7

ตอนที่ 6


.

 

ภัตตาคารรอนีนที่อัสมิฮานพาชีคซอลีลไปนั้น เป็นร้านเล็กๆ ที่ไม่ได้หรูหราอะไร แต่ก็แออัดไปด้วยผู้คนที่ติดใจรสชาติแกงกะหรี่ของที่นี่ เธอกับพี่ชายบุญธรรมเคยมานั่งรับประทานอาหารร่วมกันบ่อยๆ สมัยเป็นเด็ก ตั้งแต่เจ้าของร้านคนเดิมที่มีชื่อเดียวกับชื่อร้านยังมีชีวิตอยู่ ก่อนจะส่งต่อกิจการให้กับลูกเขยผู้ขยันขันแข็ง หลังจากลูกชายคนเดียวที่หมายมั่นปั้นมือจะให้เป็นผู้สืบทอด ย้ายตามหญิงสาวที่รักไปไกลแสนไกล เหมือนกับ...

ร็อชดาน’

ครั้งสุดท้ายที่อัสมิฮานมาที่นี่ เป็นวันเกิดของอดีตคู่หมั้น ทั้งเธอและพี่ชายบุญธรรมคนโตอีกคนพาเขามาเลี้ยงที่ร้านโปรดแห่งนี้ ไม่นึกเลยว่าหลังจากวันนั้น จะมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย จนทำให้เหลือเพียงเธอเท่านั้นที่ได้กลับมายืนอยู่ตรงนี้ตามลำพัง

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ชีคซอลีลร้องถามด้วยสีหน้าหวงใย หลังจากหันมาพบว่าเธอกำลังยืนชะงักอยู่หน้าร้านเป็นนานสองนาน

“ปะ...เปล่าค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้า น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “ฉันแค่เป็นห่วงว่าคุณจะทานได้หรือเปล่า”

“ทำไมล่ะ” ซอลีลทำหน้าพิศวง ก่อนจะหัวเราะ “เห็นผมเป็นคนติดหรูหรือไง”

“ดูจากการใช้ชีวิตของคุณแล้ว มันชวนให้คิดแบบนั้นนี่ค่ะ” เธอบอก หลังจากนึกไปถึงอาหารการกินที่ดุนยาและพุดดิ้งแสนอร่อยบนเครื่องบินส่วนตัวของเขา

ชีคหนุ่มหัวเราะ “เอาเป็นว่าผมทานได้ก็แล้วกัน ผมเคยไปลุยกลางทะเลทราย นอนกลางดินกินกลางทรายมาแล้วนะ แค่นี้สบายมาก”

“จริงหรือคะ”

“จริงสิ” เขาพยักหน้าขึงขัง “เอาไว้เราแต่งงานกันแล้ว ผมจะพาคุณไปนอนในโอเอซิสสักคืน”

“น่าสนใจค่ะ” เธอยิ้ม

“ถ้างั้นเราเข้าไปกันหรือยังครับ ได้กลิ่นอาหารแล้วน้ำลายชักสอขึ้นมาเสียแล้ว”

“ร้านนี้ข้าวแกงกะหรี่อร่อยมากค่ะ ฉันมากินหลายครั้งแล้ว”

“รองประธาน อัล ชุรูก ออยล์ ถึงกับการันตีแบบนี้ มันต้องอร่อยมากแน่ๆ” ซอลีลยิ้มแล้วผายมือเชื้อเชิญเธอให้นำเข้าไปในร้าน

อัสมิฮานเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งที่ว่างลงพอดี ก่อนจะสั่งข้าวแกงกะหรี่เลิศรสมาสองจาน จากนั้นก็รับประทานอย่างเอร็ดอร่อย

ชีคซอลีลดูเหมือนจะชื่นชอบอาหารจานนี้มากทีเดียว กระทั่งกวาดจนเกลี้ยงจาน ทำเอาคนแนะนำอดยิ้มอย่างภาคภูมิใจไม่ได้ที่เลือกร้านนี้มาเป็นดินเนอร์มื้อแรก

“ไงคะ อร่อยไหม”

“อร่อยมากครับ ไม่เคยกินแกงกะหรี่อร่อยขนาดนี้มาก่อน”

“อีกสักจานไหมคะ”

ชีคหนุ่มหัวเราะพร้อมกับลูบท้อง “ไม่ไหวแล้วครับ อิ่มจะแย่”

