1

บทที่ ๑

บทที่ ๑

 

พนักงานในชุดสีเขียวตองทยอยลำเลียงเครื่องใช้สำนักงานออกจากห้องชุดซึ่งเช่าโดย ‘แลนด์สเคป ดีเวลอปเมนต์’ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายย่อย ก่อตั้งโดย ไผท เทภานันทน์

สี่ปีก่อนเขาทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการสายงานก่อสร้าง บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของประเทศ หน้าที่การงานมั่นคง แต่สำหรับเขายังมั่งคั่งไม่พอ ไผทใช้เวลาเพียงหนึ่งคืนตัดสินใจทิ้งอนาคตเรียบสวยไว้เบื้องหลัง ก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยสู่เส้นทางขรุขระที่ท้าทายกว่า เขากับเพื่อนสนิทร่วมตั้งบริษัทแลนด์สเคป ดีเวลอปเมนต์ รับเหมาก่อสร้าง เน้นโครงการหมู่บ้านจัดสรรขนาดเล็กตามต่างจังหวัด เมื่อจบไตรมาสสุดท้ายในปีแรก แลนด์สเคปฯ มีกำไรสุทธิราวหกล้านบาท ล่วงเข้าปีที่สองกำไรก็งอกเงยขึ้นเกือบสามเท่า แต่พอสิ้นปีที่สี่ตัวเลขในบัญชีกลับติดลบแดงโร่

ความผันผวนของตลาดที่อยู่อาศัยส่งผลให้ผู้ประกอบการสายป่านสั้นหลายรายต้องม้วนเสื่อกลับบ้าน เช่นเดียวกับแลนด์สเคปฯ ที่ประสบภาวะขาดทุนอย่างหนัก โครงการบ้านพักตากอากาศปราณบุรีคือชนวนสำคัญที่รั้งป่านให้ขาดผึง...แลนด์สเคปฯ ปิดตัวเร็วเกินคาด

สถาปนิกหนุ่มนั่งมองพนักงานยกกรอบรูปขนาดใหญ่ที่ติดบนผนัง มันคงเป็นของชิ้นเดียวที่เขาไม่รู้สึกเสียดาย ไม่ใช่เพราะภาพพิมพ์เลียนฝีแปรง วินเซนต์ ฟาน กอกห์ บนผืนผ้าใบไม่ชวนชม แต่ไผทไม่นึกนิยมคนที่มอบภาพนั้นให้ในวันเปิดบริษัท

พนักงานลูกหม้อกลุ่มสุดท้ายมาร่ำลาไผทในห้อง พวกเขาเข้าทำงานตั้งแต่วันแรกที่เปิดบริษัท และเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จำต้องจากเมื่อบริษัทปิดตัวลง ออฟฟิศที่เคยคึกคักพลันเงียบสงัด

เฝ้าถอนใจหลายรอบกว่าขาจะพาร่างออกจากอาคารสำนักงาน ครั้งนี้สถานการณ์วิกฤตหนัก ที่แล้วมาถึงล้มลุกคลานก็ยังหัวเดียวกระเทียมลีบ แต่คราวนี้เขามีครอบครัวอยู่ข้างหลัง แม้เทือกเถาฝ่ายภรรยาที่สืบสายมาจากข้าราชการเก่าจะมั่งมีไม่ขัดสน แต่สายตาดูแคลนจากบรรดาญาติๆ ของเธอที่มองเขาไม่ต่างจากมดปลวก ทำให้ไผทไม่เคยคิดจะขอความช่วยเหลือด้านการเงินจากภรรยา

เป็นความทะนงซึ่งล้นไปด้วยทิฐิ

ขณะหาทางรับมือกับปัญหามีสายเรียกเข้า ไผทเหลือบมองก่อนยกสมาร์ตโฟนแนบหู กรอกเสียงเบาๆ

“ผมกำลังจะกลับ”

 

