4

ตอนที่ 3

 

        เรากลับเมืองไทยกันนะคะแม่

ชายหนุ่มร่างสูงเอนหลังไปกับพนักเก้าอี้ทำงาน เปลือกตาปิดลงด้วยความอ่อนล้าจากการทำงานมาราธอนต่อเนื่องตลอดทั้งวัน วันนี้เป็นวันทำงานที่ยุ่งวุ่นวายตั้งแต่เครื่องแลนดิงที่สนามบินสุวรรณภูมิ งานที่คั่งค้างมาตลอดช่วงสามวันที่เขาไม่อยู่ก็พากันพาเหรดเรียงหน้าเข้ามาหา จนเจ้าตัวไม่รู้จะหยิบจับงานไหนขึ้นมาก่อนดี เรียกได้ว่า...แทบไม่ได้หายใจหายคอกันเลยทีเดียว พอรู้ตัวอีกทีก็ถึงเวลาเลิกงานที่ต้องปล่อยผู้ช่วยส่วนตัวอย่างคุณรสา เลขาฯ หน้าห้องให้กลับบ้านไปก่อนเสียแล้ว
 

“อ้าวเฮ้ย! ง่วงก็กลับไปนอนที่บ้านครับไอ้ท่านรอง” เสียงของคนที่โผล่เข้ามาในห้องโดยไม่มีการเตือนก่อนล่วงหน้าดังขึ้นรบกวนการพักผ่อนของเขา “ไปเร็วไอ้ธาม ของแกอยู่ในรถฉัน เดี๋ยวไปส่งบ้าน”
 

คนถูกเรียกพยายามทำเพิกเฉยต่อเสียงก่อกวน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมลืมตาขึ้น เพราะไอ้เพื่อนจอมโวยวายเดินมาเขย่าเก้าอี้ปลุกถึงที่ ธามสะบัดหน้าไล่ความอ่อนเพลียที่กำลังจะเข้ายึดครองร่างกายออกไป
 

“ไปส่งโรงพยาบาลนะ” เขาเอ่ยบอกเสียงเรียบ
 

“ไปโรงพยาบาล? ไม่สบายเหรอวะ” ชินกฤตขมวดคิ้วถามพลางมองคนที่กำลังหยิบจับแฟ้มเอกสารที่จะเอากลับไปทำงานต่อที่บ้านอย่างพิจารณา จะว่าไปแล้วคนตรงหน้าก็ดูหมดเรี่ยวแรงจริงๆ เสียด้วย เป็นภาพที่ไม่ค่อยมีให้เห็นได้บ่อยนักสำหรับผู้บริหารพลังเยอะอย่างเขาคนนี้
 

ธามส่งแฟ้มบางส่วนให้คนถามช่วยถือ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบสมาร์ตโฟนที่วางห่างออกไป แล้วหันไปให้คำตอบกับเพื่อน “หิวข้าว”

ชินกฤตหลุดขำพรืด เพราะเหตุผลการไปโรงพยาบาลที่เพื่อนบอกทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าไอ้เวลาแบบนี้...คงมีคนเดียวเท่านั้นละที่จะช่วยชาร์จพลังให้เพื่อนเขาคนนี้ได้

 

         สาวร่างบางในชุดเดรสสุภาพสีส้มอ่อน คลุมทับด้วยเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดตายกแขนขึ้นเช็กเวลาจากนาฬิกาที่ข้อมือ แล้วก็พบว่า เลยเวลาเลิกงานของเธอมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว แต่อันที่จริง...ด้วยหน้าที่ที่ทุกคนเรียกว่า ‘หมอ’ นั้น ก็ไม่เคยทำให้เธอได้เลิกงานตรงเวลาจริงๆ เลยสักวัน กระนั้นก็ยังดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ได้มีผลอะไรกับเธอสักเท่าไร เพราะตั้งแต่วันที่ตัดสินใจเข้าเรียนแพทย์ เธอก็รู้แล้วว่าชีวิตที่เหลือทั้งชีวิตจะต้องออกมาเป็นรูปแบบไหน
 