“อิ่มจะแย่” เธอทวนคำเขาพร้อมใช้นิ้วจิ้มรูปของหวานสีเหลืองที่ทำจากแป้งฟีลโลในเมนูของร้าน “แล้วอย่างนี้จะมีที่ว่างเหลือให้ บาคลาวา ไหมคะ”

เขาลูบคางพร้อมครางอย่างครุ่นคิดลังเล “น่าสนแฮะ”

“ลองดูสักหน่อยเถอะค่ะ รับรองว่าจะไม่ผิดหวัง”

“ก็ได้ ผมเชื่อคุณ” เขายิ้ม

อัสมิฮานจึงหันไปยกมือเรียกพนักงานร้าน ระหว่างที่เด็กหนุ่มเดินมา เธอก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาคุ้นๆ เดินเข้ามากับหญิงสาวชาวตะวันตกที่แม้จะคลุมศีรษะแบบเข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ยังเห็นได้ชัดอยู่ดีว่าไม่ใช่คนอัซดิฮาร ทั้งเส้นผมประกายทองของเธอและรูปร่างที่แม้อะบายะห์ก็ไม่อาจพรางได้

‘แต่ผู้ชายคนนั้นช่างคุ้นตาเหลือเกิน’ อัสมิฮานคิด

“รับอะไรครับ”

เสียงพนักงานร้านทำให้เธอสะดุ้ง

“เอ่อ...ขอกาแฟสองที่กับบาคลาวาที่หนึ่งค่ะ”

“ได้ครับ คุณผู้หญิง” เด็กหนุ่มค้อมศีรษะก่อนจะเดินจากไป ท่าทางดูแคล้วคล่องไม่น้อย

เมื่ออัสมิฮานหันไปมองชายคนนั้นอีกครั้ง เขาก็ไม่อยู่ในสายตาแล้ว

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“คะ?” เธอหันไปมองชีคซอลีล

“วันนี้คุณเหม่อๆ ชอบกล”

“เอ่อ...” หญิงสาวครางอึกอัก ก่อนจะแกล้งยกมือขึ้นนวดขมับ “สงสัยเป็นเพราะการเดินทางมั้งคะ กลับมาถึงก็ต้องมาปวดหัวกับงานอีก ก็เลยใจลอยไปหน่อย”

“ผมว่าทานบาคลาวาเสร็จแล้ว คุณกลับไปพักผ่อนสักหน่อยดีไหม”

“ค่ะ” เธอรับคำสั้นๆ ไม่วายหันไปกวาดตามองหาบุรุษหนุ่มผู้นั้น แต่เมื่อของหวานถูกนำมาเสิร์ฟ เธอก็ถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปที่ท่าทางเอร็ดอร่อยกับบาคลาวาของชีคซอลีล

“ท่าทางคุณมีความสุขกับการกินมากเลยนะคะ”

“ของมันอร่อยนี่ครับ” เขาตอบขณะเคี้ยวหนุบหนับแล้วหันไปยกกาแฟขึ้นซด “สงสัยกลับไปดุนยาครั้งนี้ ผมคงน้ำหนักขึ้นเป็นกอง”

“ที่ชั้นเก้ามีฟิสเนสนะคะ ถ้าคุณสนใจ”

“ผมชอบวิ่งที่สวนสาธารณะมากกว่า คุณสนใจไหม”

“คุณก็รู้ว่าที่นี่ไม่มีผู้หญิงไปวิ่งในที่สาธารณะ”

“เออจริง” ชีคซอลีลนึกขึ้นได้ว่าสิทธิเสรีภาพในการออกมาข้างนอกของผู้หญิงยังถูกจำกัดอยู่ แม้อัซดิฮารจะก้าวมาไกลมากแล้ว “ส่วนใหญ่คุณออกกำลังที่ไหนล่ะ”

“ที่ห้องของฉันมีเครื่องออกกำลังครบครันค่ะ แต่ถ้าวันไหนเบื่อๆ อยากพบปะผู้คน ก็จะลงไปใช้บริการฟิสเนสหญิงของโรงแรมที่ชั้นแปดค่ะ” เธอตอบอย่างอึดอัด เพราะสถานที่สาธารณะส่วนใหญ่ของอัซดิฮารยังคงแบ่งแยกชายหญิงไม่ให้ปะปนกันอยู่

