8

8

8

 

สัปดาห์แรกของการทำงาน อัศวินีและพีระพรสลับกันเรียนรู้งานที่ห้องฉุกเฉิน (ER) และหอผู้ป่วยใน ชีวิตประจำวันของเธอค่อนข้างราบเรียบ เช้าตื่นขึ้นมาก็หาอะไรง่ายๆ รับประทาน เป็นต้นว่า ต้มโจ๊ก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือข้าวไข่เจียว ช่วงกลางวันฝากท้องไว้กับโรงอาหารของโรงพยาบาลซึ่งมีร้านอาหารทั่วไปหนึ่งร้าน และร้านอาหารมุสลิมอีกหนึ่งร้าน 

ตอนเย็นหลังเลิกงานมีรถตู้ของโรงพยาบาลบริการรับ-ส่งเจ้าหน้าที่ซึ่งมีบ้านอยู่นอกโรงพยาบาลหรืออยู่ในเมือง ส่วนคนที่พักอยู่บ้านพักในโรงพยาบาลก็ยังคงใช้ชีวิตในรั้วโรงพยาบาลตามปกติ เด็กๆ วิ่งเล่นกันบริเวณถนนหน้าบ้านพัก แม่บ้านบางคนก็ถือชามข้าวป้อนลูก และถือโอกาสพูดคุยกับเพื่อนบ้านในละแวกเดียวกัน ส่วนที่สนามฟุตบอลเล็กๆ ในอาณาเขตบ้านพักมีเจ้าหน้าที่ผู้ชายเล่นฟุตบอล ในขณะที่นอกรั้วโรงพยาบาล ชาวบ้านมีชีวิตที่แตกต่างลิบลับ พอเริ่มเย็นก็รีบเข้าบ้านปิดประตูเงียบ ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะกลับมามีชีวิตที่ปกติสุขเสียที

วันแรกๆ อัศวินีรู้สึกเหงาพอสมควรด้วยความไม่เคยชินกับการใช้ชีวิตในพื้นที่ที่พอตกค่ำมาทุกคนต่างรีบเข้าบ้านปิดประตูเงียบ ยังดีที่มีสมาร์ตโฟนให้ดูหนัง ฟังเพลง หรือสนทนากับครอบครัวและเพื่อนฝูงแก้เหงาได้บ้าง แต่กว่าจะถึงเวลานอนก็ดูราวกับนานแสนนานนัก ส่วนรูมเมตของเธอนั้นก็ช่างมีความสุขกับการคุยโทรศัพท์กะหนุงกะหนิงกับสามีตามประสาข้าวใหม่ปลามัน แต่เพื่อนร่วมบ้านก็ไม่ได้ปล่อยให้เธอต้องเหงาอยู่คนเดียว พอวางสายก็ออกมานั่งคุยด้วย สนทนากันเรื่องโน้นเรื่องนี้ตามประสาผู้หญิง พอผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ สองสาวจึงคุ้นเคยกันอย่างรวดเร็ว

พอถึงวันหยุดพีระพรก็ไปค้างบ้านพักของเธอในค่ายทหารซึ่งอยู่ห่างจากโรงพยาบาลประมาณ 10 กิโลเมตร แถมยังมีน้ำใจชวนเพื่อนใหม่จากเมืองกรุงไปค้างบ้านด้วย อัศวินีได้แต่ตอบขอบคุณและปฏิเสธไป 

โถ...โถ...โถ...เดี๋ยวสามีเพื่อนก็มองตาขวางพอดี คู่แต่งงานหนุ่มสาวก็ย่อมต้องการเวลาและพื้นที่ส่วนตัวบ้าง

พออยู่คนเดียว...ความว่างจัดทำให้อดที่จะคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ ‘พี่ซัน’ คงรู้ว่าเธอ ‘มาแล้ว’ ทุกความเคลื่อนไหวของเธอไม่เคยลอดสายตาของอีกฝ่ายไปได้ อย่างตอนเรียนพยาบาลแม้ความสัมพันธ์จะเป็นอื่น แต่ทุกเดือนและในช่วงเทศกาลสำคัญต่างๆ ก็ยังมีโปสต์การ์ดหรือพัสดุส่งถึง นางสาวอัศวินี รวิพล เป็นประจำ และเพราะชื่อผู้ส่งระบุที่อยู่มาจาก อ.บันนังสตา จ.ยะลา ดังนั้นยามที่ไปรษณีย์มาส่งกล่องพัสดุที่เรือนประชาสัมพันธ์ของวิทยาลัย อาจารย์แม่ผู้ดูแลความเป็นอยู่ของนักศึกษาจึงทำหน้าแปลกๆ ก่อนแซวยิ้มๆ ว่า

‘ระเบิดหรือเปล่าลูก ระวังให้ดีนะเดี๋ยวตูมตามขึ้นมาละยุ่งเลย’

รู้ทั้งรู้ว่าเรามาแล้ว แต่ทำไมพี่ซันใจดำจัง แค่มาเยี่ยมทักทาย ‘น้องสาว’ สักนิดคงไม่ผิดมากมายนักหรอกสำหรับคนมีพันธะ 

ความที่เคยถูกอีกฝ่าย ‘ตามใจและเอาใจ’ จนชินทำให้เริ่มเกิดอารมณ์พาลหน่อยๆ ปนน้อยใจนิดๆ จุกแน่นในอก น้ำตาก็พานจะไหลเอาง่ายๆ แล้วความคิดแง่บวกก็โผล่ขึ้นมาแทรก

ฮึ่ย ไม่มาก็ดี...เพราะเสียงเพลงที่คุ้นเคยยังคงตอกย้ำหัวใจอยู่เลย

...แฟนเก่าเพิ่นบ่เซาหล่อ เพิ่นบ่เซาหล้อ เพิ่นบ่เซาหล่อ...