         มือบางหมุนลูกบิดประตูห้องพักแพทย์ของเธอเข้าไป ความคิดวนเวียนอยู่กับอาหารมื้อเย็นมาพักใหญ่ แต่แล้วภาพแรกที่เข้ามาทักทายสายตาก็ทำให้ภาพอาหารมื้อเย็นเลือนไปชั่วคราว หญิงสาวเลื่อนสายตาจากภาพตรงหน้าไปที่โต๊ะทำงานของเธอ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด กระเป๋าเป้ใบคุ้นตาที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนเก้าอี้ทำงานของเธอกับแฟ้มเอกสารมากมาย แน่นอนว่า...ไม่ใช่ของเธออีกเช่นกัน

หมอสาวส่ายใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเพราะภาพที่เกิดขึ้นเหมือนเดิมซ้ำๆ นี้ ก่อนจะวางแฟ้มบันทึกการตรวจคนไข้เอาไว้บนที่ว่าง...ที่ยังพอหาได้บนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปหาเจ้าของภาพแรกที่เตะตาตั้งแต่เปิดประตูมา...ภาพชายร่างสูงที่หลับใหลอยู่บนโซฟาตัวยาวตัวเดียวในห้องทำงานของเธอ ซึ่งมักโดนเขาคนนี้ยึดไปแบบนี้เป็นประจำ
 

         คุณหมอตัวเล็กนั่งยองๆ ลงข้างๆ โซฟา ก่อนจะยกมือขึ้นเท้าคางเพ่งพิจารณาใบหน้าขาวที่รองรับจมูกโด่งรั้นเหมือนนิสัยเจ้าตัว คิ้วเข้มได้รูปที่มักจะทำให้เจ้าของดูดุดันเมื่อมองรวมกับแววตาทรงอำนาจที่ฉายขึ้นในดวงตาของเขา ริมฝีปากสีชมพูที่แม้สีจะหม่นลงไปบ้างเพราะพิษของควันบุหรี่ แต่ยังทำให้สาวๆ ตกหลุมรักได้เสมอเพียงแค่เขาส่งยิ้มบางๆ ให้

           หญิงสาวหัวเราะเบาๆ เพราะความคิดที่วิ่งผ่านเข้ามาในหัว...นี่ถ้าไม่ติดว่าแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ เธออาจจะเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่ติดบ่วงเสน่ห์ของเจ้าเพื่อนตัวแสบคนนี้ไปแล้วก็ได้
         
ตาคู่สวยหรี่มองคนหลับไม่รู้เรื่องด้วยความคิดที่ว่า เวลาเผลอๆ แบบนี้จะแกล้งเขาอย่างไรดีถึงจะสาสมกับคดีต่างๆ ที่เจ้าตัวเคยก่อไว้ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ทำอะไร พ่อคนขี้ระแวงขั้นที่โลกต้องจารึกไว้ก็ดันรู้สึกตัวขึ้นมาเสียก่อน

 

         “เฮ่ย” เขาอุทานพร้อมกับเบี่ยงตัวหนีทันทีที่ภาพตรงหน้าฉายชัด “เดี๋ยวนี้หลงเสน่ห์ขนาดจะขโมยจูบไอเลยเหรอนีน่า”

คนฟังเจือปากก่อนจะกลอกตาตามไปซ้ำ “ไอกำลังเล็งอยู่ว่าจิ้งจกตัวที่อยู่ข้างนอกนั่น มันจะเอาหางใส่เข้าไปในรูจมูกยูได้รึเปล่าต่างหาก”

          “อี๋ หมอโรคจิต”

          “ย่ะ โรคจิต แต่ก็มาหาไอตลอดนะ สงสัยจะเป็นคนไข้...คนบ้าน่ะ”

