 

‘วันหลังถ้าแผลเล็กแค่นี้ไม่ต้องร้องไห้ แต่ถ้าแผลใหญ่กว่านี้แล้วเจ็บมากก็ร้องได้ เดี๋ยวคนอื่นจะไม่รู้ว่าเราเจ็บ แล้วเขาก็จะทำแผลให้เราแรงๆ’

อีกฝ่ายเช็ดแผลครั้งสุดท้ายอย่างที่คิดว่าสะอาดที่สุด ก่อนหยิบปลาสเตอร์ปิดแผลสีฟ้าลายการ์ตูนสดใสจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาแปะแผลที่เข่านั้น

‘โอเค เสร็จเรียบร้อยแล้ว’

เด็กหญิงผมแกละยิ้มร่า ความเจ็บดูจะหายไปเพราะความตื่นเต้นกับแผ่นปลาสเตอร์สีฟ้าสดใสนั้น เพราะมันดูจะเป็นเครื่องประดับชิ้นใหม่ที่สวยและสดใสที่สุดในตัวแล้ว ถ้าเทียบกับกางเกงบอลเก่าย้วยและเสื้อยืดสีซีด

‘ไม่เจ็บแล้ว งั้นไปเตะบอลกันต่อเถอะ’ คนตัวเล็กกว่าชวนยิกๆ 

‘เดี๋ยว! จะเล่นได้ยังไง รองเท้าขาดหมดแล้ว’ คนเป็นพี่ขัด

เมื่อก้มลงมองสภาพรองเท้าแตะหูคีบของตัวเองก็หน้ายู่ลงไปครู่ แต่เพราะเสียงเย้วๆ จากสนามมันเร้าใจเลือดนักกีฬาเหลือเกิน จึงเงยหน้าขึ้นมาส่ายหน้า

‘ไม่เป็นไรหรอก วิ่งเท้าเปล่าก็ได้’

‘ไม่ได้สิ เดี๋ยวเท้าก็เป็นแผลอีก’ คนโตกว่าไม่ยอม ยืนกอดอกคิดอยู่สักพักก็นึกได้ ก้มลงแกะเชือกรองเท้าผ้าใบสีขาวคู่สวยของตัวเองออก ‘เอารองเท้าพี่ไปใส่ก่อนนะ’

‘ให้ตัวเล็กใส่จริงๆ เหรอ’ เจ้าของดวงตากลมเงยหน้าขึ้นถามแบบเหลือเชื่อ เพราะรองเท้าคู่นั้นทั้งใหม่ ขาว และสวยมากเหมือนที่เคยเห็นในโฆษณาไม่มีผิด เทียบไม่ได้เลยกับรองเท้าเก่าๆ ของตน

‘จริงสิ’ เจ้าของไม่ว่าเปล่า ถอดรองเท้าคู่งามออกและนั่งลงสวมให้เท้าเล็กๆ ด้วยตัวเอง

‘สวยจังเลย’ ตาคู่กลมเป็นประกายแวววาวขณะมองรองเท้าคู่ใหม่ที่ย้ายมาอยู่บนเท้าตัวเอง เป็นครั้งแรกที่เธอได้มีรองเท้าดีๆ แบบนี้ใส่ ‘ตัวเล็กเคยเห็นแต่ในทีวี ไม่เคยใส่เลย’ 

แม้ขาจะเล็กเมื่อเทียบกับรองเท้าคู่โต แต่เด็กหญิงก็พยายามยกขึ้นยกลงอย่างตื่นตาตื่นใจ ก่อนจะนึกได้

‘ถ้าตัวเล็กใส่ของพี่ แล้วพี่จะใส่อะไร’

‘ก็ใส่รองเท้าของตัวเล็กไง ซ่อมนิดเดียวก็ใส่ได้แล้ว’

มือเล็กสมกับชื่อตัวเล็กเกาหัวยุ่งๆ อย่างไม่เข้าใจ ยืนมองคนพี่ที่ยัดสายรองเท้าแตะหูคีบกลับเข้าไปในรูเดิมแล้วขมวดปมไว้ไม่ให้มันเด้งขึ้นมาอีก

‘พี่น่ะโตแล้ว ใส่แล้วไม่ล้มหรอก’ พูดจบคนที่โตกว่าก็สวมรองเท้าทั้งสองข้างที่ดูอย่างไรก็ทั้งเล็กและไม่เข้ากับเท้าของเด็กผู้ชายอยู่ดี ‘ทีนี้เราก็ไปเตะบอลต่อได้แล้ว’