นึกถึงเพลงนี้ทีไร อัศวินีทั้งอยากร้องไห้และหัวเราะ แม้จะยิ่งฟังยิ่งเหมือนถูกตอกย้ำ แต่ก็ชอบที่จะฟังเพราะเข้ากับตัวเองดี ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ อนาคตมีโอกาสเป็นโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar) แน่ๆ

ฮื้อ! ไม่สิ

สุดท้าย...ความน้อยใจทำให้น้ำตาไหลจริงๆ จึงยกหลังมือปาดน้ำตาลวกๆ

น้อยใจแค่ไหนก็ทำได้แค่แอบร้องไห้คนเดียว

 ‘คิดถึง’ แค่ไหนก็ไม่กล้าใช้คำนั้น นอกจากใช้คำว่า ‘นึกถึง’ เพราะกลัวผิดศีลข้อ 3 

รักอีกก็ทำไม่ได้ แต่ก็ยังลืมไม่ลงสักที

คำนี้เหมาะกับความรู้สึกของเธอตอนนี้จริงๆ อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะหลุดพ้นจากวังวนนี้ไปได้เสียที ริมฝีปากบิดเบ้เล็กน้อยด้วยความสมเพชเวทนาตัวเอง 

เฮ้อ นี่ถ้าตอนนี้มีใครมาจีบสักคน ถึงไม่ใช่หนุ่มในเครื่องแบบอย่างที่ต้องการ เธอก็พร้อมจะเทคะแนนพิศวาสให้เพิ่มในฐานะที่เข้ามาถูกจังหวะถูกเวลาพอดี หญิงสาวที่มีพี่ชายหวงราวกับไข่ในหินได้แต่คิดขำๆ แกมปลงหน่อยๆ 

เอ...หรือว่าเธอจะเกิดมาเพื่อสวย ขึ้นคาน แก่ และเฉาตายไปเองนะ ไม่สิ...เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็เกิดมาเสียชาติเกิดเอามากๆ 

หญิงสาวได้แค่คิดขำๆ พอไม่ให้ตัวเองจมอยู่กับความทุกข์ไปมากกว่านี้

อัศวินีไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่เธอคิดว่า ‘ใจดำ’ นั้นยังคงติดตามความเคลื่อนไหวทุกฝีก้าว และส่งลูกน้องเก่ามาดูแลความปลอดภัยให้เธอโดยไม่รู้ตัว ในโรงพยาบาลมีลูกน้องเก่าของกลินท์ซึ่งตอนนี้ลาออกไปประกอบอาชีพอิสระแฝงตัวเป็น รปภ. คอยดูแลและส่งข่าวความเป็นไปของเธอทุกระยะ

...

‘หมอมิ้วสบายดีครับสารวัตร เธอปรับตัวเข้ากับเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลได้ดี มีแต่คนรักครับ’

คนในอดีตยิ้มด้วยความยินดีระคนขมขื่นใจ กลินท์มั่นใจว่าอัศวินีมีทักษะในการปรับตัวดีเยี่ยม ขอแค่รู้ข่าวเท่านี้ก็ดีแล้วสำหรับคนมีฐานะเป็น ‘พี่ชาย’

 

อย่างไรก็ตามอัศวินีก็ไม่ต้องนอนแกร่วเหงาคนเดียวอยู่ในบ้านพักอีกต่อไป เมื่อเพื่อนของพี่ชายแวะมาหาที่โรงพยาบาลและชวนไปเที่ยวซื้อของที่หาดใหญ่ 

“พี่ชื่อพี่รุ้งนะคะ ส่วนนี่สามีพี่ พี่โป้ง เป็นเพื่อนพี่เบียร์ค่ะ” ผู้หญิงวัยประมาณสามสิบต้นๆ หน้าตาสวย แต่งกายทันสมัยแนะนำตัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส 

อัศวินีรีบยกมือไหว้สองสามีภรรยาและยิ้มตอบตามประสาคนมนุษยสัมพันธ์ดี 

ไม่ถึงสิบนาทีต่อมาเธอก็มานั่งยิ้มแป้นแล้นบนรถเอสยูวีสีดำ ถ้าเพื่อนพี่ชายมาแค่คนเดียวเธอคงไม่ยอมไปด้วยง่ายๆ แบบนี้ แต่นี่มากันทั้งครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูก คนขี้เหงาแถมยังใจง่ายอย่างอัศวินีมีหรือจะปฏิเสธ

“น้องการ์ตูนสวัสดีคุณอามิ้วก่อนค่ะลูก”

เด็กหญิงวัยประมาณห้าขวบ ซึ่งนั่งบนตักแม่หันมายิ้มหวานและยกมือไหว้ ‘คุณอามิ้ว’ อย่างว่าง่าย

“สวัสดีค่ะคนสวย มานั่งกับอามิ้วไหมคะ”

‘น้องการ์ตูน’ ทำหน้าคล้ายไม่แน่ใจ หันไปถามแม่ว่า “จะดีเหรอคะ คุณแม่หนูบอกว่าไม่ให้เป็นคนใจง่ายเหมือนคุณพ่อ”

คุณแม่ถึงกับหัวเราะคิก ส่วนคุณพ่อนั้นปั้นหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว ขณะที่อัศวินีก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้

“เห็นพี่เบียร์บอกว่าน้องสาวมาเป็นพยาบาลอยู่ที่นี่ พวกพี่ก็เลยแวะมาเยี่ยมค่ะ น้องมาอยู่ที่นี่ยังไม่รู้จักใครก็กลัวจะเหงา”

“เหงามากมายค่ะพี่รุ้ง อีกหน่อยมิ้วคงต้องหากิ๊กแถวนี้ไว้สักคนสองคน จะได้ไม่เหงา”

พ.ต. ชเยศหัวเราะลงคอด้วยความถูกใจ ท่าทางคุยเก่ง เข้ากับคนได้ง่ายสมกับเป็นน้องสาวไอ้เบียร์จริงๆ รีบบอกทันทีว่า

“งั้นเดี๋ยวพี่จะช่วยหามาให้พิจารณา นี่ไอ้เบียร์มันก็เป็นห่วงน้อง โทร. มาให้พี่ช่วยแวะมาดู แต่พี่ก็แสนจะยุ่ง เพิ่งกลับมาจากราชการที่นราฯ เมื่อเช้านี้เอง”

เออนะ...จากไปกินเหล้าที่หาดใหญ่กับไอ้อาร์มเปลี่ยนเป็น ‘กลับจากราชการที่นราฯ’ ได้อย่างหน้าตาเฉย กูนะกู...ทำไปด้ายยยย...ดีที่เมียรู้ไม่ทัน

คนหนีเมียเที่ยวทั้งตื่นเต้นและสยองปนกันถ้าเกิดว่าวันหนึ่งเมียจับได้

ระหว่างที่นั่งรถมานั้นรุ้งลาวัลย์เล่าว่าเธอคบกับชเยศมาตั้งแต่ยังเรียนโรงเรียนเหล่าจึงรู้จักเพื่อนๆ เขาในกลุ่มแทบจะทุกคน ในขณะที่บรมวิชชุ์แม้จะเป็นเพื่อนต่างเหล่า แต่ตอนมาทำงานที่ใต้ก็เจอกัน กินเที่ยวด้วยกันประจำ

