8

แต่งงานกับผมสิ

8

แต่งงานกับผมสิ

 

และแล้ววันสุดท้ายของปีก็มาถึง รถตู้สีดำมันปลาบสองคันแล่นไปบนถนนด้วยความเร็วในระดับหนึ่ง สองครอบครัวมหาเศรษฐีคือ ครอบครัวยอเกียรติคุณและปุณยภักดิ์กลับมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตาเพื่อจัดทริปเคานต์ดาวน์ โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่บ้านพักตากอากาศสุดหรู ณ จังหวัดชลบุรี

ม่านพระจันทร์นั่งข้างฝั่งคนขับ ข้างหลังเป็นดนัยณัฐและผู้เป็นมารดา ส่วนขวัญฤทัย นพกรดึงตัวไปนั่งอยู่รถคันที่สองซึ่งเป็นรถของครอบครัวยอเกียรติคุณ

หญิงสาวเอนกายพิงเบาะนุ่ม ดวงตากลมโตสีนิลเหม่อมองไปยังเส้นทางข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ปล่อยให้หัวใจเศร้าหมองลอยละล่องไปหาชายหนุ่มผู้ทำให้เธอเจ็บช้ำ ไม่เว้นแม้แต่วันส่งท้ายปีที่ควรจะมีความสุข กลับต้องมานั่งทุกข์ใจอยู่แบบนี้

“ยายจันทร์เป็นอะไรไปนั่น นั่งหงอยเชียว นี่กำลังจะไปเที่ยวนะ ทำหน้าทำตาให้มันมีความสุขหน่อย” 

มือหนาของพี่ชายแตะไหล่บอบบางของน้องสาวคนแรกเบาๆ มองจากตรงนี้ยังเห็นว่าม่านพระจันทร์มีความทุกข์มากแค่ไหน ส่วนทุกข์เรื่องอะไรนั้น ดนัยณัฐรู้สาเหตุอยู่แก่ใจดี แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากช่วยคลายความเศร้าให้เธอ

“จันทร์ไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะพี่ณัฐ แค่รู้สึกง่วง เมื่อเช้ารีบตื่นตั้งแต่ตีสี่” คนปากแข็งแก้ตัวเสียงอ่อย

“ง่วงก็นอนไปสิลูก คืนนี้จะได้อยู่เคานต์ดาวน์ได้” 

นางศิภาบอกลูกสาว ทำให้คนเป็นสามีที่กำลังขับรถอยู่ถึงกับหลุดหัวเราะ

“ฮ่าๆ คุณภาก็ อย่างยายจันทร์เนี่ยนะจะเคานต์ดาวน์ ไม่เคยมีสักปีที่อยู่ถึงเที่ยงคืน นอนหลับก่อนตลอด ลูกเราคนนี้เป็นเด็กอนามัยแค่ไหน คุณก็น่าจะรู้”

ม่านพระจันทร์ยิ้มบางๆ อย่างสุขใจ คำพูดของบิดาเป็นความจริงโดยแท้ เธอมักจะนอนหลับในเวลาหัวค่ำเสมอ ถ้าไม่มีงานเลี้ยงสังสรรค์หรือเหตุจำเป็นให้ต้องนอนดึก

“ลองเป็นยายขวัญดูสิ รายนั้นนะอดหลับอดนอนได้หามรุ่งหามค่ำ” หัวหน้าครอบครัวผู้รู้นิสัยของลูกทั้งสามคนดีที่สุดกล่าวต่อ 

“พอๆ กันกับตาเก้าเลย ทำงานข้ามวันข้ามคืน ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ฮ่าๆ แบบนี้สิถึงอยู่ด้วยกันได้”

“...” หญิงสาวนิ่งเงียบเมื่อได้ฟัง จากคราแรกที่ดูเหมือนจะลืมเลือนความทุกข์ไปได้เล็กน้อย บิดากลับสะกิดบาดแผลในใจเธออย่างไม่ได้ตั้งใจ 

จริงอยู่ที่บิดารู้นิสัยของเธอทุกอย่าง แต่เขาไม่มีวันรู้เบื้องลึกว่าเธอรู้สึกเช่นไรกับนพกร 

“แล้วนี่ที่เมื่อวานซืนพ่อให้โทร. ไปชวนคุณเมฆ เขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ”

“เมื่อเช้าเขาโทรศัพท์มาบอกจันทร์ว่า เขาเช่าบังกะโลอยู่ห่างจากบ้านพักตากอากาศของเราไม่ไกลมาก จันทร์แชร์โลเกชันไปให้เรียบร้อยแล้วค่ะ”

“ดีแล้วละ ครอบครัวเราต้องผูกสัมพันธ์กับเขาไว้ให้แน่นแฟ้น แม่ได้ยินมาว่าเขารวยมาก แถมเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องที่ ไร่ของเขามีเนื้อที่กว้างที่สุด แต่ไม่ค่อยมีใครได้เข้าไปเพราะเขาไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ชื่อไร่อะไรสักอย่างนี่แหละน่า...” นางศิภาทำท่าครุ่นคิดอยู่สักครู่

“ไร่วรานุกรค่ะ” ม่านพระจันทร์ตอบให้

“เอ้อ! ใช่ๆ ใช่แล้ว ไร่วรานุกร”

“คุณไปรู้เรื่องคุณเมฆได้ยังไงเนี่ย คุณไม่เคยเจอเขานี่นา” ชายวัยกลางคนถามภรรยา เพราะไม่ว่าบุรุษหนุ่มจะเดินทางมาเซ็นสัญญาหรือมาเยี่ยมที่บ้าน ภรรยาของเขาก็ไม่เคยได้อยู่พบหน้าเมฆาเลยสักครั้ง

