8

บทที่ ๘

บทที่ ๘

 

รถแล่นฝ่าความมืด บ้านเรือนสองฝั่งซ่อนเงียบหลังราวรั้วตั้งแต่หัวค่ำ

เป็นอีกครั้งที่นายแสงแอบชำเลืองคนนั่งเบาะหลังผ่านกระจก เขากับบุตรสาวคุณช้องครุ่นคำนึงถึงคำพูดของนายทหารวัยดึกที่ส่งผลให้เกนนิษฐากลายสภาพเป็นหุ่นหิน เธอนั่งนิ่งไม่พูดจา ไม่แม้แต่กะพริบตา

แสงไฟแดงเรื่อสุดซอยดึงความสนใจให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน รถคันหนึ่งจอดนิ่งอยู่หน้าบ้านพลชีวัน นายแสงเปรยกับตัวว่า นั่นรถใคร เกนนิษฐาไม่ได้บอก แต่เธอดีใจที่เห็นรถคันนั้น

มารินทร์ก้าวลงจากรถเมื่อแน่ใจว่าหนึ่งในกลุ่มคนที่เพิ่งมาถึงคือพี่สะใภ้ มารินทร์ดูอ่อนเพลียหลังงานประจำผลาญพลังชีวิตไปจนเกือบเกลี้ยง กระนั้นเธอก็ฝืนยิ้มให้พี่สะใภ้ที่ทั้งรักและเคารพ

“มาได้ไงเดือน” เกนนิษฐาแปลกใจ “แล้วมานานรึยังเนี่ย”

“ไม่นานค่ะ เพิ่งมาถึงก่อนพี่เกนสักสิบนาทีนี่เอง พอดีพี่ดินโทร. หา บอกว่าติดคุยงานกับลูกค้าอาจจะกลับดึกหน่อย เลยวานให้เดือนมาอยู่เป็นเพื่อนพี่เกน”

“โธ่ ดินนี่ก็นะ ไม่น่าไปกวนเลย มาๆ เอมเข้าบ้านก่อน”

คำที่พี่สะใภ้เปรยทำเอามารินทร์ขดหัวคิ้ว “เอม? เอมไหนเหรอพี่เกน”

คนถูกถามแปลกใจไม่แพ้กัน “หือ? พี่พูดว่างั้นเหรอ”

มารินทร์พยักหน้างงๆ ก่อนเข้าไปอุ้มหลานชายที่กำลังหลับ

 

บัวมีท่าทีกังวล ดูล่อกแล่กผิดปกตินิสัย เหตุการณ์เมื่อคืนยังรบกวนจิตใจไร้เดียงสาของแม่บ้านสาว แต่อย่างน้อยผมของเธอก็กลับมาเรียบลู่ไม่ชี้ฟูเหมือนช่วงเช้า มารินทร์สังเกตเห็นความผิดปกตินั้น และถามหาสาเหตุ แต่บัวสั่นหัวท่าเดียว

ครั้นวางหลานชายลงบนเตียง เธอก็เหยียดแขนบิดตัว เดินออกมาจากห้องอย่างเมื่อยล้า ความจริงมารินทร์อยากกลับบ้านพักผ่อนมากกว่าฝ่าการจราจรหนาแน่นมาที่นี่ แต่ท่าทางบัวไม่ใช่สิ่งเดียวที่ผิดปกติ เนื้อเสียงของพี่ชายบังเกิดเกล้าที่โทรหาเมื่อชั่วโมงก่อนก็แฝงด้วยความกังวล เธอรับสัมผัสได้ แต่ไม่รู้สาเหตุ และดูยุ่งยากหากต้องไปถามหาสาเหตุเอากับคนที่นั่งเงียบในห้องรับแขก 