หญิงร่างบางนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาตัวยาว ผมสลวยสีดำแกมน้ำตาลขับใบหน้าขาวนวลให้เด่นชัด แผงคิ้วกันพองามรับดวงตากลม ผิวชมพูฝาดเรียบเกลี้ยงไร้ผดสักเม็ด น่าทึ่งที่เธอยังคงสวยไม่ต่างจากก่อนมีลูก เกนนิษฐาเป็นภรรยาของไผท ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อสี่ปีก่อน เธอตั้งครรภ์ในเวลาไล่เลี่ยที่ฝ่ายสามีกำลังก่อร่างสร้างตัว ดังนั้นหากจะบอกว่า วินน์โซ่คล้องใจของสองสามีภรรยาเติบโตมาพร้อมแลนด์สเคปฯ คงไม่ผิดนัก

ไม่นานไผทกลับถึงบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ครั้นเห็นภรรยาสาวจึงพยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติ แต่เกนนิษฐารู้ทันเกินกว่ากิริยาพยายามฝืนจะตบตาเอาได้ จริงอยู่ การล้มอย่างกะทันหันของแลนด์สเคปฯ เกินความคาดหมายไม่น้อย แต่ยังทำใจเชื่อไม่ได้ว่าเกิดจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดของสามี แต่อย่างว่า เธอฉลาดพอที่ต้อนรับไผทด้วยรอยยิ้ม และรออีกฝ่ายอธิบายทุกอย่างด้วยตัวเอง

ทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามภรรยา ขยับเนกไทระบายลมออก นั่นเป็นอย่างเดียวที่ทำให้ไผทรู้สึกผ่อนคลายในตอนนี้ เหลียวมองบ้านหลังเดิมไม่ชวนหย่อนใจอย่างเคย อาจเป็นเพราะมันกำลังเปลี่ยนมือ

“ผมเคลียร์ทุกอย่างที่ออฟฟิศเรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องเงินชดเชยพนักงานไอ้รุตจะเป็นคนจัดการให้ก่อน” คนพูดโคลงหัว “คงต้องนับหนึ่งกันใหม่”

“แล้วบ้านหลังนี้ล่ะคะ”

“ก็คงต้องขาย” ไผทบอกปลงๆ

“เกนไม่เห็นด้วย ทำไมดินไม่เอาเงินของเราไปหมุนก่อน ขาดเหลือเท่าไหร่เกนจะไปยืม...” หญิงสาวปิดปากก่อนหลุดพยางค์สุดท้าย

“ไม่ใช่เงินของเรา มันเป็นเงินที่คุณแม่เกนให้ไว้” ไผทชิงพูด แน่นอน ชายหนุ่มรู้ว่ามีเงินก้อนนี้พอๆ กับที่มาของมัน ในวันเปิดบริษัทช้องมอบกรอบรูปให้เป็นของขวัญแก่ลูกเขย แต่มอบเงินสดจำนวนสิบห้าล้านบาทให้ลูกสาวเพื่อเป็นค่ารับขวัญหลานชาย ทว่าเงื่อนไขการถอนเงินก้อนนี้ออกจากบัญชีร่วมไม่ใช่เรื่องง่าย จำต้องล่าลายเซ็นและใบมอบอำนาจจากแม่ยายที่หมิ่นกันตั้งแต่ยังไม่เปลี่ยนสถานะเป็นเขย ไผทตั้งปณิธานไว้...จนตรอกยังไงก็จะไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้หญิงคนนี้

