6

6

6

 

ฟ้าฝนช่างไม่เป็นใจเอาซะเลย ทันทีที่ลงเครื่อง เมฆก็ดำทะมึน และทิ้งเม็ดฝนใหญ่ๆ ลงมา อัศวินีรีบจ้ำอ้าวตามผู้โดยสารคนอื่นๆ เข้าไปในอาคารผู้โดยสารขาเข้า ก่อนที่ฝนจะเทลงมาอย่างหนัก มองไปทางไหนก็ขาวโพลนไปหมด หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ 

หมด...หมดกัน...! อุตส่าห์แต่งตัวสวยมา เผื่อจะเจอหนุ่มในเครื่องแบบ ดันมาเจอฝนเปียกม่อลอกม่อแลกยิ่งกว่าลูกหมาตกน้ำซะอีก

“มิ้ว! ทางนี้” ปฏิสังขรณ์โบกมือหย็อยๆ ยิ้มกว้างแจ่มใส 

หัวใจอัศวินีเต้นแรงขึ้นเมื่อเห็นคนที่ยืนข้างๆ เพื่อน

บุรุษร่างสูงใหญ่ในชุดเครื่องแบบสีกากีที่แสนจะ Get smart... โอ้...มายกอด

เหมือนโลกหยุดหมุน...สรรพสิ่งหยุดการเคลื่อนไหว แขนแข็งแรงกางกว้างพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นที่ยังคงตราตรึงในใจ

‘น้องมิ้ววว...’

‘พี่ซันนนน...’

เสียงนั้นเทียบไม่ได้กับเสียงหัวใจเต้นระรัว เท้าบอบบางเคลื่อนช้าๆ เหมือนภาพสโลว์โมชัน

ตึ้ก...ตึ้ก...ตึ้ก

อีกนิดเดียว...นิดเดียวก็จะถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นของพี่ซันอยู่แล้ว

ปึ้ก!

“โอ๊ย!”

แรงกระแทกส่งให้ร่างแบบบางกระเด็นล้มก้นกระแทกพื้นอย่างไม่เป็นท่า ขณะที่ผู้ชายร่างสูงล่ำสันที่ขวางทางเธอกลับไม่สะเทือนแม้แต่น้อย 

หมด...หมดกัน...! หมดสวยพอดี...แถมยังไม่มีเลย...ฉากสวีตเหมือนในนิยายน้ำเน่าที่พระเอกต้องโอบประคองนางเอกก่อนที่จะล้มให้อับอายขายขี้หน้าประชาชี

แต่อัศวินีก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองเสียฟอร์มนาน หญิงสาวรีบดีดตัวยืนตรง เม้มริมฝีปากแน่น ตาเขียวปั้ด 

คนอะไร! ขวางทางแล้วยังไม่รู้จักขอโทษ!

แต่ครั้นเห็นหน้า ‘คนขวางทาง’ เข้าจริงๆ ใบหน้างอหงิกก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแกมนิ่วหน้าหน่อยๆ เรียกว่ามารยาหญิงถูกงัดออกมาใช้โดยไม่ต้องมีใครสอน 

โอ้...ว้าว! ผู้ชายอะไร สูงใหญ่ล่ำสัน กล้ามอกและกล้ามแขนหรือก็แน่นน่ากัด หน้าเข้ม ตาคมดุ แถมยังไว้เครารกเขียวครึ้มเต็มคางและข้างแก้มด้วย อ๊าย! ตายแล้ว! ดุ ดิบ เถื่อน ถูกใจใช่เลย

“ขอโทษครับ เจ็บไหมครับ” 

ประโยคสั้นๆ แต่แสนจะนุ่มนวล พอคลี่ยิ้มนิดๆ ใบหน้าที่ดูดิบเถื่อนก็คลายความดุดันลง 

อ๊าย!...ตายแล้ว...หน้าตาก็แสนจะเถื่อนได้ใจ แถมเสียงก็ยังห้าวทุ้มเซ็กซี่ชะมัด ใจจะวาย แกล้งเข่าอ่อนอีกทีดีไหม 

อัศวินียิ้มนิดๆ แสร้งทำหน้าแหย ตาหยีหน่อยๆ แบบที่รู้ว่าทำแล้วน่ารัก มารยาหญิงที่มีถูกงัดออกมาใช้เพื่องานนี้โดยไม่มีออม

ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับราวกับเด็กซุกซนไม่อาจลอดพ้นตาคมกริบราวเหยี่ยวของชายหนุ่มไปได้ ดวงตาคู่คมจึงปรากฏรอยคล้ายขบขัน ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว แทนที่ด้วยความดุดันเช่นเดิม

“ขอโทษนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันซุ่มซ่ามเอง”

‘พี่เถื่อน’ (หญิงสาวตั้งชื่อให้เองเสร็จสรรพ) ค้อมศีรษะนิดๆ ก่อนเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

ถ้าอัศวินีช่างจดจำสักนิด...สายตายาวกว่านี้สักหน่อย เธอคงร้องอ๋อ เพราะผู้ชายที่เธอบังเอิญชนเมื่อครู่เป็นคนเดียวกับนายทหารหนุ่มที่เธอเพิ่งเจอเขาในระยะร้อยเมตรที่โรงพยาบาลเมื่อไม่กี่วันนี้เอง

หญิงสาวชะเง้อมองตามอีกฝ่ายจนลับสายตา มือเช็ดน้ำลายที่ไหลมุมปาก อืม...หล่อล่ำ เถื่อนถูกใจเป็นที่สุด แต่เสียดายว่าไม่ใช่หนุ่มในเครื่องแบบ ไม่งั้นอัศวินีจะกรี๊ดให้สลบเลย 

อิๆๆ...จริงๆ ก็พูดไปงั้นแหละ ตัวจริงแล้วอัศวินีออกจะเริ่ด เชิด หยิ่ง...? หราาา?

“แหม...แก เห็นผู้ชายดูดิบๆ เถื่อนๆ หน่อยเป็นไม่ได้นะยะ ตางี้เชื่อมเชียว ยิ่งกว่าคนเมากัญชาซะอีก ชิ! หมั่นไส้” ปฏิสังขรณ์ฟาดแขนเพื่อนเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ เธอก็ยังไม่ทันเห็นหน้าค่าตาผู้ชายคนนั้นชัดหรอก เห็นเพียงแค่หลังไวๆ แต่เห็นลักษณะท่าทางและการแต่งกายแล้วรู้เลยว่าสเปกของเพื่อนสาว 

อัศวินียิ้มกว้างแจ่มใสพลางยกมือไหว้สามีเพื่อนในชุดเครื่องแบบสีกากีเต็มยศ

ปรมัตถุ์รับไหว้ ก่อนรีบยื่นมือมาช่วยเข็นกระเป๋าเดินทางให้ 

“ขอบคุณมากค่ะพี่ปืน” กล่าวก่อนหันไปทางเพื่อนสาว “ก็แล้วไงอ้ะ ก็แกเพิ่งบอกเองไม่ใช่เหรอ การมีกิ๊กเป็นลาภอันประเสริฐ”

คนที่เข็นกระเป๋าเดินทางตามหลังกระแอมเบาๆ คล้ายมีอะไรติดคอ 

ปฏิสังขรณ์ค้อนขวับ “เพื่อนเลว! ฉันไม่น่าถ่อสังขารมารับแกเลย” แล้วอาจารย์สาวก็รีบปรับโหมดทันควันยามหันกลับไปยิ้มหวานจ๋อยให้ผู้เป็นสามีแทนการงอนง้อ

สาวโสดกลอกตามองบน ทำหน้าเซ็ง “ขอร้องเหอะ อย่ามาสวีตตอนนี้ได้ไหม สงสารคนไม่มีแฟนมั่ง”

ปรมัตถุ์หัวเราะเบาๆ รีบเสนอทันที

“เพื่อนพี่ที่ยังไม่แต่งงานก็หลายคนนะน้องมิ้ว จะรับไว้พิจารณาสักคนไหม เดี๋ยวหามาให้” 

อัศวินีส่ายหน้าดิกจนผมกระจาย

“ขอบคุณค่ะพี่ปืน แต่อย่าดีกว่า มิ้วไม่อยากเป็นคุณนายแล้ว”

“อ้าว...ทำไมล่ะ ไหนแต่ก่อนเคยบอกจะเป็นคุณนายไง แฟนทหารนับขวด แฟนนับตำรวจนับแบงก์น้า” เสียงตอนท้ายคล้ายกำลังล่อหลอกเด็ก

“อืม...พี่ปืนน่าจะยังไม่เคยได้ยินสโลแกนใหม่”

คนฟังเลิกคิ้ว

“สโลแกนอะไรของแกอีกวะ” ปฏิสังขรณ์เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“แฟนทหารนับขวด แฟนตำรวจนับเมีย” อัศวินีเอ่ยหน้าตาเฉย ทำเอานายตำรวจหนุ่มถึงกับสะดุ้ง ไม่รู้เจ้าตัวจะฝากไปถึงใครหรือเปล่าสิ 

