3

บทที่ ๓


บทที่ ๓ 

 

 “ไอ้ภู”

 เสียงเรียกทำให้ภูรินทร์ซึ่งกำลังจะกลับเข้าไปในร้านชะงัก เมื่อหันมาและพบว่าคนที่เรียกคือเพื่อนที่เรียนปริญญาโทด้วยกันก็หันมายิ้ม

 “แกเพิ่งมาถึงเหมือนกันหรือ” เขาตบบ่าเพื่อนยื้อไหล่เข้าหา 

โก้มีชื่อจริงว่ากรกฎ ขณะที่ภูรินทร์ต้องกลับเมืองไทย แต่เพื่อนกลับตั้งใจจะเรียนปริญญาเอกต่อ 

 “ใช่...พอดีเพิ่งไปคุยเรื่องธีสิสกับอาจารย์มา บางส่วนต้องแก้”

 โพรเฟสเซอร์ที่กรกฎส่งงานนั้นขึ้นชื่อว่าเฮี้ยบมาก งานที่มีจุดบกพร่องเพียงนิดเดียวก็มักจะไม่ให้ผ่าน 

 “ใจเย็นๆ อาจารย์ก็แบบนี้ละ ชอบให้เนี้ยบทุกจุด แต่ฉันเชื่อว่าแกทำได้”

 “รู้น่า แค่หงุดหงิดที่อาจารย์จุกจิกเหลือเกิน ส่วนแกตอนนี้สบายแล้วสิ ธีสิสผ่านหมดแล้วนี่ ได้ข่าวว่าอาจารย์ชมด้วยไม่ใช่หรือ”

 “ธรรมดา ฉันเลือกทำหัวข้อที่ถนัดก็เลยผ่าน แต่ก็โชคดีเพราะว่าถ้าต้องดีเลย์กว่านี้ฉันคงรอให้จบก่อนไม่ไหว”

 “อาการพ่อนายเป็นยังไงบ้าง”

 “หมอบอกว่าต้องทำบายพาส แต่พ่อก็ยื้อไว้บอกว่าจะรอฉันกลับไป ช่วงนี้ตั๋วเครื่องบินก็แน่นมาก ฉันได้ตั๋วเร็วที่สุดพรุ่งนี้”

 “ฉันเป็นกำลังใจให้นะ มั่นใจว่านายต้องทำได้ เก่งอยู่แล้ว”

 ภูรินทร์จำต้องกลับไปรับผิดชอบบริษัท แม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะเคยฝึกงานในบริษัทของตนพักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจมาเรียนต่อปริญญาโทเมื่อสองปีที่แล้ว แต่พอรู้ว่าจะต้องกลับไปรับผิดชอบเต็มตัวก็อดเครียดไม่ได้ เขามักจะปรับทุกข์ให้กรกฎฟังเป็นประจำ  

 “ขอบใจนะ ถ้ามีอะไรฉันคงต้องขอปรึกษานาย”

 “ได้เลย ไลน์มาได้ทุกเมื่อ”

 ภูรินทร์สอดส่ายสายตามองหามธุริน เขาส่งข้อความไปหาหล่อน แต่อีกฝ่ายไม่ยอมตอบ แต่ภูรินทร์ก็ยังมั่นใจว่าแฟนสาวจะต้องมางานเลี้ยงส่งอย่างแน่นอน ในกระเป๋าเสื้อมีแหวนแต่งงาน เขาตั้งใจจะเซอร์ไพรส์แฟนสาวด้วยการขอแต่งงานเพื่อให้หล่อนมั่นใจ 

 “มองหาใครหรือ”

 “มิวน่ะ ไม่รู้จะมาถึงกี่โมง”

 “มาแล้ว อยู่ตรงที่จอดรถน่ะ”

สีหน้าของกรกฎบึ้งตึง แต่ภูรินทร์คงไม่ทันสังเกตเพราะกำลังตื่นเต้นกับแผนเซอร์ไพรส์ เขาแวะไปซื้อแหวนเพชรเพื่อขอแต่งงาน แถมยังมีช่อดอกไม้อีก

“งั้นฉันไปรับมิวก่อนนะ เดี๋ยวจะงอนเสียก่อน”

เขาผลุนผลันจะเดินไป แต่เพื่อนยื้อไว้ 

“เดี๋ยวก่อนไอ้ภู”

ภูรินทร์มองเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ “มีอะไรหรือ”

กรกฎมองช่อดอกไม้ในมือเพื่อน สีหน้าลำบากใจยิ่งกว่าเดิม “นายคงไม่ได้กำลังจะขอแฟนแต่งงานหรอกใช่ไหม”

