บทที่เจ็ด
ลูกโป่งสีแดงและเธอผู้หลุดลอยไปอีกครั้ง
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่อิงวาดปวดท้อง เป็นการปวดท้องอันแสนปั่นป่วนไปทั่วร่างกาย คล้ายอยากถ่าย แต่เมื่อเข้าห้องน้ำพยายามขับไล่ ไม่ว่าอย่างไรความปั่นป่วนก็ไม่ออก ปวดคล้ายใครกำลังบีบขยี้มดลูกหรือลำไส้...หรืออวัยวะใดในช่วงล่างก็ไม่อาจทราบ
สองมือเย็นเฉียบเต็มไปด้วยเหงื่อ เม็ดเหงื่อผุดพรายบนดวงหน้า ขนลุกซู่และร่างเริ่มเกร็งประหนึ่งถูกตะคริวกิน เธออยากอาเจียนจนต้องฟุบหน้าลงกับโต๊ะ มือที่สั่นอย่างรุนแรงค่อยๆ ควานหายาดมขึ้นมาดม
กลิ่นยาดมทำให้อาการเวียนศีรษะดีขึ้น แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นดวงตาก็พร่ามัวคล้ายโลกนี้ไม่ชัดแจ้ง เธออยากจะขอลาป่วย แต่ก็ทราบว่าที่นี่...ไม่ป่วย ไม่ลา ไม่มาสาย และแม้แต่ถ้าคิดจะตายยังต้องทำงานให้เสร็จ!
ในที่สุดจึงทำเพียงนั่งฟุบหน้าดมยาดม สูดหายใจเข้าลึกๆ สลับกัน และอาการก็ดีขึ้น ความปวดค่อยๆ จางจนเธอยืดตัวนั่งและทำงานต่อได้ เมื่อคืนสติก็เริ่มนึกถึงอาการปวดท้องปวดหลังที่ผ่านมา ใช่...ที่ผ่านมาเธอรู้ว่าตัวเองเริ่มป่วย แต่เธอก็เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่นทั่วไป ไม่ไปหาหมอ คิดว่าแค่นี้ไม่เป็นอะไร เพียงแค่กินข้าวไม่ตรงเวลา หรือทำงานหนักจนปวดหลัง พักผ่อนเดี๋ยวก็หาย
“นัดหมอดีกว่า” หญิงสาวบ่นพึมพำ มือยกโทรศัพท์ ทว่าก็ชะงัก ตามด้วยการถอนหายใจ “นัดไปก็ได้ใบสั่งยาแก้ปวดมากินอยู่ดี”
หญิงสาวคิดถึงการบริการของโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยยิ่งนัก และคิดถึงการร้องขอให้หมอฉีดยาได้ ทว่าก็ต้องยอมรับ ที่นี่...ไม่ใช่เมืองไทย
ไม่มีการพบหมอได้ในทันทีถ้าไม่สาหัสกำลังจะตาย
ไม่มีอะไรได้ตามใจตน ทุกสิ่งต้องตามขั้นตอน!
นาฬิกาบอกเวลาพักเที่ยง อิงวาดปิดแฟ้มงานที่ทำอยู่ ลุกขึ้นถือกระเป๋าออกจากโต๊ะเช่นเดียวกับที่คนอื่นทำ ช่วงพักเที่ยงมีเวลาหนึ่งชั่วโมง เป็นเวลาอันแสนอิสระและได้หลุดออกจากความเคร่งเครียด
วันนี้เธอมีนัดกินข้าวกับไอริณ หญิงสาวอาศัยการเดินลงบันไดไม่รอลิฟต์ แล้วเดินไปสถานีรถไฟฟ้า นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 6 ไปยังจุดนัดพบ อันเป็นสถานที่นั่งกินข้าวกล่องซึ่งเธอโปรดปรานที่สุด ไม่ใช่ห้องอาหารของเอชอาร์ซี ไม่ใช่ร้านอาหาร