“โอ๊ยคุณ ฉันไปสืบตั้งแต่ที่คุณบอกว่าตกลงเซ็นสัญญากับผู้ชายคนนี้แล้ว อีกอย่างเขาก็เป็นคนดังในแวดวงธุรกิจ รู้จักเอาไว้ก็ไม่เสียหาย”

“แต่จันทร์คิดว่าเขาน่ากลัวเหมือนกับพวกมาเฟีย” หญิงสาวหลุดปากพูดความคิดของตนออกไปด้วยเสียงอันแผ่วเบา 

ถึงแม้ว่าครั้งหนึ่ง...ความมีน้ำใจของเขาจะทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหว แต่เธอก็ยังกลัวเกรงเขาอยู่ดี

“เป็นเรื่องปกติน่ะลูก เขาต้องปกครองคนงานเป็นร้อย ดูแลเนื้อที่ไร่อีกไม่รู้เท่าไหร่ มีศัตรูรายรอบ เป็นธรรมดาที่เขาจะมีมาดเคร่งขรึมดุๆ ไม่เช่นนั้นก็ไม่หนักแน่นพอจะเป็นผู้นำได้ พ่อว่าบางทีเขาก็มีมุมขี้เล่นเหมือนกันนะ คุยก็สนุก ไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้นเสียหน่อย ลูกอคติอะไรกับเขาหรือเปล่า”

“เปล่าค่ะเปล่า” เธอรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “จันทร์ไม่ได้มีอคติอะไรกับเขา ก็แค่...เกรงๆ ประหม่าเวลาเจอหน้าเขาเท่านั้น”

“เดี๋ยวเจอกันบ่อยๆ ลูกก็ชินเอง ต้องลองเปิดใจพูดคุยกับเขาดูบ้าง จะได้สนิทสนมกัน เพราะยังไงเขาก็คือแขกคนสำคัญของพ่อ”

“ค่ะ” ม่านพระจันทร์พยักหน้ารับคำ ทว่าสมองกลับคิดตรงข้าม เพราะสัญชาตญาณบอกกับเธอว่า บุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นบุคคลอันตรายต่อหัวใจที่ต้องคอยหลีกหนีให้ไกล

 

“บังกะโลเรียบร้อยดีแล้วใช่ไหม” 

“เรียบร้อยครับ ผมดูรีวิวแล้วมีแต่คนชอบ สวย สะอาด สงบ” แดนดินเอ่ยรายงานเจ้านาย เช็กดูกูเกิลแมปไปด้วยระหว่างกำลังขับรถมุ่งหน้าตรงไปยังที่พักริมชายหาดพัทยา

“ดี ฉันเบื่อโรงแรมเต็มทน อยากอยู่แบบนี้บ้าง ว่าแต่มันเงียบสงบจริงเหรอ ไม่เอาแบบหลังติดๆ กันนะ หนวกหูตายเลย” 

คนชอบความสงบว่า เพราะช่วงปีใหม่มักจะมีพวกขี้เมาสังสรรค์กันเสียงดังโหวกเหวก อีกอย่างแผนการสำคัญในครั้งนี้ต้องอาศัยบรรยากาศช่วยจริงๆ จึงจะสำเร็จลุล่วง

“ผมจองไว้เป็นพิเศษครับ แยกออกห่างจากหลังอื่นไกลพอสมควร หลังใหญ่กว่า ราคาเลยแพงกว่ามาก และที่สำคัญอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักตากอากาศของพวกเถ้าแก่ด้วย” 

“แล้วแกได้จองหลังของตัวเองไว้หรือยัง เพราะฉันคงให้แกมาอยู่เป็นกอ ขอ คอไม่ได้ ฉันต้องอยู่กับเธอสองต่อสองเท่านั้น”

“แหม...กระผมเตรียมพร้อมทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้วขอรับเจ้านาย” ชายหนุ่มจอมทะเล้นทำเสียงล้อเลียน เหลือบมามองเจ้านายด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ 

“ฮั่นแน่...ที่คุณเมฆวางแผนจะอยู่สองต่อสองในที่เปลี่ยวๆ คงไม่ได้หมายความว่าคุณเมฆจะทำมิดีมิร้ายกับเธอหรอกนะครับ”

“จะบ้ารึไงเล่า! ฉันไม่ได้เลวขนาดนั้นนะโว้ย อีกอย่างชุดป้าๆ ของยายแม่ชีก็ไม่ทำให้ฉันเกิดอารมณ์พิศวาสเลยสักนิด”

ภาพชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าลายลูกไม้สีอ่อนปรากฏขึ้นในหัว หล่อนให้ความรู้สึกเป็นทางการ เกรงอกเกรงใจ ชวนบูชากราบไหว้เกินกว่าจะมาคิดอกุศล

“แต่คุณเมฆกำลังจะขอแต่งงานกับคนที่คุณเมฆเรียกว่าแม่ชีนะครับ” แดนดินกล่าวโต้แย้ง

“ก็ใช่ แล้วยังไง หัวอ่อนนุ่มนิ่มแบบนี้ละควบคุมง่ายดี ถึงเธอจะตอบรับหรือไม่ตอบรับ ฉันก็จะทำให้เธอตอบรับให้ได้ เพียงแค่ต้องเล่นละครนิดหน่อยเท่านั้นเอง แกไม่ต้องห่วงหรอกไอ้ดิน รอฟังข่าวดีได้เลย ถ้าคืนนี้แกช่วยพาเขามาที่บังกะโลฉันได้สำเร็จ ทุกอย่างก็ง่ายสบายๆ” 

บุรุษหนุ่มกระตุกยิ้มร้าย ถึงภายนอกผู้คนจะบอกว่าพ่อเลี้ยงเมฆาดูเป็นคนจริง ห้าวหาญ และเด็ดขาดแค่ไหน แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่า เขาก็เล่นละครตบตาได้อย่างแนบเนียนเช่นกัน 

และคืนนี้แหละที่ยายแม่ชีหน้าหวานจะต้องสมยอมให้กับเขา!