ภูรินทร์พยักหน้า ยิ้มแย้มแทนคำตอบ...หลังจากทะเลาะกับมธุริน เขาก็คิดหาทางแก้ปัญหามาตลอด หล่อนคงกลัวว่าเขากลับไปเมืองไทยแล้วจะเปลี่ยนใจ ดังนั้นทางออกเดียวก็คือขอแต่งงาน หากมธุรินสวมแหวนหมั้น ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็จะไม่มีใครพูดอะไรได้อีก เขาจะได้ทำงานอย่างสบายใจ เมื่อหญิงสาวเรียนจบทั้งคู่จะได้แต่งงานกัน

กรกฎถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ฉันอยากให้นายคิดดูให้ดีๆ มิวไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่นายคิด”

 ภูรินทร์สบตาเพื่อน สีหน้าเครียด “นี่นายหมายความว่ายังไง”

 “ก็หมายความว่าอะไรๆ ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้น่ะสิ นายต้องกลับไปรับช่วงต่อบริษัทที่เมืองไทย ทำไมไม่รอดูๆ กันไปก่อน”

 “นายพูดอะไรแปลกๆ นะโก้ ฉันกับมิวเป็นแฟนกันมาตั้งกี่ปีแล้ว ถ้าจะแต่งงานก็ไม่เห็นจะเร็วไปสักนิด” น้ำเสียงภูรินทร์แข็งกระด้างขึ้นมาทันที 

กรกฎจึงรีบแก้ “ฉันหวังดีกับนายนะ เราสองคนเป็นเพื่อนกัน ฉันไม่เคยคิดร้ายกับนาย สาบานได้”

 “แต่นายกำลังพูดถึงแฟนฉันในทางที่ไม่ดี บอกมาซิว่านายรู้อะไรมากันแน่”

 “ฉันเห็น”

 “เห็นอะไร” ภูรินทร์คาดคั้น 

กรกฎหน้าซีด เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดไม่ต่างกัน “ฉันเห็นมิวอยู่กับปฐวี”

 

 ชายหนุ่มร่างสูงยกแก้วขึ้นดื่มแก้วแล้วแก้วเล่า ภายในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงใบหน้าคมสันก็แดงก่ำ มธุรินยืนกอดอกหน้างอง้ำ หล่อนมาถึงงานแต่กลับพบว่าภูรินทร์กำลังชนแก้วกับเพื่อน ทั้งที่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยดื่มหนักขนาดนี้

 “พอก่อนไหมคะภู คุณเมาแล้วนะ”

แขกในงานต่างผลัดกันมาทักทายภูรินทร์เพื่อแสดงความยินดีที่เรียนจบและวิทยานิพนธ์ผ่านเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มตอบแทนน้ำใจทุกคนด้วยการดื่ม 

 “ผมสบายมาก”

 คนที่บอกว่าสบายยืนโงนเงน กระดกแก้วทีเดียวก็ดื่มจนหมดอีกรอบ เขาหันไปชนแก้วกับทุกคน

 “ทำไมต้องดื่มหนักแบบนี้ ประเดี๋ยวก็กลับห้องไม่ไหวหรอก”

 ภูรินทร์ลอบมองแฟนสาวด้วยความเจ็บปวด เขาคิดถึงภาพที่เห็นเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนตรงที่จอดรถ แม้จะสั่งตัวเองว่าไม่ควรคิดอะไร แต่พอเห็นว่าใครกำลังโอบเอวมธุริน ความอดทนก็ขาดผึง และตอนนี้ต้นเหตุของปัญหาก็ยืนยิ้มทักทายนักเรียนคนอื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะที่ตัวเขาเองกลับยิ่งหงุดหงิด 

 ปฐวีมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง เขาเป็นหลานสายตรงของปู่ปิยะซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ ของปู่ภาคภูมิ ครอบครัวของปฐวีทำการค้าอยู่ที่เมืองจีนตั้งแต่รุ่นปู่...ตอนที่อีกฝ่ายมาแนะนำตัว ภูรินทร์ประหลาดใจ เขาไม่รู้ว่าในอดีตเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงปู่ไม่เคยให้ปู่ปิยะมาเยี่ยมที่บ้านเลยสักครั้ง ครอบครัวฝั่งนั้นทำการค้าขายที่จีน เดินทางไปๆ มาๆ โอกาสที่จะได้เจอกันน้อยมาก พักหลังปู่ปิยะล้มป่วยจึงมอบให้ลูกชายทำงานแทน แต่ปู่ของเขาก็ยังมึนตึงใส่ 

