2

2

2

 

รถยนต์อเนกประสงค์สีดำมันปลาบขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลองซึ่งไหลระเรื่อยมาจากเมืองกาญจน์ก่อนจะไหลออกปากอ่าวที่สมุทรสงคราม พอพ้นสะพาน ฝั่งซ้ายมือคือบ้านทหารช่างซึ่งอาจารย์เคยพานักศึกษาพยาบาลมาร่วมกิจกรรมกับทางจังหวัดเป็นประจำ ส่วนฝั่งขวาเป็นทางรถไฟที่สร้างบนคันดินสูง ทอดตัวเป็นแนวยาวคล้ายกำแพงกั้นเมืองออกเป็นสองฝั่ง 

อัศวินีซึ่งนั่งเบาะหลังคนขับมีพ่อและแม่ขนาบข้างเหลียวมองกลับหลังด้วยความรู้สึกคล้ายอาวรณ์

“น่าใจหายเหมือนกันนะคะ เหมือนมิ้วเพิ่งจะมาเรียนที่นี่เมื่อไม่นานมานี้เอง เผลอแวบเดียวสี่ปี จบซะแล้ว แถมต้นเดือนหน้าก็ต้องทำงานรับผิดชอบชีวิตคน แต่มิ้วมีความรู้สึกเหมือนตัวเองยังไม่โตยังไงก็ไม่รู้นะคะแม่”

เรณีอดที่จะยิ้มไม่ได้เมื่อลูกสาวคนเล็กเอียงคอซบไหล่ โอบเอว คลอเคลียด้วยกิริยาออดอ้อน มือเรียวลูบศีรษะทุยที่ปกคลุมด้วยกลุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลไหม้นุ่มมือด้วยความเอ็นดู

“แม่ว่าเพราะน้องเป็นลูกคนเล็กด้วยหรือเปล่าคะลูก มีพี่ชายตั้งสองคนคอยดูแลก็เลยรู้สึกเหมือนตัวเองยังเป็นเด็กตลอดเวลา แต่แม่ว่าอีกหน่อยถ้าน้องทำงาน ได้ออกไปเผชิญโลกกว้าง เจอผู้คนมากหน้าหลายตา น้องอาจจะรู้สึกโตกว่านี้ก็ได้นะลูก” เรณีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน 

บรมวิชชุ์ซึ่งรับหน้าที่พลขับรีบบอกว่า “ถ้าน้องคิดว่าตัวเองยังไม่โตก็อย่าเพิ่งทำงานก็ได้นะ เรียนโทต่อเลยดีไหม”

อัศวินีเงยหน้าจากอกแม่ก่อนทำปากยื่นคล้ายเด็กแสนงอน “ไม่ได้หรอกค่ะพี่เบียร์ มิ้วจะทำแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อมิ้วต้องไปทำงานใช้ทุน”  

ปกติหน่วยงานในระบบบริการสุขภาพก็ขาดแคลนบุคลากรอยู่แล้ว และจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยิ่งส่งผลให้ปัญหาดังกล่าวรุนแรงมากขึ้น บุคลากรขอโอนย้ายออกจากพื้นที่ไม่เว้นแต่ละวัน หรือถ้าโอนย้ายไม่ได้ก็ยอมที่จะลาออก แม้ก่อนหน้านี้จะผลิตพยาบาล 3,000 คน โดยคัดเลือกจากคนในพื้นที่มาศึกษาเพื่อกลับไปทำงานในท้องถิ่นของตนเอง กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ดังนั้นจึงมีโครงการพยาบาลจิตอาสาเกิดขึ้น โดยรับสมัครนักศึกษาพยาบาลที่สมัครใจรับทุนตั้งแต่ปีแรกที่เข้าศึกษา เมื่อสำเร็จการศึกษาก็ไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อัศวินีเลือกรับทุนด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้าที่จะไปปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ขาดแคลนบุคลากรสาธารณสุข ประจวบเหมาะกับชายหนุ่มที่วาดฝันอนาคตร่วมกันก็ทำงานอยู่ในพื้นที่นั้นด้วย 

แต่วันนี้...สถานการณ์เปลี่ยนไป ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เปลี่ยนแปลง คนเป็นพี่จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้น้องสาวเปลี่ยนใจ แม้กระทั่ง...