ปฏิสังขรณ์หัวเราะคิกชอบใจเพราะรู้ถึงความนัยนั้น 

สองสาวเดินนำหน้าคุยกันกระจุ๋งกระจิ๋งตามประสาผู้หญิงราวกับไม่เจอกันมาแรมปี ทั้งที่ปกติก็คุยโทรศัพท์กันแทบทุกวันระหว่างที่ปรมัตถุ์ยกกระเป๋าขึ้นท้ายรถ อัศวินีก็รีบแอบกระซิบกับเพื่อนว่า 

“ทำไมวันนี้พี่ปืนต้องแต่งเครื่องแบบมาด้วยวะแก ก็ไหนเคยได้ยินเขาว่ากันว่าตำรวจแถวนี้ส่วนใหญ่แต่งนอกเครื่องแบบกัน จะได้ไม่ตกเป็นเป้าไง”

“พอดีมีงานนิดหน่อย แต่ตอนนี้เรียบร้อยแล้ว ทำไม”

“แกน่าจะรู้นะว่าเพื่อนแกสายตาสั้น เห็นเครื่องแบบแล้วตาลาย”

ปฏิสังขรณ์ตาโต “ต๊าย...อย่าบอกนะว่าแกเห็นพี่ปืนของฉันเป็นพี่ซันของแก”

อัศวินีกระโดดปิดปากอีกฝ่ายแทบไม่ทัน ขณะที่ปรมัตถุ์เหลือบมองนิดหนึ่ง ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นเหมือนสามีเพื่อนอมยิ้มนิดๆ ยามนี้หญิงสาวนึกอยากจับหัวยายนางมารโขกกับเสาลานจอดรถซะให้รู้แล้วรู้รอด ไม่รู้เผลอหลุดหรือจงใจอุทานให้เพื่อนอับอายขายขี้หน้ากันแน่สิ ไอ้เพื่อนเลว!

 

รถของปรมัตถุ์แล่นฉิวออกจากหาดใหญ่ ถนนที่ผ่านนานๆ ถึงจะมีรถสวนมาที สองข้างทางบางช่วงเป็นทุ่งนาสลับกับป่าสวนยางหนาทึบ แม่คนที่มีจินตนาการสูงส่งเป็นทุนเดิมมองซ้ายขวาด้วยท่าทางระแวงก่อนชะโงกหน้าไประหว่างเบาะ

“แหม...ดูเปลี่ยวๆ ยังไงไม่รู้นะ รู้สึกเย็นๆ เยือกๆ พิกล นี่ถ้าเกิดมีผู้ก่อความไม่สงบโรยเรือใบให้รถยางรั่วแล้ววิ่งออกมาจากป่ากราดยิง เราจะทำไงดี”

ปฏิสังขรณ์หันมาค้อนขวับทันที “หุบปากไปเลยแก...ไอ้มิ้ว! แหม...ปากไม่เป็นมงคลเลยนะ มันไม่ใช่นิยายน้ำเน่าที่แกชอบอ่านนะยะแม่คุณ แล้วก็...ไม่มีหรอกนะที่พอรถโดนเรือใบ คนร้ายกำลังจะกราดยิง แล้วพระเอกก็พาลูกน้องมาช่วยได้ทันเวลา นี่มันชีวิตจริงนะยะ”

คนช่างจินตนาการยิ้มแหยๆ แต่แววตาทะเล้น ตอนแรกก็ตั้งใจจะล้อเล่นขำๆ แต่ไปๆ มาๆ ก็ชักจะหวั่นๆ ขึ้นมาจริงๆ

ระหว่างการเดินทางนั้นคนที่เคยอยู่ในพื้นที่มาก่อนเล่าให้ผู้มาใหม่ฟังถึงสภาพแวดล้อมทั่วๆ ไป รวมถึงวัฒนธรรมประเพณีบางอย่างเพื่อให้ง่ายต่อการปรับตัว 

พอเข้าเขตชุมชนก็เริ่มมีรถราสัญจรไปมามากขึ้น แต่อัศวินีสังเกตว่าร้านค้าค่อนข้างบางตา โดยเฉพาะร้านน้ำชาที่ในอดีตเคยเป็นที่ชุมนุมพบปะกันของผู้คนในท้องถิ่นวันนี้กลับดูเงียบเหงา นับตั้งแต่ร้านน้ำชาหลายๆ ร้านตกเป็นเป้าวางระเบิด