 “ทำไมคุณต้องมากับปีเตอร์ด้วย”

 “อะไรกัน นี่คุณหึงมิวหรือคะ”

 “ผมไม่ได้หึง แต่ไม่อยากให้คนอื่นมองไม่ดี”

 “มีแต่คุณเท่านั้นละค่ะที่มองมิวในแง่ร้าย แน่สิคะ คุณก็จะกลับเมืองไทยและก็ทิ้งมิวเอาไว้ที่นี่” หญิงสาวตัดพ้อ ปาดน้ำตา ขอบตาแดงก่ำ 

แค่เห็นน้ำตาของแฟนสาว ภูรินทร์ก็ใจอ่อนยวบ เขายอมรับว่าทั้งรักและหลงมธุริน ชายหนุ่มตกหลุมรักหญิงสาวชาวไทยตั้งแต่แรกเห็นในวันงานพบปะนักเรียนไทย หลังจากนั้นก็ตามจีบหล่อนจนตกลงเป็นแฟนกันในที่สุด แม้หลายคนจะบอกว่ามธุรินไม่ได้เรียบร้อยอย่างผ้าพับไว้ แต่ภูรินทร์ก็เลือกที่จะมองข้ามข้อเสีย หล่อนคือผู้หญิงที่เขาจะแต่งงานด้วย 

 “ผมไม่เคยทิ้งคุณ”

 “แต่คุณกำลังจะกลับเมืองไทย และเผลอๆ คุณอาจจะไม่กลับมาที่นี่อีก ครอบครัวคุณอาจจะจับคุณแต่งงานกับผู้หญิงที่หมายตาไว้ก็เป็นได้”

 “ผมไม่มีวันยอมถูกคลุมถุงชนเด็ดขาด”

 “สัญญาแล้วนะคะภู”

 ร่างบางเบียดกระแซะ กลิ่นหอมของน้ำหอมโชยออกมาจากเรือนกายนุ่มนิ่ม ภูรินทร์ควรจะโกรธ เพราะเมื่อสองวันก่อนมธุรินเพิ่งขู่ว่าจะเลิกถ้าหากเขากลับเมืองไทย แต่ตอนนี้ท่าทีหล่อนกลับเปลี่ยนไปราวกับคนละคน 

 “คุณเองก็ต้องสัญญาว่าจะไม่ท้าเลิกกับผมแบบวันนั้นอีก ผมเสียใจมากรู้ไหม”

 “มิวขอโทษค่ะ วันนั้นมิวโมโหจนขาดสติ มิวรักคุณนะคะ”

 มธุรินยื่นหน้าไปหอมแก้มชายหนุ่มอย่างเอาใจ ท่าทางของหล่อนที่เกาะติดภูรินทร์แจราวกับจะประกาศความเป็นเจ้าของ ทำเอานักศึกษาคนอื่นๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ รวมถึงสามสาวที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งด้วย

 “ผมก็รักคุณ”

“เห็นแก่มิว อย่าดื่มอีกเลย มิวขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวจะรีบกลับมา”

 

 ปฐวีมองหญิงสาวที่ปลีกตัวออกไป เขารอจังหวะอยู่พักใหญ่แล้วจึงก้าวเข้ามาทัก ใบหน้าที่บึ้งตึงของอีกฝ่ายทำให้เดาเรื่องทั้งหมดได้

 “แพ็กของเรียบร้อยหรือยังครับพี่ภู”

 เขาอายุน้อยกว่าภูรินทร์แค่สองเดือน ตามศักดิ์แล้วถือเป็นลูกพี่ลูกน้อง แต่ความจริงอันเจ็บปวดก็คือสองครอบครัวไม่มีอะไรเหมือนกันแม้แต่น้อย ปู่ภาคภูมิร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี แต่ปู่ปิยะต้องเดินทางไปทำการค้าที่เมืองจีน ปู่เล่าว่าปู่ภาคภูมิปฏิเสธความช่วยเหลือทุกอย่างและปล่อยให้น้องชายเผชิญชะตากรรมด้วยตนเอง ตอนนั้นปู่มีเงินทุนเพียงแค่เล็กน้อย อาศัยความรู้ภาษาจีนแค่งูๆ ปลาๆ 