“เดี๋ยวพี่ใช้ทุนให้เอง” บรมวิชชุ์เอ่ยง่ายๆ เหมือนกำปั้นทุบดินซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าตัวรู้ว่าไม่ควรและไม่เคยมีในหัวมาก่อน แต่เพื่อน้องแล้ว...พี่ทำได้ทุกอย่าง

“ไม่เอาหรอก” คนน้องก็ปฏิเสธทันควันเหมือนกัน 

“มิ้วไม่อยากเสียสัจจะ อุตส่าห์ได้ทุนมาเรียน แต่สุดท้ายพอจบมาก็ไม่ทำงานใช้ทุน จ่ายเงินแทน แล้วแบบนี้โรงพยาบาลที่รอให้เราไปทำงานก็เท่ากับรอเก้อสี่ปีโดยเปล่าประโยชน์สิคะ”

บรมวิชชุ์ลอบสบตากับภรรยาซึ่งนั่งเบาะหน้าคู่กัน รู้ว่างานนี้...ไม่หมูอย่างที่คิด “หรือไม่ก็...ขอเปลี่ยนเป็นใช้ทุนที่อื่น แม่คง...จัดให้ได้” บรมวิชชุ์ยื่นข้อเสนออีกทาง แม้จะขัดกับความรู้สึกอย่างมากก็ตามที 

แม้แม่จะเออรีรีไทร์ตั้งแต่พ่อเกษียณอายุราชการ แต่ก็ยังมีคอนเนกชันพอจะขอความช่วยเหลือได้ ขณะที่ทั้งพ่อและแม่ต่างก็ลอบสบตากันด้วยรู้ดีถึงเจตนาของลูกชายคนรอง 

คนเป็นน้องทำปากยื่นคล้ายเด็กขี้งอน ก่อนเท้าความหลัง “พี่เบียร์จำได้ไหม ตอนเด็กๆ พี่เบียร์ก็เคยอยากเป็นนักบินเหมือนพี่บลู แต่พอสอบเตรียมทหารได้เหล่า ทอ. ขึ้นมา พี่เบียร์ก็ยังไม่เลือก ทอ. พี่เบียร์จำความรู้สึกตัวเองตอนนั้นได้ไหมว่าเพราะอะไร” 

ทอ. ย่อมาจาก ทหารอากาศ

บรมวิชชุ์นิ่งอึ้งไปชั่วขณะเมื่อหวนระลึกถึงความทรงจำเก่าๆ 

ทั้งบุรัสกรและบรมวิชชุ์ต่างก็เติบโตมาในรั้วสีเทาเมื่อครั้งที่พ่อยังรับราชการในกองทัพอากาศ ถูกอบรมด้วยวินัยของทหารและการเลี้ยงดูของแม่ที่เป็นพยาบาล พ่อกับแม่จะพร่ำสอนลูกชายทั้งสองคนเสมอว่า ถ้าเราตั้งใจทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มความรู้ความสามารถ มุ่งมั่นทำแต่สิ่งดีๆ ตอบแทนแผ่นดินเกิด สักวันหนึ่งสิ่งดีๆ จะย้อนกลับมาหาเราเอง การที่จะเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานก็ต้องเกิดจากความรู้ความสามารถของตนเองเป็นหลัก ส่วนการอนุเคราะห์ช่วยเหลือจากผู้ใหญ่เป็นเพียงผลพลอยได้ เพราะถ้าเราเป็นคนดีจริงๆ แล้ว คนที่เป็นผู้ใหญ่มีเมตตาธรรมย่อมมองเห็นและให้การส่งเสริมสนับสนุนโดยไม่ต้องร้องขอ 

คำพูดของแม่ที่เปรยๆ เมื่อสมัยที่ลูกชายทั้งสองสอบติดเตรียมทหารเมื่อสิบกว่าปีก่อนยังเด่นชัดในความทรงจำ

‘ถึงแม้พ่อจะไม่ได้อยู่ในกองทัพเหมือนเดิมแล้ว แต่ก็ยังมีคุณลุงคุณอาที่เคารพนับถือสนิทสนมเดินสวนสนามกันเต็ม ‘แปดแฉก’ ถ้าเลือก ทอ. แล้วดันเป็นทหารชั้นเลวของกองทัพ พ่อคงไม่ไปขอร้องคุณลุงหรือคุณอาให้ช่วยให้พ้นผิดหรอก แต่ทุกคนพร้อมดูแลเต็มที่เพราะความเป็นลูกพ่อ เพราะฉะนั้นอย่าให้ใครต้องมาเดือดร้อนเพราะเรา ถ้าจะเป็นทหารอากาศก็ต้องครองตนให้อยู่ในวินัย ตั้งใจทำทุกบทบาทให้เต็มที่ เต็มศักยภาพของตัวเอง ยิ่งมีผู้ใหญ่รู้จักและเมตตาเยอะก็ยิ่งต้องค้อมตัวให้ติดดิน อย่ากร่างให้ใครว่าเสียไปถึงผู้ใหญ่เอาได้ แต่ถ้าคิดว่าจะครองตนให้อยู่ในระเบียบวินัยไม่ได้ก็พิจารณาตัวเองให้ดี’