ร่างเกนนิษฐาจมอยู่ในโซฟาหนังสีน้ำตาลแก่ แต่ความคิดไปไกลถึงต้นตรอก ทหารสูงวัยนายนั้นมอบเงื่อนงำใหญ่ไว้ให้เธอ ความแปลกใจยิ่งปริ่มปรี่เมื่อได้ยินคำว่า ‘โฉม’ ชื่อนั้นคุ้นหูมากกว่าเอม เกนนิษฐาคลับคล้ายคลับคลาว่าคุณโฉมเป็นญาติห่างๆ หญิงสาวได้ยินชื่อนี้ในงานศพป้าชุนระหว่างที่พวกพลชีวันและศุภานุรักษ์ไล่สาแหรกญาติสูงวัยที่ยังมีชีวิต นอกจากตาน้อย ก็มีคุณโฉมคนนี้ เธออายุเหลื่อมคุณโชตอยู่หลายปี แต่ที่เหมือนกันคือทั้งคู่พิสมัยการปลีกวิเวก ไม่ชอบสุงสิงกับใคร

ขณะเดียวกันมารินทร์เดินสำรวจของตกแต่งภายในห้องรับแขก ภาพวาดพระยาพิทยบริบาลกับภรรยาแขวนเด่นอยู่บนผนัง ข้าราชการใหญ่คนนั้นมีใบหน้าขรึมเข้มต่างกับฝ่ายหญิงที่ดูอารีกว่า ติดกรอบภาพเป็นตู้เก่าใบใหญ่ ภายในมีเครื่องลายครามวางเรียงอย่างพิถีพิถัน มารินทร์หยุดมองแจกันใบหนึ่งอยู่นาน สักพักจึงกลับไปมองพี่สะใภ้ เธอยังคงนั่งนิ่งราวกับว่ามารินทร์ไม่มีตัวตน

“คิดอะไรอยู่คะพี่เกน นั่งเงียบเชียว”

คนถูกทักจึงได้สติ “เรื่อยเปื่อยน่ะ ว่าแต่เดือนกินข้าวมารึยัง เดี๋ยวพี่ให้บัวจัดให้”

“เรียบร้อยแล้วค่ะ” มารินทร์ทิ้งตัวลงบนโซฟา ก่อนกวาดมองไปรอบห้อง “บ้านหลังนี้สวยดีนะพี่เกน ถึงว่าหมอนั่นชมไม่ขาดปาก”

“ฮั่นแน่ คิดถึงใครอยู่เหรอ”

“ปละ เปล่านะ เดือนไม่ได้คิดถึงใครสักหน่อย ก็แค่หมอนั่นเอาแต่พูดว่าถูกใจบ้านหลังนี้มาก เดือนก็เห็นด้วยนะ เพียงแต่มันดูวังเวงน่ากลัวยังไงไม่รู้สิ” เธอเว้นช่วง “แต่ก็คงแค่คืนนี้ละนะ เห็นพี่ดินบอกว่าพรุ่งนี้ผู้รับเหมาจะเริ่มเข้าหน้างานกันแล้ว ทีนี้คงได้เจี๊ยวจ๊าวกันน่าดู จะว่าไปเดือนแปลกใจเรื่องแลนด์สเคปมากกว่า”

“ทำไมเหรอ” เกนนิษฐาสงสัย

“เดือนก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องตัวเลขหรอกนะ แต่เคยเห็นงบดุลไตรมาสแรกของแลนด์สเคปแล้วไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะล้ม”

มารินทร์คิดเหมือนเธอ เกนนิษฐานึกในใจ แค่ยังไม่มีเวลาหาคำตอบนี้ แต่อย่างน้อยก็เบาใจไปเปลาะที่แม่ของเธอแสดงทีท่าว่าอยากช่วยมากกว่าทับถม

“พี่เกน เดือนขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”

เกนนิษฐาพยักหน้า

“อย่าหาว่าโง้นงี้เลยนะ ฟังจากที่พี่เล่ามา คุณตาโชตก็แก่มากแล้ว เจ็บออดๆ แอดๆ ถ้าสมมุติวันหนึ่งแกเป็นอะไรขึ้นมาบ้านหลังนี้จะเป็นของใครล่ะ เห็นว่าลูกเมียก็ไม่มี”

“เอ๊ เดือนนี่ก็ ถามอะไรไม่เป็นมงคล” เกนนิษฐามองตาเขียว เธอไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน พอคำถามแสลงเข้าหู ถึงไม่คิดตอบ แต่สมองก็ประมวลข้อมูลโดยอัตโนมัติ เท่าที่รู้เชื้อสายพลชีวันแท้ๆ เหลือโชตเพียงคนเดียว ส่วนช้องแม้มีสถานะเป็นน้องสาว แต่ไล่ตามสาแหรกก็แทบไม่มีความเกี่ยวของกับพลชีวัน