เท่าที่ฟังทำให้อัศวินีรู้ว่าพี่ชายของเธอสนิทกับครอบครัวนี้ไม่น้อย 

“น้องสาวเบียร์ก็เหมือนน้องสาวพี่ ไอ้เบียร์มันเป็นห่วงน้องมากนะ กลัวน้องจะเหงาบ้างละ กลัวจะตกเป็นเหยื่อความรุนแรงบ้างละ ทำยังกับมันไม่เคยมาอยู่ที่นี่ เหอะ อันที่จริงถ้าจะว่าไปแล้ว...ถ้าเราไม่ค่อยได้ออกไปไหน อยู่แต่ในโรงพยาบาลมันก็ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก” ชเยศเอ่ย

“แต่น้องมิ้วก็เก่งนะคะ ใจกล้ามากด้วยที่มาทำงานที่นี่” รุ้งลาวัลย์มองด้วยluหน้าและแววตาชื่นชม 

คนได้รับคำชมยิ้มแล้วรีบบอกว่า “อย่าค่ะพี่รุ้ง อย่ามองด้วยสายตาเหมือนมิ้วเป็นวีรสตรีแบบนั้น มิ้วจะบอกความลับว่ามิ้วบ้าอ่านนิยายค่ะ แล้วก็มีนิยายเรื่องหนึ่งที่มิ้วประทับใจมาก ปุลากง นางเอกเป็นพัฒนากรมาอยู่ที่ ต.ปุลากง ส่วนพระเอกเป็นตำรวจ มิ้วก็เลยฝันว่าสักวันหนึ่งมิ้วจะมาทำงานเพื่ออุดมการณ์เหมือนนางเอกเรื่องปุลากงบ้าง”

รุ้งลาวัลย์ทำตาโต กลั้นขำจนหน้าแดงก่อนหลุดเสียงหัวเราะเมื่อกลั้นไม่ไหว ในขณะที่ผู้เป็นสามีที่กำลังขับรถก็พลอยอมยิ้มไปด้วย สมกับที่บรมวิชชุ์เคยบอกว่า 

‘น้องมิ้วน่ะ...ลูกแม่ ชอบอ่านนิยาย จินตนาการสูง’

“จริงเหรอน้องมิ้ว อำพี่หรือเปล่า”

“อ้าว...จริงสิคะ นี่มิ้วยังนึกอยู่เลยนะว่าไม่แน่หรอก มาอยู่ใต้มิ้วอาจจะเจอ ‘คุณเข้ม’ พระเอกในชีวิตจริงของมิ้วก็ได้”

แม้หญิงสาวจะเอ่ยขำๆ แต่สองสามีภรรยาที่รู้เรื่องความหลังก็อดสบตากันไม่ได้ 

“เปลี่ยนจากตำรวจเป็นทหารได้ไหม น้องทหารที่กองพันพี่ก็มีเยอะเหมือนกันนะที่ยังไม่แต่งงาน” เพราะรู้ว่าบรมวิชชุ์คงไม่สนิทใจที่จะรับกองทัพเป็นน้องเขย ชเยศจึงพยายามครุ่นคิดถึงบรรดารุ่นน้องที่ยังโสด ก่อนนิ่วหน้าเพราะดูๆ แล้วคุณสมบัติทำท่าจะไม่ผ่านสักคน ไม่เมียหนีก็เมียทิ้ง ไม่กินเหล้ายังกับอูฐก็เจ้าชู้ประตูดินทั้งนั้น ที่ดีหน่อยก็...กองทัพ...แต่ก็นั่นละ ดูความสัมพันธ์จะเกี่ยวพันกันพิลึกอย่างไรไม่รู้ 

อัศวินีนิ่วหน้า “ขอพิจารณาก่อนได้ไหมคะพี่โป้ง มิ้วกลัวได้เป็นคุณนายนับขวด”

ประโยคนี้ดูท่าจะถูกใจรุ้งลาวัลย์นักเพราะรีบเสริมทันที

“ดีมากมิ้วน้องรัก ต้องอย่างนั้นสิ สวยๆ อย่างเรามีสิทธิ์ที่จะเลือก แต่เสียดายพี่ใจเร็วด่วนได้ไปหน่อยก็เลยต้องมานับขวดขายอย่างทุกวันนี้” แม้จะปรายตามองสามีด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็แฝงด้วยความรักแบบที่ทำให้คนโสดตาร้อนผ่าวๆ

ชเยศยักไหล่นิดๆ อมยิ้ม ไม่ตอบว่ากระไร

“แล้วนี่มาอยู่ที่นี่ทำอยู่แผนกไหนหรือฝ่ายอะไรคะ ขอโทษที พี่ก็เรียกไม่ถูก”

“ตอนนี้มิ้วยังเทิร์นอยู่ค่ะ เรียนรู้งานทั้งหอผู้ป่วยในและห้องฉุกเฉินก่อน แต่หลังจากนั้นมิ้วก็จะออกไปอยู่ที่ รพ. สต. ค่ะ เอ่อ...แต่ถ้าพี่เบียร์ถาม รบกวนพี่โป้งกับพี่รุ้งช่วยน้องทำมาหากินด้วยนะคะ บอกว่ามิ้วอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ” หญิงสาวขอร้องกึ่งอ้อน

สองสามีภรรยาเลิกคิ้ว ก่อนที่ผู้เป็นภรรยาจะเอ่ยขึ้นมา “แสดงว่าที่บ้านยังไม่มีใครรู้ใช่ไหมคะว่าน้องมิ้วจะออกไปอยู่ที่อนามัย” รุ้งราวัลย์ก็ยังเคยชินกับการเรียกว่าอนามัยเช่นเดิม 

อัศวินียิ้มแหยๆ ตอบตามตรงว่า “ยังค่ะ มิ้วบอกแค่ว่าตอนนี้มิ้วอยู่ที่โรงพยาบาล แต่ไม่ได้บอกต่อว่าจะไปอยู่ที่อนามัย มิ้วไม่ได้โกหกใช่ไหมคะพี่ เพียงแค่พูดความจริงไม่หมดเท่านั้นเอง” ว่าพลางยิ้มทะเล้นคล้ายเด็กซุกซน พลอยให้คนฟังอดที่จะยิ้มตามไม่ได้

“อยู่ที่อนามัยอะไรครับน้องมิ้ว”