แต่คือเมดิสันสแควร์พาร์ก
ไม่ใช่อิงวาดคนเดียวที่ใช้เมดิสันสแควร์พาร์กสำหรับรับประทานอาหาร
โต๊ะเก้าอี้มากมายอัดแน่นด้วยผู้คนที่พากันนั่งรับประทานอาหาร ทั้งจากที่นำมาจากบ้าน ซื้อจากร้านอาหาร จากซูเปอร์มาร์เกต หรือซื้อจากรถขายอาหารข้างทางซึ่งจอดห่างออกไปไม่ไกล รถขายอาหารเหล่านี้ล้วนได้รับอนุญาต ที่อิงวาดชอบที่สุด คือรถผัดไทยโดยคนไทย บางครั้งก็มา บางครั้งก็ไม่มา
ใช่เพียงโต๊ะเก้าอี้ที่มีคนนั่ง บางคนและบางกลุ่มนั่งรับประทานอาหารบนพื้นหญ้าสีเขียวขจี อิงวาดเลือกนั่งโต๊ะ เพราะเธอลืมนำผ้ารองปูพื้นมาด้วย มือหยิบข้าวกล่องออกจากกระเป๋า ตากวาดมองไปทั่วพร้อมความคิดว่าจะบังเอิญเจอคริสตินที่นี่หรือไม่ ยังไม่ทันมองรอบด้านก็ได้ยินเสียงข้อความเข้าสองข้อความ
ข้อความแรกมาจากไอริณ คือการขอยกเลิกนัด เพราะเธอต้องไปรับประทานอาหารกลางวันกับลูกค้ากะทันหัน
ข้อความที่สองคือข้อความจากมอลรีน ว่าให้เธอไปพบนักธุรกิจท่านหนึ่งที่ตึกหลังหนึ่งบริเวณไทม์สแควร์ เพื่อรับเอกสารการแจ้งเจตจำนงการบริจาคเงินสนับสนุนเอชอาร์ซี เวลาบ่ายโมงห้าสิบห้านาที และให้เธอกลับมาที่เอชอาร์ซีห้ามเกินบ่ายสามโมงครึ่ง
หญิงสาวมองเวลาในโทรศัพท์มือถือ ขณะนี้เที่ยงครึ่ง เท่ากับเธอมีเวลากินอาหารสามสิบนาที แล้วต้องเดินทางไปรอผู้บริจาค
ผู้บริจาคสายได้ แต่เธอต้องไปก่อนเวลา
เธอเปิดกล่องข้าวและตักอาหารเข้าปาก ดวงตายาวเรียวทอดมองตึกสูงระฟ้ามากมายที่ตั้งรายล้อมสวนสาธารณะแห่งนี้ เสียงรถยนต์ดังผสานกับเสียงพูดคุยของผู้ที่นั่งอยู่รอบด้าน ไหนจะเสียงสุนัขเห่าใส่กันจากสนามวิ่งเล่นของสุนัข ความเร่งรีบทำให้ถอนหายใจเบาๆ คิดถึงช่วงเวลาอันแสนมีความสุข นั่นคือการรับประทานอาหารบนเตียงนอน
สงบ...และมีความรู้สึกว่านั่นแหละ คือที่ที่เป็นของเธออย่างแท้จริง
การรับประทานอาหารใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที กล่องข้าวเกลี้ยงและถูกปิด เธอหยิบขวดน้ำขึ้นดื่มและลุกขึ้น เดินไปขึ้นรถไฟสาย N ไปยังไทม์สแควร์
ช่วงกลางวันรถไฟไม่หนาแน่นเท่าช่วงเวลาเร่งด่วน แต่ก็ไม่ได้โล่ง อิงวาดยืนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะก้าวออกจากรถไฟเมื่อถึงสถานี 49 St.