คนกลางก็ทราบถึงความสัมพันธ์ย่ำแย่ของแม่กับสามี ในกรณีนี้พูดได้ไม่เต็มปากว่าใครผิดถูก คนเป็นแม่ที่รักลูกสุดหัวใจ ประคบประหงมมาแต่อ้อนแต่ออก ก็อยากให้ลูกสาวได้คู่ครองที่เทียมเท่า ภายหน้าอนาคตความลำบากจะได้ไม่แผ้วพาน ฝ่ายชายคนรัก แม้ชาติตระกูลจะไม่ดีเด่นเท่า แต่เป็นคนหนุ่มอนาคตไกล มุ่งมั่นทะเยอทะยาน พอฝากฝังชีวิตได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ในวันที่เกนนิษฐาตกลงปลงใจใช้ชีวิตร่วมกับไผทจึงเป็นวันที่นางช้องขุ่นเคืองมากที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่จำได้ ดังนั้นเมื่อได้ลูกเขยไม่ตรงจริต มีโอกาสเมื่อไรแม่ยายเป็นต้องเหน็บแขวะไผทอยู่ร่ำไป

“ขายบ้านแล้วจะไปอยู่ไหน”

คำถามแรกจากปากภรรยาทำเอาสามีขบไม่แตก ลำพังตัวเองกินนอนที่ไหนก็ได้ แต่ลูกกับหลานคุณช้อง ศุภานุรักษ์ นั่นละคือปัญหา จริงอยู่เรือนหลังงามขนาดสองร้อยตารางวาย่านศาลาแดงมีห้องหับเหลือเฟือเพียงพอสำหรับสามชีวิต แต่การต้องอาศัยใต้ชายคาเดียวกับแม่ยายเป็นสิ่งสุดท้ายที่ไผทคิดจะทำ

“ช่วงนี้เกนกับลูกก็ไปอยู่กับคุณแม่ก่อนแล้วกัน ส่วนผมจะไปพักที่คอนโดชั่วคราว เห็นเจ้ารุตบอกว่ามีโพรเจกต์ใหญ่อยากให้ช่วยดู กำไรแบ่งกันห้าสิบห้าสิบ”

“ลองคิดดีๆ อีกรอบไหมคะดิน บางทีเราอาจไม่ต้องขายบ้านหลังนี้”

“ผมคิดดีแล้ว” อีกฝ่ายตอบทันที “บ้านเก่าๆ แต่มีคนขอซื้อราคานี้หาไม่ได้แล้ว เกนก็รู้ผมคิดจะขายมาสักพัก บ้านคับแคบเกินไป ไม่พอให้ลูกวิ่งเล่น” ไผทรูดเนกไทออกจากรอบคอแล้วปาลงบนโซฟา ทั้งสองต่างรู้ดีว่าลูกชายคงไม่มีโอกาสวิ่งเล่นในบ้านหลังใหม่หรือกระทั่งหลังเดิมในเร็ววันนี้

 

วินน์วิ่งเล่นอยู่ในสายตาของเกนนิษฐา เด็กชายมีรูปร่างผอมบาง ผิวพรรณสะอ้านได้แม่ หากจะบอกว่าช้องรักใครมากกว่าลูกสาวก็คงเป็นหลานตัวน้อยคนนี้ ช้องเปรยอยู่บ่อยๆ ว่าหลานหน้าตาคล้ายพี่ชายต่างมารดาของเธอ เกนนิษฐาคลับคล้ายคลับคลาว่าตอนยังเล็กเคยพบพี่ชายแม่อยู่สองสามครั้ง เขาเป็นคนรักสันโดษ ตีหน้าขรึมตลอดเวลาและเงียบจนน่ากลัว ซ้ำยังเป็นคนเดียวที่ช้องเกรงใจ

เสียงดังพลั่กดึงให้หยุดคิดถึงญาติผู้ใหญ่ คนเป็นแม่ตกใจเมื่อเห็นลูกชายหกล้ม รีบปราดเข้าหา “เจ็บไหมครับ” 

แต่รอยยิ้มคือสิ่งที่ลูกบอกแม่ เด็กชายเข้มแข็งแบบนี้มาตั้งแต่เกิด เป็นพรประเสริฐที่พ่อแม่ทุกคนเฝ้าฝัน อาจซุกซนบ้างตามประสา แต่วินน์ไม่งอแงอย่างเด็กที่ถูกตามใจ