บทสนทนาหลังจากนั้นเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างมารินทร์กับวิมวัชร์ ทั้งสองรู้จักกันมาหลายปี ตั้งแต่วินน์ยังตัวเล็กกว่านี้ แรกทีเดียวมารินทร์ไม่ชอบใจนัก แต่การเทียวไล้เทียวขื่ออย่างสม่ำเสมอของฝ่ายชายทำให้เธอเริ่มใจอ่อนโดยไม่รู้ตัว ผ่านมาราวสองปี ทุกคนที่อยู่รอบตัวก็ปักใจว่าทั้งสองเป็นแฟนกัน มารินทร์ตะแบงไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธอย่างจริงจัง

การมีสมาชิกเพิ่มอีกคนช่วยให้บ้านดูครึกครื้น เสียงเอ็ดตะโรของมารินทร์ยามคุยโทรศัพท์กับวิมวัชร์ทำเอาเกนนิษฐาหลุดขำเป็นระยะ ในตอนนั้นเธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องโทร. หาใครบางคนเช่นกัน

“คุณแม่จะนอนรึยังคะ” เกนนิษฐาถามช้อง

“อีกสักพัก มีอะไรก็ว่ามาสิ”

“ลูกอยากไปหาใครคนหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าคุณแม่รู้จักเขารึเปล่า”

“ใครเหรอ”

เกนนิษฐานิ่งอยู่อึดใจ ก่อนตอบ “คุณโฉม”

 

ไผทฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีระหว่างขับรถกลับบ้าน การเจรจาช่วงมื้อค่ำดำเนินไปด้วยดี นายทุนสาวชื่นชอบในผลงานของเขา กระนั้นจะให้เครดิตเฉพาะงานด้านสถาปัตยกรรมอย่างเดียวคงไม่ยุติธรรมนัก ลีลาวาทศิลป์ของวิศรุตก็ช่วยโน้มน้าวให้สิริตกลงจ้างงานและจ่ายเงินก้อนแรก ดังนั้นเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์พวกเขากุมโพรเจกต์นี้ในกำมือ

ความไม่สบายใจอย่างเดียวที่สะกิดเบาๆ เกิดขึ้นระหว่างขับรถไปกินมื้อค่ำที่ห้องอาหารหรูกับสิริ ท่าทางของเธอเหมือนจะชมชอบคนทำมากกว่าเนื้องาน

ถึงบ้านค่อยโล่งใจเมื่อเห็นรถน้องสาวจอดอยู่ ไผทลงไปเปิดรั้วเหล็ก อากาศชื้นช่วงปลายฝนต้นหนาวพาขนลุก กลิ่นชมนาดโปรยฟุ้งรอบอาณาบริเวณ แม้ในยามราตรีบ้านพลชีวันยังคงความงาม โคมหัวเสาคายแสงนวลประดับรอบอาคาร สถาปนิกหนุ่มชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น สถาปัตยกรรมผสมผสานยุคกลางรัตนโกสินทร์มีอิทธิพลต่อเขาเสมอ

เมื่อเข้ามาในบ้านชายหนุ่มแปลกใจเล็กน้อย ไฟเกือบทุกดวงส่องแสง ขับสีเหลืองให้สดสว่าง ไผทคิดว่าเป็นความสะเพร่าของแม่บ้านวัยกำดัด เขาเคยตักเตือนเรื่องพฤติกรรมเสพละครหลังข่าวให้พอดี แต่ก็ทำได้เพียงเท่านั้น เพราะบัวไม่เคยบกพร่องในงานของตัวเอง...เว้นแต่วันนี้

ไผทเดินเข้าครัว รินน้ำเต็มแก้วแล้วย้อนกลับมานั่งที่โถงกลางบ้าน คืนนี้ดึกเกินจะแก้แบบ เขายังมีเวลาอีกสองสามวันก่อนส่งมันให้นายจ้างสาวพิจารณาอีกครั้ง เช่นเดียวกับที่ยังพอเจียดเวลานั่งชมรสนิยมช่างฝีมือที่ตกแต่งภายในไว้อย่างประณีต เดิมบ้านหลังนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นของขวัญแด่ ชิต พลชีวัน แต่เป็นเรื่องแปลก เพราะภายในบ้านกลับมีแต่รูปพระยาพิทยบริบาลผู้เป็นพ่อ