ยังเหลือเวลาจึงไม่ต้องเร่งรีบ อิงวาดเดินไปสู่จุดศูนย์กลาง แวะเข้าวอลกรีนส์เพื่อสำรวจราคาสินค้า แล้วก็พบว่าไม่มีอะไรใหม่ หรือถ้ากล่าวให้ถูกต้องคือยังไม่มีสิ่งใดจำเป็นต้องซื้อ ถึงกระนั้นก็ซื้อยาเคลือบกระเพาะ คิดเองเออเองว่าอาการปวดต้องเป็นเพราะโรคกระเพาะแน่ๆ
เธอเดินออกมายืนกลางลานกว้าง ตัวการ์ตูนคอสเพลย์ยืนกระจายกันอยู่ นักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่ บ้างหยุดถ่ายรูปกับตัวการ์ตูน บ้างถ่ายรูปไทม์สแควร์ บ้างดูแผนที่
เสียงดนตรีซึ่งดังมาจากทางซ้ายทำให้หญิงสาวหันไปมอง ศิลปินข้างถนนบรรเลงเมโลเดียน ด้านหน้าของเขาคือกระเป๋า ในนั้นมีเศษเหรียญและธนบัตรมากมาย
“ลูกโป่งไหม” เสียงเรียกดังมาจากด้านข้าง
อิงวาดหันไป ผู้ที่เรียกเธอคือเด็กสาวอายุราวสิบห้าถึงสิบเจ็ดปี เธอและเพื่อนอีกสองคนถือลูกโป่ง ทุกคนมีคนละใบ เว้นแต่ผู้เรียกที่มีสองใบ
“ได้ฟรีมาจากทางนั้นค่ะ” เด็กสาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม และส่งลูกโป่งสีแดงให้แก่เธอ
“ขอบคุณนะ” อิงวาดรับลูกโป่งสีแดงมา โบกมือลาเด็กๆ เธอเงยหน้ามองลูกโป่ง แล้วปรายตามองไปทางศิลปินข้างถนนซึ่งเปลี่ยนไปเล่นเพลง “Anchor”12
When all the world is spinning ‘round like a red balloon way up in the clouds... [ตัวเอียง]
เนื้อเพลงที่ขึ้นมาในหัวดึงอิงวาดหลุดออกจากความวุ่นวายแห่งไทม์สแควร์ เธอยืนนิ่งถือลูกโป่ง คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิต นับจากวันที่ตัดสินใจมาสู่ที่นี่ ช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ วันที่รับปริญญา คดีแรก...และวันนี้
ลมที่พัดมาอย่างรุนแรงทำให้ลูกโป่งสีแดงหลุดมือ อิงวาดไม่ได้ไขว่คว้า แต่มองลูกโป่งค่อยๆ ลอยขึ้นฟ้า ตามด้วยการถอนหายใจ เริ่มรู้สึกว่าควรหยุดเสียเวลาทำตัวเป็นนางเอกมิวสิกวิดีโอเสียที ควรก้าวกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงและกลับสู่การทำงาน
มือขาวหยิบเศษเหรียญหย่อนลงในกระเป๋าของศิลปินข้างถนน แล้วเดินข้ามถนนไปยังที่นัดหมายของผู้บริจาค เลี้ยวไปสู่เส้นทางตามที่กูเกิลแมปบอก
ขณะนั้น อีกฟากถนน รอยเดินออกมาจากร้านอาหาร เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า เห็นลูกโป่งสีแดงลอยละล่องอย่างอิสระตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าสดใส เมื่อเขาลดสายตาลงก็เห็นเธอ...ผู้ที่เขาไม่เคยลืมภาพ
สองเท้าของเขาขยับจะวิ่งตาม ทว่าผู้คนมากมายและรถราแล่นขวักไขว่ กว่าสัญญาณไฟจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวให้เขาวิ่งไปฝั่งตรงข้าม...
เธอ...หายไปแล้ว!
ข่าวที่สร้างความหวาดผวาให้แก่ชาวนิวยอร์กในเดือนที่อุณหภูมิร้อนที่สุดของปี คือข่าวการเหยียดเชื้อชาติอย่างรุนแรงของกลุ่มลัทธิความเชื่อกลุ่มหนึ่ง ว่าคนขาวเท่านั้นที่มีสิทธิ์บนแผ่นดินอเมริกา จนเกิดการสาดน้ำกรดใส่ชาวเอเชียลาติโน13 และกลุ่มชาวฮิสแปนิก14