“ที่นี่พอใกล้ค่ำหน่อยชาวบ้านก็เข้าบ้านเงียบกันหมดแล้วนะมิ้ว เพราะฉะนั้นก็ทำใจหน่อยละกัน อาจจะเหงาหน่อย”

“ไม่เป็นไรหรอก อาหารตาเยอะ” หญิงสาวทำตาปรอยๆ เมื่อรถผ่านหน้าค่ายทหาร 

ปฏิสังขรณ์กลอกตามองบน ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ฉันละเซ็งแกจริงๆ เลย ไอ้โรคบ้าเครื่องแบบนี่มันรักษาไม่หายเลยใช่ไหม” แม้จะเป็นครูบาอาจารย์ที่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้นักศึกษาพยาบาลทุกเรื่อง แต่ปฏิสังขรณ์ก็จะ ‘มีมาด’ เฉพาะยามอยู่ต่อหน้าสาธารณชนเท่านั้น ยามอยู่ในที่รโหฐานหรืออยู่กับเพื่อนๆ เวลาคุยกันก็วะ โว้ย ฉัน แกตามประสาเพื่อนสนิท แต่ไม่ถึงขั้นมึงมาพาโวย

“แหม....ก็รู้ๆ กันอยู่นี่นะ อิๆๆ แต่ฉันก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนนี่นา...ใช่ไหม อ้อ...แล้วก็คนไม่มีแฟนด้วย จะมีกิ๊กมีกั๊กมีเด็กในสังกัดกี่คนก็ไม่น่าเกลียด”

“เชื่อเลย เฮ้อ!” ปฏิสังขรณ์มองบนอีกรอบ ขณะที่ปรมัตถุ์ได้แต่อมยิ้มขบขัน 

อัศวินีมองข้างทางที่ผ่านด้วยความสนใจ พยายามเก็บทุกรายละเอียดเผื่อเป็นประโยชน์ในวันข้างหน้า แม้จะเสพข่าวสารจากทางหน้าจอโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต หนังสือพิมพ์ และสื่ออื่นๆ เกี่ยวกับผลกระทบจากสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ แต่พอได้มาเห็นภาพจริงๆ ก็ยังอดสะท้อนในอกไม่ได้ 

ทหารในชุดลายพรางถืออาวุธครบมือเดินสวนสนามกันให้เกลื่อนเมือง บ้านเรือนบางหลังปิดเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ บางแห่งมีร่องรอยของการถูกระเบิดเสียหาย บรรยากาศชวนให้นึกถึงประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศที่ยังคุกรุ่นด้วยควันสงคราม ทั้งที่ผืนแผ่นดินนี้คือประเทศไทย 

“มาเห็นแล้วรู้สึกหดหู่ยังไงไม่รู้นะ เหมือนไม่ใช่ประเทศไทยที่สงบร่มเย็น สงสารคนในพื้นที่จัง” หญิงสาวเอ่ยด้วยความหดหู่กับภาพที่เห็น

“ฮื่อ...อย่าว่าแต่คนในพื้นที่เลย ตำรวจทหารที่ถูกส่งมาปฏิบัติหน้าที่ก็น่าสงสารน่าเห็นใจเหมือนกัน ทำงานเสี่ยงอันตรายที่มองไม่เห็นคนทำ ไม่รู้ว่าเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางไหน ห่างบ้าน ห่างครอบครัว แล้วยังไม่รู้ว่าวันนี้ออกปฏิบัติภารกิจแล้วจะมีโอกาสกลับมาพร้อมลมหายใจติดร่างไหม”

“เจ้าหน้าที่ที่ถูกส่งมาหรืออาจจะมาด้วยความสมัครใจก็แล้วแต่ ส่วนใหญ่ก็ทำใจแล้วทั้งนั้น มันเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องรักษาความสงบของบ้านเมือง” ปรมัตถุ์เอ่ยขึ้นมาบ้างด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

ปฏิสังขรณ์หันไปยิ้มด้วยความภาคภูมิใจในตัวสามี ก่อนจะถอนหายใจยาวเมื่อเอ่ยกับเพื่อนสาวว่า

“ถึงจะเข้าใจว่าเป็นหน้าที่ แต่ในฐานะที่เป็นเมียตำรวจคนหนึ่ง บางครั้งฉันก็อดที่จะอึดอัดคับแค้นใจไม่ได้ บ่อยครั้งที่คิดว่าคนที่ทำเขาทำไปเพื่ออะไร เขาไม่คิดถึงจิตใจคนอื่นบ้างเหรอ ไม่คิดถึงทหารตำรวจที่มาทำงานเสี่ยงถูกกระสุนปืนถูกลูกระเบิด ถ้าเผื่อเป็นอะไรไปแล้วคนข้างหลังจะทำอย่างไร ลูกเมีย...ครอบครัว มีกี่ปากกี่ท้องที่ต้องดูแลรับผิดชอบ” เสียงสั่นเครือมากมายด้วยความกดดันในจิตใจที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด 