 

ปาร์ตีปิ้งย่างบาร์บิคิวถูกจัดขึ้นที่ลานหญ้ากว้างหน้าบ้านพักตากอากาศในเวลาเย็นของวันนั้น สองครอบครัวช่วยกันนำหลอดไฟสีสันดวงเล็กดวงน้อยและพวงสายรุ้งมาประดับตกแต่งตามต้นไม้ บรรยากาศคึกคักสนุกสนาน เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ขณะที่รอให้เวลาเที่ยงคืนมาถึงอย่างใจจดใจจ่อ

มีเพียงม่านพระจันทร์ที่ไม่ได้ร่วมสนุกไปกับคนอื่นๆ ด้วย เธอนำบาร์บิคิวเสียบไม้กับปลาหมึกย่าง รวมถึงพวกอาหารทะเลต่างๆ มาปิ้งย่างบนเตาสำหรับสมาชิกภายในบ้าน ไม่ว่าจะออกทริปท่องเที่ยวคราใด เธอมักเป็นคนอาสาทำอาหารตลอด เพราะมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นทุกคนรับประทานอาหารที่ตัวเองทำอย่างเอร็ดอร่อย

“จันทร์ไปพักอาบน้ำอาบท่าเถอะจ้ะ ใกล้ทุ่มหนึ่งแล้ว หนูจะได้ลงมาสนุกกับพวกพี่ๆ น้องๆ เดี๋ยวทางนี้อาจัดการเอง”

สตรีวัยกลางคนผู้มีศักดิ์เป็นมารดาของนพกรกล่าวด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร พลางลูบศีรษะเธออย่างแผ่วเบา ม่านพระจันทร์ยิ้มน้อยๆ ทราบซึ้งใจในความห่วงใยของอีกฝ่ายนัก 

“ขอบคุณค่ะอารัตน์” 

“จ้ะ ไม่เป็นไรหรอก ผลัดๆ กันทำบ้าง อาไม่อยากเห็นหนูทำงานหนักอยู่คนเดียว”

“จันทร์ทำน้ำพันช์แช่ตู้เย็นไว้น่ะค่ะ เดี๋ยวพออาบน้ำเสร็จแล้ว จันทร์เอาออกมาให้นะคะ” 

“ไม่ต้องหรอกลูก เดี๋ยวอาไปเอาเอง ว่าแต่คืนนี้จะมีแขกพิเศษมาที่งานปาร์ตีของเราด้วยนี่ ใช่ไหม”

นางนพรัตน์ไม่ใช่คนแรกที่ถามคำถามนี้กับเธอ ทุกคนภายในบ้านต่างก็แวะเวียนกันมาถาม ไม่ว่าจะเป็นอาจอมพล นภิตา ขวัญฤทัย ทุกคนดูตื่นเต้นและสนอกสนใจแขกคนนี้มากเป็นพิเศษ

“ใช่ค่ะ คุณเมฆา เดี๋ยวอีกสักพักก็คงจะมาแล้ว” แดนดินเป็นคนโทร. มารายงานเธออีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้

“ดีจังเลย อาอยากคุยกับเขามานานแล้ว อยากจะตีสนิท เผื่อจะได้มีบุญไปเห็นไร่ของเขาบ้าง ได้ยินคนที่ได้เข้าไปเล่ากันว่าสวยมากๆ” นางพูดกลั้วหัวเราะ หวังอย่างจริงจังว่าจะมีโอกาสได้ไปเห็นเช่นนั้นจริงๆ 

“งั้นจันทร์ขอไปอาบน้ำก่อนนะคะ” ม่านพระจันทร์ค้อมศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังหมุนกายเดินกลับเข้ามาภายในตัวบ้านซึ่งมีนับสิบห้อง โชคดีว่าห้องที่เธอพักมีห้องน้ำในตัว ไม่ต้องออกไปใช้ห้องน้ำรวม 

ร่างบางลงแช่อ่างจากุซซีภายในห้องน้ำแล้วหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย ปล่อยให้ความคิดจินตนาการต่างๆ ล่องลอยไปไกลแสนไกล คงต้องยอมรับว่าช่วงเวลาที่ทำให้สบายใจสำหรับเธอเป็นช่วงเวลาอาบน้ำ จนบางทีก็นึกอยากอยู่แช่น้ำไปนานๆ โดยไม่ต้องออกไปข้างนอกอีก...

ความอ่อนไหวเข้าโจมตีหัวใจของเธอเป็นระยะ ทุกครั้งที่เหลือบไปเห็นภาพนพกรกับน้องสาวของเธออยู่ด้วยกัน อาการเจ็บปวดจึงค่อยๆ กัดกินอารมณ์ความสนุกสนานไปทีละน้อยจนหมดสิ้น

‘หรือว่าเราจะโกหกทุกคนว่าเราไม่สบาย?’

หญิงสาวครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดก็ตัดสินใจ

“เป็นไงเป็นกัน หลวงพ่อเจ้าขา ลูกขออนุญาตผิดศีลข้อสี่สักวันนึง” ริมฝีปากอิ่มสีชมพูพึมพำกับตัวเองเบาๆ วันนี้รักษาศีลไม่ครบทุกข้อคงไม่บาปมากมายอะไร

ใช้เวลาประมาณยี่สิบกว่านาที ม่านพระจันทร์ก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จพร้อม เธอสวมชุดเดรสสีขาว หวีผมแล้วปล่อยยาวลงมาถึงกลางหลัง ไม่ได้ประทินโฉมใบหน้าด้วยเครื่องสำอางใดๆ พยายามมีสีสันให้น้อยที่สุดเพื่อความสมจริงในการอ้างป่วย

“ฟู่ว” ร่างบางสูดลมหายใจเข้าปอด เรียกกำลังใจให้ตัวเองอยู่หน้ากระจก ก่อนจะตรงไปเปิดประตูห้องพักและก้าวเท้าเดินออกมาตามพื้นทางเดินหินอ่อนที่ยาวเป็นทางโค้งลงไปสู่บันไดเวียน แล้วก็หยุดชะงักนิ่งตรงบันไดขั้นแรก เมื่อได้พบกับบุคคลที่ตอกย้ำความเจ็บปวดยืนอยู่ตรงหน้าเธอ

เขานิ่ง เธอเองก็นิ่ง ไม่มีใครก้าวเดินไปต่อแม้แต่ก้าวเดียว...

“อ้าว คุณจันทร์กำลังจะลงไปปาร์ตีข้างล่างใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มเอ่ยทักทายยิ้มแย้มด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ ทว่าเพิ่มความเจ็บปวดให้คนฟังทบเท่าทวีคูณ

“ค่ะ” 

“ผมกำลังขึ้นมาอาบน้ำพอดี ขอตัวก่อนนะครับ”

ร่างบางค่อยๆ ขยับหลีกทางให้ร่างสูงโปร่ง ชายหนุ่มก้าวเท้าเดินเลี้ยวไปทางฝั่งขวาซึ่งเป็นห้องพักของเขา 

‘เขาทำเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น’

ขณะนี้ความรู้สึกหลายอย่างประดังเข้ามาในหัวของม่านพระจันทร์ ทั้งโกรธ น้อยใจ เสียใจ สารพัดความรู้สึกสุมอยู่ในทรวง และเมื่อความอดทนหมดลง ความรู้สึกเหล่านั้นก็ระเบิดออกมาจนได้

“คุณเก้าจะไม่อธิบายอะไรให้จันทร์เข้าใจเลยสักนิดเหรอคะ!”

น้ำเสียงเกรี้ยวกราดระคนตัดพ้อที่ไม่เคยได้ฟังจากหญิงสาวผู้นี้ตลอดทั้งชีวิตที่รู้จักกันมาทำให้มือที่กำลังจะหมุนลูกบิดหยุดนิ่ง นพกรชักมือกลับ หันหลังไปเผชิญหน้ากับเธอที่ยังคงยืนอยู่ตรงขั้นบันไดด้วยอาการสงบนิ่ง

“อธิบายอะไรเหรอครับ” เขากล่าวถามเรียบๆ 

“เรื่องที่คุณเก้าขอหมั้นกับขวัญ จันทร์ไม่เข้าใจ กรุณาช่วยอธิบายด้วยเถอะค่ะ” 

ม่านพระจันทร์พูดเสียงสั่นเครือ ยิ่งจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของชายหนุ่มก็มีแต่ความว่างเปล่า มันไม่อบอุ่นเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

“เหตุผลก็คือผมอยากหมั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ครับ”

“คุณเก้าจะหมั้นกับขวัญได้ยังไงคะ ในเมื่อคุณกับขวัญไม่เคยคบหากัน” มิหนำซ้ำยังไม่ลงรอยกันอีก

“การที่ผมหมั้นกับขวัญก็เท่ากับว่าเราคบหากัน ไม่จำเป็นต้องคบกันก่อนหมั้นนี่ครับ คุณจันทร์มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้หรือเปล่าครับ หรือคุณไม่เห็นด้วยที่ผมหมั้นกับขวัญ?”

คำถามของเขาราวกับเข็มนับร้อยนับพันเล่มทิ่มแทงหัวใจ หญิงสาวเม้มปากแน่น น้ำตาเม็ดโตร่วงผล็อยลงอาบแก้ม 

นี่เขาแกล้งไม่รับรู้ความรู้สึกของเธอหรือว่าไม่รู้จริงๆ กันแน่... 

“คุณจันทร์ร้องไห้ทำไมครับ” 

“คุณเก้านี่ใจร้ายจังนะคะ คุณทำแบบนี้ได้ลงคอเลยเหรอ...”

“ผมทำอะไร” 

ม่านพระจันทร์ปิดปากสะอื้น ไม่คิดเลยว่าผู้ชายที่เธอเฝ้าหลงรักมาตลอดหลายปีจะเลือดเย็นได้ถึงเพียงนี้ 

“แล้วเรื่องของเราที่ผ่านมามันคืออะไรกันคะ มันไม่มีความหมายอะไรเลยใช่ไหม”

คำว่า ‘เรื่องของเรา’ ทำให้นพกรกระจ่างแเจ้งและเข้าใจที่สุด ลมหายใจชายหนุ่มเริ่มติดขัด เมื่อรับรู้ว่าสิ่งที่ไม่ควรเกิดแก่เขาและหญิงสาวได้เกิดขึ้นแล้ว เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้

“ผมคิดมาตลอดว่าระหว่างคุณกับผม เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ผมไม่เคยคิดอะไรเกินเลยไปกว่านี้เลย”

“เพื่อน...” 