“ปาโต๊ะค่ะ มิ้วก็ไม่รู้หรอกว่าอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไรบ้าง ตอนแรกก็ตั้งใจจะเลือกโรงพยาบาลเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ พอดีมีโอกาสได้คุยกับท่านผู้อำนวยการ ท่านสาธารณสุขอำเภอ ท่านบอกว่า รพ. สต. ปาโต๊ะมีเจ้าหน้าที่ประจำเพียงสองคน ซึ่งก็ปฏิบัติหน้าที่เฉพาะจันทร์–ศุกร์ หมู่บ้านในละแวกนั้นก็อยู่กลางหุบเขา ห่างไกลจากตัวอำเภอประมาณ 20 กิโลเมตร ถ้าเจ็บป่วยก็ดูแลกันเอง ไม่กล้าออกมาโรงพยาบาลเพราะค่อนข้างเสี่ยง”

“แล้วน้องมิ้วไม่กลัวหรือคะ ถ้าพี่จำไม่ผิด หมู่บ้านนั้นอยู่ในเขตพื้นที่สีแดงด้วย” รุ้งลาวัลย์ย้อนถามด้วยความสงสัย 

น้องสาวบรมวิชชุ์นั้นเพียงแค่ได้รู้จักกันก็ดูมีหลายบุคลิกในตัว แรกๆ แลคล้ายเด็กสาววัยแรกรุ่นที่มองโลกด้วยภาพฝันสวยงาม แต่บางประโยคที่เอ่ยออกมาทำให้เธอคาดไม่ถึงกับความคิดความอ่านที่ดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว

“มิ้วก็บอกไม่ถูกเหมือนกันนะคะว่ารู้สึกยังไงกันแน่ กลัวไหม...ก็กลัว...แต่คนเราถ้ายังไม่ถึงที่ตายก็คงไม่ตาย อุตส่าห์ตัดสินใจมาทำงานที่นี่แล้วก็เลยจะทำให้เต็มที่ แล้วอีกอย่างมิ้วชอบอยู่ในชุมชน ทำงานที่ รพ. สต. ก็น่าจะมีความสุขดี เจอหน้าผู้คนเยอะแยะ ช่วงไหนทำงานอยู่ในโรงพยาบาลมีความรู้สึกเหมือนถูกจำกัดพื้นที่ พานอึดอัดหายใจไม่ออกซะอย่างนั้น คุณตาของมิ้วเคยบอกว่าหลานไทบ้านนอกเคยอยู่แต่บ้านนอก พอมาอยู่ในเมืองที่ถูกจำกัดสถานที่ก็เลยอึดอัด บ้านคุณตาของมิ้วอยู่ธาตุพนมค่ะ หลังบ้านติดกับแม่น้ำโขง มองไปทางไหนก็เห็นต้นไม้ใบหญ้า เห็นแม่น้ำโขงทอดยาวสบายตา”

ก่อนหน้านี้รุ้งลาวัลย์เคยนึกภาพน้องสาวของบรมวิชชุ์ว่าคงจะเป็นหญิงสาวท่าทางเลิศหรูไฮโซตามประสาลูกสาวคนเล็กของ (อดีต) ผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีคนนับหน้าถือตามากมาย มีมารดาเป็นนายกเหล่ากาชาด ครั้นสนทนากันจริงๆ เพียงไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ ภาพดังกล่าวก็ถูกลบไปสิ้น สาวรุ่นน้องสุดแสนจะน่ารัก อัธยาศัยดี และดูท่าทางติดดินเหมือนพี่ชายของเธอ แบบนี้ค่อยพอคุยกันได้หน่อย

ในขณะที่ พ.ต. ชเยศ ก็มองน้องสาวเพื่อนด้วยแววตากึ่งทึ่งกึ่งชื่นชม ใบหน้าคล้ามแดดมีแววครุ่นคิด ก่อนที่นายทหารหนุ่มจะยิ้มน้อยๆ เมื่อตัดสินใจอะไรบางอย่างได้

“ปาโต๊ะอย่างนั้นเหรอ พี่มีเพื่อนคนหนึ่งประจำฐานปฏิบัติการที่นั่นพอดี เดี๋ยวพี่จะหาโอกาสแนะนำให้รู้จักไว้ เผื่อมีอะไรจะได้พึ่งพาอาศัยกันได้”

 

“เฮลโลมิ้วกี้ ทำอะไรอยู่จ๊ะ” ปฏิสังขรณ์ส่งเสียงสดใสมาตามสายในสัปดาห์ต่อมาขณะอัศวินีเดินกลับบ้านพักในตอนเย็นหลังลงเวร

“เป็นเพื่อนที่น่ารักมากเลย ปล่อยเกาะเพื่อนแล้วหนีเงียบเลยนะแก ชิ!” อดที่จะต่อว่าด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ 

“โอ๊ะ...โอ๊ะ...โอ๋ อย่าเพิ่งงอนนะจ๊ะมิ้วกี้เพื่อนรัก อยากบอกว่างานยุ่งมากเลย ช่วงนี้ออกนิเทศนักศึกษาด้วย แล้วก็ยังมีภาระงานที่วิทยาลัยอีก” ปฏิสังขรณ์หัวเราะเสียงใสพลางร่ายยาวภารกิจของเธอ

“แล้วว่างๆ แกทำอะไรยะ จะโทร. มาเทกแคร์เพื่อนสักนิดเป็นไม่มีเลยนะ” กระแนะกระแหนด้วยความหมั่นไส้ไปอย่างนั้นเอง

“อ้าว...ฉันก็ต้องดูแลสามีฉันสิยะแม่คุณ แต่ก็อย่างที่เคยบอกแหละมิ้ว คนไม่มีครอบครัวอย่างแกจะไปเข้าใจอาไร้” คนเป็นเพื่อนหัวเราะเสียงแหลมเสียดแทงใจมาตามสาย 

อัศวินีกลอกตามองบน

เอากับมันไหมล่ะ...ก็บอกแล้วอย่าได้เผลอเชียว

แต่จะโทษปฏิสังขรณ์ก็ไม่ได้หรอกเพราะฝ่ายนั้นโทร. มาเกือบทุกวัน แต่เธอไม่มีเวลารับเอง พอโทร. กลับ ฝ่ายนั้นก็คงยุ่งเหมือนกัน คลาดกันไปคลาดกันมาตลอด

“จ้าาา แม่คนมีครอบครัว อย่าให้ฉันมีมั่งนะ อิโธ่!”  