ขณะนั้นเองสายตาของไผทเหลือบไปเห็นบางสิ่ง เขารู้สึกอุณหภูมิน้ำในแก้วลดต่ำ แล้วลุกเดินไปหยุดอยู่หน้านาฬิกาโบราณ ก้มมองพื้นที่รอการซ่อมแซมอันเกิดจากอุบัติเหตุจากฝีมือพนักงานขนของ ชายหนุ่มรู้สึกลมหายใจขาดห้วงไปชั่วขณะ เมื่อเห็นด้ายแดงยาวสองนิ้วโผล่ออกมาจากพื้น…

เช้าวันต่อมาอากาศขมุกขมัว ฝนเม็ดเล็กพรมไปทั่วฟ้าเหมือนเป็นการสั่งลาก่อนเข้าสู่ฤดูหนาวเกนนิษฐาหลับเต็มตื่นในคืนที่สองใต้ชายคาบ้านพลชีวัน หลังเตรียมมื้อเช้าเรียบร้อยไผทก็ตื่นนอน เขาเล่าความคืบหน้าเรื่องงานระหว่างรับประทานอาหาร

“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดสัปดาห์หน้าผมคงต้องลงไปหัวหิน” ชายหนุ่มเกริ่น “นัดดูหน้างานกับผู้รับเหมา ผมอยากรีบเคลียร์งานในส่วนของผมออกไปก่อน จะได้มีเวลาจัดการกับแลนด์สเคป”

“นายช่างใหญ่คงไม่ลืมงานตาน้อยใช่ไหมคะ” เกนนิษฐาแกล้งถาม

“นั่นเป็นงานแรกที่ผมจะเคลียร์ และจะทำให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทนตาน้อยของเกน” อีกฝ่ายตอบ ก่อนจะถามภรรยากลับ “วันนี้ผู้รับเหมางานภายในภายนอกจะเข้ามาที่นี่ คงวุ่นวายทั้งวัน เกนจะแวะไปหาคุณแม่ไหม เดี๋ยวผมให้ยายเดือนไปส่ง”

คนโดนหยอกมองตาขวาง “แหม พ่อมหาจำเริญ ได้คืบจะเอาศอกเลยนะ ไม่ถามสักคำเหรอว่าเดือนว่างรึเปล่า”

“วันนี้วันเสาร์ ฉันรู้เธอหยุด”

มารินทร์อ้าปากเตรียมเถียง แต่เสียงที่ดังมาจากหน้าบ้านขัดจังหวะเสียก่อน ไม่นานวินน์ก็วิ่งนำเข้ามาในครัว และคนที่ตามติดมาคือวิมวัชร์

“นั่นไงพ่อมหาจำเริญตัวจริงของเธอมาละ” ไผทอมยิ้ม ก่อนหันไปทักทายชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึง “มาแต่เช้าเลยนะน้องเขย”

“ไอ้พี่ดิน!” คนเป็นน้องตะคอกข้ามโต๊ะ “พูดเพ้อเจ้ออะไร”

“เพ้อเจ้ออะไรกันคุณ เรื่องจริงทั้งนั้น” วิมวัชร์ชิงแก้ตัวแทน

“อย่าแจ๋น พี่น้องเขาจะคุยกัน”

“อะ ก็ได้ๆ แต่คุยกับพี่จบแล้วต้องมาคุยกับสามีต่อนะ”

“ไอ้!” มารินทร์เงื้อส้อมในมือเตรียมปา แต่เกนนิษฐาห้ามไว้ก่อนที่หน้าวิมวัชร์จะมีรูเพิ่ม

“พอๆ ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ไปได้ ก้องก็เหมือนกันชอบแกล้งเดือนจริงๆ” 

มารินทร์ยิ้มกริ่มเมื่อมีคนเข้าข้าง แต่รอยยิ้มบนหน้าก็เผือดไปเมื่อเกนนิษฐาพูดต่อ

“นั่งก่อนสิน้องเขย”