หญิงสาวครางเสียงสั่นพร่า แค่คำคำเดียวจากปากของเขา มันก็อธิบายได้ทุกอย่าง เธอส่ายศีรษะน้อยๆ น้ำตาไหลอาบท่วมใบหน้า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรรู้สึกอย่างไรกันแน่

ร่างบางตัดสินใจวิ่งลงบันไดไปข้างล่าง หูของเธออื้อ ดวงตาทั้งสองก็พร่ามัว ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงตะโกนเรียกชื่อเธอจากเขา จนกระทั่งลงมาถึงชั้นล่าง ม่านพระจันทร์ก็หมดแรงจะเดินต่อไหว ได้แต่ทรุดตัวลงนั่งอยู่ข้างบันได พลางใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนบางซับน้ำตาของตัวเองออกให้หมด 

เขาคงสะใจที่เห็นเธอเป็นแบบนี้...ทำไมเธอช่างโง่งมเหลือเกิน 

“อ้าวพี่จันทร์ มานั่งทำอะไรตรงนี้คะ ไม่ออกไปปาร์ตีข้างนอกเหรอ” นภิตาที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้านเอ่ยถามเพื่อนรุ่นพี่ซึ่งนั่งชันเข่าอยู่ริมบันได “แล้วนี่...เอ๊ะ! พี่จันทร์ร้องไห้ทำไมคะ” 

“ปละ...เปล่าจ้ะ พี่ไม่ได้ร้องไห้...พี่ว่าจะไปสูดอากาศข้างนอกนิดหน่อยน่ะ พี่ไปก่อนนะ”

ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อ หญิงสาวก็ลุกขึ้นแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปข้างนอกเสียก่อน ทิ้งให้ร่างอวบอิ่มยืนนิ่งค้างอย่างรู้สึกงงๆ ระคนสงสัย แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีว่าอีกฝ่ายอาจจะดูซีรีส์เกาหลีและอินไปกับมันจนร้องไห้เช่นตนเองก็เป็นได้

 

ม่านพระจันทร์ไม่ได้ร่วมงานปาร์ตีกับครอบครัว เธอขออนุญาตทุกคนออกมาเดินเล่นที่ชายหาดโดยอ้างว่าอยากออกมาสูดอากาศยามเย็น ซึ่งก็ไม่มีใครทักท้วงอะไร เพราะตัวเธอเองก็อายุยี่สิบหกปีแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ ที่ต้องมาห่วงหน้าพะวงหลังกันอีกต่อไป

เวลาโพล้เพล้ พระอาทิตย์คล้อยลงต่ำ ร่างบางหยุดยืนมองมันจนลับจมหายไปกับผืนทะเลกว้างใหญ่ หยาดน้ำตาไหลรินจากคางมนลงบนพื้นทรายสีขาวสะอาด เธอร้องไห้ออกมาโดยไม่กลัวว่าใครจะมาเห็น เพราะหาดใกล้ๆ กับบ้านพักตากอากาศนี้ค่อนข้างเงียบสงบ ไม่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่านเหมือนหาดอื่นๆ 

หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยว่าถูกดวงตาคู่หนึ่งมองอยู่ห่างๆ...

“ไอ้ดิน แกว่าเขาร้องไห้ทำไมวะ” เมฆาเอ่ยถามลูกน้องคนสนิท เขาเดินเลียบหาดจากที่พักมาร่วมปาร์ตีที่ได้รับคำเชิญ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือโชคช่วยที่เป้าหมายดันมายืนอยู่ตรงหน้าราวกับฟ้าประทาน

“นั่นสิครับ แต่หน้าคุณเขาเศร้ามาก ถ้าเป็นแบบนี้คุณเมฆยังมีกะจิตกะใจจะชักชวนเธอเข้าแผนการแต่งงานอีกเหรอครับ” 

จอมทะเล้นว่า บุรุษหนุ่มก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร นอกจากเฝ้ามองแม่ชีกุลสตรีศรีสยาม

ภาพตรงหน้าช่างงดงามตราตรึงใจ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอคือนางฟ้าบนดินดีๆ นี่เอง แม้เธอกำลังโศกเศร้า ความงดงามเหล่านั้นก็ไม่ได้จางหายไปเลยแม้แต่น้อย

ร่างสูงใหญ่สาวเท้าตรงเข้าไปหาร่างงดงามช้าๆ ดุจต้องมนตร์สะกด เป็นจังหวะเดียวกับที่ม่านพระจันทร์หันหลังหมุนตัวกลับมาจนเห็นดวงตาคู่สวยบวมช้ำเบิกกว้าง 

“คุณเมฆ” ริมฝีปากสีชมพูขยับพึมพำได้เพียงเท่านั้น ร่างของเธอก็ถูกรวบเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว

“อย่าร้อง” 

อุ้งมือหนาลูบเรือนผมของเธอไปมาอย่างปลอบโยน ยังไม่ทันที่ม่านพระจันทร์จะหายตกใจกับการกระทำอันแสนอุกอาจ เขาก็ผละออกเสียก่อน 

“คุณ...”