ธามเกาหัวแกรกๆ เพราะรู้จะหาคำไหนมาเถียงคนตรงหน้าต่อดี  


คงเพราะว่าเธอคือ 
‘นีน่า’ ละมั้ง เธอมักจะดักทางเขาได้เสมอ เพื่อนวัยเด็กที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่ยังจำความไม่ได้คนนี้เป็นลูกสาวเพื่อนสนิทของป้าธารา ป้าที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็กๆ นีน่าต้องระหกระเหินไปไกลถึงอังกฤษตั้งแต่เล็กเพราะการแต่งงานใหม่ของแม่ เช่นเดียวกับธามที่เกิดมาพร้อมร่างกายที่ไม่แข็งแรงเท่าไรนัก ป้าธาราจึงพาเขาไปอยู่ที่อังกฤษด้วย เพราะหวังว่าเทคโนโลยีของหมอฝรั่งจะช่วยรักษาหลานชายคนเล็กให้มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงเหมือนคนอื่นๆ และเพราะทั้งสองอยู่บ้านใกล้กัน เรียนที่เดียวกัน โตมาด้วยกัน ความสนิทสนมจึงไม่ได้ไกลจากคำว่าพี่น้องท้องเดียวกันไปเท่าไร 
 

           เมื่อวันที่ธามต้องกลับมารับตำแหน่งรองประธานบริษัทดีเอสพี คอนสตรัคชั่น เพื่อกอบกู้วิกฤติที่บริษัทกำลังดิ่งลงเหวเมื่อสูญเสียเสาหลักอย่างเจ้าสัวธงชัยไป เขาได้ขอให้นีน่ากลับมาอยู่เมืองไทยด้วยกัน เพราะมันเป็นความฝันของเธออยู่แล้ว อีกอย่างธามรู้ดีว่าการกลับเมืองไทยในครั้งนี้ เขาคงต้องรับมือกับปัญหามากมายที่รอถาโถมเข้าใส่ ไม่ต่างจากสึนามิขนาดย่อมๆ แน่ การที่ได้เพื่อนรู้ใจอย่างนีน่ามาอยู่ใกล้ๆ ตัว ก็คงพอจะช่วยทำให้เขามีที่พึ่งทางใจยามเหนื่อยล้าได้บ้าง และก็เป็นอย่างนั้นมาตลอด แม้ว่าตอนนี้บริษัทจะติดลมบน ครองบัลลังก์ธุรกิจการก่อสร้างแล้วก็ตาม แต่เมื่อใดที่ท่านรองประธานคนนี้เหนื่อยล้า เขาก็จะมานอนรอการชาร์จพลังอยู่ที่โซฟาตัวนี้เสมอ

           “หิวข้าว...ว” ชายร่างสูงลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปพูดเสียงยานคางใส่หูคู่สนทนา ที่กำลังจัดการกับกระเป๋าของเธอเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน

           “ก่อนจะไปกินข้าว ไหนล่ะของฝากของไอ ไปสิงคโปร์ตั้งหลายวัน อย่าบอกนะว่าไม่มีของติดไม้ติดมือมาให้กันเลย”

ธามฉีกยิ้ม แต่คนที่แบมือรอของที่ว่ากลับรู้สึกตงิดๆ กับรอยยิ้มนั้น

          “โน่นไง” คนถูกถามพยักพเยิดไปที่กล่องกระดาษลวดลายสวยงาม มีรูปสิงโตพ่นน้ำหราอยู่ที่หน้ากล่อง “ช็อกโกแลตพรีเมียม เห็นมันติดว่าขายดีสุด เลยซื้อมา”

           นีน่าชำเลืองมองคนตัวสูงที่เดินมายืนข้างๆ ก่อนจะเบ้ปากอย่างระอารสนิยมการเลือกของฝากที่...สิ้นคิดของเขา แต่ความเลวร้ายยังไม่จบลงแค่นั้น เพราะวินาทีที่เธอเอื้อมมือไปแตะกล่อง ‘ของฝาก’ ที่เขาว่า เสียงราบเรียบที่ตามมาก็ทำให้เธออยากจะหันกลับไปแล้วใช้สองมือกระชากผมเขาแรงๆ สักสองสามที

            “แต่ไอกินหมดไปแล้วนะ ไอหิว”

ตาคมตวัดกลับไปทางคนที่ยืนยิ้มอยู่ ก่อนกล่องเปล่าที่เธอคว้าได้จะลอยไปฟาดที่ต้นแขนเขา “ธาม! ไหนบอกว่าซื้อมาฝากไอไง”

             “ก็ใช่ไง ไอซื้อมาฝากยู แล้วยูก็แบ่งให้ไอกินไง ผิดตรงไหน”