ชีคซอลีลพยักหน้า หลังจากนั้นเขาก็ก้มหน้าก้มตารับประทานบาคลาวาแสนอร่อยต่อ ท่าทางของเขาทำให้อัสมิฮานเผลอยิ้มหวานให้เขาอย่างไม่รู้ตัว เธอลอบมองเขาอย่างรู้สึกดีใจที่ทำให้เขาพอใจได้ขนาดนี้ แม้ร้านอาหารแห่งนี้จะไม่ใช่ร้านหรูหรา และมีกุ๊กมือหนึ่งของประเทศมาทำอาหารให้เหมือนที่คฤหาสน์ของเขาก็ตาม

 

ร้านนี้หรือคะท่านชีค” อันนาทำหน้าเหยเก เมื่อเห็นร้านที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน และไม่ได้หรูหราอะไรเหมือนในล็อบบี้ของโรงแรมที่ทั้งคู่เพิ่งจากมา

“ร้านดูเก่าไปนิด แต่อาหารอร่อยมากนะครับ”

“อ้อ...ค่ะ” เธอยิ้มแหย ก่อนจะตามเขาเข้าไปในร้านแต่โดยดี

ทั้งคู่ได้โต๊ะที่มุมหนึ่งของร้านพอดี มีฉากฉลุลายที่ทางร้านนำมาประดับภาพวาดสีน้ำมันกั้น ทำให้ดูเหมือนเป็นห้องส่วนตัวกลายๆ พนักงานหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวในร้านวิ่งปรู๊ดมาจากอีกโต๊ะหนึ่งทันทีที่เขานั่ง อัลมาญิดจึงสั่งข้าวแกงกะหรี่สองจาน

“คุณเคยทานแกงกะหรี่ไหม”

“เคยบ้างค่ะ แต่ส่วนใหญ่เป็นอาหารกล่อง เวลาขี้เกียจออกไปไหน หรือเวลางานยุ่งๆ น่ะค่ะ”

เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจในวิถีชีวิตอย่างตะวันตกที่ดูเหมือนจะใส่ใจกับงานมากกว่าอาหารการกินและสุขภาพ “อาหารกล่องรสชาติเทียบไม่ได้กับที่นี่เลยละ ถ้าผมเข้าเมืองหลวง เป็นต้องมาทานที่ร้านนี้ประจำ”

“แหม ท่านชีคถึงกับการันตีอย่างนี้ ท่าจะอร่อยจริงนะคะ”

“เรียกผมว่าอัลมาร์ก็ได้นะครับ เพื่อนๆ ชาวตะวันตกสมัยเรียนแพทย์ก็เรียกแบบนั้น”

“ค่ะ...อัลมาร์” เธอยิ้ม แววตาทอประกายภาคภูมิใจเหมือนตัวเองกลายเป็นคนพิเศษขึ้นมา

วินาทีต่อมา พนักงานหนุ่มคนเดิมก็นำอาหารมาเสิร์ฟ ก่อนจะวิ่งปรู๊ดนำบาคลาวากับกาแฟสองถ้วยไปเสิร์ฟอีกโต๊ะหนึ่งซึ่งอยู่คนละฟากของร้าน

“เชิญครับ” อัลมาญิดผายมือเชื้อเชิญ “ลองดูว่าอร่อยกว่าอาหารกล่องหรือเปล่า”

อันนาตักแกงกะหรี่รับประทานด้วยท่าทางลังเล แต่เมื่อคำแรกเข้าปาก ดวงตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมา

“อร่อยจังเลยค่ะ”

“ผมบอกแล้ว” เขายิ้มอย่างรู้สึกดีใจที่ทำให้เธอพอใจได้

“คุณนี่เป็นคนติดดินดีนะคะ”

“ผมก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรนี่ครับ”

“จริงหรือคะ” หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นมองเขาอย่างพินิจ “คุณพูดแบบนี้หลายครั้งแล้ว คิดจะลองใจฉันหรือไงคะ”

“ผมพูดความจริงครับ”

“แต่คุณเป็นถึงเจ้าเมืองในตะวันออกกลาง แถมยังเรียนจบศัลยแพทย์มาจากอังกฤษอีกต่างหาก แล้วจะบอกว่าไม่ได้ร่ำรวยอีกหรือคะ”