เมื่อไปถึงช่วงแรกต้องทำงานหนัก ใช้แรงกายเข้าว่า แต่ต่อมาโชคดีแต่งงานกับผู้หญิงจีนและเริ่มต้นเปิดบริษัทที่นั่น ย่าอายุไม่ยืนนัก ต่อมาปู่จึงแต่งงานใหม่กับลูกสาวพ่อค้าซึ่งเป็นลูกครึ่งไทย-จีนและทำการค้าด้วยการหาสินค้าส่งมาขายที่เมืองไทย เศรษฐกิจที่ฝืดเคืองกิจการค้าก็ลำบากตามไปด้วย แต่ปู่ก็ไม่ยอมแพ้ เมื่อพ่อประภัทรเกิด กิจการปู่เริ่มมีกำไร เพราะปู่นำสินค้าชนิดใหม่มาขาย แต่กำไรอยู่ได้ไม่นานปู่ก็โดนหุ้นส่วนโกง กิจการล้มเหลว ปู่ติดเหล้าและเริ่มล้มป่วย ตอนนั้นพ่อประภัทรเพิ่งเรียนจบและอยู่ในช่วงไฟแรง พ่อพูดจีนเก่งมากแถมยังหล่อเหลามนุษยสัมพันธ์ดี จึงได้แต่งงานกับลูกสาวพ่อค้าที่ฮ่องกงซึ่งมาติดต่อค้าขายที่จีน 

 ตาลงทุนเปิดบริษัทใหม่ให้โดยมีแม่เป็นผู้ดูแลด้านการเงิน นำสินค้าจากจีนไปขายที่ฮ่องกงและเมืองไทยบ้างในบางครั้ง กิจการรุ่งเรืองแต่เนื่องจากพ่อเป็นคนใช้เงินมือเติบทำให้เป็นหนี้ อีกทั้งยังชอบเล่นพนันยามเครียด สุดท้ายพ่อกับแม่จึงเลิกกันและมีเขาเป็นลูกแค่คนเดียว 

ปฐวีถูกเลี้ยงดูแบบทิ้งๆ ขว้างๆ   บางครั้งต้องไปอยู่กับป้าซึ่งเป็นพี่สาวของแม่ บางครั้งก็ต้องมาอยู่กับปู่ แต่เขาไม่ยอมแพ้ เนื่องจากเรียนเก่งจึงสอบชิงทุนของโรงเรียนมาเรียนต่อที่อเมริกา สำหรับเขาแล้ว การมีการศึกษาดีโดยเฉพาะจบจากต่างประเทศคือประตูสู่ความสำเร็จ

 เขาได้พบกับภูรินทร์โดยบังเอิญ นามสกุลทำให้รู้ว่าคือลูกพี่ลูกน้อง แต่ที่เจ็บใจก็คือภูรินทร์ร่ำรวย อาศัยอยู่หอพักราคาแพงใกล้มหาวิทยาลัย ขณะที่เขาต้องเขม็ดแขม่เช่าห้องอยู่ในเขตชุมชนแออัด เคราะห์ดีที่ปฐวีเป็นคนมีเสน่ห์ จึงใช้หน้าตาหล่อเหลาของตัวเองในการหาเงิน เขานอนกับผู้หญิงแทบทุกเชื้อชาติ ส่วนใหญ่ก็เพื่อเงินและหนทางก้าวหน้า 

 ปฐวีได้เจอกับมธุรินที่ผับแห่งหนึ่ง หล่อนสวย เป็นสาวสังคม แต่งตัวเก่ง ฐานะร่ำรวย แต่ที่ดึงดูดมากที่สุดก็เพราะว่าหล่อนคือแฟนของญาติผู้พี่ที่เขาอยากเอาชนะมาตลอด

 “เรียบร้อย ฉันเอาของไปเฉพาะที่จำเป็น”

 เนื่องจากต้องการกลับเมืองไทยเร็วที่สุด ส่วนข้าวของอื่นๆ นั้นกรกฎจะส่งตามไปให้ที่เมืองไทยทางเรือ 

 “คุณพ่อพี่เป็นยังไงบ้างครับ”

 “หมอบอกว่าต้องทำบายพาส แต่พ่อขอชะลอเอาไว้ รอฉันกลับไปก่อน”

 “พี่ภูคงเหนื่อยแย่ เอาใจช่วยพี่นะครับ ได้ยินว่าพีพีเรียลเอสเตตกำลังจะเปิดมิลเลนเนียมสตาร์รีสอร์ตสาขาที่สองไม่ใช่หรือครับ”

 ภูรินทร์เหลือบมองน้องชาย อดสงสัยไม่ได้ว่าใครเป็นคนบอก ข่าวการร่วมทุนยังเป็นความลับแม้แต่คนในบริษัทเองก็ยังไม่รู้ เมื่อตอนต้นปีเขาบินกลับไทยเพื่อเซ็นสัญญา บิดาเพิ่งจะเอารายละเอียดให้ดู

