4

ผู้หญิงคนนั้นชื่อคริสติน


 

บทที่สี่

ผู้หญิงคนนั้นชื่อคริสติน

 

สำนักงานกฎหมายที่ไอริณทำงานอยู่ คือสำนักงานทนายความเคแอนด์เอ็ม เป็นสำนักงานกฎหมายชื่อดังติดหนึ่งในสิบของแมนฮัตตัน ตั้งอยู่ในย่านเมดิสันอเวนิว และมีสาขาอีกในหลายประเทศทางยุโรป 

ไอริณคือสาวไทยแท้ ลูกสาวเจ้าของร้านทองผู้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียนปริญญาตรีที่สหรัฐอเมริกา อาจเพราะสาขาวิชาด้านสิทธิมนุษยชนมีคนไทยเรียนเพียงแค่สองคนในชั้นปีนั้น ทำให้อิงวาดและไอริณรู้จักกันและกลายมาเป็นเพื่อนสนิทในที่สุด 

ในขณะที่อิงวาดเลือกทำงานในตำแหน่งนักสิทธิมนุษยชน ไอริณเลือกเป็นผู้ช่วยทนายความ เพราะความฝันของเธอคือการเป็นทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านคดีสิทธิมนุษย์ และเธอปรารถนาที่จะเข้าโรงเรียนกฎหมายจากมหาวิทยาลัยท็อปทรี แน่นอนว่ามหาวิทยาลัยเหล่านั้นไม่ได้ดูเพียงเกรดเฉลี่ยและชื่อมหาวิทยาลัยที่เรียนจบ แต่ยังดูไปถึงประสบการณ์การทำงานอันเกี่ยวข้องกับสายงานกฎหมาย 

เคราะห์ดีนัก ไอริณได้พบรักกับทนายความชื่อดัง เขาเป็นหนุ่มอเมริกัน อายุราวสามสิบเจ็ดปี ทั้งคู่ถักทอสายใยรัก และเขาได้ใช้ความเป็นหุ้นส่วนสำนักงานกฎหมายรับเธอเข้าทำงานที่นี่ แน่นอนไอริณไม่ภูมิใจในเส้นทางการเข้าทำงานของเธอนัก 

หลายคนชอบคิดว่าอเมริกาล้วนตัดสินกันที่ความเก่ง นั่นก็จริง แต่ที่จริงยิ่งกว่าคือ เก่งแค่ไหนบางครั้งก็แพ้เด็กเส้น เพราะความจริงของความจริงก็คือ การใช้เส้นสายเพื่อเอื้อผลประโยชน์มีอยู่ในทุกสายงานและทุกที่ของอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นองค์กรเอกชนหรือแม้แต่รัฐบาลก็เช่นกัน

อิงวาดเงยหน้ามองตึกสูงตระหง่านที่ตั้งอยู่อีกฟากถนน ปรายตามองสัญญาณไฟ สัญญาณข้ามถนนเปลี่ยนเป็นสีเขียว สองเท้าก้าวเดิน ดวงตาเรียวยาวหรี่ลง จับจ้องไปยังสตรีผู้เดินสวนทางมา และเธอผู้นั้นก็จับจ้องอิงวาดเช่นเดียวกัน

สองสายตาสบประสาน ไม่มีใครเอ่ยทักใคร ต่างคนต่างเดินผ่านประหนึ่งว่าไม่เคยรู้จัก จนเมื่อต่างฝ่ายต่างถึงถนนฝั่งของตน จึงหันหลังมองกันและกัน 

ฝั่งตรงข้ามของอิงวาด คือสตรีร่างสูงเพรียวบาง ผิวสีขาวอมชมพูเนียนละเอียดประหนึ่งกระเบื้องชั้นดี ผมสีทองอำพันเป็นลอนใหญ่ยาวถึงกลางหลัง ดวงตาสีฟ้าสดใสขับให้ดวงหน้าเรียวยาวดูงดงามจนชวนให้มองซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างโปร่งบางสวมชุดสูทกระโปรงราคาแพงสีขาวออฟไวต์ แขนข้างหนึ่งคล้องกระเป๋าแอร์เมสสีกรีแอสฟอลต์ รองเท้าสีเบจส้นแดง...ลูบูแตงคู่งาม

ช่างเป็นสตรีที่งดงามประหนึ่งเจ้าหญิงซึ่งหลุดออกมาจากเทพนิยาย น่ามองทุกองค์ประกอบ! 