             “แต่ไอยังไม่ได้กินสักชิ้นเลย”

            “ไม่ต้องกินหรอก เดี๋ยวอ้วน รักเพื่อนนะเนี่ย กินให้หมดเลย”

นีน่าถอนหายใจด้วยความระอา “บนโลกใบนี้ยังมีผู้ชายคนไหนทุเรศกว่านี้อีกไหมเนี่ย”

            “นี่ๆ ทุเรศอะไร ต้องบอกว่าบนโลกนี้มีผู้ชายคนไหนหล่อกว่านี้อีกไหมเนี่ยถึงจะถูก ให้โอกาสพูดใหม่ เร็วๆ” นิ้วชี้ของคนพูดกระดิกเข้าหาตัวประกอบคำว่า ‘เร็วๆ’ ที่เขาว่า

“ถามหน่อยเหอะธาม เมื่อไหร่ยูจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่งงานกับเขาสักที ไอละเบื๊อเบื่อยูจะแย่แล้วเนี่ย”

             “อ้าวเฮ้ย เอะอะไล่ๆ มาพูดอะไรแต่งงงแต่งงาน ฟังละจักจี้หูชะมัดเลย”

นีน่าหันมองเจ้าของเสียงที่กำลังยกมือขึ้นลูบหูพร้อมกับทำหน้าเหยเก แล้วก็อดเหนื่อยใจไม่ได้

แคซาโนวาธาม...ชื่อที่หนังสือพิมพ์บันเทิงชอบเรียกน่ะเหรอ ไม่ใช่เลยสักนิด ตลอดเวลาที่เติบโตมาด้วยกัน ผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาในชีวิตของเพื่อนคนนี้ต้องผ่านสายตาเธอมาแล้วทั้งนั้น...เอิ่ม...แต่ไม่รวมพวกที่เจอกันตามไนต์คลับแล้วไปจบที่เบรกฟาสต์บนเตียงนะ นั่นละถ้าถามนีน่าแล้ว ธาม...ไม่ใช่แคซาโนวาจีบสาวเก่ง ไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้ที่รักผู้หญิงทีเดียวหลายๆ คนอย่างที่คนในสังคมกล่าวหา เขาเป็นผู้ชายเนื้อหอม เจ้าเสน่ห์ ที่เลือกใกล้ชิดกับผู้หญิงทีละคน แต่...ไม่เคยรักใครจริงสักคนเลยต่างหาก...นี่ละเสือธามในสายตาของนีน่า

          “ของกองขนาดนี้ ไม่ได้เอารถมาใช่ไหม” หมอสาวตัดบทสนทนาเมื่อครู่ทิ้งเสีย เพราะรู้ดีว่า...พูดไปก็เท่านั้น

           “โน ยังไม่ได้เข้าบ้านเลยเนี่ย ไปกินข้าวแล้วไปส่งด้วยนะ”

          “งั้นยูไปรอไอหน้าตึกละกัน เดี๋ยววนรถมารับจะได้ไม่ต้องหอบของไปๆ มาๆ”

ธามพยักหน้ารับคำสั่ง ก่อนจะปล่อยให้เจ้าของห้องล่วงหน้าออกจากห้องไปก่อน

มือหนาคว้ากระเป๋าเป้ที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าขึ้นพาดบ่า ก่อนจะหอบแฟ้มงานที่จำนวนของมันกำลังบอกเขาเป็นนัยๆ ว่าคืนนี้ได้นอนดึกอีกแหงๆ คนตัวสูงใช้ตัวดันประตูให้เปิดออกแล้วเดินตรงไปยังจุดนัดพบ แต่เดินได้เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น เพราะสายตาของเขาดันไปสะดุดกับ...นางพยาบาลชุดขาวที่เพิ่งเดินผ่านหน้าเขาไปคนนั้น
 

           ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างทันที ก่อนจะเลื่อนไปตามทิศทางที่หญิงสาวคนนั้นมุ่งหน้าไป