ถึงแม้ที่นี่จะคือสหรัฐอเมริกา แต่การเหยียดเชื้อชาติ สีผิว ยังคงมีอยู่ในส่วนลึกของหัวใจผู้คน ตามเมืองใหญ่อาจไม่ได้แสดงออกมากนักเพราะผิดกฎหมาย แต่ตามเมืองเล็กคือสิ่งที่ประสบปัญหารุนแรง และรัฐนิวยอร์กก็มีเมืองจำนวนไม่น้อยเป็นเมืองเล็ก หนึ่งในนั้นกำลังประสบปัญหานี้ และเริ่มขยายลามมาสู่เมืองที่ใหญ่ขึ้น
กลุ่มผู้ลงมือส่วนใหญ่คือเด็กวัยรุ่นผู้ขาดความยั้งคิดและสติ มีเพียงอารมณ์คึกคะนองเป็นสิ่งนำทาง และกลายเป็นเครื่องมือให้ผู้ประสงค์ร้ายที่แท้จริงซึ่งก็คือผู้ใหญ่ในการแสดงความเกลียดชัง
ในจำนวนเจ้าหน้าที่ปีหนึ่งทั้งสี่สิบแปดคน อิงวาดรู้ว่าลึกลงไปในใจของบางคนที่เป็นชาวตะวันตก จะต้องเกิดความเกลียดชังชาวเอเชีย ชาวตะวันออกกลาง ชาวแอฟริกา หรือชาวลาตินอเมริกาอย่างแน่นอน เมื่อวันที่การประกาศผลห้าคนสุดท้ายมาถึง
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นนักสิทธิมนุษยชนผู้ควรมองข้ามเรื่องเชื้อชาติ แต่จิตใจมนุษย์ยากนักจะเป็นธรรมต่อทุกสิ่ง และก็ยากที่จะอดคิดไม่ได้ว่า หากไม่มีชาวเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และลาตินอเมริกามาอยู่ที่นี่ งานอาจเป็นของเขา ทว่าวุฒิภาวะและการศึกษา รวมถึงอนาคตซึ่งไม่ได้จบเพียงการไม่ได้งานที่เอชอาร์ซี จะเป็นสิ่งฉุดรั้งผู้ไม่ถูกเลือกเอาไว้ไม่ให้ทำอะไรเกินเลยอย่างเปิดเผย
อย่างไรก็ตาม วันนั้นยังไม่มาถึง วันนี้...ทุกคนยังคงเป็นเพียงผู้เข้าแข่งขัน
เพราะเหตุการณ์สาดน้ำกรด งานที่ได้รับมอบหมายจึงได้แก่การกระจายตัวเพื่อให้ความรู้และรับมือสถานการณ์ ทั้งสี่สิบแปดคนถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือเชื้อชาติตะวันตก อีกกลุ่มหนึ่งคือเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง และลาตินอเมริกา
ฝั่งตะวันตกทำหน้าที่ให้ความรู้ด้านความเท่าเทียมของความเป็นมนุษย์แก่ชาวตะวันตกด้วยกัน ส่วนจะใช้วิธีการเช่นไรนั้นแล้วแต่จะคิด งานนี้ไม่ใช่งานกลุ่ม แต่เป็นงานเดี่ยว แต่ละคนจับสลากเลือกเขตพื้นที่ ไม่มีใครได้เหมือนกัน ต่างคนต่างรับผิดชอบเขตของตนเอง
ฝั่งเชื้อสายเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และลาตินอเมริกา ทำหน้าที่คล้ายคลึงกัน แต่เปลี่ยนเป็นการเน้นย้ำคนที่ไม่ใช่ชาวตะวันตกให้ระวังตัว รวมถึงวิธีปฏิบัติหากโดนสาดน้ำกรด เป็นงานเดี่ยวและจับสลากพื้นที่เช่นกัน
อิงวาดจับสลากได้เมืองแชปากัว คือเมืองเล็กๆ ห่างจากแมนฮัตตันหนึ่งชั่วโมง เป็นเมืองที่อยู่บนเขาและรายล้อมด้วยภูเขา ไม่มีรถประจำทางในเมือง มีเพียงแท็กซี่บริเวณสถานีรถไฟระหว่างเมือง ทุกคนล้วนขับรถหรือใช้จักรยาน
ทว่าแม้จะเป็นเมืองเล็ก แต่ก็เป็นเมืองสำคัญ เพราะที่นี่คือหนึ่งในบ้านพักของอดีตประธานาธิดีคลินตัน ทั้งนักข่าวชื่อดัง ดาราฮอลลีวูด และบ้านพักตากอากาศภรรยาของท่านทั้งหลายในคองเกรส