อัศวินีสัมผัสแขนเรียวบางของเพื่อนสาวด้วยความอาทร แม้จะเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับเพื่อนสาวแต่ก็ยังอดที่จะปากเปราะหวังคลายบรรยากาศไม่ได้

“คนที่ทำเขาคงไม่ได้คิดถึงจิตใจคนอื่นหรอกฟ้า ก็ในเมื่อเขาไม่ได้เรียนพยาบาลหลักสูตรบูรณาการที่ต้องเอื้ออาทรหรือคิดถึงจิตใจคนอื่นเหมือนเรานี่นะ จริงไหม”

ปฏิสังขรณ์แทบจะกรี๊ดออกมาถ้าไม่เกรงใจว่าสามีจะเสียสมาธิในการขับรถ กระนั้นก็ยังแหวเสียงแหลม “นังมิ้ว! ฉันซีเรียสอยู่นะเฟ้ย”

อัศวินีฉีกยิ้มกว้าง “อ้าว...ก็แล้วไง ฉันก็กลัวแกจะเครียดมากจนเส้นเลือดในสมองแตกก่อนนี่นา ก็เลยช่วยไม่ให้แกเครียดมากเกินไป”

ปรมัตถุ์เหลือบมองผู้พูดทางกระจกหลังก่อนอมยิ้มด้วยความขบขัน

“ได้ไงยะ...ฉันไม่กล้าตายเร็วขนาดนั้นหรอกย่ะ ฉันจะพยายามหายใจเข้าไว้ อยู่ให้แก่ตายไปเอง เผื่อว่าพี่ปืนเป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมา ฉันก็อาจจะมีโอกาสได้เป็นนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจบ้าง อิๆๆ”

คราวนี้ชายหนุ่มคนเดียวในรถยิ้มพลางส่ายหัวไปมา เปรยๆ ขึ้นมาว่า “มิน่าถึงเป็นเพื่อนกันได้”

ปฏิสังขรณ์ค้อนผู้เป็นสามีน้อยๆ แต่พองาม ก่อนรับคำหน้าตาเฉยเหมือนกันว่า “ทำไมคะพี่ปืน สวยเหมือนกันใช่ไหม อิๆๆ แต่ก็...จริงๆ ค่ะ ถ้าฟ้าไม่คบกับไอ้มิ้วแล้วฟ้าจะไปคบกับใครที่ไหนได้อีก”

“ช่ายยยแล้ว ถ้ามิ้วไม่คบกับฟ้าแล้วมิ้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปคบใครที่ไหนได้อีกเหมือนกัน คุยกับคนอื่นไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะเขาไม่บ้าเหมือนเรา จริงไหมจ๊ะฟ้า”

“ถูกต้องที่สุดจ๊ะมิ้วกี้”

แล้วสองสาวก็หัวเราะประสานเสียงกันราวกับเบิกบานเป็นที่สุด ทิ้งให้หนุ่มคนเดียวอมยิ้มขบขันและส่ายหัวไปมาอีกครา 

 

สองข้างทางที่เข้าสู่ตัวเมืองยังคงเต็มไปด้วยจุดตรวจตลอดเส้นทาง แต่พอเข้าไปในตัวเมือง บรรยากาศไม่ได้เงียบเหงาเช่นอำเภอที่เพิ่งผ่านมา ผู้คนยังคงออกมาใช้ชีวิตตามปกติ จะแตกต่างจากท้องถิ่นอื่นก็ตรงที่มีทหารในชุดพรางอาวุธครบมือปะปนอยู่ด้วย นอกจากนี้อัศวินียังได้เห็นภาพที่รถฮัมวี่จอดต่อท้ายรถเบนซ์คันหรูได้อย่างกลมกลืน หญิงสาวอมยิ้มขัน ยกกล้องถ่ายรูปเก็บภาพนั้นเอาไว้ดูเล่นพลางพยักพเยิดกับเพื่อนสาว

“ความเหมือนที่แตกต่าง...มิเสียแรงที่อุตส่าห์ควักเงินเก็บซื้อกล้องตัวใหม่มาเก็บภาพไว้ชม”