“ฮ่าๆๆ ก็รีบๆ มีแฟนซะสิคู้น จะได้ไม่เหงาอยู่แบบนี้ แต่จะว่าไปแล้ว ช่วงแรกๆ ที่ยังไม่มีงานอะไรเยอะ แกก็คงจะเหงา แต่เดี๋ยวอีกหน่อยถ้ามีงานเข้ามาก็คงไม่มีเวลาให้เหงา อย่างฉันตอนนี้นี่ไง...อยากบอกว่าตอนนี้ยุ่งมากๆ ทั้งภาระงานของวิทยาลัย เดือนหน้าสภาฯ เข้าด้วย ต้องเตรียมเอกสารกันยกใหญ่เลย แถมช่วงนี้ต้องนิเทศนักศึกษาฝึกจิตเวชอีก เคสก็ไม่ค่อยมี กลัวนักเรียนจะลำบากตอนสอบสภาฯ นึกถึงสมัยเราเรียนนะ...ถ้าได้เห็นก็จะจำได้แม่น” ปฏิสังขรณ์บ่นยาวเหยียด น้ำเสียงมีแววหนักใจ

“แหมแก...เคสไม่มีก็จะไปยากอะไร แกก็ทำเคสแห้งสิ ไม่ก็ทำ Role Play ก็ได้” ผู้หญิงที่มีจินตนาการเหลือเฟือเอ่ย แต่อีกฝ่ายก็ยังนึกภาพไม่ออกอยู่ดี

“เอาให้มันเคลียร์ๆ กว่านี้หน่อยจิ นึกภาพไม่ค่อยออกอะ ไม่ก็ลองพลอตเรื่องคร่าวๆ ก็ได้”

“อืม...ก็ประมาณว่า เดี๋ยวนะ...คิดก่อน” ไม่ถึง 30 วินาทีด้วยซ้ำผู้หญิงที่มีจินตนาการเหลือเฟือก็เล่าบทเป็นฉากๆ 

ปฏิสังขรณ์เริ่มยิ้มออก พยักหน้ารับเป็นระยะ ก่อนอุทานเสียงใส

“โอ้โห...เยี่ยมมากมิ้วกี้เพื่อนรัก คิดได้ไงเนี่ย แหม...นึกว่าคิดได้แต่นิยายน้ำเน่าเอาไว้มอมเมาเพื่อน”

สมัยเรียนพยาบาลนั้นยามว่างเว้นจากการเรียน งานอดิเรกของอัศวินีก็คือเขียนนิยาย โดยหยิบจับเรื่องราวความรักของคนใกล้ตัวอย่างเพื่อนๆ มาเขียนผสมปนเปกันไป พอเพื่อนอ่านแล้วคุ้นว่าเป็นเรื่องราวของตัวเองก็กรี๊ดกร๊าดชอบใจกันใหญ่

“ขอบใจนะ...จะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน”

“โอ๊ะ...โอ๊ะ...โอ๋...อย่าเพิ่งน้อยใจนะ แหม...ใครจะกล้าว่าเพื่อนได้ลงคอเล่า ออกจะไอเดียเจ๋งขนาดนี้ แต่แหม...แล้วจะไปหานางเอกมาจากไหน”

“แกก็เป็นเองเลยสิ คงไม่มีใครเชี่ยวชาญเรื่องโรคทางจิตเวชและอาการวิทยาเท่ากับอาจารย์จิตเวชอีกแล้ว”

“โหยแก...ไม่ไหวหรอก เดี๋ยวนักเรียนติดภาพบทที่แกเขียนให้ ฉันก็เสียภาพลักษณ์อาจารย์ฟ้าแสนสวยหมดพอดี”

อัศวินีเบะปาก

“แหวะ...ช่างกล้าพูดนะ แกก็ลองมองๆ ดูก็แล้วกันว่าใครเหมาะสมจะมาเป็นนางเอกนิยายที่อัศวินีบรรจงสร้างสรรค์เพื่อปฏิสังขรณ์โดยเฉพาะ ทางที่ดีนะหาคนที่รู้เรื่องโรคทางจิตเวชและอาการวิทยาหน่อยก็ดี แกจะได้ไม่ต้องปากเปียกปากแฉะอธิบายบทมาก”

“อืม...แต่ฉันรู้แล้วแหละว่าใครเหมาะสมกับบทนี้มากที่สุด” เอ่ยน้ำเสียงมีเลศนัยพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก   

 

เวลา 09.30 น. หอผู้ป่วยจิตเวช

หลังจากนักศึกษาพยาบาลนำคนไข้ทำกลุ่มออกกำลังกายในตอนเช้าเรียบร้อย บรรยากาศของหอผู้ป่วยที่มีคนไข้ไม่ถึง 20 คนก็เงียบเหงา คนไข้บางคนพอรับประทานยาจิตเวชแล้วง่วงเหงาหาวนอนอันเป็นผลข้างเคียงของยาก็หลบเข้าห้องนอนไป มิไยที่นักศึกษาจะกระตุ้นให้ออกมานั่งคุยหรือทำกิจกรรมร่วมกับคนไข้คนอื่นๆ แต่ก็ไม่อาจรั้งได้ 

ระหว่างนี้นักศึกษาที่ขึ้นฝึกปฏิบัติงานก็กระจายกันออก ‘ประกบ’ คนไข้ที่ตนเองหมายตาไว้ว่าจะทำ ‘การสนทนาเพื่อการบำบัด’ เพื่อเขียนสรุปรายงานส่งอาจารย์ แต่วันนี้อาจารย์ปฏิสังขรณ์ให้งานเพิ่มเติม คือสังเกตคนไข้ที่อาจจะมีรับใหม่ในวันนี้ โดยสังเกตทุกเคสว่าแต่ละเคสมีอาการวิทยาอะไรบ้าง และให้เขียนข้อมูลสนับสนุนอาการวิทยานั้น

นักศึกษาพยาบาลเริ่มขยับตัวด้วยความกระฉับกระเฉงเมื่ออาจารย์นิเทศมอบหมายงานพิเศษ พอช่วงบ่ายหลังจากทำกลุ่มประกอบอาหารเรียบร้อย อาจารย์ปฏิสังขรณ์ก็เรียกมาประชุมปรึกษาภายหลังการทำกลุ่ม (Post-conference)