 “นายรู้มาจากใคร”

 “ผมก็ได้ยินเขาเล่าๆ มาน่ะครับ ผมมีเพื่อนเยอะ พี่ภูก็รู้”

 ตาที่ปรายมองไปทางที่มธุรินเพิ่งเดินไปเมื่อครู่ ทำให้ภูรินทร์กัดกรามแน่น เขายอมรับว่าภาพบาดตาตอนที่น้องชายโอบเอวมธุรินทำให้หงุดหงิด แต่พอถามแฟนสาว หล่อนก็บ่ายเบี่ยง

 “เพื่อนคนไหนหรือ เรื่องนี้น้อยคนที่รู้”

 “คนที่สนิทกับพี่ภูที่สุดไงล่ะครับ”

 ภูรินทร์ชะงัก กำมือแน่น เขาดื่มหนักและเริ่มเมา “นายรู้จักกับมิวได้ยังไง”

 “เคยเจอกันที่มหาวิทยาลัยหลายครั้ง พี่ภูคงไม่ได้หึงผมกับมิวใช่ไหมครับ” ปฐวีแสร้งถาม เขาเดาจากสีหน้าได้ว่าภูรินทร์หึง

 “นายควรจะระวังหน่อย มิวเป็นแฟนฉัน เรากำลังจะแต่งงานกัน” 

ภูรินทร์ข่ม แต่ปฐวีกลับยิ้มร่า

 “อ้าว หรือครับ งั้นผมก็ต้องแสดงความยินดีล่วงหน้า แจกการ์ดเมื่อไหร่บอกผมด้วยนะครับ ผมจะได้ตัดสูทรอ งานพี่ภูทั้งที”

 ภูรินทร์กัดกรามแน่น เขาไม่ชอบรอยยิ้มแบบนี้เลยจริงๆ 

มธุรินเดินกลับมาพอดี

 “ปีเตอร์คุยอะไรกับภูคะ”

มธุรินโอบเอวภูรินทร์ เขากอดหล่อนไว้ด้วยมืออีกข้าง 

 “แค่เรื่องผู้ชายๆ นะครับ คุณมิวอย่ารู้เลย”

 “พูดอย่างนี้ก็ถือว่ามิวเป็นคนนอกสิคะ”

 “คุณมิวไม่เคยเป็นคนนอกสำหรับผม”

ทั้งสองหัวเราะ ภูรินทร์มองอากัปกิริยานั้นอย่างกระอักกระอ่วน 

 “คุณกับป้องสนิทกันหรือ”

 “ก็ต้องสนิทสิคะ ก็เขาเป็นน้องชายคุณไม่ใช่หรือ”

มธุรินพูดกลั้วหัวเราะ แต่ภูรินทร์ขำไม่ออก 

 “ผมเป็นน้องพี่ภู เราสองคนมีอะไรคล้ายกันหลายอย่าง ทั้งที่เรามาเรียนที่อเมริกาเหมือนกัน อยู่ยูเดียวกัน และก็ยังเรียนสาขาเดียวกันอีกต่างหาก”

 “แต่คุณหล่อสู้ภูไม่ได้นะคะ” มธุรินหัวเราะ ส่งยิ้มหวานให้ปฐวี 

ภูรินทร์มองคนทั้งคู่ก็ยิ่งอึดอัด เหมือนกำลังถูกปั่นหัว 

 “ผมปวดหัว ขอไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อยนะ”

 “คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะภู ให้มิวไปเป็นเพื่อนไหม” มธุรินอาสา แต่ตาของหล่อนยังสบกับปฐวีตลอดเวลา 

 “ไม่เป็นไร คุณอยู่นี่เถอะ คุณพูดถูก ผมควรจะเลิกดื่มได้แล้ว” หนุ่มร่างสูงโบกมือแล้วเดินไป 

ปฐวีโบกมือ หัวเราะ “ตามสบายนะครับพี่ภู ผมจะช่วยดูแลคุณมิวให้เอง”

 

ภูรินทร์วักน้ำแรงๆ เพื่อล้างหน้า หวังว่าความสดชื่นของสายน้ำจะทำให้อาการมึนศีรษะดีขึ้นบ้าง ตาจ้องมองภาพในกระจก เขาโทรมอย่างเห็นได้ชัด ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ปวดหัวจนแทบจะแตก เขาไม่ชอบตัวเองตอนนี้เลย เพราะมันหงุดหงิดจนขาดเหตุผล บิดาสอนเสมอว่าคนเป็นนักธุรกิจต้องรู้เขารู้เรา แต่เพราะอะไรเขาถึงไม่สบายใจเวลาอยู่ใกล้ปฐวี