โดยปกติวันหยุดแบบนี้วิมวัชร์ยังคงอยู่คอนโด ซุกกายอยู่ใต้ผ้าห่ม รอจนใกล้เที่ยงถึงเริ่มกิจวัตรประจำวัน ทว่าเช้านี้มารินทร์โทร. หาเขาตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมง ชายหนุ่มผลุนผลันรับสาย ทว่าเสียงที่พูดไม่ใช่เจ้าของหมายเลขนั้น แต่เป็นเกนนิษฐา เธอชวนเขาไปหาใครคนหนึ่ง และมารินทร์จะไปด้วย

“ว่าแต่พี่เกนจะไปไหนเหรอครับ ถึงให้ผมรีบมาแต่เช้าแบบนี้”

ไผทเหลือบมองภรรยา “จะไปไหนเหรอเกนทำไมไม่บอกผมล่ะ วันนี้ผมไม่มีธุระที่ไหน เดี๋ยวผมไปส่งก็ได้”

“ไม่เป็นไรค่ะ เกนไปธุระพักเดียวก็กลับ อีกอย่างวันนี้คุณต้องอยู่คุยกับผู้รับเหมาไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ครับพี่ดิน พี่ทำงานเถอะ เดี๋ยวผมอาสาจัดการให้เอง วันนี้ผมว่าง”

“ฮึ พวกไม่มีงานการทำก็งี้” มารินทร์แทรก

“พี่ดินดูสิ ผมไม่ได้เริ่มก่อนน้า”

“อย่าทะเลาะกันสิคู่นี้” ไผทโคลงหัว “ถ้างั้นพี่ฝากก้องด้วยละกันนะ พอดีช่วงนี้พี่ยุ่งกับงานนิดหน่อย วีคหน้าก็ต้องลงไซต์ที่หัวหินหลายวัน ช่วงนี้ถ้าก้องว่างก็แวะมาหาเกนกับเดือนบ้างละกัน”

“ยินดีและเต็มใจมากเลยครับพี่ เดี๋ยวผมแวะมาทู้กกกวันเลย” ไฮโซหนุ่มลากเสียงยาว หวังให้ไปถึงใครบางคน

“ไปกันเถอะพี่เกน เบื่อพวกสอพลอ” มารินทร์วางช้อนส้อมเสียงดังแล้วลุกออกไปจากโต๊ะ ขณะที่วิมวัชร์แอบอมยิ้ม

บ้านพลชีวันสงบเงียบหลังจากภรรยา ลูกชาย และน้องสาวออกไปพร้อมวิมวัชร์ แต่ทุกคนไปที่ไหนไผทไม่ทันถาม เขาเดินกลับเข้าห้องทำงาน เปิดคอมพิวเตอร์ และเริ่มหาไอเดียสำหรับการจัดสวน ความเงียบช่วยให้สมองของเขาโปร่งโล่งต่างกับดินฟ้าอากาศ ไม่นานแบบแปลนขนาดเอสามก็สอดตัวออกมาจากเครื่องพิมพ์ ลึกๆ สถาปนิกหนุ่มคิดว่าการลงทุนของโชตดูเปล่าประโยชน์ เพราะไม่นานธรรมชาติก็จะทึ้งแทะบ้านหลังนี้ให้ทรุดโทรมอีกครั้ง...เว้นมีคนอาศัยเป็นการถาวร

ลมหวิวครางคลอรอบบ้าน เสียงของมันจะแหลมหรือทุ้มขึ้นอยู่กับช่องระบายอากาศที่ลอดผ่าน ฟังเหมือนคันทวยกับจั่วกำลังสนทนากันเป็นทำนองเฉพาะ ไผทฟังสุ้มเสียงกระแสลมเงียบๆ ปล่อยสมองลื่นไหลไปกับท่วงทำนอง เป็นครั้งแรกในรอบสองสัปดาห์ที่รู้สึกว่าได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง

ขณะเคลิบเคลิ้มมีเสียงผิดแผกขัดอารมณ์คนฟัง เหมือนวัตถุบางอย่างกระแทกพื้นดังอยู่เหนือหัว เขาช้อนตามอง ละอองฝุ่นร่วงโปรยลงมาจากเพดาน ไผทไม่ทันสังเกตว่าธุลีเล็กลีบเหล่านั้นเป็นสีแดง เขาเดินออกมาจากห้องทำงาน เห็นบัวทำความสะอาดอยู่บริเวณโถงรับแขก ไผทเลือกไม่ถามว่าได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า นั่นเท่ากับปลุกความกลัวในตัวแม่บ้านอีกรอบ

ไผทเดินขึ้นไปชั้นสอง สภาพอากาศหม่นมัวจากลมฝนทำให้ยิ่งมืด ชายหนุ่มสับสวิตช์ทองเหลือง ไฟสีส้มสว่างวาบขึ้น ต้นเสียงดังมาจากห้องทิศตะวันออกเฉียงเหนือตำแหน่งเดียวกับห้องทำงานแค่คนละชั้น ไผทกลับลงไปเอากุญแจเมื่อพบว่าทุกห้องล้วนลงกลอนไว้อย่างแน่นหนา สามห้องแรกเป็นห้องนอนที่ไม่มีเครื่องเรือนใดๆ นอกเสียจากเตียงไม้สักหกฟุตกับตู้เสื้อผ้าใบเก่า เช่นเดียวกับห้องถัดมาที่เหลือเพียงโต๊ะหมู่บูชาว่างเปล่า คราบเทียนและฝุ่นเกาะเกรอะให้พอสันนิษฐานว่าที่นี่เคยเป็นห้องพระ สุดท้ายพาร่างไปจนสุดปีกขวาของอาคาร เงี่ยหูฟังยังได้ยินเสียงกึกๆ แว่วอยู่ด้านในจึงตัดสินใจเข้าไปตรวจสอบ แต่ไม่มีกุญแจดอกใดไขประตูบานนั้นได้

ขณะหาทางเปิดประตู ไผทไม่ทันสำเหนียกว่าบางสิ่งก่อตัวอยู่ด้านหลัง เงาดำที่มีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์ทุกสัดส่วน ทุกอวัยวะบนเรือนร่างนั้นดำสนิท ยกเว้นดวงตาเรืองเป็นสีแดงก่ำ เงานั้นก้าวเนิบแช่มช้า แต่เพียงพริบตาก็มายืนอยู่ด้านหลังไผท เสี้ยวหนึ่งของชายหนุ่มสัมผัสได้ เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว อย่างน้อยขนทั่วร่างก็บอกเช่นนั้น 

อึกอัก

เสียงเหมือนคนจมน้ำช่วยย้ำสิ่งที่คิด เรื่องง่ายๆ อย่างการกลับหลังหันไปพิสูจน์กลายเป็นเรื่องแสนเข็ญ เหงื่อชุ่มอุ้งมือ ลมในท้องเหมือนจะหายไปหมด

เสี้ยววินาทีนั้นละอองสีแดงลักษณะเหมือนฝอยเลือดกระเซ็นเปรอะใบหน้าและลำคอของไผท ในส่วนลึกสุดของโสตสัมผัสชายหนุ่มได้ยินเสียงกระซิบ “ไปซะ”

“เฮ้ย!” เขาเผลออุทานแล้วหันกลับไปมองเห็นบัวยืนหน้าซีดอยู่ตรงบันได

“บะ...บัว มีอะไรเหรอ” ไผทพยายามปรับเสียงให้เป็นปกติ

“เมื่อกี้บัวเห็น...”

ไผทจ้องแม่บ้านเขม็ง “เห็น? เห็นอะไร”

คนถูกถามตอบสั้นๆ ด้วยเสียงเบาจนเฉียดกระซิบ “...เงา”

 

จุดหมายปลายทางของเกนนิษฐาอยู่ย่านบางซื่อ เธอมาตามคำแนะนำของเพื่อนบ้านต้นซอยเพื่อไขข้อสงสัยบางประการเกี่ยวกับบ้านพลชีวัน อดีตนายทหารชราภาพบอกไม่เต็มเสียงว่า บ้านหลังนั้นปิดไปก็ดีอยู่แล้ว’ คำพูดที่เป็นปริศนายิ่งทำให้เกนนิษฐาพยายามหาคำตอบแต่ทหารเฒ่าให้เพียงคำใบ้

รถหรูจอดเทียบหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งอุดมด้วยไม้ใหญ่นานาพรรณซ้อนแน่นจนมองไม่เห็นอะไรก็ตามที่เร้นอยู่หลังทิวไม้

“แน่ใจเหรอครับว่าที่นี่” วิมวัชร์ถามขณะชะโงกมองรั้วเก่าซึ่งบัดนี้ถูกเถาวัลย์และวัชพืชทับคลุม

“อืม ที่นี่ละ” เกนนิษฐาแน่ใจเมื่อเห็นแผ่นหินอ่อนสีอมเทาสลักอักษรว่า บ้านผดุงบุญ

วิมวัชร์ลงจากรถแล้วไปกดกริ่ง ไม่นานรั้วบ้านก็ค่อยๆ เปิดออก เมื่อพาหนะลอดซุ้มเหล็กดัดวิมวัชร์ก็เข้าใจว่าตัวเองคิดผิด ภายในตกแต่งอย่างงดงามผิดกับนอกรั้ว ถนนอิฐแยกสวนสวยออกเป็นสองฝั่งนำไปสู่เรือนไทยสีเขียวอ่อนสูงสองชั้นตระหง่านอยู่บนแปลงหญ้าที่ได้รับการตัดแต่งดูแลเป็นอย่างดี

ชายเลยวัยกลางคนไปเล็กน้อยยืนรออย่างสงบอยู่ข้างประตู เขายิ้มให้วิมวัชร์ และบอกก่อนที่ผู้มาเยือนจะพูดอะไร “เชิญครับ คุณท่านรออยู่”

เมื่อลงจากรถ เกนนิษฐาสำรวจสิ่งปลูกสร้างตรงหน้า บ้านหลังนี้เป็นทรงไทยสไตล์ขนมปังขิงสีเขียวก้านมะลิ หน้าต่าง ช่องลมและระแนงฉลุลวดลายชดช้อย สีเขียวใบแครับกับหญ้าในแปลงที่เตียนเรียบเสมอกัน วิมวัชร์ยกกล้องขึ้นเก็บภาพ แต่ได้เพียงไม่กี่รูป ชายวัยกลางคนคนเดิมก็มายืนประกบพร้อมส่งยิ้ม วิมวัชร์เข้าใจว่านั่นคือการขอให้เขาหยุดถ่ายอย่างสุภาพ

“สวัสดีค่ะคุณอา พวกเรามาหาคุณโฉม”

“ท่านรอพวกคุณอยู่แล้ว” ใบหน้านั้นยังคงยิ้มค้าง

รออยู่แล้ว?’ เกนนิษฐานิ่งนึกก่อนพูด “คุณอาพูดเหมือนคุณโฉมรู้ว่าเราจะมา”

“ใช่ครับ คุณท่านรู้ว่าพวกคุณจะมา...แต่ก็ช้ากว่าที่ท่านคาดไว้”

คุณแม่บอกงั้นเหรอ...เกนนิษฐาประมวลความน่าจะเป็นอีกหน “หมายความว่ายังไงคะที่ว่าช้ากว่าที่คาด”

ชายที่มีกลิ่นอายคล้ายผู้ดูแลบ้านโค้งศีรษะเล็กน้อย “เรื่องนั้นผมคิดว่าคุณควรถามกับท่านเองโดยตรง เชิญครับ” เขาผายมือและเดินนำเข้าบ้าน

ชายคนดังกล่าวแนะนำตัวว่าชื่อนิมิตร เป็นข้าเก่าที่รับใช้ตระกูลผดุงบุญมานาน เท่าที่เกนนิษฐารู้ ผดุงบุญกับพลชีวันนับว่าเป็นญาติกัน แต่ความสัมพันธ์สะบั้นเพราะเกิดเรื่อง ‘เลวร้าย’ ซึ่งส่งผลให้สองตระกูลกลายเป็นคนแปลกหน้า แต่เรื่องเลวร้ายที่ว่าคืออะไรแม้แต่ช้องก็ไม่รู้

นิมิตรพาทุกคนไปถึงห้องรับแขก ภายในมีเฟอร์นิเจอร์มากชิ้น ทั้งตู้เก่า เก้าอี้พร้อมโต๊ะเข้าชุด กระจกโบราณบานใหญ่ และเปียโนเก่าคร่ำคร่า