“ความจริงแล้วลิฮาซเป็นแค่เขตการปกครองหนึ่งในเจ็ดของเมืองดุนยาเท่านั้นครับ ไม่ใช่เมืองใหญ่อะไร ลิฮาซมีพื้นที่เพียงแค่สามร้อยสิบตารางกิโลเมตร แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นทะเลทรายแห้งแล้ง มีหมู่บ้านอยู่ตามโอเอซิสต่างๆ โอเอซิสที่ใหญ่ที่สุดคือลิฮาซ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผมเอง ที่นั้นเราดำรงชีวิตถามวิถีแห่งชาวทะเลทราย ทำไร่ทำสวน มีพืชเศรษฐกิจคือปาล์มและอินทผลัม ส่วนที่ผมได้ไปเรียนแพทย์ถึงอังกฤษก็เพราะได้รับทุนที่ไม่ผูกพันจากทางมหาวิทยาลัยครับ”

สีหน้าของอันนาเริ่มเจื่อนลงเป็นลำดับ หลังจากเขาย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร ทำให้อัลมาญิดเริ่มมองเห็นเค้าลางแห่งความดูแคลนที่ทอประกายออกมาจากสายตาของเธอได้ชัดขึ้นทุกที

ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้หญิงมักจะเริ่มต้นเช่นนี้ทุกครั้ง และในที่สุดมันก็จะจบลงอย่างไม่ค่อยงดงามนัก

“อย่าบอกนะคะว่าชาวลิฮาซยังขี่อูฐกันอยู่”

“อย่างที่บอก มันเป็นวิถีชีวิตของชาวทะเลทรายครับ” เขาไหวไหล่ “แต่ก็มีบ้างที่ต้องใช้รถ บางครั้งเพื่อพานักท่องเที่ยวไปผจญภัย บางครั้งก็ใช้สำหรับกู้ภัย น้อยมากที่จะใช้เดินทางไปไหนมาไหน”

อันนาเบิกตากว้าง ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาแล้วตักอาหารรับประทานอย่างเงียบๆ ดูเหมือนเธอจะผิดหวังมากที่ได้รู้ว่าเขาไม่ได้ร่ำรวยจริงๆ

“ในลิฮาซ ไม่มีน้ำมันสักหยดเลยหรือคะ”

“มีครับ มากเสียด้วย” เขาตอบตามตรงด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่ได้แสดงอาการโอ้อวดใดๆ เพราะเพิ่งได้รับข้อมูลมาจากคนของชีคซอลีลที่มาเสนอให้เขาย้ายเมืองไปเพื่อจะผุดแท่นขุดเจาะน้ำมันขึ้นมาแทน แต่เขาก็ได้ปฏิเสธไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หญิงสาวตาโตขึ้นมาอีกครั้ง “แล้วทำไม...”

“ทำไมไม่ขุดมันขึ้นมาใช่ไหมครับ” อัลมาญิดแทรกขึ้น เธอพยักหน้า “ผมไม่เห็นความจำเป็นจะต้องนำมันขึ้นมาใช้ตอนนี้ครับ”

หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมคะ อย่างน้อยน้ำมันก็ช่วยให้รถวิ่งได้ แล้วมันก็จะทำเงินมหาศาลให้กับคุณนะคะ”

อัลมาญิดยิ้มอย่างใจเย็น “ผมบอกแล้วไงว่าเรามีอูฐ และเงินก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนักกลางทะเลทรายเวิ้งว้าง”

“แต่คุณต้องการยากับเวชภัณฑ์ไม่ใช่หรือคะ ถ้ามีเงิน คุณจะซื้อเท่าไรก็ได้ จะสร้างโรงพยาบาลพร้อมซื้อเครื่องมือทันสมัยมาใช้ก็ยังได้เลย”

‘เป็นความคิดที่น่าสนใจ เหมือนที่ชีคซอลีลเคยให้คนมาเกลี้ยกล่อมให้เขารับข้อเสนอ แต่...’