“ไม่ว่าคุณจะร้องไห้ด้วยเหตุผลอะไร ผมก็พร้อมช่วยแบ่งเบาเรื่องที่ทำให้คุณเป็นทุกข์เสมอ”

“คือว่าฉัน...” 

“ให้ผมอยู่ข้างๆ คุณนะ คุณจันทร์” เสียงทุ้มห้าวยังคงฟังดูเว้าวอนไม่เปลี่ยนแปลง

แม้ม่านพระจันทร์จะบอกกับตัวเองและคนอื่นๆ ว่า เกรงกลัวบุรุษหนุ่มตรงหน้าเพราะเขาเหมือนพวกมาเฟียเพียงใด แต่ ณ ตอนนี้ เธอกลับมองเขาต่างออกไปโดยสิ้นเชิง 

ถึงจะยังไม่เข้าใจการกระทำของคนตรงหน้า แต่เขาก็คือคนเดียวที่มาอยู่เคียงข้างเธอในยามอ้างว้างเศร้าหมอง ไม่มีมือของผู้ใดยื่นเข้ามาช่วยเหลือ แม้กระทั่งคนในครอบครัวก็ยังมองไม่เห็นมัน 

“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณจากใจจริง ความกลัวและความอึดอัดที่เคยมีต่อเมฆามลายหายไปสิ้น เหลือไว้เพียงความรู้สึกดีๆ ที่มีให้เท่านั้น

“ไปเดินเล่นกันหน่อยมั้ย” เขาเอ่ยถามพลางชี้ไปทางหาดทรายด้านหน้าที่ทอดยาวไปไกลจนถึงบังกะโลที่เขาเช่าอยู่

“ไปค่ะ” เธอพยักหน้ารับเบาๆ ก้าวเท้าเดินไปบนหาดทรายพร้อมกับเขา โดยที่ไม่ได้เอะใจเลยสักนิดว่าในวันสิ้นปีวันนี้ กำลังจะเจอเรื่องเซอร์ไพรส์อย่างคาดไม่ถึงจากบุรุษหนุ่มข้างกาย

 

ท้องฟ้ามืดครึ้มลง มีเพียงแสงไฟสลัวตามทางเดินซึ่งพอจะให้ความสว่างได้บ้าง สองหนุ่มสาวเดินสนทนากันไปเรื่อยๆ แม้ได้ยินกันไม่ค่อยถนัดเพราะเสียงคลื่นลมทะเลหวีดแรงในยามค่ำคืนจนหูอื้อ

ทั้งคู่เดินมาไกลกันพอสมควร ระหว่างทางก็แวะซื้ออาหารและเครื่องดื่มมารับประทานกัน จนกระทั่งถึงที่พักบังกะโลของชายหนุ่มซึ่งตั้งอยู่หลังโดดเดี่ยวท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม ม่านพระจันทร์นึกแปลกใจว่าเพราะเหตุใด เขาจึงเลือกมาพักในสถานที่แบบนี้

“คุณเมฆ...ไม่ไปนอนที่โรงแรมเหรอคะ” 

“ผมดูเป็นคนติดหรูขนาดนั้นเลยเหรอ คุณถึงถามแบบนี้” ใบหน้าคมเข้มหันมายิ้มนิดๆ พลางเลิกคิ้วข้างขวาขึ้น ขณะไขกุญแจประตูรั้ว

“บุคลิกของคุณดูเป็นคนมีรสนิยมหรูหรามีระดับ ฉันก็เลยคิดของฉันเองน่ะค่ะ”

“ไม่แปลก ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกที่คิดแบบนั้น แต่ความเป็นจริงแล้ว ผมก็แค่ชาวไร่ชาวสวนธรรมดาๆ ไม่ได้เสวยสุขบนกองเงินกองทองอย่างที่คนอื่นเข้าใจกัน แค่มีที่ดินทำกินขนาดใหญ่เป็นทรัพย์สินตกทอดจากบรรพบุรุษ มีคนงานมากมาย ผมก็เลยดูมียศมีอำนาจขึ้นมา” เจ้าของเสียงห้าวแค่นหัวเราะราวกับสิ่งที่พูดเป็นเรื่องขบขัน ก่อนจะผลักประตูรั้วให้เปิดออก 

ร่างสูงเดินนำหญิงสาวเข้ามานั่งรับลมบนชานพักพื้นไม้เลื่อมของบังกะโล มองจากตรงนี้จะเห็นท้องฟ้าสีมืดเต็มไปด้วยหมู่ดาวและแสงจันทร์ที่ส่องสะท้อนกับเกลียวคลื่นของผืนทะเล บรรยากาศช่างโรแมนติกเกินบรรยาย หากผู้คนหรือใครผ่านมาเห็นทั้งคู่เข้า ก็คงจะคิดว่าเป็นคู่สามีภรรยามาเที่ยวพักผ่อนในคืนส่งท้ายปีเก่าเช่นนี้

“คุณโทร. บอกคนในครอบครัวคุณหรือยังครับ ว่าคุณมากับผม”

ม่านพระจันทร์ส่ายหน้า “ยังเลยค่ะ ไม่ได้พกโทรศัพท์มาด้วย”

“ใช้ของผมก่อนก็ได้” มือหนายื่นสมาร์ตโฟนให้คนข้างกาย “ผมจะไปเตรียมแก้วกับจานชามมาใส่ของกิน คุณไปโทรศัพท์ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนเถอะ”

“ขอบคุณค่ะ”