อิงวาดหลุบตาลงแล้วอมยิ้ม มองกางเกงขาบานผ้าพลีตลายดอกตัวละร้อยบาทจากเมืองไทยซึ่งไอริณชอบแซ็วว่ากางเกงอาซิ้ม เสื้อยืดเรียบๆ ไร้ยี่ห้อ ยังมีรองเท้าสวมเรียบๆ สีชมพูสะท้อนแสง ส่วนผมรวบไว้ลวกๆ ด้วยกิ๊บหนีบผม และสะพายกระเป๋าผ้าใบใหญ่ใส่ได้ทุกสิ่ง 

เธอกับสตรีผู้นั้น ช่างแตกต่างกันราวแผ่นฟ้ากับหุบเหว!

ทว่า...หญิงสาวไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เธอกลับดีใจและภูมิใจที่เด็กสาวจากอีกซีกโลกหนึ่งข้ามน้ำข้ามทะเลมาตามล่าความฝัน และในที่สุดก็สามารถยืนอยู่ได้ในจุดนี้ 

ความจนไม่ใช่อุปสรรคในชีวิต แต่มันคือแรงผลักดันให้เธอทำสำเร็จ...

อิงวาดเลิกสนใจสตรีผู้นั้นที่ยังยืนจ้องมองเธออยู่จากอีกฝั่ง หันหลังแล้วเดินเข้าไปในสำนักงานกฎหมาย ตรงไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ยังไม่ทันแจ้งต่อประชาสัมพันธ์หนุ่ม เสียงเรียกที่แสนคุ้นเคยก็ดังอยู่ไม่ไกล

“อิง”

ผู้ถูกเรียกหันไปตามเสียง ไอริณกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาหา ร่างบางเล็กในวันนี้ดูเป็นสาวขึ้น อาจเพราะการสวมชุดสูทกระโปรง ยังมีรองเท้าส้นสูงห้านิ้ว และการดัดผมเป็นลอนใหญ่ สูทสีโอลด์โรสขับผิวสีน้ำผึ้งให้ดูโดดเด่น 

“มาทางนี้” ไอริณเอ่ยเป็นภาษาไทยพร้อมชี้ไปทางซ้ายอันเป็นจุดรับแขก บนโซฟาน้อยใหญ่เต็มไปด้วยผู้คน แต่ก็ยังเหลือที่ว่างให้สองสาวก้าวไปนั่ง 

เป็นความเคยชินตามแบบอเมริกัน เมื่อเจอแล้วก็สวมกอด ไอริณเหลือบตามองนาฬิกา “ฉันมีเวลาสามสิบนาที”

อิงวาดเหลือบดูเวลาบ้าง “นี่หกโมงแล้วแกยังไม่เลิกงานเหรอ”

คนถูกถามถอนหายใจ พยักหน้าบ่นเสียงเบา “ที่นี่ไม่มีใครเลิกงานก่อนสามทุ่มหรอก เออ ว่าแต่แกมีธุระอะไรเกี่ยวกับกฎหมาย” 

เพราะสีหน้าไม่ค่อยสดใสของเพื่อน ทำให้อิงวาดเอื้อมมือไปกุมมือเล็ก วางเรื่องธุระตัวเองลงชั่วคราว เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“ทำงานกับเนวิลเป็นยังไงบ้าง”