คนพี่นั้นแม่ไม่ห่วงเพราะเป็นเพราะคนสุขุม มีระเบียบวินัย และเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่มาแต่ไหนแต่ไร แต่ความนัยนั้นน่าจะเตือนสติลูกชายคนรองผู้ซึ่งได้รับสมญานามตั้งแต่มัธยมว่า ‘นักเลงเรียกพี่’ มากกว่า 

วันที่เลือกเหล่า บุรัสกรมุ่งเป้าที่ ทอ. ด้วยความแน่วแน่ตั้งใจที่จะเป็นนักบินอันเป็นความฝันตั้งแต่วัยเยาว์ ขณะที่บรมวิชชุ์แม้เคยมีความฝันจะเป็น ‘คนขับเครื่องบิน’ แต่ด้วยความที่รู้นิสัยตัวเองดีเรื่องความเป็นคนใจคอนักเลง ไม่ยอมใครถ้าตนเองไม่ผิด เกรงจะไม่สามารถครองตนให้อยู่ในระเบียบวินัยได้เหมือนพี่ชาย ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจเบนเข็มไปเลือกเหล่าตำรวจซึ่งเป็นสิ่งที่รักไม่แพ้การเป็นนักบิน

“แน่ะ...เห็นไหม ขนาดพี่เบียร์ยังไม่ชอบเรื่องการใกล้ชิดผู้ใหญ่หรือใช้เส้นสาย เพราะฉะนั้น...เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีกแล้วนะคะ และน้องมิ้วก็ตัดสินใจดีแล้ว” ริมฝีปากอิ่มสีสดยื่นน้อยๆ แขนเรียวกอดอกราวเด็กน้อยแสนงอนคนเก่าเมื่ออยู่ท่ามกลางสมาชิกในครอบครัวในฐานะลูกสาวคนเล็กและคนเดียวของบ้านที่ทุกคนต่างก็รุมเอาใจ

“แต่พี่เป็นห่วงน้องมิ้วนะ ไม่อยากให้น้องไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงอันตรายแบบนั้น น้องมีสิทธิ์ที่จะเลือกที่ที่ปลอดภัยและสะดวกสบายกว่านั้นเยอะ” คนพี่ก็ยังคงดันทุรังอย่างไม่ยอมแพ้ แกล้งหลับหูหลับตาลืมอุดมการณ์ของตัวเองเมื่อครั้งไปปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงอันตรายในพื้นที่สีแดงอย่างอำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลามาหลายปีดีดัก

บุรัสกรซึ่งนั่งเบาะหลังสุดโดยมีหลานชายนอนหลับสบายบนตักเลือกที่จะฟังเงียบๆ เขาอายุห่างจากน้องชายคนรองสามปี สนิทกันมากเพราะเป็นผู้ชายเหมือนกัน วัยใกล้เคียงกัน และโตมาด้วยกัน แต่กับน้องสาวคนเล็กค่อนข้าง ‘ห่าง’ ด้วยอายุที่มากกว่าเกินรอบ ในขณะที่บรมวิชชุ์เป็นคนช่างพูดช่างคุย ชอบกระเซ้าเย้าแหย่ จึงสนิทกับน้องสาวคนเล็กมากกว่า 

“มิ้วรู้แล้วว่าทำไมมิ้วถึงไม่โตสักที” อัศวินีทำหน้างอง้ำ

“ถูกพี่บลูกับพี่เบียร์แย่งกินหมดเหรอคะลูก” อัศวินแสร้งกระเซ้าหวังให้บรรยากาศดีขึ้น แต่ลูกสาวกลับยิ่งหน้างอไปใหญ่

“พ่ออะ...อย่าทำให้น้องมิ้วเขวสิคะ” แล้วหญิงสาวก็หันไปเอ่ยกับพี่ชายคนรองต่อด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด “น้องมิ้วรู้แล้วว่าทุกวันนี้ที่รู้สึกเหมือนไม่โตสักทีก็เพราะมีอะไรพี่เบียร์ก็จะคอยกางปีกปกป้องน้องตลอด ไม่เคยให้สัมผัสความทุกข์ยากลำบากอะไรในชีวิต แต่ก่อนเคยดีใจที่ชีวิตเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ตอนนี้มิ้วชักเริ่มกลัวขึ้นมาเหมือนกัน กลัวว่าวันหนึ่งถ้ามิ้วต้องออกไปใช้ชีวิตในสังคมการทำงานแล้วมิ้วจะเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคได้ยังไง”

คนเป็นพี่ได้ยินประโยคนั้นก็ชักจะน้อยใจขึ้นมาเหมือนกัน ด้วยความที่แม่มีน้องสาวคนเล็กตอนที่ตัวเองเริ่มโตและรู้เรื่องแล้ว ทำให้บรมวิชชุ์แสนจะเห่อน้อง ถึงแม้น้องจะอยู่กับพ่อแม่ซึ่งอยู่กันคนละจังหวัด แต่ก็โทรศัพท์คุยกันแทบทุกวัน และทุกเดือนพ่อกับแม่และน้องก็จะกลับมาบ้านที่อำเภอธาตุพนมตลอด ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องแน่นแฟ้น 