หญิงสาวตรงกลับโต๊ะ แล้วรีบส่งข้อความหารุ่นพี่ที่รู้จักซึ่งเป็นอินเทิร์นอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งคณะแพทย์โคลัมบัส เพื่อขอคำปรึกษาเรื่องวิธีการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องที่สุด ไม่ถึงสิบนาทีดี รุ่นพี่ผู้นั้นก็ส่งข้อความตอบกลับ
‘วันนี้หนึ่งทุ่มฉันว่าง มาที่โรงพยาบาลชั้นสี่ แล้วฉันจะเอาเอกสารให้’ [ตัวเอียง]
อิงวาดถอนหายใจโล่งอก ตามด้วยการส่งข้อความขอยกเลิกนัดรับประทานอาหารเย็นกับไอริณ เริ่มต้นเปิดแฟ้มข้อมูลดูรายชื่อผู้ถูกสาดน้ำกรด และติดต่อขอสัมภาษณ์ เพราะเธอเชื่อว่าการถามความรู้สึกจากผู้ถูกกระทำ แม้จะเจ็บปวด แต่ก็ได้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดว่าผู้ถูกกระทำรู้สึกเช่นไร
แล้วผลก็เป็นเช่นที่คาดคิด ผู้ถูกกระทำทั้งเจ็ดคน มีเพียงคนเดียวยินยอมคุยกับเธอ โดยมีข้อแม้ว่าจะคุยตอนนี้ อีกหกคนปฏิเสธเพราะไม่ปรารถนารับรู้หรือนึกถึง หญิงสาวจัดการนัดหมายเวลา เอ่ยขอบคุณ และเตรียมตัวออกจากที่ทำงานไปยังบ้านผู้เคราะห์ร้าย ทำใจให้พร้อมสำหรับการทำงานนี้ซึ่งมีผลกระทบต่อเธอ เพราะเธอเองก็เป็นหนึ่งในชาวเอเชียผู้เป็นเป้าของการถูกสาดน้ำกรด
การสัมภาษณ์เต็มไปด้วยความอึดอัด เศร้า และเจ็บปวด
ผู้เคราะห์ร้ายคือนักศึกษาสาวแห่งมหาวิทยาลัยชื่อดังซึ่งมีแคมปัสอยู่หลายแห่งในนิวยอร์ก และผู้ลงมือก็คือเพื่อนสนิทซึ่งเธอไม่เคยคาดคิดว่า เธอผู้นั้นจะมีความเกลียดชังชาวเอเชียอยู่ในใจลึกๆ ตัวกระตุ้นคือความโดดเด่นด้านผลการเรียน เป็นเชียร์ลีดเดอร์ และเรื่อง...ผู้ชาย ข้อสุดท้ายคือฟางเส้นสุดท้ายอันถูกเผาไหม้ให้เกิดเรื่องอันน่าเศร้านี้ขึ้น
ในอดีตก่อนจะมาอเมริกา อิงวาดเคยคิดว่าดินแดนที่เรียกขานว่าเป็นประเทศพัฒนาแห่งนี้ เด็กวัยรุ่นคงไม่มีการตบตีแย่งผู้ชาย ไม่มีการเขม่นหรือยกพวกตบตีกัน แต่เมื่อเธอมาถึงและก้าวเข้าสู่สังคมวัยรุ่นอย่างแท้จริง ทำให้ได้เปิดโลกกว้างว่า แท้จริงแล้วที่นี่ก็ไม่ต่างไปจากเมืองไทย และในบางกรณีการกลั่นแกล้งกันก็ร้ายแรงกว่า จนทำให้เกิดเหตุสะเทือนใจเช่นการฆ่าตัวตาย หรือนำปืนมายิงกราดเพื่อล้างแค้น เกิดเป็นการสังหารหมู่อันแสนโด่งดัง
อิงวาดกอดผู้ประสบเหตุและเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง แล้วรีบเดินทางกลับแมนฮัตตัน ระหว่างทางดวงตาเรียวยาวปิดลง คิดว่าผู้ลงมือจะได้รับโทษเช่นใดบ้าง เพราะข้อหาที่ได้รับนั้นใช่เพียงเหยียดเชื้อชาติ แต่ยังมีข้อหาพยายามฆ่า การทำร้ายที่ใช้อาวุธรุนแรงถึงแก่ชีวิต คิดแล้วก็ถอนหายใจอีกรอบ ด้วยรู้ถึงระบบยุติธรรมในสหรัฐอเมริกา
ผู้กระทำผิดมีสิทธิ์พ้นผิด ขึ้นอยู่กับว่าทนายความเก่งเพียงใด และสามารถโน้มน้าวลูกขุนได้เพียงใด นี่คือหนึ่งในจุดอ่อนและก็เป็นจุดแข็งของการตัดสินแบบคณะลูกขุน เพราะลูกขุนคือสิ่งที่เหนือการคาดเดาของทุกฝ่าย
อิงวาดถอนหายใจอีกครั้ง หยิบแฟ้มขึ้นมาเปิด นั่งอ่านไปเรื่อยๆ พร้อมนวดขมับ ก่อนจะลุกขึ้นเมื่อรถไฟจอดที่ชานชาลาแกรนด์เซ็นทรัล แล้วรีบต่อรถไฟใต้ดินไปยังโรงพยาบาลแห่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคลัมบัส
ความคิดเห็น |
---|