เมื่อเธอเอ่ยถามถึงแฟนหนุ่ม ไอริณก็ถอนหายใจหนัก “ที่นี่สำหรับฉันกับเขา ก็แค่ทนายกับผู้ช่วยทนาย เมื่อเช้าเขาด่าฉันซะ... เฮ้อ...ฉันผิดเองแหละ ลืมส่งสำนวนที่จะใช้ฟ้องวันนี้ให้เขา”

“แต่ก็ยังดีนะที่เขาไม่ไล่แกออก คิดในแง่ดี อย่างน้อยแกก็ได้รู้ว่าทนายเขาทำอะไรบ้าง เนี้ยบกันขนาดไหน เพราะฉันรู้ดีว่าความฝันแกน่ะ คงไม่ใช่ทนายค่าตัวชั่วโมงละสองร้อยห้าสิบเหรียญ แต่แกอยากเป็นทนายของสำนักงานใหญ่ๆ”

คำปลอบยิ่งทำให้คนถูกปลอบย่นหัวคิ้ว ตามด้วยการยกสองมือกุมศีรษะ

“ฉันอยากเข้าฮาร์เวิร์ด อยากเป็นทนายที่นี่ แต่ว่า...” ดวงตาคมโตช้อนขึ้น แล้วเบนมองไปทางผู้คนมากมาย “การแข่งขันสูงมาก การจะเข้าฮาร์เวิร์ดว่ายากแล้ว แต่การจะเข้าทำงานในตำแหน่งทนายที่นี่ยากกว่า”

“งั้นแกก็ทำที่อื่น สำนักงานกฎหมายที่อื่นที่ดังกว่าที่นี่มีเยอะแยะ”

“โอ๊ยแก!” ไอริณแย้งเสียงดังแล้วน้ำตาคลอ ยกมือขึ้นปาดน้ำตา “แกไม่พูด แต่ฉันรู้ว่าแกรู้ว่าฉันได้งานที่นี่เพราะอะไร ขนาดที่นี่ไม่ใช่หนึ่งในท็อปทรีของแมนฮัตตัน ฉันยังต้อง...” เธอกลืนความขมขื่นลง “ถ้าที่อื่น ฉันคงถูกเหวี่ยงใบสมัครทิ้งตั้งแต่วันแรก”

อิงวาดโอบกอดเพื่อนรัก ลูบแผ่นหลังที่ค่อนข้างสั่น “แกจบโคลัมบัสเลยนะ ไม่ใช่ไก่กาเสียหน่อย”

คำว่า ‘จบโคลัมบัส’ ทำให้ไอริณถอนหายใจอีกรอบ ผละออกจากอ้อมกอดเพื่อน “แกก็รู้ รุ่นพวกเราน่ะ คนที่ยังวิ่งหางานมีเยอะกว่าคนได้งานแล้ว”

อิงวาดไม่พูดอะไรอีก เพราะสิ่งที่ไอริณพูดคือความจริง ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างแย่ ต่อให้เด็กจบจากฮาร์เวิร์ด เยล หรือแม้แต่โคลัมบัส ก็ตกงานกันมากกว่าคนที่ได้งาน ส่วนใหญ่แล้วคนที่จบและได้งานทำทันทีคือกลุ่มนักเรียนทุน และจบด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง มีอันดับสองบ้างปะปน 

หลายคนเข้าใจว่าการจบจากมหาวิทยาลัยดังทำให้ได้งานง่ายหรือได้งานทันทีทุกคน นั่นคือความคิดที่ผิด เพราะแท้จริงแล้ว การจบจากมหาวิทยาลัยดังและจบเกียรตินิยมแค่ช่วยเพิ่มโอกาสในการได้งานต่างหาก 

เพื่อทำลายความกระอักกระอ่วน อิงวาดจึงหยิบยกเรื่องที่พบเจอเมื่อครู่ขึ้นมาพูด “แก เมื่อกี้ฉันเจอคริสติน” 