อัลมาญิดมองหญิงสาวอย่างครุ่นคิด เธอทำให้เขานึกถึงตัวเองตอนกลับจากอังกฤษ ตอนนั้นเขามุ่งมั่นและพลุ่งพล่านไปด้วยความคิดแบบตะวันตก ในขณะที่ลิฮาซยังเต็มไปด้วยคนรุ่นก่อนที่ยึดมั่นในวิถีดั้งเดิม เกิดการโต้แย้งขึ้นอย่างดุเด็ดเผ็ดมันกลางที่ประชุม แม้พ่อของเขาที่เชื่อมั่นในตัวเขาอย่างเต็มเปี่ยมก็ยังไม่อาจต้านทานพลังแห่งศรัทธาและวัฒนธรรมประเพณีที่สืบทอดมานานได้

ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยถ้าจะต้องพลิกฝ่ามือขณะที่มีก้อนหินหนักๆ อยู่บนหลังมือ

หลังจากวันนั้นเขาก็ออกเดินทางแสวงบุญด้วยการเร่ร่อนรักษาคนไปทั่วทะเลทราย ทำให้เขาเริ่มเข้าใจในวิถีของชาวทะเลทราย เมื่อเวลาผ่านไป เขาพบว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นทำทันทีไม่ได้ ทุกอย่างต้องมีลำดับเป็นขั้นเป็นตอน เพราะการเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือเป็นหลังมือนั้น อาจส่งผลกระทบในด้านลบมากกว่าจะเป็นประโยชน์

“ชาวลิฮาซมีไม่มากนัก ตอนนี้เรายังอยู่กันได้อย่างพอเพียง ทุกคนมีกินมีใช้อย่างไม่ขัดสน ส่วนเรื่องยาหรือเวชภัณฑ์อื่นๆ เราก็จะได้รับการอุปถัมภ์จากบริษัทของคุณ”

“แต่คุณจะร้องขอจากคนอื่นตลอดไปไม่ได้หรอกนะคะ” อันนาดูหงุดหงิดขึ้น

ชีคอัลมาญิดใช้รอยยิ้มเย็นเยียบสยบความรุ่มร้อนของเธอ “เมื่อถึงเวลา อัลลอฮ์จะทรงมีพระบัญชาเอง”

“ฉันไม่เข้าใจ...”

ยังไม่ทันที่อันนาจะพูดจบ ก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นเสียก่อน เมื่อพนักงานหนุ่มที่วิ่งไปวิ่งมาเกิดสะดุดอะไรบางอย่างเข้า น้ำชาเย็นเจี๊ยบจึงหกใส่อะบายะของเธอเข้าเต็มๆ

“นี่มันอะไรกันเนี่ย” หญิงสาวโพล่งขึ้นด้วยความฉุนเฉียว พร้อมกับดึงผ้าที่แนบลู่เนื้อขึ้นเพราะความเย็น

“ขะ...ขอโทษครับคุณผู้หญิง” เด็กหนุ่มเอ่ยละล่ำละลัก คงเห็นว่าเป็นชาวต่างชาติ และร่วมโต๊ะกับเขา เพราะหากเป็นผู้หญิงชาวอัซดิฮาร คงไม่ได้รับการขอโทษอย่างสุภาพเช่นนี้แน่

“ใจเย็นๆ ครับ” อัลมาญิดเอ่ยปราม “ผมว่าผมพาคุณกลับไปเปลี่ยนชุดที่โรงแรมดีกว่านะครับ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันกลับเองดีกว่า”

“แต่ผู้หญิงเดินไปไหนมาไหนคนเดียวในอัซดิฮารมันไม่เหมาะนะครับ” เขาอ้าง เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านตามลำพัง มีน้อยมากที่ทำได้ แต่ก็จะถูกมองจากผู้คนด้วยสายตาไม่พอใจ

“ให้ผมไปส่งคุณเถอะ”

“ก็ได้ค่ะ” เธอบอกอย่างฉุนเฉียว ก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปนอกร้าน

อัลมาญิดหยิบธนบัตรวางบนโต๊ะ แล้วตบบ่าเด็กหนุ่มเบาๆ เป็นการปลอบใจขณะเดินผ่าน ก่อนจะก้าวตามอันนาออกไปนอกร้านแล้วโบกมือเรียกแท็กซี่กลับโรงแรม

 

เกิดอะไรขึ้นคะนั่น” อัสมิฮานชะเง้อมองไปตามเสียงอึกทึกที่ดังแว่วมาจากอีกฟากของร้าน แต่ก็เห็นเพียงพนักงานของร้านยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ใกล้กับฉากที่แขวนภาพสีน้ำมันเท่านั้น

“เด็กคนนั้นคงไปทำอะไรให้แขกไม่พอใจมั้ง” ชีคซอลีลคาดเดา

“คงร้ายแรงนะคะ เสียงดังเชียว”