            ใช่...เธอดึงสายตาเขาได้เพราะว่าเธอสวย แต่ที่สะดุดใจเขาไม่ใช่แค่ความสวย แต่เป็นเพราะ...ผู้หญิงในชุดพยาบาลคนนั้นคือผู้หญิงคนเดียวกับที่กระชากหัวใจของเขาที่ห้องอาหารในคืนนั้น ผู้หญิงคนเดียวกับที่กระตุกหัวใจเขาเพียงแค่เธอเดินออกมาจากบ้านหลังนั้น และก็เป็นผู้หญิงคนเดียวกับที่...ขโมยหัวใจ...เอ๊ย! ไม่ใช่  ขโมยนาฬิกาไป และยังคงค้างคาอยู่ในใจเขามาจนถึงตอนนี้

            “เอสเธอร์ ลี” เสียงแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากลำคอ

ชายหนุ่มรีบหันมองซ้ายขวาเพื่อหาบางสิ่งบางอย่างที่พอจะช่วยให้เขาทำสิ่งที่ต้องการได้สะดวกขึ้น แล้วตาคมก็ไปหยุดอยู่ที่เก้าอี้นั่งรอสำหรับผู้ป่วยที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก ธามสาวเท้าเข้าไปวางแฟ้มเอกสารในมือลงบนเก้าอี้ ก่อนจะตรงดิ่งเข้าไปหาบุคคลอันตรายที่เขาจ้องเอาไว้อย่างไม่คลาดสายตา มือกำยำรีบคว้าท่อนแขนของเธอทันทีที่เข้าประชิดตัวได้

           “ว้าย!” คู่กรณีของเขาร้องเสียงหลง ก่อนจะหันมาหาคนต้นเรื่องตามสัญชาตญาณ “คุณธาม!”

เสียงที่แปลกไปจากเดิมกับการขานชื่อช่วยเรียกสติของชายหนุ่ม ธามหยุดกึกเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะสะบัดหน้าอย่างลวกๆ แล้วพิจารณาภาพตรงหน้าอีกครั้ง

          “พี่สายใจ?” เขาเรียกชื่อคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงตั้งคำถาม

          “ใช่ค่ะ พี่สายใจเอง คุณธามมีอะไรรึเปล่าคะ”

คนถูกถามกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอพลางขมวดคิ้ว ก่อนความสับสนจะเคลื่อนที่ตามเข้ามาสมทบ

เป็นไปได้อย่างไรกัน เมื่อกี้นี้เขาเห็นพี่สายใจ พยาบาลคนสนิทของนีน่าเป็นผู้หญิงคนนั้นอย่างนั้นเหรอ นี่เขาตาฝาดไปหรอกเหรอ มันจะเป็นไปได้อย่างไร ก็เขาจ้องเธอเอาไว้อย่างไม่วางตาขนาดนั้น ถ้าเห็นแค่ผ่านๆ แล้วเข้าใจผิดก็ว่าไปอย่าง ความคิดที่แบ่งเป็นสองฝ่ายเริ่มตีกันในหัวอีกครั้ง

          ใช่...ใช้คำว่า ‘อีกครั้ง’ นั่นละถูกแล้ว เพราะเหตุการณ์คล้ายคลึงกันแบบนี้เคยเกิดขึ้นแล้ว...เมื่อเช้านี้เอง

เมื่อตอนเช้าบนเครื่องบิน เขาเห็นพนักงานต้อนรับหญิงที่เข้ามาเสิร์ฟกาแฟเป็น ‘ไอ้เด็กบ้านั่น’ ไปแล้วรอบหนึ่ง ยังโชคดีที่ป้ายชื่อบนหน้าอกของเธอช่วยยับยั้งไม่ให้คนใจร้อนอาละวาดเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงขายหน้าแย่

“คุณธามคะ” เสียงเรียกย้ำอีกครั้ง พร้อมกับการยกมือขึ้นโบกตรงหน้าช่วยเรียกสติชายหนุ่มให้ออกจากห้วงความคิด

ธามเบี่ยงสายตาไปมาคล้ายจะปะติดปะต่อเรื่องราว ก่อนความมีไหวพริบของเขาจะช่วยกู้สถานการณ์น่าอายเอาไว้ “คือผมจะถามพี่สายใจน่ะครับว่าห้องของนีน่าต้องล็อกรึเปล่า” ธามส่งคำถามที่เขารู้คำตอบดีให้คนตรงหน้า