ปฏิสังขรณ์เอี้ยวตัวหันมาเตือนว่า “แกอย่าเที่ยวไปถ่ายรูปใครสุ่มสี่สุ่มห้านะยะ มันเคยมีกรณีมาแล้ว...ตอนแรกพี่ทหารที่อยู่ในพื้นที่ก็มีเด็กมากับผู้ปกครองมาขอถ่ายรูปด้วย พี่ทหารเราก็ใจดีฉีกยิ้มกว้างเชียว ปรากฏว่าไอ้คนที่ถ่ายดันเอาไปให้พรรคพวกดู วันต่อมาพี่ทหารคนนั้นก็ถูกยิง โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก หรืออีกกรณีหนึ่งถ้าไปถ่ายรูปกับชาวบ้าน บางคนก็เริ่มระแวงว่าเราจะเอาไปทำอะไรหรือเปล่า เป็นสายของเจ้าหน้าที่ไหม เพราะฉะนั้นต่างคนต่างก็ระแวงกัน เดี๋ยวนี้เขาก็เลยไม่ค่อยนิยมถ่ายรูปสักเท่าไหร่”

“โห...มีแบบนี้ด้วย แต่ก็...ขอบใจมากนะแก ฉันจะได้เก็บไว้เป็นข้อมูล”

หลังจากขับรถพาชมตัวจังหวัดแล้วปรมัตถุ์ก็ไปส่งอัศวินีที่โรงแรม ปฏิสังขรณ์บอกว่าถ้าต้องเดินทางไปโรงพยาบาลให้โทร. บอก เดี๋ยวเธอกับสามีจะมารับไปส่งเอง อัศวินีได้แต่ขอบคุณเพื่อนและสามีเพื่อน เธอโชคดีที่มีเพื่อนดี

 

หลังจากสองสามีภรรยากลับไปแล้วพยาบาลสาวก็รู้สึกถึงความเหงาที่แวะเวียนมาทักทายอีกครา ตอนยังเป็นนักศึกษาพยาบาลแม้จะไม่มีแฟน เธอก็ยังไม่ค่อยรู้สึกเหงาเพราะมีเพื่อนฝูงล้อมรอบกาย พอเรียนชั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนก็ทยอยมีแฟนไปทีละคนสองคน จากเคยไปเที่ยวกันกลุ่มใหญ่ก็ค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ แต่ก็ยังเรียกได้ว่ามีเพื่อน

ตราบจนกระทั่งสำเร็จการศึกษาออกมาทำงาน เพื่อนสมัยเรียนพยาบาลแทบจะไม่มีเวลาเจอกันเป็นกลุ่มใหญ่เหมือนตอนเรียนเพราะต่างคนต่างก็มีภาระหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ รวมทั้งตัวเธอเองด้วย ยามที่ตัวเองว่าง พอโทร. หาเพื่อน ทุกคนต่างก็มีงานหรือติดธุระกันหมด เธอจึงต้องเรียนรู้ที่จะไปไหนมาตามลำพัง ชอปปิง กินข้าว ดูหนัง หรือบางคราก็ไปวัดใกล้บ้าน ไหว้พระ ให้อาหารปลา ให้อาหารเต่า พอคลายเหงาและทำให้ใจสงบได้บ้าง 

แต่มาอยู่ไกลบ้านแบบนี้ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวใช้ก็เหมือนไม่มีขา สถานที่ก็ยังไม่รู้จัก วิธีคลายเหงาที่ดีที่สุดก็คือการท่องโลกโซเชียล พอได้เล่นก็เพลินจนลืมเวลา มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อท้องร้องคราง อัศวินีจึงลุกขยับตัวขับไล่ความเมื่อยขบ เหลือบดูนาฬิกาเห็นเป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะเพลินอยู่หน้าจอโทรศัพท์มือถือได้นานขนาดนี้ 

ครั้นท้องไส้อุทธรณ์ หญิงสาวก็เริ่มคิดหาของกิน จะให้นั่งรับประทานอาหารในห้องอาหารของโรงแรมคงไม่ใช่อัศวินีแน่ๆ อุตส่าห์มาแปลกที่ทั้งทีก็ต้องไปเรียนรู้วิถีชีวิตของคนในพื้นที่ จำได้ว่าปฏิสังขรณ์บอกว่า ‘ถนนสายมอ’ เป็นย่านธุรกิจของเมืองนี้ ตกค่ำมาจะสว่างไสว มีผู้คนพลุกพล่าน ทั้งร้านอาหาร ร้านน้ำชา แต่ถ้าอยากเดินตลาดรูสะมิแลต้องมาช่วงเช้าวันอาทิตย์ อัศวินีหยิบกระเป๋าเตรียมออกไปเดินถนนสายมอ