ไม่ทันขาดคำ อัสมิฮานก็เห็นหญิงสาวผมทองเดินกระฟัดกระเฟียดออกมาจากหลังฉาก ชุดของเธอเปียกปอน ท่าทางของเธอฉุนเฉียว แม้แต่ผ้าคลุมศีรษะก็หลุดลงไปกองอยู่ที่ไหล่ ใบหน้าสวยหวานปรากฏท้าทายสายตาผู้คนอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดหายออกไปจากร้าน

วินาทีต่อมา บุรุษหนุ่มที่เธอคุ้นหน้าก็ปรากฏกายขึ้น เขาตบไหล่พนักงานร้านเป็นเชิงปลอบใจ ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวตามหญิงสาวไปติดๆ จนลับสายตาไป

“เอ๊ะ...นั่นมัน...”

อัสมิฮานหันควับไปหาชีคซอลีลทันที “คุณรู้จักสองคนนั้นหรือคะ”

“คนผู้หญิงไม่รู้จักหรอกครับ แต่คนผู้ชายนี่รู้จักดีทีเดียว”

“ใครหรือคะ” เธอถามอย่างสนใจ

ชีคซอลีลชะงัก ก่อนจะหลิ่วตามองเธอ “เอ...ถามถึงผู้ชายคนอื่นอย่างนี้ ผมหึงนะครับ”

หญิงสาวสะอึก ก่อนจะก้มหน้าแดงก่ำลง “ฉันแค่อยากรู้น่ะค่ะ เห็นคุณว่ารู้จักเขา”

“ผมล้อเล่นน่ะครับ” เขาหัวเราะ

อัสมิฮานถอนใจเบาๆ ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองชายหนุ่ม “แล้วตกลง ผู้ชายคนนั้นเป็นใครหรือคะ”

ชีคซอลีลจ้องเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้ม “คุณจำได้ไหมว่าตอนอยู่บนเครื่องบินเราคุยเรื่องอะไรกัน”

เธอส่ายหน้า “เราคุยกันตั้งหลายเรื่อง ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าเรื่องไหน”

“เรื่องลิฮาซไงครับ”

“อ้อ” อัสมิฮานพยักหน้า “ผู้ชายคนนั้นเป็นชาวลิฮาซหรือคะ”

“ใช่ครับ” เขาพยักหน้า “เป็นคนสำคัญเสียด้วย”

“สำคัญ?”

“เขาคือชีคอัลมาญิด บิน อับดุลมุอิซ ฮะซะนัย ผู้ปกครองเขตการปกครองที่สามของดุนยา”

“ชีคอัลมาญิด” หญิงสาวทวนชื่อนั้นอย่างคิดคำนึง แล้วก็นึกออกทันทีว่าเคยพบเขาที่ไหน

“ตอนนี้คุณทำท่าเหมือนรู้จักเขา”

“เอ่อ” อัสมิฮานชะงัก “ได้ยินชื่อถึงเพิ่งนึกได้ค่ะ เขาเป็นเพื่อนกับพี่ร็อชดาน ฉันเคยพบเขาสองสามครั้งค่ะ”

“อ้อ” ซอลีลพยักหน้า

“คุณไม่ลงรอยกับเขาหรือคะ”

“ผมไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวหรอก” ชายหนุ่มส่ายหน้าพร้อมกับหันมองไปยังหน้าร้าน “รู้แค่ว่าเขาเพิ่งปฏิเสธส่วนแบ่งรายได้จากน้ำมันของผมผ่านคนของผมมา ท่าทางเขาจะหัวแข็งเหมือนพ่อของเขา”

“เท่าที่ฉันเคยรู้จัก เขาเป็นคนใจดีคนหนึ่งเลยนะคะ”

ชีคหนุ่มยักไหล่ “เวลาและอำนาจทำให้คนเราเปลี่ยนได้ครับ ตอนนี้เขามีอำนาจต่อรอง เขตของเขาลอยอยู่บนทะเลน้ำมัน ซึ่งใครจะละเมิดมิได้หากไม่ได้รับการอนุญาตจากเขา”

อัสมิฮานฟังแล้วก็ได้รู้สึกคล้อยตาม เพราะพี่ชายบุญธรรมคนโตของเธอก็ถูกเปลี่ยนนิสัยไปด้วยเงินตราและอำนาจมาแล้ว เปลี่ยนไปจนเกือบจะปลิดชีพร็อชดานได้สำเร็จทีเดียว คงไม่แปลกอะไรหากผู้ชายคนนั้นจะเปลี่ยนไปเหมือนกัน หลังจากได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรติของเผ่าที่มีขุมทรัพย์มหาศาลอยู่ใต้ผืนดินของเขา