“ปล่อยช้านนน! ปล่อยนะ พวกเจ้าเป็นใครบังอาจมาแตะต้องเจ้าหญิงแห่งเมืองในหมอก เดี๋ยวเราสั่งทหารจับขังคุกขี้ไก่ให้หมดเลย ทหารรร ช่วยเราที” เสียงร้องตะโกนโวยวายเรียกความสนใจจากทั้งผู้ป่วยและญาติในบริเวณนั้น 

ภาพที่เห็นคือสตรีร่างเล็กบางในชุดเครื่องแต่งกายสีฉูดฉาด ทาหน้าขาววอก ปากแดงแจ๋เลอะเทอะ ถูกบุรุษพยาบาลสอง คนกึ่งลากกึ่งบังคับเข้ามาภายในหอผู้ป่วย มิไยเจ้าตัวจะทั้งดิ้น ทั้งเตะ ทั้งข่วน แต่ไหนเลยจะสู้แรงบุรุษได้  

“คุณครับ ผมเป็นบุรุษพยาบาลนะครับ ประจำอยู่ที่หอผู้ป่วยนี้ ผมสัญญาว่าจะปล่อยให้คุณเป็นอิสระถ้าคุณสงบลงแล้ว” 

เท่านั้นละ...หญิงสาวยืนตัวตรงแน่วเหมือนเชื่อฟัง แต่อาการที่เจ้าหล่อนทำตาล่อกแล่ก เอียงหูเหมือนกำลังเงี่ยฟังอะไรบางอย่างทำให้รู้ว่าคงไม่ใช่เชื่อฟังแน่นอน ก่อนหันมาใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปากบุรุษพยาบาลทั้งสองคน

“ฟังสิ...ฟังเสียงอะไรนั่น พวกเจ้าได้ยินเยี่ยงเราฤาไม่”

ไม่เฉพาะญาติคนไข้ที่ให้ความสนใจ นักศึกษาพยาบาลต่างก็ขยับเข้ามาใกล้ เก็บบันทึกทุกคำพูดของคนไข้เท่าที่จะจำได้ ไม่บ่อยนักหรอกที่จะมีเคสน่าสนใจแบบนี้ ในขณะที่ ‘อาจารย์ฟ้า’ ลอบยิ้มซะอย่างนั้น 

 

มุมหนึ่งของหอผู้ป่วยจิตเวช   

“คุณลุงอาร์มคะ ผู้หญิงคนนั้นเขาเป็นเจ้าหญิงหรือคะ” เด็กหญิงร่างผอมบางหน้าตาน่าเอ็นดูในวัยประมาณสี่ขวบเงยหน้าขึ้นถามบุรุษร่างสูงใหญ่ในชุดเครื่องแบบสีเขียวขี้ม้าที่เจ้าหล่อนอาศัยนั่งตักอย่างสนิทสนม

“ไม่ใช่หรอกลูก คุณน้าไม่สบายครับ” คำตอบนั้นค่อนข้างระมัดระวังพร้อมลอบสังเกตกิริยาของสตรีในชุดสีม่วงที่นั่งตรงข้าม 

หญิงสาวเบือนสายตาจากผู้มาใหม่ก่อนคลี่ยิ้มเศร้า ๆ

 “หนู...ลูก มานั่งกับแม่ไหมจ๊ะ เดี๋ยวคุณลุงเมื่อยขาแย่”

เด็กหญิงมองผู้เป็นแม่ด้วยสายตาเหมือนไม่แน่ใจ เพราะภาพของแม่เมื่อสองสามเดือนก่อนตอนที่เขาเอาธงชาติคลุมร่างของพ่อมายังติดตา แม่กรีดร้องคร่ำครวญไม่แตกต่างจาก ‘คุณน้า’ คนนี้เลย แล้วตอนที่พ่อ ‘ไปสวรรค์’ ใหม่ๆ แม่ก็หายไปด้วยเหมือนกัน ‘คุณลุงอาร์ม’ บอกว่าแม่ไม่สบาย ไปหาหมอที่กรุงเทพฯ ส่วนหนูน้อยก็ไปอยู่กับ ‘คุณป้าออย’ ตอนนี้แม่กลับมารักษาตัวต่อที่นี่ และไม่กรีดร้องเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ภาพเก่าๆ ก็ยังติดตาทำให้เด็กหญิงตัวน้อยยังกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าเข้าใกล้แม่

“ได้หรือคะ”

พ.ต. กองทัพก้มหน้ายิ้ม ก่อนสร้างความเชื่อมั่นให้แม่หนูน้อย

“ได้สิคะคนเก่ง คุณแม่จะได้ถักผมเปียสวยๆ ให้หนูไงคะลูก” ทหารรูปร่างล่ำสัน หน้าคมตาดุ แต่พูดจาคะขาได้อ่อนโยนน่าฟัง 

เด็กหญิงทำตามด้วยความว่าง่าย ทำเอาศรณีย์ถึงกับน้ำตาซึมยามโอบร่างเล็กๆ นั้นแนบอก

“ขอบคุณผู้พันมากนะคะที่ช่วยดูแลเราสองคนแม่ลูกเป็นอย่างดี”

“ฮื้อ! แค่นี้เอง ไม่ต้องคิดมาก แล้วหมอบอกหรือยังว่าจะให้กลับบ้านวันไหน”

“มะรืนนี้ค่ะ” ริมฝีปากค่อนข้างแห้งนั้นเม้มนิดๆ เมื่อนึกถึงบ้าน หลังจากที่เสียเสาหลักของครอบครัวจากเหตุการณ์ความไม่สงบ เธอก็ยังไม่รู้เลยว่าชีวิตจะเดินต่อไปอย่างไร บ้านที่กองพันก็ไม่รู้จะขอผ่อนผันอยู่ต่อได้อีกนานแค่ไหน ส่วนบ้านเดิมที่นครศรีธรรมราชซึ่งเคยอยู่มาตั้งแต่เด็ก เธอก็คงไม่กล้าบากหน้ากลับไปอีกแล้ว เพราะถูกตัดขาดจากครอบครัวนับตั้งแต่ตัดสินใจแต่งงานกับสามี 

คล้ายกองทัพได้เตรียมการไว้ให้ล่วงหน้าแล้ว นายทหารหนุ่มเอ่ยขึ้นมาว่า “มะรืนนี้พี่ไม่ว่าง แต่เดี๋ยวจะให้จ่ารักษ์มารับ ไปอยู่บ้านที่สงขลากันก่อนนะ ช่วงนี้คุณย่าไม่ค่อยสบาย ถือว่าอยู่เป็นเพื่อนคนแก่เอาบุญ” 