ครั้นลงมาที่ล็อบบีโรงแรมก็ต้องแปลกใจเมื่อเจอผู้คนเดินกันขวักไขว่ คิ้วเรียวขมวดนิดๆ เมื่อเห็นภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารในชุดพรางพร้อมอาวุธครบมือเดินกันวุ่นวาย พนักงานโรงแรมหน้าซีด ทำท่าเลิ่กลั่ก แขกหลายคนหน้าตื่น จับกลุ่มคุยกันคล้ายหวาดกลัวระคนอยากรู้อยากเห็น หญิงสาวเตร่เข้าไปฟังใกล้ๆ ทันที พอรู้สาเหตุก็หน้าซีดเผือด ใจเต้นแรง

มีคนร้ายเอาระเบิดมาซ่อนไว้ในห้องน้ำชั้นล่าง ดีที่มีคนไปพบเข้าก่อนจึงแจ้งเจ้าหน้าที่มาเก็บกู้ได้ทัน 

สักพักก็มีนักข่าวทั้งไทยและต่างประเทศกรูกันเข้ามาบริเวณล็อบบีของโรงแรม ท่ามกลางกำลังของเจ้าหน้าที่ที่พยายามกันบรรดาไทยมุงและนักข่าวออกจากที่เกิดเหตุแต่ดูจะไม่ค่อยเป็นผลนัก คนอยากรู้ก็พยายามเบียดแทรกเข้ามา นักข่าวก็อยากจะทำข่าว

ก่อนที่จะวุ่นวายไปมากกว่านี้ เจ้าหน้าที่ในชุดพรางก็ประกาศว่า

“ขอให้ทุกท่านอยู่ในความสงบด้วยนะครับ ตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการเก็บกู้วัตถุต้องสงสัยเรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์กำลังจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ”

หลายคนถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ไม่เว้นแม้แต่อัศวินีที่เปลี่ยนความตั้งใจที่จะออกไปเดินชมบรรยากาศของเมืองรีบกลับขึ้นห้องพัก และสั่งอาหารขึ้นมารับประทานแทน

ทนอุดอู้อยู่ในโรงแรมดีกว่าออกไปเจอเหตุการณ์ร้ายแรงข้างนอก เอาไว้ให้ชินกับพื้นที่ซะก่อนเถอะ อัศวินีไม่พลาดที่จะออกสำรวจพื้นที่แน่!

 

บ้านปาโต๊ะเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่คนไทยพุทธและมุสลิมเคยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขมาช้านาน บัดนี้ด้วยสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่แผ่ขยายเข้ามา ดังนั้นจึงมีฐานปฏิบัติการของทหารเข้ามาตั้งอยู่เพื่อดูแลประชาชน ฐานปฏิบัติการสร้างขึ้นมาหยาบๆ ให้พอมีหลังคากันแดดกันฝน มองภายนอกอาจจะคล้ายเพิงหรือกงสี หากรอบๆ สร้างบังเกอร์ป้องกันแน่นหนา วางกับดักไว้โดยรอบเพื่อความปลอดภัยของทุกคนในฐาน

ภายในที่พักแต่ละหลังมีเพียงแคร่ที่ยกสูงจากพื้นให้ได้อาศัยหลับนอน โต๊ะตัวใหญ่วางสารพัดอุปกรณ์ เสื้อผ้าแขวนไว้ตามฝา ไฟฟ้าที่ให้ความสว่างก็ต่อมาจากอนามัยใกล้ๆ นั่นเอง แต่ถึงจะอยู่กลางป่ากลางเขาแบบนี้ก็เถอะ คุณพี่ทหารก็ยังอุตส่าห์มีโทรทัศน์จอใหญ่ไว้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองอันเป็นสมบัติส่วนตัวที่ ‘นาย’ ยกมาให้เป็นสมบัติของฐาน 

คืนนี้สายตาหลายคู่จับจ้องอยู่ที่จอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ ขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงหน้าเข้มตาคมดุกำลังง่วนอยู่หน้าจอแลปทอป

“เกิดเหตุลอบวางระเบิดภายในห้องน้ำโรงแรมดังกลางเมือง...” 