น้องเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ช่างพูดช่างคุยและขี้อ้อนนัก แต่ขณะเดียวกันก็แสนงอนเป็นที่สุดเหมือนกัน ทุกครั้งที่น้องร้องไห้...คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนที่สุดก็คือพี่เบียร์

พอน้องโตเป็นสาว ความน่ารักทำให้มีหนุ่มๆ มาขายขนมจีบมากมาย พี่ชายคนรองก็คอยทำตาเขียวกันท่าทุกคนจนไม่มีใครกล้าจีบ จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อน้องเข้าเรียนระดับอุดมศึกษา ‘เพื่อนรัก’ พิสูจน์ความรักที่มีต่อน้องจนคนพี่ยอมใจอ่อน วางมือให้เพื่อนเข้ามาดูแลน้องแทน แต่ไม่ทันไรก็ดันเกิดเรื่องซะก่อน และนั่นคือเหตุผลสำคัญว่าทำไมบรมวิชชุ์ถึงได้หวงและห่วงน้องนัก

“พี่เบียร์ยุ่งกับชีวิตน้องมิ้วมากเกินไปใช่ไหมคะ” บรมวิชชุ์เอ่ยด้วยความน้อยใจ ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง 

ครั้นแล้วมือเรียวของเรือไฟที่นั่งข้างๆ ก็แตะแขนผู้เป็นสามีเบาๆ คล้ายปรามให้ใจเย็นลง 

พ่อแม่และพี่ชายคนโตเลือกที่จะเงียบ รอดูสถานการณ์ไปก่อน ซึ่งค่อนข้างมั่นใจว่าต้องคลี่คลายไปในทางที่ดี

ในขณะที่อัศวินีก็เหมือนจะรู้ว่าพี่ชายน้อยใจ ความที่สนิทกับพี่มากอีกเช่นกันที่ทำให้หญิงสาวค่อนข้างไวต่ออารมณ์ความรู้สึกของคนเป็นพี่ และเริ่มรู้สึกผิดที่ทำร้ายความห่วงใยของพี่ชาย น้ำเสียงจึงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด 

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ น้องไม่ได้ต้องการจะสื่อว่าพี่เบียร์ยุ่งกับชีวิตของน้อง” ยามอ้อน...เจ้าหล่อนก็แทนตัวเองว่า ‘น้อง’ ได้อ่อนหวานน่าฟังนัก 

“น้องชอบนะคะเพราะน้องรู้ว่าพี่เบียร์เป็นห่วงน้อง แต่บางเรื่องน้องก็อยากจะตัดสินใจด้วยตัวเองบ้าง ถ้าตัดสินใจผิดหรือพลาดไป น้องก็จะได้ไม่ต้องไปหาเรื่องโทษคนอื่น ส่วนเรื่องทำงาน...น้องขอตัดสินใจเองนะคะ” เสียงตอนท้ายออกแนวอ้อนแบบที่ทำให้ใครต่อใครใจอ่อนมานักต่อนักแล้ว 

พอคนพี่รู้ว่าตัวเองเป็นต่อก็ได้ทีเอ่ยเสียงเข้มว่า “งั้นไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ใต้”

“ทำไมคะ...มีเหตุผลอะไร” 

“จะให้พี่พูดตรงๆ ไหมว่าพี่ห่วงน้อง พี่กลัวน้องมิ้วไปเจอไอ้ซันแล้วมันจะทำให้น้องของพี่เสียใจอีก!”

อัศวินีเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง ถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นการเป็นงานว่า

“สำหรับมิ้วแล้ว จบก็คือจบค่ะ มิ้วไปใต้ไม่ใช่เพราะใคร แต่มิ้วไปเพราะอุดมการณ์ของตัวเอง”

“อุดมการณ์ของน้องมิ้วคืออะไรคะ” บรมวิชชุ์เริ่มพาล ไม่ยอมจนมุมง่ายๆ 

เรณียิ้มบางๆ เมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี แต่อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าด้วยความระอาระคนขบขันปฏิกิริยาของลูกชายคนรอง

ไอ้คนพี่ก็ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ เรื่องดันทุรังทั้งที่รู้ว่าตัวเองผิด ทำตัวเหมือนปลาไหลมุดดินแข็งละก็...ได้พ่อมาเต็มๆ ลูกพ่อจริงๆ