แล้วกองทัพก็ให้ข้อมูลเรื่องการบรรจุทายาททดแทนกำลังพลที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ศรณีย์ถึงกับน้ำตาซึม ยกมือไหว้ด้วยสำนึกในบุญคุณของอีกฝ่ายที่มีต่อเธอกับลูกสาว ทั้งที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง

“ไม่ต้องคิดมาก มีอะไรช่วยได้ก็ช่วยกัน ติดขัดตรงไหนก็บอก แล้วก็เตรียมเอกสารให้พร้อมจะได้รีบจัดการเรื่องบรรจุให้ ส่วนบ้านหลวงตอนนี้ก็ยังอยู่ต่อได้อีก ก็พอดีแหละ...บรรจุเข้ารับราชการแล้วก็อยู่ต่อได้” คล้ายผู้เป็นนายได้เตรียมการให้ในเบื้องต้นแล้ว ยังความซาบซึ้งใจมาสู่หญิงม่ายนัก

 

“คุณลุงอาร์มคะ ดูนั่นสิคะ คุณน้าผู้หญิงคนนั้นไม่ถูกคุณน้าผู้ชายชุดขาวจับตัวแล้วนะคะ” เด็กหญิงขวัญชนกกระตุกแขนคุณลุงอาร์มระหว่างทางเดินออกจากหอผู้ป่วย 

‘คุณน้าผู้หญิงคนนั้น’ นั่งอยู่ที่ระเบียง กำลังสนทนากับนักศึกษาพยาบาลสาวสองนาง ท่าทางออกรส มียกไม้ยกมือประกอบ บางครั้งก็เต้นไปมาเหมือนนักบัลเล่ต์ ครั้งแรกนายทหารหนุ่มมองเพียงผ่านๆ ครั้นแล้วก็ขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกคุ้นตา อดไม่ได้ที่จะหันไปมองอีกครั้ง คราวนี้กองทัพถึงกับตีหน้าไม่ถูก จะยิ้มก็ใช่ที่...ทหารในเครื่องแบบเต็มยศที่ไหนยิ้มเห็นฟันทั้งปากกันทั้งที่นึกขันแทบแย่ กลั้นยิ้มหรือก็จนเจ็บกระพุ้งแก้ม 

...คนก็หน้าตาออกดี แต่...ทำไปด้ายยยย...

สุดจะทน...มุมปากปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ด้วยความขบขัน ก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว แม้จะเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึก แต่แววตากลับเป็นประกายราวกับจะยิ้มได้ ขัดกันกับใบหน้าดุ ดิบ เถื่อนที่เริ่มรกด้วยเคราเขียวตามคางและข้างแก้ม

 พ.ต. กองทัพจงใจทอดฝีเท้าช้าๆ เมื่อเดินเข้ามาใกล้ คนที่กำลังคุยออกรสหันมามองตามสัญชาตญาณ ครั้นแล้วดวงหน้าจิ้มลิ้มที่ถูกละเลงด้วยเครื่องสำอางจนเลอะไปหมดถึงกับผงะนิดๆ แลตกใจคล้ายถูกผีหลอก และแทบจะไม่เห็นถ้าไม่สังเกต แต่ก็นั่นละ...ไหนเลยเล่าจะลอดสายตาทหารที่ผ่านทั้งหลักสูตรรบพิเศษและสนามรบจริงมาหลายสมรภูมิได้  

กองทัพกลั้นยิ้มขัน หน้าตาก็อืม...น่ารัก แต่ทำไม้...ทำไม...ช่างกล้าทำ หากใบหน้าคมเข้มนั้นก็ยังเรียบเฉยแกมดุดันด้วยความเคยชินที่ต้องสำรวมกิริยายามอยู่ในชุดเครื่องแบบ

 

ตายแล้ว....พี่เถื่อน...พี่เถื่อนที่สนามบิน พี่เถื่อนเป็นทหารด้วย โอ๊ย...ไม่นึกเลยว่าโลกจะกลมอย่างนี้ พี่เถื่อนมาได้ยังไงกัน เราต้องเป็นเนื้อคู่กันแน่เลยถึงได้เจอกันอีกแล้ว เอ๊ะ...แล้วพี่เถื่อนจะจำสาวสวยที่พี่เถื่อนชนที่สนามบินได้ไหมนะ ถ้าเผื่อจำได้...กรี๊ดดด! รับไม่ได้ อยากจะผูกคอตายใต้ต้นมะเขือเทศจริงๆ ทำไมต้องมาเจอเราในสภาพนี้ด้วยนะ อ๊าย!   อยากจะบีบคอยายฟ้านักที่เอาสลัดร้านโปรดมาล่อจนเรายอมมาเป็นนางเอกนิยายเรื่องนี้ให้ เสียกิ๊กหมดเลย!  

กองทัพมองแบบที่จงใจให้รู้ว่ามอง ก่อนค้อมศีรษะนิดๆ เป็นเชิงทักทาย แม้ใบหน้าดุดันเรียบเฉย แต่แววตาราวกับยิ้มได้ แถมยังแอบยักคิ้วให้รู้ว่า ‘จำได้’ ด้วย 

กรี๊ด...เท่ฝุดๆ 

อัศวินีอยากจะสลัดบทที่สวม แล้วกลับไปแต่งตัวสวยๆ ส่งยิ้มหวานๆ ให้พี่เถื่อนนัก แต่วินาทีนี้...หญิงสาวทำได้เพียงแค่...เอียงคอมองก่อนฉีกยิ้มกว้าง เอ่ยหน้าทะเล้นว่า

“ฮัลโล่ที่รัก เมื่อเช้าลืมโกนหนวดอีกแล้วสิ แต่ก็เท่ดีนะ เถื่อนดี มิ้วชอบ!”