เมฆาปลีกตัวออกมาห่างๆ ปล่อยให้หญิงสาวได้คุยธุระอย่างเป็นส่วนตัว ก่อนจะเดินเข้ามาในบ้าน เตรียมจานชามกับแก้วไวน์อย่างละสอง ไม่ลืมที่จะหยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มมาใส่กระเป๋ากางเกงซ่อนเอาไว้

“ฉันช่วยค่ะ” ร่างบางตรงเข้าไปช่วย เมื่อเห็นบุรุษหนุ่มถือข้าวของพะรุงพะรังกลับออกมา 

“พ่อแม่คุณว่าไงบ้างล่ะ” เขาเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ 

“ท่านก็เป็นห่วงนิดหน่อยค่ะ แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร เพราะฉันก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อายุตั้งยี่สิบหกแล้วนี่คะ” เธอว่ายิ้มๆ แม้ดวงตาคู่สวยจะยังคงแดงช้ำและเจือปนไปด้วยความโศกเศร้า “ท่านยังบอกอีกว่าเสียดายที่คุณไม่ได้ไปร่วมงานปาร์ตี”

“ฮ่าๆๆ ฝากเรียนท่านว่าผมขอโทษ ไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะครับ” 

เขารับแก้วไวน์ขาวที่หญิงสาวรินให้มายกขึ้นจิบ เบนสายตามองเจ้าหล่อนเล็กน้อย ก็เห็นว่าเธอไม่แตะอาหารและเครื่องดื่มแม้แต่อย่างเดียว อีกฝ่ายยังนั่งเหม่อมองท้องฟ้าด้วยอาการเซื่องซึมสลับถอนหายใจอยู่แบบนั้น

“คุณพอจะบอกผมได้ไหม ว่าคุณร้องไห้เรื่องอะไร”

“...” ใบหน้างดงามก้มต่ำลงโดยไม่ได้ตอบคำถามของเขา น้ำตาเจ้ากรรมไหลรินจากดวงตากลมโต หยดแหมะลงบนพื้นไม้

“โอเค ถ้ามันทำให้คุณไม่สบายใจ ไม่ต้องเล่าให้ผมฟังก็ได้”

“ฉันอกหักน่ะค่ะ...” ริมฝีปากอิ่มขยับพึมพำเสียงแผ่ว

“อะไรนะ” หัวใจกล้าแกร่งของเมฆามีอันต้องสั่นคลอนขึ้นมาอย่างน่าประหลาดเมื่อได้ฟังคำตอบจากเธอ 

อกหัก? แสดงว่ายายแม่ชีกุลสตรีศรีสยามผู้นี้มีคนรักแล้วอย่างนั้นหรือ

“คุณฟังไม่ผิดหรอกค่ะ ฉันอกหัก” ม่านพระจันทร์หันมายิ้มเศร้าๆ 

“แสดงว่าคุณมีแฟน?” คิ้วเข้มเลิกสูงเป็นเชิงคำถาม

“เปล่าหรอกค่ะ มันเป็นความรักที่ฉันแอบรักเขาอยู่ข้างเดียวมาโดยตลอด”

“คุณช่วยเล่าให้ผมฟังที” 

เมฆาอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ ม่านพระจันทร์ก็พยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะเริ่มเล่า

“ผู้ชายคนนี้เขาชื่อเก้าค่ะ เป็นลูกชายของครอบครัวยอเกียรติคุณที่สนิทกับครอบครัวของฉันมากๆ ก็เลยได้เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ฉันก็เลยรักเขามาตั้งแต่ตอนนั้น...” 

“เขามีอะไรดีเหรอ คุณถึงได้รักเขานัก” 

ม่านพระจันทร์รู้สึกงุนงง เมื่อน้ำเสียงของเขาฟังดูเยาะๆ แกมประชดประชันอย่างน่าประหลาด

“เขาก็เป็นสุภาพบุรุษ เอาใจใส่ มีน้ำใจกับทุกๆ คน”

“แค่นี้น่ะเหรอที่คุณตกหลุมรัก” แม้เหตุผลที่กล่าวมาจะตรงข้ามกับเขาทุกประการก็ตาม

“มันไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดหรอกค่ะ อันที่จริง ความรักนั้นเราไม่สามารถไปหาเหตุผลอะไรจากมันได้ เพราะถ้ายังมีหลักการและเหตุผลอยู่ก็ย่อมไม่ใช่ความรัก ถูกมั้ยคะ”

“ไม่รู้สิ ผมไม่เคยมีความรัก” เมฆากล่าวเสียงเรียบ ไม่เคย และไม่นึกอยากมีด้วย 

“เราสนิทกันมาตลอด ทำทุกอย่างด้วยกันเหมือนคู่รัก แต่เราไม่เคยคุยกันเรื่องสถานะอย่างจริงจังสักที ฉันก็คิดว่ามันคงไม่จำเป็น แค่มีใจตรงกันก็พอแล้ว” 

“...” เขาได้แต่นิ่งเงียบฟัง สังเกตเห็นท่าทีสุขปนเศร้าขณะที่หญิงสาวเล่าถึงชายคนรัก ท่าทางของเธอทำให้เขารู้สึกขัดใจพิลึก

“แต่แล้ววันนึง เขาก็ประกาศขอหมั้นกับน้องสาวของฉันต่อหน้าทุกคนในครอบครัว ความรู้สึกของฉันตอนนั้นมันเหมือนกับตัวเองถูกทรยศหักหลังจากผู้ชายที่ฉันรัก ฉันเก็บความเสียใจเอาไว้ตลอด พยายามหันหน้าเข้าวัดทำบุญ แต่มันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย จนกระทั่งวันนี้ที่ฉันตัดสินใจไปพูดกับเขาตรงๆ” 

“คุณพูดกับเขาว่าอะไร” 

“ฉันก็ถามเขาว่าระหว่างเราที่ผ่านมามันคืออะไร คำตอบของเขาก็คือ...” 