คนเป็นแม่แอบค่อนขอดสามีด้วยความหมั่นไส้อยู่ในใจ

อัศวินียืดอก เชิดหน้าเมื่อท่องคำปฏิญาณด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าพเจ้าใช้ความรู้ความสามารถที่ได้รับประสิทธิ์ประสาทจากสถาบันการศึกษาของข้าพเจ้าไปใช้ประโยชน์แต่ในทางที่เป็นคุณ เพื่อประโยชน์สุขของเพื่อนมนุษย์ทั้งปวง อ้อ...คงไม่แตกต่างกับที่ตำรวจไทยชอบร้องกรอกหูพยาบาลทุกวันใช่ไหม...เกียรติตำรวจของไทย เกียรติวินัยกล้าหาญมั่นคง ต่างซื่อตรงพิทักษ์สันติราษฎร์นั้น...” และมิวายที่จะเหน็บเอาด้วยความหมั่นไส้

“ตกลงตำรวจกับพยาบาลจะกินอุดมการณ์กันแทนข้าวใช่ไหม ดีเลย...งั้นเย็นนี้อดีตผู้ว่าฯ และอดีตนายกเหล่าฯ จะไปกินอาหารญี่ปุ่นกัน ส่วนตำรวจกับพยาบาลจะกินอุดมการณ์ก็เชิญ...ตามสบาย” อดีตนายกเหล่ากาชาดเอ่ยหน้าตาเฉย 

ลูกสาวรีบหันมาประท้วงทันที “แน้...แม่อะ ไหงมาลอยแพกันง่ายๆ แบบนี้ล่ะคะ”

“อ้าว...ก็เห็นจะกินอุดมการณ์กัน แม่ก็นึกว่าคงอิ่มแล้ว ดี...ไม่เปลือง เดี๋ยวคนอุดมเกินจะไปกินแซมอนกัน ดีไหมพี่บลู พี่ปุ้น” อดีตนายกเหล่ากาชาดหันมาหาแนวร่วม

เรือไฟอมยิ้มขันๆ ความน่ารักของแม่สามี ขณะที่บุรัสกรก็ยิ้มน้อยๆ แม่น่ารักเสมอ ทุกครั้งที่สมาชิกมีเรื่องลับฝีปากกัน แม่จะฟังเงียบๆ และมีทางออกที่น่ารัก เหมาะสม อย่างเช่นคราวนี้

ครั้นสงครามสงบลง เรณีจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “พี่เบียร์รักน้อง เป็นห่วงน้อง น้องมิ้วก็รู้ แต่บางครั้ง...ความรัก...ก็ต้องมีขอบเขตที่เหมาะสม เหมือนอย่างที่น้องบอก ต้องปล่อยให้น้องเรียนรู้ที่จะเผชิญโลก เรียนรู้ที่จะเผชิญความผิดหวังด้วยตัวเองบ้าง ไม่อย่างนั้นวันหนึ่งถ้าไม่มีพวกเรา น้องก็จะลำบาก”

“เห็นไหม...แม่ก็ยังเข้าข้างน้องมิ้วเลย” อัศวินีรีบสำทับพลางยิ้มเป็นต่อ ขอเกทับสักนิดก็ยังดี

“แม่ไม่ได้เข้าข้างใคร แต่แม่กำลังจะสอนเหมือนที่แม่เคยบอกลูกเสมอว่า...อย่าหวงหรือห่วงใครมากเกินไปเพราะมันเหมือนเป็นดาบสองคม ถ้าเราประคบประหงมมากเกินไป วันที่ไม่มีเรา เขาก็จะลำบากในการใช้ชีวิตตามลำพัง ขณะเดียวกันก็อย่าคิดว่าถ้าไม่มีเราแล้วคนอื่นจะอยู่ไม่ได้ แรกๆ ที่ไม่มีเรา เขาก็อาจจะใช้ชีวิตขลุกขลักบ้าง แต่สุดท้ายทุกคนก็มีสัญชาตญาณของการปรับตัวและเอาตัวรอดทั้งนั้น เพราะฉะนั้นพี่น้องเป็นห่วงกันได้ แต่ให้พอดี และก็ต้องฝึกให้ยืนได้ด้วยตัวเองเพื่อที่อีกคนจะได้ไม่ลำบากเกินไปนักในวันที่ต้องออกไปใช้ชีวิตตามลำพัง”

คำพูดของแม่ทำให้นายตำรวจหนุ่มนิ่งเงียบ ด้วยเห็นคล้อยตามที่แม่ว่า ขณะที่อัศวินีก็กอดแขนเอียงคอซบไหล่แม่ด้วยกิริยาออดอ้อนก่อนเอ่ยว่า  