ประตูห้องน้ำเปิดออกมา 

“เป็นไงมั่งไอ้ภู” กรกฎทัก

“ฉันไม่เป็นไร”

“ฉันขอโทษ ไม่น่าเอาเรื่องไม่สบายใจมาเล่าให้นายฟังเลย”

ภูรินทร์ตบบ่าเพื่อน เขารู้ดีว่ากรกฎหวังดี นับตั้งแต่มาเรียนที่อเมริกาคนคนนี้คือเพื่อนแท้ 

“ช่างเถอะ เราออกไปดื่มกันต่อดีกว่า” 

“นายเมามากแล้วนะ พรุ่งนี้ต้องเดินทาง พอแค่นี้เถอะ”

ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ “สบายมาก พรุ่งนี้ฉันก็แค่หลับยาวบนเครื่อง ขอบใจนายสำหรับทุกอย่างนะ ฉันฝากด้วยเรื่องส่งของ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก อีกสองวันฉันจะส่งทุกอย่างตามไป แต่คงใช้เวลาหน่อยนะ”

กรกฎโอบไหล่ภูรินทร์ออกมา แต่พอมาถึงหน้าห้องน้ำก็พบว่ามีหญิงสาวสามคนยืนรออยู่ กรกฎจำผู้หญิงทั้งสามคนได้

“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ”

“เอ่อ เปล่าค่ะพี่โก้ คือว่าเพื่อนหนูมีเรื่องอยากคุยกับพี่ภูค่ะ เกี่ยวกับธีสิส”

“อ้าว จะคุยกับภูหรือ แล้วเพื่อนหนูอยู่ที่ไหนล่ะ”

“ตาลกำลังจะออกจากห้องน้ำค่ะ”

ชื่อเล่นของหญิงสาวทำให้กรกฎอมยิ้ม นึกถึงภาพสาวน้อยนัยน์ตากลมโต กรกฎรู้จักอีกฝ่าย

“นายเข้าไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันรอน้องเขาอยู่ตรงนี้ คงมีเรื่องด่วนจริงๆ นั่นละ เดี๋ยวฉันค่อยตามไปในงาน”

กรกฎพยักหน้า กานต์รวีกับณัทกรเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในงาน คงเหลือเพียงภูรินทร์ที่ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ อาการมึนศีรษะทำให้เขาต้องเกาะผนังเพื่อพยุงตัว ตาพร่าเมื่อมองไปและเห็นประตูเปิดออก ภาพตรงหน้าซ้อนกันเป็นสองภาพก่อนจะพร่ามัวราวกับกระจกฝ้า ชายหนุ่มสั่นศีรษะ คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นหญิงสาวมาก่อน 

“พี่ภูคะ คือว่าหนูมีเรื่องจะพูดกับพี่ภู...”

คนตรงหน้ายื่นซองสีน้ำตาลส่งให้ ขณะภูรินทร์กำลังต่อสู้กับอาการเวียนศีรษะตาลาย

“นะ...นี่อะไร”

“หลักฐานที่บอกว่ามีคนโกหกพี่ภูมาตลอด”

ภูรินทร์ขมวดคิ้ว อาการคลื่นเหียนกำเริบขึ้น อาหารกับแอลกอฮอล์ที่อยู่ในกระเพาะทะลักออกมาขณะที่เขายั้งไว้ไม่อยู่ และอาเจียนใส่ผู้หญิงตรงหน้าจนหมด...

 

“ตายแล้วไอ้ตาล! ทำไมแกซวยอย่างนี้ จะไปสารภาพความจริงทั้งทีดันถูกพี่ภูอ้วกใส่เนี่ยนะ!”

สภาพของลวิตราเลอะเทอะอย่างที่สุด หล่อนตั้งใจเอารูปที่แอบถ่ายให้ภูรินทร์ดู แต่ยังไม่ทันทำอะไรก็เกิดเรื่องเสียก่อน เจ้าตัวเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำความสะอาด พอกลับออกมาภูรินทร์ก็ถูกหิ้วปีกกลับหอพักไปแล้ว 

“ฉันกลับหอก่อนนะ ตัวเหม็นมาก อยากอาบน้ำ”

“สรุปว่าแกเอารูปให้พี่ภูดูหรือยัง”

“พี่ภูยังไม่ทันดู เขาก็อ้วกเสียก่อน สงสัยคงดื่มเข้าไปมาก รูปในซองเลอะไปหมด ฉันเลยโยนทิ้งถังขยะไปแล้ว”