ม่านพระจันทร์เก็บกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ ก่อนจะละล่ำละลักตอบ 

“เขาคิดกับฉันแค่เพื่อน ไม่เคยคิดไกลกว่านี้ สรุปก็คือฉันคิดไปเองคนเดียวทั้งหมด คิดไปเองคนเดียวมาโดยตลอด มันน่าสมเพชใช่ไหมคะ” เธอก้มหน้าหอบสะอื้นตัวจนโยน

“ผู้ชายคนนั้นต่างหากล่ะที่น่าสมเพช หึ” 

มือหนารินไวน์ขาวส่งให้คนข้างกายบ้าง สงสารก็สงสาร แต่เมฆาก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าให้ฤทธิ์แอลกอฮอลล์ช่วยปลอบโยนเธอ

“ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยขอบคุณเขา ลังเลอยู่ว่าควรดื่มดีหรือไม่ 

‘เอาเถอะ ศีลข้อสี่ก็ผิดไปแล้ว ผิดข้อห้าอีกสักข้อคงไม่เป็นไร เห็นเวลาคนอกหักเขาก็ดื่มกันแบบนี้ ลองดูซิว่ามันจะช่วยทำให้ลืมได้จริงๆ หรือเปล่า’

ไวเท่าความคิด ม่านพระจันทร์ยกแก้วไวน์ขาวขึ้นจดริมฝีปากและดื่มพรวดเดียวจนหมด

“เฮ้ยคุณ ทำไมดื่มแบบนั้นล่ะ ไวน์ขาวน่ะมันต้องค่อยๆ จิบ กินแกล้มกับอาหารทะเลนี่สิ” บุรุษหนุ่มเลื่อนจานอาหารทะเลไปใกล้กับคนเพิ่งหัดดื่มที่หันมายิ้มหวานหยาดเยิ้ม 

“ขอเติมหน่อยค่ะ” 

“ได้เลย” 

เมฆารินไวน์ใส่แก้วให้หญิงสาว เมื่อดื่มหมดปุ๊บ เขาก็เติมให้อย่างต่อเนื่องแก้วแล้วแก้วเล่า จนเวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงสามทุ่ม...กลายเป็นว่าเขามอมเหล้าเธออย่างไม่ได้ตั้งใจเสียอย่างนั้น

“พอได้แล้วมั้งคุณ ไวน์หมดพอดี” 

“งั้นฉันจะไปซื้อมาให้นะคะ” ริมฝีปากสีชมพูคลี่ยิ้มกว้าง พยุงร่างกายโงนเงนของตัวเองลุกขึ้นยืน และทำท่าจะล้มคว่ำไปกับพื้นในวินาทีต่อมา

“เฮ้ย!” 

โชคยังดีที่เขาไวกว่า ปรี่เข้าไปรับร่างงดงามเอาไว้ได้ทันท่วงที พลางส่ายศีรษะ หัวเราะกับความไร้เดียงสาของยายแม่ชี 

“ระวังหน่อยสิคุณ นั่งลงเลย ไม่ต้องลุกไปไหน” เขาค่อยๆ ประคองให้เธอนั่งลงบนเบาะนุ่มดังเดิม

“ขอโทษค่ะ ฉันก็แค่...อยากดื่มต่อ” ใบหน้างดงามซึ่งบัดนี้แดงก่ำเพราะพิษสุราเจื่อนลงไปถนัด เธออธิบายความรู้สึกตอนดื่มไม่ถูก แต่มันก็ช่วยให้ลืมความทุกข์ได้ชั่วขณะหนึ่งจริงๆ

“พอแล้ว คุณคออ่อน ขืนดื่มมากไปกว่านี้คงได้บันเทิงแน่ๆ” 

“คุณเมฆนี่ดีกับฉันจังเลยนะคะ ตอนที่เจอคุณครั้งแรก คุณเป็นผู้ชายที่ไม่น่าคบเอาเสียเลย ทั้งปากร้ายและหยิ่งยโส” 

หญิงสาวหลุดปากพูดความในใจออกมาด้วยสติสัมปชัญญะที่ไม่ครบถ้วนนัก ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าตึง

“ก็คงเป็นอย่างที่โบราณเขาว่าไว้ ผู้ชายรู้หน้าไม่รู้ใจ บางคนที่เหมือนจะดีแสนดี กลับหักหลังเราได้ลงคอ ทำร้ายหัวใจของเราอย่างเลือดเย็น บางคนที่เหมือนจะเป็นคนไม่ดี กลับดีเสียจนฉันละอายใจที่เคยมองคุณแบบนั้น” 

“ผมจะถือว่าคุณชมผมแล้วกันนะ” เมฆากระตุกยิ้ม พลางเขยิบกายเข้าไปใกล้ๆ คนเมา 

“ฉันอยากจะรู้นะคะ ว่าถ้าหากฉันแต่งงานมีคนรักบ้าง เขาจะรู้สึกเสียใจบ้างไหม” 

เสียงหวานกล่าวด้วยอารมณ์ประชดประชัน โดยที่ไม่ทันได้คาดคิดเลยว่าคำพูดของตัวเองกำลังเข้าใกล้ความจริงเข้ามาทุกขณะจิต

“คุณก็...แต่งงานกับผมสิ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น