“ขอบคุณมากนะคะแม่ขอบคุณแม่ที่ให้ข้อคิดดีๆ สำหรับลูกเสมอ น้องมิ้วรักแม่ รักพ่อ รักพี่บลู พี่เบียร์ พี่ปุ้น และทุกๆ คนในครอบครัวของเรา ครอบครัวของเราอบอุ่นเสมอ มิ้วมั่นใจว่าความรักความอบอุ่นจากครอบครัวจะทำให้มิ้วมีภูมิต้านทานเวลาออกไปเผชิญโลกภายนอก และถ้าวันไหนที่มิ้วไม่ไหวจริงๆ มิ้วจะคิดถึงบ้านของเราเป็นอันดับแรก เพราะบ้านของเราอบอุ่นและปลอดภัยเสมอ” 

อัศวินและเรณีต่างส่งยิ้มให้กันด้วยความโล่งอกระคนอิ่มเอิบใจ แค่ได้ยินลูกบอกว่าจะคิดถึงบ้านเป็นอันดับแรกเพราะบ้านคือที่ที่อบอุ่นและปลอดภัย...ก็เท่ากับที่พ่อกับแม่เพียรพยายามปลูกฝังให้ลูกรู้สึกรักและผูกพันกับครอบครัวมาตั้งแต่เล็กจนโตประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

 

บ้านสองชั้นบนเนื้อที่เกือบร้อยตารางวาร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่และสีสันสดใสของไม้ดอกที่ปลูกโดยรอบ เมื่อสมัยที่พ่อยังรับราชการในกองทัพ บ้านเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเสียงพูดคุยของสมาชิก แต่หลังจากพ่อเปลี่ยนสายงานไปอยู่กรมการปกครอง ต้องไปรับราชการต่างจังหวัดและโยกย้ายเป็นประจำ บ้านก็ถูกปิดไว้ แต่ก็ไม่โทรมเพราะญาติพี่น้องที่มาเรียนหรือมาทำงานที่กรุงเทพฯ  แวะเวียนมาพัก ช่วงที่บุรัสกรและบรมวิชชุ์เรียนโรงเรียนนายร้อย พอออกจากโรงเรียนก็พาเพื่อนมากินมานอนที่บ้านเป็นประจำ

อย่างไรก็ตาม...แม้ว่าสมาชิกในครอบครัวจะไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน กระนั้นแล้วความรักความผูกพันของพี่น้องก็ยังคงเหนียวแน่นไม่เสื่อมคลาย

หลังรับประทานอาหารญี่ปุ่น พอกลับเข้าบ้าน สมาชิกก็นั่งโอภาปราศรัยกันครู่ใหญ่ ก่อนแยกย้ายเข้าห้องส่วนตัว 

มือเรียววางกล่องของขวัญและช่อกุหลาบขาวบนโต๊ะข้างเตียง ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรงเพื่อระงับความเจ็บปวดในใจที่พวยพุ่ง ยามอยู่ต่อหน้าผู้คนเธออาจจะยิ้มได้ หัวเราะเสียงดังคล้ายมีความสุขเต็มประดา แต่ยามอยู่ตามลำพังเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่เจ็บได้ และร้องไห้เป็น    

เรื่องราวความรักที่สุดท้ายก็จบลงด้วยหยาดน้ำตาของเธอนั้น คนรอบข้างต่างรู้ดี เมื่อแรกที่มีชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นเพื่อนรักกับลูกชายคนรองมาจีบลูกสาว ‘คุณนายบี’ ยิ้มกว้างถูกใจเพราะชอบพอนิสัยใจคอกันมาแต่ไหนแต่ไร แถมฝ่ายชายยังมีดีกรีเป็นนายตำรวจอนาคตไกล เป็นลูกชายของเพื่อนรุ่นพี่สมัยเรียนมัธยมที่เมืองสกลนคร สมองอันปราดเปรื่องรีบคำนวณฉับไว บ้านนี้มีลูกชายสองคน ลูกสาวคนเล็กหนึ่งคน ที่บ้านมีที่ทางหลายร้อยไร่ หน้าตาดี นิสัยใจคอดี หน้าที่การงานมั่นคง ดูแววแล้วอนาคตไกล มือเรียวของคนเป็นแม่จึงกดไฟเขียวฉับ

...

‘เต็ม 10 แม่ให้ 1,000 ขาดตัว!’