ปฏิสังขรณ์ที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ไม่ห่างนักอมยิ้มก่อนส่ายหัวด้วยความหมั่นไส้ระคนอ่อนใจ “แก...นังมิ้ว เห็นผู้ชายในเครื่องแบบหน่อยเป็นไม่ได้นะ งูบนหัวโผล่เชียว”  

 

“เยี่ยมมากเลยมิ้ว ตีบทซะแตกกระจุยกระจายเลย ปฏิสังขรณ์เอ่ยชมไม่ขาดปากเมื่อขับรถออกจากโรงพยาบาลในตอนเย็น หลังประชุมปรึกษาภายหลังการปฏิบัติการพยาบาลกับนักศึกษาเรียบร้อย ผลงานละครเรื่องเยี่ยมที่อัศวินีเขียนบทเอง กำกับเอง และเล่นเองสำเร็จลงอย่างน่าภาคภูมิใจเป็นที่สุด พี่พยาบาลที่วอร์ดถึงกับชมเปาะแถมยังชวนให้มาทำงานด้วยกัน

ส่วนน้องนักศึกษาพยาบาลก็อ้าปากค้าง ก่อนยิ้มหน้าบานกันทุกคนเมื่ออาจารย์ฟ้าเฉลยในตอนท้ายว่าคนไข้กิตติมศักดิ์เคยเป็นถึงพยาบาลจิตเวช อาการวิทยาต่างๆ ก็เลยถูกงัดออกมาใช้จนหมด 

ก่อนขึ้นรถกลับ ‘พี่มิ้ว’ ยังแอบกระซิบว่า

สงสัยตรงไหนโทร. หาพี่ได้นะจ๊ะ สำหรับน้อง ๆ ร่วมวิชาชีพ พี่เทกแคร์เต็มที่’ พร้อมแจกเบอร์โทร. เรียบร้อย

อัศวินียักไหล่นิดๆ ก่อนบอกหน้าเฉยว่า

“แค่นี้...จิ๊บๆ น่า แหม...มีอะไรมั่งที่อัศวินีทำไม่ได้ นอกจากไม่อยากทำเท่านั้นเอง ว่าแต่ไอ้ที่สัญญากันไว้อย่าลืมนะแก สลัดร้านโปรดฉันพร้อมสเต๊ก ห้ามเบี้ยวด้วย จะกินให้พุงกางเลย”

“เหอะน่า ไม่ลืมหรอก เรื่องของกินนี่งกชะมัดเลยแก”

“อ๊ะ...ไม่ได้หรอก ทั้งเขียนบทเอง กำกับเอง เล่นเองแบบนี้หาได้ที่ไหน แถมฉันยังเสียกิ๊กอีกนะแก”

“คุณพี่ผู้พันคนนั้นน่ะเหรอ น่ากลัวพาลูกสาวมาเยี่ยมแฟน แกกล้าทำบาปทำกรรมได้ลงคอเหรอมิ้ว” ปฏิสังขรณ์สันนิษฐาน 

เธอไม่ใช่พยาบาลประจำที่หอผู้ป่วย อีกทั้งเคสคนไข้รายนี้อาการดีแล้ว รอจำหน่ายกลับบ้าน ทำให้ปฏิสังขรณ์ไม่รู้จักเคส ในขณะที่อัศวินีเองด้วยความที่มัวแต่ ‘แสดงบทบาทสมมุติ’ เพื่อให้น้องนักศึกษาพยาบาลได้วิเคราะห์ ‘อาการวิทยา’ ไม่ทันหันไปมอง จึงไม่รู้ว่าคนไข้ที่นายทหารหนุ่มหน้าเข้มผู้นั้นมาเยี่ยมก็คือคนที่เธอเคยดูแลที่หอผู้ป่วยจิตเวชก่อนมาทำงานที่ใต้

“บ้าน่าแก...ไม่ใช่หรอก เขาอาจจะเป็นคนรู้จักกันก็ได้ ฉันว่าพี่เถื่อนต้องเป็นเนื้อคู่ฉันแน่ๆ เลยแก แกจำได้ไหมวันที่แกกับพี่ปืนไปรับฉันที่สนามบิน พี่เถื่อนคนนี้แหละที่เดินชนฉัน แล้วพรหมลิขิตก็ยังทำให้เราได้มาเจอกันอีก” ว่าพลางหัวเราะคิกคักคล้ายเป็นเรื่องสนุกสนานมากกว่าจะคิดจริง 

ตอนอยู่โรงพยาบาลจิตเวชที่กรุงเทพฯ แม้หญิงสาวจะเคยเห็นเขาแล้ว แต่ตอนนั้นก็เห็นในระยะไกล ซึ่งเห็นหน้าไม่ชัด อีกทั้งไม่ได้ใส่ใจจำด้วย ไอ้ที่แกล้งทำเป็นกรี๊ดกร๊าด ‘ผู้ชายในเครื่องแบบ’ ก็แค่ขำๆ สร้างสีสันไปอย่างนั้นเอง ถ้าอัศวินีเห็นในระยะใกล้กว่านี้นิด ใส่ใจจำสักหน่อย เธอคงขำไม่ออก

“นิยายน้ำเน่าอีกแล้วแก เอ๊ะ...แกเรียกเขาว่าพี่เถื่อนเหรอ นี่ไปแอบรู้จักมักจี่ ริอ่านเป็นชู้กับสามีชาวบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่กันยะแม่คุณ” ปฏิสังขรณ์เหล่มองตาเขียวเหมือนอาจารย์ฝ่ายปกครองจ้องจับผิดนักเรียน แต่เพื่อนสาวทำหน้ายู่

“รู้จ่งรู้จักที่ไหนกันล่ะแก ก็แค่เห็นพี่แกหน้าเถื่อนได้ใจเลยเรียกว่าพี่เถื่อนเท่านั้นเอง แหม...ยังสลัดคดีเป็นชู้ทางใจกับแฟนเก่าตัวเองไม่พ้นเลย แล้วฉันจะไปกิ๊กกั๊กกับสามีชาวบ้านได้ยังไงกันยะ ชิ!” อัศวินีบ่นกระปอดกระแปด 

ปฏิสังขรณ์หัวเราะคิก

“หราาา...รู้ตัวด้วย”

“ย่ะ...ได้ทีเอาใหญ่นะ” อัศวินีย่นปากเกือบถึงจมูก ก่อนปรับไปอีกโหมด น้ำเสียงตื่นเต้นจนคนคุยด้วยก็แทบปรับโหมดตามไม่ทัน 

“เออๆๆ นี่นะฟ้า ฉันกับพี่เถื่อนเจอกันมาสองครั้งแล้วใช่ไหมแก นี่ถ้าบังเอิญเจอกันอีกเป็นครั้งที่สาม ฉันจะถือว่าเป็นพรหมลิขิตนะแก...เราคงต้องเป็นแฟนกัน” สาวช่างฝันฮัมเพลงตอนท้าย นี่ถ้ารู้ว่าเจอกันครบสามครั้งแล้ว เจ้าหล่อนคงเข้าข้างตัวเองมากกว่านี้เป็นแน่ 

อาจารย์สาวถึงกับส่ายหัว “เป็นเอามากนะแก”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น