“ฮะ! นางมาทำอะไรแถวนี้”

“ไม่มาทำสวยก็มาเดินเล่นละมั้ง” 

คริสติน บิยองก้า หรือสตรีคนเมื่อครู่ คือรุ่นพี่ของอิงวาดและไอริณ ทั้งสามคนไม่ค่อยลงรอยกันนัก เพราะคริสตินมีอคติกับเชื้อชาติเอเชีย โดนเฉพาะผู้หญิงเอเชียที่โดดเด่นเกินหน้าสาวอเมริกัน

เป็นเรื่องน่าแปลกที่สตรีผู้มีความคิดเหยียดเชื้อชาติเลือกเรียนคณะเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน แต่เมื่อได้ยินข่าวนินทาที่จริงแสนจริงว่า แท้จริงแล้วคริสตินเข้าโคลัมบัสได้เพราะโควตาผู้บริจาค9 ความสงสัยจึงสลายไป 

ลูกสาวผู้มีอิทธิพลทางการเมืองและมีเงินย่อมต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยดังที่บิดามารดาเคยศึกษา และแน่นอนว่า ในยามนี้คริสตินทำงานกับหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนของรัฐบาล สาขานิวยอร์ก ในตำแหน่งนักสิทธิมนุษยชนปีที่สอง และก็แน่นอนอีกว่า ได้งานผ่านการใช้เส้นสายของบิดา 

ไอริณถอนหายใจเล็กน้อย ตามด้วยการกล่าวในสิ่งที่ได้ยินมา “ได้ข่าวว่าคริสตินย้ายไปอยู่ตรงเมดิสันสแควร์พาร์ก”

“อ้อ หวังว่า...จะไม่เจอบ่อยนัก” เพราะนั่นคือที่ที่อิงวาดชอบใช้เป็นที่รับประทานอาหารกลางวัน

ไอริณรู้สึกคันปากอยากนินทายิ่งนัก ทว่าเวลาสามสิบนาทีของเธอหมดแล้ว ร่างบางเล็กลุกขึ้น สวมกอดเพื่ออำลา 

“ไว้นัดกันใหม่ ฉันต้องไปแล้ว”

อิงวาดยิ้มอวยพรให้ ถอนหายใจมองแฟ้มคดีในกระเป๋า ในที่สุดก็ไม่ได้คุยเรื่องกฎหมาย แต่ช่างเถอะ...

เธอเดินออกจากสำนักงานทนายความ ย้อนไปทางซ้ายเพราะเมื่อครู่เห็นว่ามีร้านที.เจ.แม็กซ์ เจลลีบีนที่ซื้อตุนไว้ใกล้หมด ถือโอกาสนี้ในการซื้อเพิ่ม อันที่จริงซื้อได้ทุกที่ แต่หากซื้อจากที.เจ.แม็กซ์ จะได้ราคาลดจากหกเหรียญเหลือสี่เหรียญเก้าสิบเก้า

สำหรับอิงวาดผู้ต้องระวังการใช้เงิน การลดราคาเพียงหนึ่งเพนนีก็มีความหมาย!

เธอซื้อเจลลีบีนรสซิตรัสมิกซ์ทั้งหมดที่มีวางขายราวๆ หกถุง จ่ายเงิน เดินออกจากร้านแล้วนั่งรถไฟใต้ดินกลับห้องพัก ถอดรองเท้าอย่างไม่เรียบร้อย ห้องรกอย่างที่แม่ต้องด่า มือเรียวเหวี่ยงกระเป๋าไปยังพื้นมุมห้องที่ว่าง ถอดเสื้อผ้าชุดชั้นในแล้วเหวี่ยงชุดลงพื้น คว้าชุดนอนตัวเน่าซึ่งกองอยู่บนเตียงขึ้นมาสวม 