คนเป็นพ่อกลับทำหน้าดุ แสร้งบอกด้วยน้ำเสียงขึงขังทั้งที่ดวงตาเป็นประกายราวกับจะยิ้มได้ว่า ‘ไม่ได้! บ้านนี้ไม่ต้อนรับลูกเขยตำรวจ แค่ลูกชายเป็นตำรวจก็แทบจะตัดออกจากกองมรดกอยู่แล้ว’

คนรอบข้างต่างลอบยิ้มด้วยความขบขันด้วยรู้ถึงที่มาของประโยคนั้นดี จะไม่ให้ขันได้อย่างไร...ก็แฟนเก่าสมัยพระเจ้าเหาของ คุณนายบีเป็นตำรวจ แม้เรณีตกลงปลงใจแต่งงานกับนายทหารหนุ่มลูกทัพฟ้าจนมีพยานรักถึงสามคน แต่ลุงณุก็ยังครองความโสดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น พอมีหลาน...แฟนเก่าที่ผันตัวเองเป็นพี่ชายก็ค่อยๆ เลื่อนฐานะขึ้นเป็นลุงที่น่ารักของหลานๆ และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี ลุงก็ยังครองความเป็นโสดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น

เรณีแอบย่นจมูก ดวงตาเป็นประกายแจ่มใสซุกซนไม่แพ้ลูกสาว หากยามสบตากัน ใบหน้าจิ้มลิ้มพลันยิ้มหวานจ๋อยจนตาหยี งัดเอามารยาหญิงที่เพียรฝึกมาตั้งแต่สาวยันแก่มาใช้ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่ค่อยได้ผลเท่าใดนักเพราะสามีไม่ค่อยยอมแกล้งทำตัวเป็นผู้ชายโง่ๆ หรือตามไม่ทันสักที

‘แหม...ก็เด็กๆ ชอบกัน เราจะไปกีดกันทำไมคะ ลูกคบกันอยู่ในสายตาเรายังดีกว่าแอบคบกันไม่ใช่เหรอคะ...คุณสามีสุดที่รัก’

ผู้เป็นสามีสะบัดหน้าพรืดราวหนุ่มน้อยขี้งอนยามอยู่กันตามลำพัง บอกเสียงแข็งขึงขังว่า ‘ไม่! คำไหนคำนั้นด้วย’

ภรรยาหัวเราะคิกด้วยความขบขัน ครั้นแล้วคนที่สะบัดหน้าเมื่อครู่ก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อมือเรียวจิ้มนิดๆ ที่เอวด้วยความหมั่นไส้ ‘นี่แน่ะ...นี่แน่ะ...!’

‘เฮ้บี...ไม่เอา ไม่เล่นนะ แก่แล้ว เล่นเป็นเด็กไปได้’

‘ก็แหม...ก็แก่แล้วน่ะสิ แต่คนบางคนยังงอนตุ๊บป่องเหมือนเด็กอยู่เลย นี่แน่ะ...นี่แน่ะ ขี้งอนดีนัก’

เสียงหัวเราะคิกคักของคนแก่ลืมวัยสองคนดังผสานกันพลอยให้ลูกๆ ต่างมองตากันปริบๆ ก่อนจะยิ้มและส่ายหน้าด้วยความขบขันกับความน่ารักที่เกิดขึ้นเป็นประจำของผู้ให้กำเนิดทั้งสอง

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคุณพ่อที่แสนจะหวงลูกสาวเพราะหนุ่มที่มาจีบดันเป็นตำรวจเหมือน ‘กิ๊กเก่า’ คุณนายบี กระนั้นแล้วนายตำรวจหนุ่มก็มิได้ย่อท้อ ยังคงเพียรพยายามฝ่าด่านสายตาดุๆ ของพ่อ อาศัยความนอบน้อมสม่ำเสมอเข้าทางแม่ (ที่แสนจะเต็มใจยิ่ง) จนสาวเจ้าใจอ่อน ยอมให้แหวนญาติ นรต. (นายร้อยตำรวจ) เข้าไปสวมในนิ้วเรียวได้สำเร็จเมื่อหญิงสาวเข้าเรียนระดับอุดมศึกษา

แม้บรมวิชชุ์และกลินท์จะสำเร็จการศึกษาด้วยคะแนนอันดับต้นๆ ของรุ่น มีสิทธิ์เลือกสถานที่ทำงานก่อนใครเพื่อน แต่ทั้งสองต่างก็สมัครใจเลือกเป็นตำรวจตระเวนชายแดนไปปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้าที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาความสงบของดินแดนปลายด้ามขวาน โดยมีสาวน้อยร่างเล็กแบบบางให้คำมั่นสัญญาว่า

‘เอาไว้น้องมิ้วเรียนจบ น้องจะลงไปทำงานที่ใต้กับพี่ซันนะคะ น้องอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์กับสังคมบ้าง ถึงแม้จะเป็นเพียงนอตตัวเล็กๆ ของเครื่องจักร แต่น้องก็ภูมิใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งซึ่งทำให้เครื่องจักรเดินหน้าต่อไปได้’

ระยะทางที่ห่างไกลไม่มีอะไรรับประกันความสัมพันธ์ นอกจากความไว้วางใจและเครื่องมือสื่อสารไร้สายที่โทร. เติมกำลังใจให้กันและกันเป็นประจำ 