‘เดี๋ยวก่อน’ คราวนี้เด็กหญิงผมแกละส่ายหน้าไม่ยอมไป อธิบายเสียงแจ่มชัดว่า ‘แม่ครูสอนว่าถ้ามีใครให้ของเรา เราก็ต้องให้ของเขาขอบคุณ’

เพราะแม่ครูสอนมาแบบนั้น ลูกศิษย์หัวกะทิจึงต้องทำตาม แต่เรื่องของเรื่องคือเธอไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนว่าควรจะให้อะไรตอบแทนดี แต่เพราะความตั้งใจสูงสุด จึงพยายามมองหาเอาจากแถวนั้น ตากลมใสสว่างวาบเมื่อมีความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว นึกได้ก็วิ่งไปหยิบเศษเชือกที่ร่วงหล่นอยู่ข้างๆ สนาม ก่อนจะถอดของบางอย่างออกจากนิ้วตนและนำไปร้อยเข้ากับเส้นเชือก

‘แหวนวงนี้เป็นแหวนวิเศษนะรู้มั้ย’ เจ้าของเสียงเล็กๆ เริ่มอวดสรรพคุณขณะขะมักเขม้นอยู่กับการผูกปมเชือก ‘ใส่แล้วจะเพิ่มพลังได้ ตัวเล็กตั้งใจสะสมซองขนมตั้งหลายซองกว่าจะไปแลกมาได้’

มือเล็กยื่นทั้งเชือกและแหวนพลาสติกสีขาวที่มีลวดลายสีทองคาดไปมาให้เด็กชายแบบภาคภูมิใจ

‘พี่เก็บไว้ ถือว่าแลกกันกับที่ให้รองเท้าตัวเล็กใส่’

‘ได้สิ’ เด็กชายยิ้มอย่างยินดี ‘ทีนี้พี่ก็จะมีพลังวิเศษเพิ่มแล้วใช่มั้ย’ 

‘ใช่ๆ พี่จะมีพลังวิเศษมากขึ้น แล้วอีกอย่างตัวเล็กกับเพื่อนๆ ก็จะได้แยกออกด้วยว่าคนไหนคือคนพี่ คนไหนคือคนน้อง ดีใช่มั้ยล่ะ’

เด็กหญิงยืดอกอย่างภาคภูมิใจที่สามารถแก้ปัญหาใหญ่ที่ตนและเพื่อนประสบกันได้ในขณะนี้ นั่นก็คือการที่ไม่สามารถแยกความเหมือนของแฝดพี่กับแฝดน้องคู่นี้ได้ มักจะเรียกถูกเรียกผิด ทำเอาการเล่นแต่ละครั้งสับสนวุ่นวายไปหมด ประโยคหลังจึงไม่ได้ถามแค่คนพี่ แต่หันไปมองหน้าคนน้องที่มาด้วยกันตั้งแต่แรก แต่แอบยืนมองทั้งคู่อยู่ไม่ไกล พอมีคนถามเขาจึงพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมรอยยิ้มอายๆ

‘ดีจังเลยเนอะ ต่อไปนี้เพื่อนๆ จะได้ไม่จำเราสลับอีกแล้ว’ แฝดพี่เอ่ยกับแฝดน้อง ‘ทีนี้ก็ไปเล่นกันได้แล้ว ไปกันเถอะ ไปกันตัวเล็ก’

ทว่าคนเป็นน้องกลับส่ายหน้า มองสนามฟุตบอลและผู้คนวุ่นวายด้วยสายตาไม่นึกชอบนัก ก่อนเอ่ยกับพี่ชายที่หน้าเหมือนกันทุกสัดส่วน

‘พี่ไปเถอะ ผมไม่ชอบเล่นฟุตบอล เดี๋ยวผมนั่งวาดรูปรออยู่ตรงนี้ดีกว่า’

เด็กชายแฝดพี่พยักหน้ารับรู้ เข้าใจกันดีโดยไม่ต้องสื่อสาร รู้ว่าน้องชายมักมีความสุขเสมอที่ได้นั่งอยู่กับสีและแผ่นกระดาษ จึงไม่คิดจะถามอะไรต่อ ให้น้องชายนั่งรออยู่ริมสนาม ก่อนวิ่งเข้าสนามไปพร้อมรองเท้าแตะคู่ใหม่ คู่กับเด็กหญิงตัวเล็กที่หน้าชื่นตาบานไปกับรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่เช่นกัน


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น