ร่างสูงโปร่งเดินไปทางตู้เย็น หยิบข้าวกล่องออกมาอุ่น ระหว่างรอก็เดินไปหยิบเจลลีบีนและแฟ้มคดีทั้งสองแฟ้มโยนลงที่นอน เดินไปรินน้ำรูตเบียร์ใส่กระติกใบใหญ่ เมื่อครบเวลาอุ่นอาหาร ก็เดินไปเปิดไมโครเวฟหยิบข้าวกล่อง

หญิงสาวทำสิ่งที่แม่ด่าทุกครั้งเมื่อเห็น นั่นคือวางกล่องข้าวและกระติกน้ำลงบนที่นอน เริ่มต้นกินข้าวบนที่นอน และเริ่มต้นอ่านแฟ้มคดีอีกรอบด้วยความรู้สึกสงบ

 

ทั้งที่วันนี้เป็นวันเสาร์ แต่อิงวาดไม่สามารถนอนเกียจคร้านอยู่บ้านได้ เธอฉุดตัวเองขึ้นจากเตียงนอน ละเว้นการอาบน้ำ ทำแค่แปรงฟันล้างหน้า รวบผมลวกๆ แต่งตัวด้วยเสื้อยืดตัวเก่า กางเกงขาบานลายดอกกุหลาบดอกใหญ่ สวมรองเท้าแตะ อุ่นอาหารกล่อง แล้วยัดใส่กระเป๋าที่มีแฟ้มคดีอยู่ในนั้น ออกจากที่พักเดินทางไปยังหอสมุดนิวยอร์กด้วยการเดิน 

หญิงสาวเดินเลาะไปเรื่อย ผ่านแกรนด์เซ็นทรัลแล้วข้ามไปสู่อีกฝั่ง ถนนเบื้องหน้าคือที่ตั้งของหอสมุดนิวยอร์ก ตัวอาคารสีขาวหม่นตั้งเด่นตระหง่าน คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาชมความงามและคนท้องถิ่นที่มาใช้พื้นที่อ่านหนังสือ

เธอเดินข้ามถนนไปยังหอสมุด ผ่านไกด์สาวชาวเอเชียซึ่งกำลังแนะนำสถานที่ เข้าสู่ด้านใน ขึ้นบันไดไปยังชั้นสาม เข้าสู่เขตหวงห้ามที่ต้องใช้จดหมาย อันเป็นจดหมายที่ทางหน่วยงานออกให้เธอสำหรับใช้ขอยืมอ่านหนังสือหายาก ผลักประตูไม้สีโอ๊กบานใหญ่เข้าสู่ห้องอ่านหนังสือ

ในห้องมีเพียงความสงบ แสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านหน้าต่าง ที่สว่างไสวที่สุดคือโคมไฟมากมายบนเพดานซึ่งให้แสงสว่างสีนวล แสงเหล่านั้นจับโต๊ะไม้ยาวอันว่างเปล่า เกิดเป็นแสงเรืองรองอ่อนๆ ดั่งมนตร์ขลังอันน่าหลงใหล

อิงวาดเดินไปยังโต๊ะทางขวา วางสมุดจดลงบนโต๊ะ ร่างสูงโปร่งเดินไปยังมุมหนังสือกฎหมายแล้วเริ่มต้นหาตำรา

เป็นธรรมเนียมของหอสมุด อย่าหยิบหนังสือเกินความจำเป็น เธอเลือกหนังสือที่ต้องการสามเล่มแล้วเดินกลับไปยังที่นั่ง แฟ้มคดีถูกหยิบขึ้นมาวางคู่หนังสือ นิ้วยาวขาวเริ่มต้นเปิดหนังสือเล่มหนากว่าพันหน้า ดวงตากวาดมอง หาสิ่งที่คิดว่าน่าจะช่วยเธอจากคดีผู้ชายขายอสุจิได้ 