อัศวินีไม่คิดเล็กคิดน้อยถ้าเขาจะเที่ยวหรือปลดปล่อยบ้างตามธรรมชาติของผู้ชาย เพราะเธอก็ไม่อาจดูแลในเรื่องนี้ได้จนกว่าจะเรียนจบและแต่งงานถูกต้องตามกฎหมายและประเพณี นั่นทำให้ชายหนุ่มยิ่งเกรงใจ กลินท์มั่นใจว่าเขาไม่มีทางทำผิดต่อเธอเพราะปกติเขาก็ไม่ใช่คนชอบเที่ยวหรือดื่มเหล้าเคล้านารีอยู่แล้ว แต่สุดท้าย...ชายหนุ่มก็พลาดจนได้

อัศวินียิ้มทั้งน้ำตาเมื่อรู้ว่า...พี่ซัน...ต้องแต่งงาน แถมยังแซวทั้งสะอื้น

‘ถ้ามีเจ้าตัวเล็ก น้องมิ้วขอเป็นอานะคะ ขอให้...พี่ชาย...โชคดี...รักพี่สะใภ้ให้มากกว่าที่เคยบอกน้องมิ้ว’ มือเรียวกระพุ่มไหว้พร้อมค้อมศีรษะด้วยความอ่อนโยน ยามเงยหน้าขึ้นสบตารอยยิ้มนั้นช่างอ่อนหวานนัก แต่แววตาปวดร้าว

ร่างสูงที่เคยผจญทั้งการถูกลอบยิงและการวางระเบิดมาแล้วนับไม่ถ้วนจากเหตุการณ์ไฟใต้ระอุ ยามนี้...ทั้งใบหน้าและแววตาดูอ่อนล้ายิ่งนัก

‘ถึงแม้พี่ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขความผิดพลาดที่ทำกับน้องมิ้วได้ แต่พี่อยากบอกว่า...ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหนๆ พี่ซันก็ยังคงรักและเป็นห่วงน้องเหมือนเดิม พี่จะคอยดูแลอยู่ห่างๆ ภาวนาให้น้องเจอคนที่รักน้อง และ...ไม่ทำให้น้องเสียใจเหมือนที่พี่ทำ’

หลังจากวันนั้นเส้นทางระหว่างคนทั้งคู่ก็กลายเป็นเพียงเส้นขนาน รู้ข่าวคราวรู้ความเป็นไปของกันและกันจากเพื่อนฝูงคนรอบข้าง แต่ไม่มีแม้แต่การพบเจอหรือพูดคุยทางโทรศัพท์ และคนที่บอกว่าจะคอยดูแลอยู่ห่างๆ ก็ทำตามที่บอกโดยส่งของฝากจากใต้มาให้ ‘น้องสาว’ เหมือนเช่นที่เคยปฏิบัติ ทำหน้าที่ ‘พี่ชายที่ดี’ สมกับที่เคยเอ่ยปาก แต่น้องสาวทำได้ดีที่สุดเพียงแค่ส่งข้อความสั้นๆ ไปขอบคุณเท่านั้น   

ตราบจนกระทั่ง ‘พี่สะใภ้’ คลอดหลานชาย ข่าวจากเพื่อนของทั้งสองฝ่ายอีกเหมือนกันบอกว่าพี่ชายและภรรยาแยกกันอยู่ และฝ่ายชายก็หอบลูกไปให้แม่เลี้ยงที่สกลนคร บรรดากองเชียร์ต่างลุ้นให้กลับมาคบกันอีกครั้ง แต่ทั้งสองไม่แสดงท่าทีอะไร จนในที่สุดกองเชียร์ต่างก็ล่าถอยกันไปเอง

...  

บัณฑิตสาวหมาดๆ มองโทรศัพท์มือถือด้วยความชั่งใจอยู่นาน 

จะส่งข้อความไปขอบคุณเหมือนเช่นทุกครั้ง หรือจะยกหูโทร. ไปขอบคุณดี 

ความรู้สึกส่วนลึกเธอก็ยังปรารถนาที่จะได้ยินเสียงคนที่อยู่ปลายสาย พอปลายนิ้วทำท่าจะกดเบอร์ที่จำได้ขึ้นใจ แต่สุดท้ายความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็ทำให้ต้องตัดใจ

แม้จะรู้ว่าทั้งคู่แยกกันอยู่ แต่หญิงสาวก็ไม่ต้องการเข้าไปแทรกกลางความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานอยู่แล้วให้ยิ่งมีรอยแยกมากกว่าเดิม และมากไปกว่านั้นแล้ว อัศวินีพยายามที่จะตอกย้ำกับตัวเองเสมอ

คนทุกคนมีอนาคตที่จะต้องก้าวไปข้างหน้า ไม่มีประโยชน์กับการร่ำร้องเรียกร้องหาอดีตที่ไม่อาจหวนคืน...เจ็บแล้วต้องจำ!

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น