 

หลังจากส่งอันนาที่ห้องพักของเธอ ชีคอัลมาญิดก็กลับไปที่ห้อง เขาถอดกันดูราออกแล้วพับเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า จากนั้นก็เข้าห้องน้ำ ปลดเปลื้องกางเกงออกเพื่ออาบน้ำชำระร่างกาย ก่อนจะออกมาชงชาแล้วเดินไปที่ระเบียง

ทิวทัศน์ของอัลรีฟเปลี่ยนไปมากจากเมื่อยี่สิบปีก่อนชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ จากพื้นดินราบเรียบที่เต็มไปด้วยทราย บ้านดินเตี้ยๆ ที่ปลูกติดกันเป็นพรืด มีอูฐเดินกันขวักไขว่เหมือนที่ลิฮาซ กลายมาเป็นมหานครใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาคารระฟ้ามากมาย บนถนนเต็มไปด้วยรถยนต์ ไม่มีอูฐตัวเป็นๆ เดินท่อมๆ ให้เห็นอีกแล้ว จะมีก็แต่อูฐตามป้ายโฆษณา ป้ายร้าน หรือภาพวาดในจินตนาการของเด็กมือบอนบนกำแพงเท่านั้น

ชายหนุ่มถอนใจ เงยหน้าขึ้นมองทอดสายตาไกลออกไป เลยจากเขตเมืองอันศิวิไลซ์เป็นทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล แม้ตอนนี้จะเห็นเป็นเงามืดสลัวๆ อยู่ลิบๆ ก็ตาม แต่มันกลับเด่นชัดในดวงตาเขา

อัลมาญิดรู้สึกเหงาและคิดถึงมัน ที่นั่นแห้งแล้งกันดาร แต่ก็ยังเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันลึกล้ำที่ให้หวนคิดถึงเสมอเมื่อจากมา แม้จะเป็นเพียงแค่ค่ำคืนเดียวก็ตาม

จะเป็นอย่างไรกันนะหากอีกยี่สิบปีข้างหน้า ลิฮาซจะกลายเป็นอย่างอัลรีฟในวันนี้ หากลิฮาซจะเต็มไปด้วยผู้คนแต่งตัวสะอาดสะอ้านเดินกันขวักไขว่ ตึกรามสูงใหญ่ ทุกอย่างรวดเร็วจนทำให้ดูเหมือนเวลาจะเดินเร็วขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น ผู้คนไม่สนใจกันมากขึ้น ข้าวของทุกอย่างต้องแลกด้วยเงินที่มากกว่ามูลค่าที่แท้จริง คนป่วยต้องเสียค่ารักษาแพงๆ รวมทั้งผู้หญิงก็แต่งตัวกันเปิดเผยมากขึ้น

อัลมาญิดถอนใจออกมาเบาๆ อีกครั้ง วินาทีหนึ่งเขาคิดถึงอันนาในชุดพื้นเมืองกลางทะเลทราย แต่แล้วภาพของเธอก็กลับจางหายไปอย่างรวดเร็ว เธอเป็นคนสวยมีเสน่ห์ แต่ไม่เข้ากับลิฮาซสักนิด และเขาก็คิดว่า เธอคงไม่อยากใช้ชีวิตในดินแดนที่แห้งแล้งกันดารอย่างนั้นแน่ สังเกตได้จากท่าทางเฉยชาหลังจากออกมาจากร้านรอนีน เธอพยายามรักษาระยะห่างระหว่างกันมากขึ้น ผิดกับตอนที่รู้ว่าเขาคือชีคแห่งลิฮาซที่ล็อบบี้อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ

เสียงมุอัซซีนเรียกคนทำละหมาดดังแว่วมา ชีคหนุ่มยกสองมือขึ้นลูบหน้า หันไปหยิบชาขึ้นดื่มจนหมดถ้วย ก่อนจะกลับเข้าห้อง คลี่พรมลงบนพื้นเพื่อทำละหมาดอีซาด้วยความตั้งใจ หลังจากนั้นก็สอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วพยายามข่มตาลง แต่ความนุ่มของเตียงกลับทำให้เขากระสับกระส่าย ในที่สุดจึงลุกขึ้นแล้วนำผ้าห่มไปปูบนพื้น คราวนี้เมื่อล้มตัวลงนอน เขารู้สึกคุ้นชินขึ้น และหลับสบายเหนือความอ่อนนุ่มบางๆ ที่พอเหมาะกับชาวทะเลทรายอย่างเขาไปจนกระทั่งถึงเช้า