แม้จะอยู่ในพื้นที่ ผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน กระนั้นแล้วหลายคนก็ยังอดที่จะเงี่ยหูฟังข่าวนี้ด้วยความสนใจไม่ได้ 

บรรดานักวิจารณ์ข่าวยังคงทำหน้าที่ของตนเองเช่นเคย

“โชคดีนะที่ไม่ระเบิด ไม่งั้นละเป็นข่าวใหญ่แน่ เพราะเห็นว่าช่วงนี้มีการจัดประชุมหลายอย่างที่โรงแรมนี้ โดยเฉพาะปฐมนิเทศพยาบาลจิตอาสาที่จะมาปฏิบัติงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดน นี่ถ้านางฟ้าชุดขาวเป็นอะไรไปละก็...งานใหญ่แน่ๆ”

ข่าวนั้นทำให้คนที่กำลังง่วนอยู่หน้าจอแลปทอปเผลอเอี้ยวตัวมามองทันที และก็ถูกลูกน้องคนสนิทแซวทันทีเหมือนกัน

“โห...นาย แค่ได้ยินว่าพยาบาลนี่หูผึ่งเลยเหรอ”

กองทัพวาดขาทันที แต่อีกฝ่ายหลบทันควันด้วยความรู้ใจผู้เป็นนาย ท่ามกลางเสียงหัวเราะฮาของคนรอบข้าง

“ก็กูเป็นผู้ชายทั้งแท่งนี่หว่า ถ้าไม่สนหญิงแล้วจะให้ไปสนแมวที่ไหนวะ พวกมึงงั้นสิ ขอโทษ...ไม่นิยมไม้ป่าเดียวกัน” ชายหนุ่มย้อนแรงๆ ทำเอาลูกน้องหัวเราะลั่นฐาน

แม้ ‘นาย’ จะหน้าดุ แถมยังชอบไว้หนวดเครารกครึ้มให้ยิ่งดูเข้มไปใหญ่ แต่ก็ดุ เด็ดขาด และจริงจังแค่หน้างาน นอกเวลาก็เก๊กดุไปอย่างนั้นเอง เอาเข้าจริงๆ แล้วฮาและตลกหน้าตาย 

“เมื่อกี้บอกว่าอะไรนะ พยาบาลที่ไหนมาทำอะไรที่นี่” แสร้งถามไปอย่างนั้นเอง น้ำเสียงคล้ายไม่สนใจ แต่เงี่ยหูรอฟังคำตอบเต็มที่

“นี่แหละ...หนีไปเที่ยวเมืองกรุงหลายวันเลยตกข่าว” ลูกน้องแหย่กลับกวนๆ เหลือบตาดูทางหนีทีไล่ที่ไกล ‘ตีน’ นายหน่อย หารู้ไม่ว่าตนเองนั่นละกำลังถูกนายหลอกให้ ‘ยืนยัน’ ข่าว ครั้นเห็นนายเหลือบมองตาขวาง เสียงหัวเราะห้าวๆ ก็ดังผสานกันด้วยความสนุกสนาน 

ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะรีบเอ่ยขึ้นมาว่า 

“ตอนนี้สา’สุขเขามีโครงการพยาบาลจิตอาสามาทำงานในพื้นที่สามจังหวัดครับนาย เพราะพยาบาลขาดแคลน ตอนนี้อนามัยก็มีแค่หมออับดุลรอนิงกับหมอสะตีนาสองคนผัวเมีย ถ้าข่าวไม่พลาด...เห็นทีคราวนี้อนามัยริมรั้วบ้านเราจะมีนางฟ้ามาประจำการให้ทหารอย่างพวกเราได้มีกำลังใจทำงานบ้าง”  

“หึ! หมาเห่าเครื่องบิน แค่ได้กลิ่น กระดิกหางก็มีความสุขแล้วว่างั้น” นายว่าหน้าตาย แต่ทำเอาลูกน้องฮาครืนลั่นฐาน ขณะที่คนหน้าดุก็แอบยิ้มนิดๆ เช่นกันด้วยความขำลูกน้อง ทำงานในพื้นที่เสี่ยงก็เครียดพอแล้ว หาเรื่องมากวนประสาทให้ได้หัวเราะบ้างก็พอช่วยได้ 

กองทัพหันมาสนใจงานตรงหน้าต่อ กระนั้นตาก็ยังเป็นประกายยามนึกถึงดวงหน้าจิ้มลิ้มและลักยิ้มตรึงใจของใครบางคน 

จะมีพยาบาลมาประจำที่อนามัยอย่างนั้นเหรอ? จะเป็นยายเปี๊ยกหรือเปล่านะ หึๆ คงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้ง ก็มากันตั้งหลายคน ว่าแต่...ป่านนี้เจ้าหล่อนจะทำอะไรอยู่นะ

อีกคราที่กองทัพเผลอยิ้มกับตัวเอง

ไม่สิอาร์ม...ไม่สิ

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น