เธอใช้โอกาสนี้เกริ่นกับลูก

“คิดถึงคุณยายไหมครับ” เด็กชายพยักหน้า เกนจึงพูดต่อ “อีกไม่กี่วันคุณแม่จะพาวินน์ไปหาคุณยายที่บ้าน ยายช้องบ่นคิดถึงทุกวันเลย” 

เด็กชายผละออกห่าง สนใจเล่นสนุกมากกว่าฟังต่อ เกนนิษฐามองตามติด ลอบถอนหายใจเบาๆ ป่านนี้แม่ของเธอคงรู้ข่าวร้ายว่าบริษัทที่ไผทสู้อุตส่าห์สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงต้องปิดตัวลง...บางทีช้องอาจคิดว่าเป็นข่าวดี

บ่ายแก่นายหน้าพาคนซื้อมาดูสถานที่ แม้บ้านอายุหลายสิบปีจะทรุดโทรมไปตามกาลเวลา แต่ทำเลต่างหากที่มีมูลค่ามากกว่าโครงสร้างและเสาเข็ม หลังเดินชมโดยรอบมหกรรมการต่อรองก็เริ่มขึ้น ผู้คลุกคลีในวงการอย่างไผทประเมินราคาที่ดินไว้สามแสนห้าถึงสี่แสนบาทต่อตารางวา และไม่เกินห้าปีราคาอาจจะพุ่งไปมากกว่านี้ แต่ด้วยกรอบเวลาหนี้สินที่บีบรัดทำให้ต้องยอมตัดใจขายที่ดินพร้อมตัวบ้านในราคาสามแสนถ้วนต่อตารางวา เกนนิษฐาเฝ้าฟังการเจรจาซื้อขายอยู่ห่างๆ เธอไม่เข้าใจสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้ชาย พวกเขาล้วนถูกหล่อเลี้ยงด้วยศักดิ์ศรีหรืออย่างไร ถึงได้ยึดมั่นยอมเลือกทางลำบากแทนทางเรียบที่จ่ายดอกเบี้ยแค่ลดทิฐิ ภาระหนี้สิบกว่าล้านอาจมหาศาลสำหรับใครหลายคน แต่ไม่เกินกำลังช้อง ขอเพียงลูกสาวเอ่ยปาก แม้คนเป็นแม่รู้เต็มอกว่าเงินก้อนนั้นนำไปปลดหนี้ให้ลูกเขยที่เธอไม่ค่อยปลื้มก็ตามที

ทว่าก่อนไผทจดปากกาเซ็นสัญญาซื้อขาย มือถือเกนนิษฐาก็ดังขึ้น จอทัชสกรีนแสดงเพียงหมายเลขปลายทาง เธอกดรับสาย เสียงแหบแห้งก็เอ่ยทัก

“สวัสดี เกนใช่ไหม”

คนฟังหน้านิ่ว เสียงนั้นไม่คุ้นหู “ค่ะ ไม่ทราบใครพูดคะ” เกนนิษฐากรอกคำถามกลับ

ปลายสายนิ่งอยู่อึดใจ ตอบเสียงแผ่ว “...ลุงโชต”

‘ลุงโชต?’ หญิงสาวแปลกใจ เธอเพิ่งนึกถึงญาติคนนี้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ลุงโชตเป็นผู้ชายคนเดียวในจำนวนพี่น้องหลายคน อายุห่างจากน้องสาวคนสุดท้องอย่างช้องเกือบยี่สิบปี เขามีนิสัยประหลาด ไม่คบค้าสมาคมกับใคร ครั้งสุดท้ายที่ปรากฏตัวก็ต้องย้อนไปไกลเกือบสิบปีตอนงานศพน้องสาวของเขา ญาติทุกคนโดยเฉพาะช้องล้วนเคารพนับถือ เพราะลุงโชต หรือที่เกนนิษฐาเรียกถนัดปากกว่าว่าตาน้อย คือหลานชายคนเดียวของต้นตระกูลพลชีวัน  หลานของ นายเชิด พลชีวัน หรือ พระยาพิทยบริบาล

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น