“โธ่...ทำไมถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนอย่างนี้ แล้วอย่างนี้จะทำยังไง”

“ทำยังไงได้ล่ะ ก็คงต้องปล่อยให้เลยตามเลย”

“สรุปว่าจะไม่ทำอะไรต่อหรือ”

“ก็รูปมันเละหมดแล้ว ถ้าจะให้ดู ฉันก็ต้องกลับไปพรินต์ที่หอใหม่ อีกอย่างพี่โก้ก็พาพี่ภูกลับหอไปแล้ว ถึงฉันจะไปเคาะห้องบอกความจริง เขาก็คงฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี”

ลวิตราถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทุกอย่างผิดแผนไปหมด แย่ก็คือไม่มีโอกาสบอกความจริง แม้กระทั่งรูปที่เตรียมมาภูรินทร์ก็ยังไม่ได้ดู

“แกจะหยุดเฉยๆ แบบนี้ไม่ได้”

“บางทีฉันก็คิดนะว่าฟ้าเบื้องบนอาจกำหนดมาให้ฉันตายอย่างสงบก็ได้ ฉันถึงได้เหลวไม่เป็นท่าแบบนี้”

“เฮ้ย อย่าจิตตกตอนนี้สิแก ไหนบอกว่าเมื่อคืนนี้นางฟ้าทูนหัวมาเข้าฝันยังไงล่ะ”

“ฉันยอมแพ้แล้ว พวกแกปล่อยฉันไปตามทางเถอะ”

หญิงสาวร่างบางหันหลังเดินออกจากงาน กานต์รวีและณัทกรตามไปยื้อไหล่ไว้ แต่ลวิตราสะบัดออก เมื่อหันหน้ากลับมาใบหน้าก็นองไปด้วยน้ำตาเพราะความอัดอั้น

“ตาล...”

“ฉันมันไม่ได้เรื่องสักอย่าง ปล่อยให้ฉันอยู่ตามลำพังสักพักเถอะ อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย...ขอร้อง” ลวิตราหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความอัดอั้น 

กานต์รวีชะงัก มือตกลงข้างตัว ณัทกรถอนหายใจเมื่อเห็นสภาพเพื่อน

“ก็ได้...ฉันจะไม่ยุ่ง เอาเป็นว่าพวกฉันจะพาแกกลับ อากาศหนาวขนาดนี้ ขืนเดินกลับห้องเองคงหนาวตาย”

 

ลวิตรามองหน้าต่างหอพักฝั่งตรงข้ามที่ปิดอยู่ นับตั้งแต่ภูรินทร์กลับไปก็ยังไม่มีใครย้ายมาอยู่แทน หล่อนเหงาเพราะไม่มีใครให้แอบดู ณัทกรกำลังเตรียมตัวจะบินกลับไปเมืองไทยในวันพรุ่งนี้ ส่วนกานต์รวีก็จะเดินทางกลับในอีกสามวัน ลวิตรายังต้องอยู่เตรียมข้าวของอีกหนึ่งสัปดาห์ก่อนจะย้ายกลับ 

หล่อนแจ้งกับเจ้าของหอเพื่อหารูมเมตใหม่ให้ยูอิน สองสาวล่ำลากันด้วยความเศร้า ลวิตราสัญญาว่าจะโทร. มาคุยด้วยบ่อยๆ...ร่างบางมองเงาในกระจก ใบหน้ารูปไข่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ยังไม่รวมรอยถลอกตามตัวและแผลอื่นๆ อีก ทุกอย่างเป็นไปตามคำทำนายของณัทกรที่บอกว่าหล่อนกำลังดวงตกและจะถึงฆาตในอีกไม่ช้า!

“คิดดูให้ดีๆ นะตาล นี่ขนาดเพิ่งผ่านมาอาทิตย์เดียว แกยังเยินเสียขนาดนี้ ถ้าครบสามเดือนเมื่อไหร่แกมิต้อง...”

สิ่งที่เพื่อนรักขู่ก็คือลวิตราจะมีอันเป็นไป ตอนแรกหญิงสาวก็คิดว่าแค่เรื่องบังเอิญ เพราะหลังจากวันที่ภูรินทร์อาเจียนใส่ เช้าวันรุ่งขึ้น ลวิตราก็ลื่นล้มในห้องน้ำ ศีรษะไปกระแทกกับผนังจนหัวแตก หล่อนไปทำแผลที่ห้องฉุกเฉิน วันต่อมาหล่อนเดินแล้วก็ถูกนักศึกษาอีกคนหนึ่งชนจนล้มเข่าถลอก และวันถัดมาหล่อนทำครัวแล้วก็ถูกมีดบาดจนเลือดไหลไม่หยุดต้องไปเย็บแผลที่โรงพยาบาลอีกรอบ ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผลจากอุบัติเหตุและเหตุคาดไม่ถึง