           “ไม่ต้องล็อกก็ได้ค่ะ เดี๋ยวมีแม่บ้านมาทำความสะอาดแล้วเขาจะล็อกให้”

          “อ๋อ ขอบคุณครับ”

           ธามผละออกมาจากคู่สนทนาแล้วเดินกลับไปเอาแฟ้มเอกสารที่เขาวางทิ้งเอาไว้ ความสับสนยังคงตั้งคำถามในหัวอยู่เรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ชายหนุ่มโน้มตัวลงหอบแฟ้มเอกสารขึ้นมา ก่อนความสนใจของเขาจะไปหยุดอยู่ที่ป้ายโฆษณาแพ็กเกจตรวจสุขภาพที่ติดไว้กับบอร์ดบนผนัง คนมึนงงไล่สายตาไปตามข้อความอย่างลวกๆ ก่อนจะพึมพำออกมา

          “เช็กสมองราคาเท่าไหร่วะเนี่ย...เฮ้อ...อ”

 

         ‘กลับเมืองไทยไปซะช่อ พาแม่กลับเมืองไทยไปซะ กลับไปใช้ชื่อ ช่อผกา สิธากร แล้วปล่อยให้ เอสเธอร์ ลี หายสาบสูญไปตลอดกาล

คำพูดของเจ๊ไหมเมื่อคืนยังคงวิ่งเล่นอยู่ในหัวของหญิงสาว แล้วนี่ก็ผ่านไปมากกว่าสามชั่วโมงแล้วที่เธอนั่งคิดทบทวนเรื่องเดิมๆ โดยไม่ได้กระดิกไปไหน

           “ให้กลับเมืองไทยอย่างนั้นเหรอ” เจ้าของแววตาเคว้งคว้างถอนหายใจ “จะเรียกว่า ‘กลับ’ ได้ยังไง เมืองไทยของจริงหน้าตาเป็นยังไง...ยังไม่เคยเห็นสักครั้งเลย”

             คนตัวเล็กก้มลงมองการ์ดสี่เหลี่ยมผืนผ้าในมือ

            ‘เอานี่ไปไอ้ช่อ นี่เป็นนามบัตรของไอ้เอกหลานเจ๊ ที่เคยให้แกพาเที่ยวเมื่อสองปีก่อน จำได้ไหม ตอนนี้มันเรียนจบแล้ว ทำงานอยู่บริษัทออกแบบสิ่งพิมพ์อะไรสักอย่างอยู่ที่กรุงเทพฯ นั่นแหละ แกไปถึงแล้วโทร. หามัน เจ๊ฝากมันให้ช่วยดูแลแกแล้ว ไม่ต้องห่วง’

พี่เอกสิทธิ์...พี่ชายใจดีที่เธอเคยเจอเมื่อสองปีก่อน หลานชายของเจ๊ไหมที่เคยเดินทางมาเที่ยวสิงคโปร์ในช่วงปิดเทอมของมหาวิทยาลัย ด้วยความที่ช่วงวัยไม่ได้ห่างไกลกันมาก เจ๊ไหมเลยวานให้ช่อผกาช่วยพาหลานชายคนนี้ทัวร์ให้ทั่วเกาะทุกซอกทุกมุมตลอดสองสัปดาห์ที่เขาอยู่ที่นี่ แม้ว่าหลังจากนั้น ด้วยความวุ่นวายของชีวิตจะทำให้เธอไม่ได้ติดต่อกับเขาอีกเลย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ค่อนข้างมั่นใจว่า...พี่เอกสิทธิ์คนนี้ต้องจำเธอได้แน่