“คุณโฉมท่านอายุมากแล้ว เพื่อไม่เป็นการรบกวนท่านจนเกินไป คงต้องขอให้หนุ่มน้อยรอที่ห้องนี้” 

พ่อบ้านผดุงบุญหมายถึงวินน์ เกนนิษฐาจึงวานให้วิมวัชร์อยู่เป็นเพื่อนลูกชาย จากนั้นเธอกับมารินทร์ก็เดินตามนิมิตรเข้าไปยังห้องถัดไป ห้องนั้นมีขนาดกะทัดรัด ด้านหน้าและด้านข้างติดระเบียงรับวิวสวน ภายในทาด้วยสีเขียวอ่อนประดับด้วยรูปภาพหลายใบทั้งใหญ่เล็ก พรมสีกะปิผืนใหญ่ปูอยู่เหนือพื้นไม้สักทอง มุมหนึ่งที่แดดสายสาดไม่ถึงใครคนหนึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตั่งไม้ เธอรูปร่างเล็ก ผมสีดอกเลาเกล้ากลัดเป็นระเบียบ ผิวพรรณขาวเกลี้ยงราวกับไข่เป็ด ดวงหน้ามากด้วยริ้วรอยยังมีเค้าความงามอย่างผู้ดีเก่าแทรกอยู่ทั่ว และที่เด่นชวนมอง คือดวงตาเฉลียวฉลาดที่ซ่อนไว้ด้วยความระทมเศร้า

“สวัสดีค่ะคุณโฉม” ผู้มาเยือนเอ่ยทัก

“ไหว้พระเถิดลูก” เสียงหญิงชรากังวานกว่าที่เกนนิษฐาคาดไว้ เช่นเดียวกับสายตาที่เหมือนมองทะลุไปถึงเนื้อในคน “เข้ามาใกล้ๆ สิ” 

ทั้งสองเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ข้างตั่ง ผู้เฒ่ามองเกนนิษฐาไม่วางตา 

“ลูกแม่ช้อง สวยได้แม่จริงๆ” พูดพลางหันไปหามารินทร์ สีหน้าเธอเปลี่ยนเล็กน้อยก่อนถาม “แล้วแม่หนูล่ะ ชื่ออะไร”

“ชื่อเดือนค่ะ หนูเป็นน้องของสามีพี่เกน”

เธอพยักหน้าแล้วกลับไปคุยกับเกนนิษฐาอีกครั้ง “ฉันเสียใจนะที่ไม่ได้ไปร่วมงานแต่งแม่เกน อย่างที่เห็นสุขภาพฉันไม่ค่อยเอื้อเท่าไหร่”

“ไม่เป็นไรค่ะ พวกเราเสียอีกต้องขอโทษที่มารบกวนคุณโฉม”

“ฉันจะยกโทษให้ ถ้าเธอเรียกฉันว่ายายน้อย” หญิงชรายิ้มบาง “ดีกว่าเรียกคุณโฉมโข”

“ค่ะ ยายน้อย” หญิงสาวรับคำ

“แม่เกนมาที่นี่เพราะเรื่องบ้านพลชีวันใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ เกนอยากทราบประวัติความเป็นมาของบ้านหลังนั้น”

รอยยิ้มเลือนไปจากโฉม คำถามนั้นดึงความเศร้าที่ซ่อนในตาให้ปรากฏชัดอีกครั้ง เธอนั่งนิ่งไม่ขยับอยู่เป็นเวลานาน ไม่แม้แต่กะพริบตา จนเกนนิษฐาเรียกเบาๆ จึงเริ่มเล่า

“มีบางสิ่งอยู่ในบ้านหลังนั้น บางสิ่งที่อันตรายและน่ากลัว”

มารินทร์แน่ใจว่าไม่ใช่เพราะลมเย็นชื้นที่ทำให้เสียวสันหลังวาบ แต่เป็นคำพูดของหญิงชรา “อะ อะไรเหรอคะ”

ดวงตาหญิงแก่เบิกกว้าง ร่างสั่นเทิ้มด้วยความกลัว เธอพูดเสียงแผ่วหวิวจนเกือบกระซิบ

“นังลวาด”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น