“ไม่ต้องห่วงน่ะ ยังไม่ถึงสามเดือน ฉันคงยังไม่ตายง่ายๆ หรอก”

“แกต้องเดินหน้าเรื่องพี่ภูนะ จะปล่อยไว้เฉยๆ ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องตาย”

“แต่เขากลับเมืองไทยไปแล้ว จะทำอะไรได้”

ลวิตราติดตามข่าวชายหนุ่มทางอินสตาแกรมที่แอบส่องชายหนุ่มเป็นประจำ แต่เขาคงงานยุ่งจึงไม่ได้อัปโหลดรูปภาพอะไรเลย หล่อนสอบถามจากเพื่อนที่อยู่กรุงเทพฯ ก็ได้ความว่าภูรินทร์กลับถึงเมืองไทยเรียบร้อยแล้วและเริ่มต้นทำงานในบริษัท ข่าวการเข้ารับการทำบายพาสของคุณภูดิศตีพิมพ์ในหนังสือหลายฉบับ รวมถึงรูปลูกชายสุดหล่อที่ถ่ายเคียงข้างบิดาด้วย ภูรินทร์คงกำลังปรับตัวกับงานใหม่ ลวิตรายังรู้ข่าววงในมาอีกว่าบริษัทพีพีเรียลเอสเตตเตรียมตัวจะสร้างรีสอร์ตดำน้ำแห่งใหม่ที่ใหญ่มาก 

หญิงสาวเดินไปตามถนนสายเดิมที่เคยเดินตามชายหนุ่มทุกวัน แต่วันนี้มันช่างดูเงียบเหงา

“น้องตาล”

จู่ๆ มือของใครบางคนก็ตบลงบนบ่า เมื่อลวิตราหันไปก็พบว่าคือกรกฎนั่นเอง

“พี่โก้”

“ใช่ พี่เรียกตั้งแต่ออกจากหอแล้ว แต่ตาลไม่ได้ยิน”

ลวิตราหันมอง และพบว่าถนนสายนี้ตรงมาจากหอพักของหล่อนนั่นเอง กรกฎเองก็พักอยู่หอเดียวกับภูรินทร์แถมยังเป็นเพื่อนสนิทกันอีก

“ขอโทษนะคะ ตาลมัวแต่ใจลอยไปหน่อย สงสัยคงเบลอ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่ได้ยินว่าตาลเรียนจบแล้วไม่ใช่หรือ จะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ล่ะ”

นักศึกษาที่นี่ล้วนแต่รู้ความเป็นไปของแต่ละคนเป็นอย่างดี นั่นก็เพราะมีการรวมกลุ่มเพื่อพบปะสังสรรค์กันเป็นประจำ ส่วนใหญ่ยังรู้ด้วยว่าณัทกร กานต์รวี และลวิตรา เป็นสามเพื่อนซี้ที่เดินด้วยกันเป็นประจำ 

“อาทิตย์หน้าค่ะ ตาลแพ็กของอยู่”

“แล้วนี่ไปโดนอะไรมาน่ะ แผลเต็มตัวเลย” รอยช้ำกับร่องรอยอื่นๆ ทำให้กรกฎต้องเอ่ยถาม 

“ตาลซุ่มซ่ามเองค่ะ เดินสะดุดนู่นเตะนี่เป็นประจำ”

“เป็นเพราะใจลอยคิดถึงคนที่เดินตามเป็นประจำหรือเปล่า”

ตาคู่หวานเบิกกว้าง ลวิตรามองกรกฎอย่างตกใจว่าทำไมเขาถึงรู้...หรือว่า... 

“พี่โก้”

“พี่รู้นะว่าตาลแอบเดินตามเจ้าภูมัน เกือบทุกวันเลยด้วย”

ใบหน้านวลแดงก่ำจนถึงลำคอ ก่อนที่หญิงสาวจะเสมองไปทางอื่นด้วยความเขิน

“ชู่...พี่โก้...ห้ามบอกใครนะคะ เรื่องนี้เป็นความลับ ตาลอายเขา”

“ไม่บอกหรอก แต่พี่มีเรื่องสำคัญจะคุยกับตาล”

“เรื่องอะไรหรือคะ”

“ก็เรื่องเกี่ยวกับภูไง เราไปหาร้านกาแฟนั่งคุยกันดีกว่า พี่คิดว่าต้องคุยกันยาว”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น