ช่วงเวลาอันแสนเคร่งเครียดแต่สงบกว่าสามชั่วโมงถูกขัดจากการประท้วงของกระเพาะ มือเรียวลูบหน้าท้อง พยายามฝืนนั่งอ่านหนังสือต่อ แต่ก็เริ่มอ่านไม่รู้เรื่องเพราะหิว ในที่สุดก็ยอมแพ้ เก็บเอกสารลงกระเป๋า เก็บหนังสือเข้าชั้นที่หยิบมา และเดินออกจากห้องอ่านหนังสือ ออกจากหอสมุด เลือกที่จะนั่งอยู่บนขั้นบันไดหอสมุด ดวงตาทอดมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา

เธอหยิบข้าวกล่องออกจากกระเป๋า ยังมีน้ำเปล่าซึ่งพกติดกระเป๋าไว้เสมอ เพราะน้ำดื่มหากซื้อข้างนอกจะราคาแพง อิงวาดจึงพกขวดน้ำติดตัว แม้ที่สหรัฐอเมริกาน้ำประปาดื่มได้ แต่เธอเกลียดรสและกลิ่น จึงเลือกซื้อน้ำแบบเป็นลิตรจากคอสต์โก10 แล้วถ่ายใส่ขวดใบน้อยสำหรับแช่ตู้เย็นและนำติดตัว 

หญิงสาวเริ่มรับประทานอาหารพลางชมความวุ่นวายของแมนฮัตตัน ทั้งแท็กซี่ที่บีบแตรดังสนั่น ทั้งเอ็นวายพีดีที่เดินตรวจตราความเรียบร้อย ทั้งนักท่องเที่ยวที่หยุดถ่ายรูปหอสมุด และทั้งคนสัญจรทางเท้า บ้างจูงมือลูก บ้างจูงมือคนรัก 

ทุกขณะเมื่อข้าวเข้าปาก ความคิดของอิงวาดหมกหมุ่นอยู่กับงานจนเธอเริ่มปวดหัว ตัดสินใจปล่อยงานชั่วขณะ หลับตาลง สูดหายใจเข้าลึก เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าความวุ่นวายของแมนฮัตตันช่างน่าสนุกสนาน ไม่ได้น่ารำคาญ 

ดวงตาเรียวยาวกวาดมองโดยรอบ อมยิ้มเมื่อเห็นเด็กสาวสองคน ภาษาของทั้งสองบอกว่าน่าจะมาจากยุโรป คนหนึ่งสวมเสื้อแขนกุดลายพรางโทนสีฟ้าเขียว ถักเปียสองข้าง อีกคนสวมแจ็กเกตแขนกุดสีชมพูสะท้อนแสง นั่งบนขั้นบันได ยืดขาทำท่าคุยกัน บอกชัดว่าถ่ายภาพเลียนแบบซีรีส์เรื่อง Gossip girl

อิงวาดอยากเข้าไปบอกว่าผิดที่ ที่นั่นคือที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทันต่างหาก ทว่า...เธอไม่ได้บอก เพราะความคิดหนึ่งบังเกิดขึ้นในสมอง 

ความคิดเรื่องคดี!

หญิงสาวปิดข้าวกล่องและเก็บใส่กระเป๋า ดื่มน้ำอย่างเร่งรีบ ลุกจากขั้นบันได หางตามองเห็นเด็กสาวสองคนนั้นยังคงพยายามต่อ ในที่สุดเธอจึงเดินกลับไปหาทั้งสองคน เอ่ยเป็นภาษาอังกฤษอย่างช้าชัด

“ถ้าคุณอยากให้เหมือนใน Gossip girl คุณต้องไปที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน แต่ระวังหน่อยนะคะ ขั้นบันไดที่นั่นมีแต่ขี้นก ไม่สะอาดจนสะดวกใจจะนั่งแบบในซีรีส์หรอกค่ะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น