 

สูงขึ้นไปยังเพนท์เฮาส์ชั้นบนสุดของอาคาร ขณะที่มีใครคนหนึ่งกำลังทอดสายตามองเงาดำทะมึนของทะเลทรายที่อยู่ไกลลิบ อัสมิฮานก็กำลังเท้าแขนกับราวกันตกของระเบียง เหม่อมองไปยังจุดเดียวกันกับเขาอย่างไม่รู้ตัว

ในดวงตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความสงสัยว่า ทะเลทราย เงินทอง และอำนาจ สามารถเปลี่ยนแปลงคนที่มีจิตใจดีอย่างชีคอัลมาญิดได้จริงๆ หรือ

ภาพเด็กหนุ่มที่ปีนขึ้นไปช่วยเจ้าแมวน้อยของเธอซึ่งติดอยู่บนต้นไม้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากภาพต่างๆ เกี่ยวกับเขาจางหายไปจากหัวใจนานแล้ว แม้มันจะเป็นภาพลางเลือนก็ตาม แต่มันก็ทำให้เธอรำลึกขึ้นมาได้ว่า ครั้งหนึ่งเธอเคยชื่นชอบเขา ก่อนที่ความหลงใหลในตัวร็อชดานจะเข้ามากลบไปเสียหมด

หญิงสาวยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเท้าคางกับมือทั้งสองข้างที่วางศอกอยู่บนราวระเบียง นึกถึงใบหน้าคมคร้ามของเขาที่เห็นในวันนี้

อัลมาญิดเปลี่ยนแปลงไปมากจากที่ได้เห็นครั้งล่าสุด จากเด็กหนุ่มหน้าอ่อน กลายมาเป็นบุรุษผู้คมเข้มไปทุกกระเบียดนิ้ว ดวงตาสีเหล็กล้ำลึก จมูกโด่งเป็นสัน ผิวเข้มคล้ามแดด และร่างกายที่บึกบึนทำให้เขาดูมีเสน่ห์ขึ้นมากมาย ซึ่งก็ผิดกับชีคซอลีลอย่างสิ้นเชิง แม้จะหล่อเหลาแบบกินกันไม่ลงทั้งคู่ แต่ซอลีลดูสะอาดกว่า บอบบางกว่า มีผิวเนียนละเอียด และอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของโคโลญจน์

ภาพของชีคซอลีลปรากฏขึ้นเคียงคู่กับชีคอัลมาญิด ทำเอาอัสมิฮานต้องถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังคิดถึงผู้ชายสองคนในเวลาเดียวกัน

อัลลอฮ์คงไม่อภัยเธอแน่

แม้เธอจะยังไม่ได้แต่งงานกับชีคซอลีล แต่ก็ถือได้ว่าเป็นสมบัติของเขากรายๆ แล้ว เธอคือคู่หมั้นคู่หมายของเขา จึงไม่ควรคิดถึงคนอื่นให้หัวใจปั่นป่วนเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไร...

เธอกับชีคอัลมาญิดก็คงไม่มีวันได้พบกันอีก

หญิงสาวไหวไหล่ช้าๆ เมื่อได้ยินเสียงมุอัซซีนเรียกคนทำละหมาดดังแว่วมา เธอเงยหน้าขึ้นมองดาวระยิบระยับบนท้องฟ้าราตรี ก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วผ่อนออกมาจนหมด จากนั้นก็สะบัดหน้าไล่ความคิดเพ้อเจ้อออกไปจากสมองแล้วยกชาที่วางอยู่ข้างกายขึ้นดื่มจนหมด เธอหันหลังให้กับทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอัลรีฟแล้วค่อยๆ เยื้องกรายกลับเข้าห้องพักเพื่ออาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด ก่อนจะทำละหมาดอีซา จากนั้นก็ขึ้นเตียง ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มและนิทราลงอย่างสนิทโดยไม่ฝันถึงอะไรเลย จนกระทั่งถึงเช้า

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น