             ช่อผกาทิ้งตัวหงายหลังลงบนเตียง ก่อนจะทอดสายตาล่องลอยไปจดเพดานห้องที่ว่างเปล่า...วันทำงานวันสุดท้ายอย่างนั้นเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวันนี้จะมาถึงเร็วขนาดนี้ คิดแล้วก็อดโมโหความสะเพร่าของตัวเองไม่ได้ มาสเตอร์คีย์ที่รู้ทั้งรู้ว่ามันสำคัญมากแค่ไหน...ยังปล่อยให้หายไปได้ ไม่รู้ต้องเขกหัวตัวเองอีกกี่ครั้งถึงจะสาสมกับความผิดครั้งนี้ มองย้อนกลับไปดูความเลินเล่อของตัวเองแล้ว ที่โดนบอสด่าร่ายยาวอย่างกับจะกินหัวเมื่อตอนเช้าน่ะเหรอ...เรื่องเล็กไปเลย

              แต่จะโทษเธอคนเดียวก็ไม่ถูก ถ้าหากเมื่อวานหลังเลิกงานเธอไม่ได้พบกับผู้ชายเฮงซวยคนนั้น ถ้าหากเขาไม่ไร้มารยาทเทข้าวของของเธอออกมาจากกระเป๋าแบบนั้น มีเหรอ...มาสเตอร์คีย์ที่มีค่ายิ่งกว่าเพชรใบนั้นจะหายไปได้

             “คิดแล้วก็เจ็บใจ คนบ้าอะไรมาหาว่าเราเป็นขโมย แถมยังโมเมจะเอานาฬิกาไปอีก ขี้ตู่เป็นบ้าเลย” หญิงสาวว่าพร้อมกับฟาดกำปั้นลงบนเตียง

              “แถมยังมาทำให้เราโดนไล่ออกอีก นี่ขนาดเจอแค่สองครั้งนะ มีแต่เรื่อง ผู้ชายที่เมืองไทยคงไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคนหรอกใช่ไหม” หญิงสาวเริ่มปลดปล่อยความกลัดกลุ้มใจออกมาเป็นคำพูด “คงไม่ใช่หรอก เพราะอย่างน้อย...พี่เอกกับคุณนักวิ่งเขาก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น” ว่าแล้วก็หันมองเสื้อแจ็กเกตสีน้ำตาลที่แขวนเอาไว้ที่ประตูตู้เสื้อผ้า

              “ถ้าโชคชะตาจะเห็นใจคนที่ถูกกลั่นแกล้งคนนี้สักครั้ง ช่อขอให้เราได้เจอกันอีกนะคะ...คุณนักวิ่ง” หญิงสาวส่งยิ้มจากหัวใจที่เปี่ยมด้วยคำขอบคุณไปให้เสื้อที่แขวนอยู่ราวกับเจ้าของยืนอยู่ตรงนั้น

             มือบางควานหาสมาร์ตโฟนขึ้นมากดปลดล็อกออก ก่อนจะเลื่อนนิ้วเรียวไปกดเช็กอีเมลตอบกลับจากบริษัทต่างๆ ที่เธอใช้เวลาวันนี้ทั้งวันในการส่งใบสมัครงาน แล้วก็เป็นอย่างที่คิด...ดูเหมือนว่าทุกบริษัทจะให้ความสนใจและโยงใยเธอไปถึงทายาทคนดังที่เป็นข่าวครึกโครมในชั่วข้ามคืน...เอสเธอร์ ลี คนนั้น มากกว่าประวัติการทำงานของเธอเสียอีก

             “ปกติก็หางานยากอยู่แล้ว พอได้ขึ้นชื่อว่าเป็นทายาทมหาเศรษฐีเท่านั้นแหละ มีแต่คนสนใจแต่เรื่องข่าว เฮ้อ...อ” ลมหายใจที่เลิกนับจำนวนครั้งไปแล้วถูกพ่นออกมาอีกครั้ง ก่อนแสงไฟจากหน้าจอมือถือจะถูกดับลงอย่างหมดหวัง

           “ไม่คิดจะเหลือตัวเลือกไหนไว้ให้กันเลยใช่ไหมเนี่ย” หญิงสาวตัดพ้อโชคชะตาที่เล่นตลกกับเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

           ใบหน้าสวยหันมองลอดช่องหน้าต่าง ทอดสายตามองหาใครบางคนบนท้องฟ้า มือบางเลื่อนขึ้นจับจี้รูปกลุ่มดาวอันเป็นเครื่องแทนใจ ก่อนรอยยิ้มจางๆ จะถูกส่งไปยังฟ้าไกล

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น