6

ตอนที่ 6


 

ภายในสถานีตำรวจอันวุ่นวายไปด้วยประชาชนที่มาร้องเรียนและแจ้งความ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่โต๊ะทำงานของสิงหา คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ใครกันที่ต่อสายถึงเขา เพราะส่วนมากญาติพี่น้องจะโทร. เข้ามือถือเสียมากกว่า

                “สวัสดีครับ ผมร้อยตำรวจเอกสิงหาครับ”

“สวัสดีครับผู้กอง ผมโทร. มาจากผู้หวังดีนะครับ”

คิ้วหนาของผู้กองหนุ่มขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินสิ่งที่คนในสายพูด

“มีเรื่องอะไรครับ”

“ผมหวังดีจริงๆ นะครับ...เห็นแล้วทนดูไม่ได้ ผู้กองรู้จักค่ายมวย ย.ยอดยิมไหมครับ”

“ทำไม”

สิงหาถามกลับเสียงเข้ม ไม่เข้าใจว่าคนในสายต้องการสื่ออะไรกับเขากันแน่

“รู้ไหมครับ ที่นักมวยของมันได้แชมป์คราวที่แล้วเพราะค่ายนั้นให้นักมวยเสพยาบ้า”

“คุณมีหลักฐานอะไร ถ้าไม่มีหลักฐาน คุณอาจจะต้องถูกดำเนินคดีข้อหาแจ้งความเท็จและกล่าวใส่ร้ายผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสื่อมเสีย”

“ผมไม่มีหลักฐานอะไรหรอก แต่ผมแค่อยากให้ผู้กองจับตามองค่ายมวยนี้ให้ดี เพราะคนในค่ายเป็นคนมาบอกผมเอง ว่าเจ้าของค่ายผสมยาบ้าในน้ำให้นักมวยดื่ม มันถึงได้คึกซ้อมมวยไม่พักไม่ผ่อน ได้แชมป์เป็นว่าเล่นไงล่ะ”

คิ้วหนาของสิงหาขมวดเข้าหากัน เขาเคยได้ยินจากไหนกันนะ ย. ยอดยิม เหมือนกับมีใครบอกเขานี่แหละ เรียวปากหนาเม้มเข้าหากันแน่นอย่างครุ่นคิด ไม่นานรอยย่นตรงหว่างคิ้วก็คลายออก มุมปากหนาเหยียดขึ้น เมื่อคิดได้แล้วว่าเขาเคยได้ยินชื่อ ย. ยอดยิมจากไหน จากรมณนั่นเอง

“ผมทำอะไรต้องมีหลักฐาน แค่คำพูดลอยๆ ของคุณผมคงทำอะไรไม่ได้”

“ก็ไม่เป็นอะไรครับ ในเมื่อผมกล้าเสี่ยงโทร. มาบอกผู้กองแล้วผู้กองยังเฉยอีก ผมก็ไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นแค่นี้นะครับ”

เสียงวางสายดังเข้าหูสิงหาทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ ผู้กองหนุ่มวางโทรศัพท์ลงที่เดิม คิดไปถึงคำพูดของชายผู้นั้นที่โทร. เข้ามา...ย. ยอดยิม

“ผู้กองครับ มีสายโทร. เข้ามาแจ้งว่าค่ายมวย ย. ยอดยิมให้นักมวยเสพยาบ้าก่อนขึ้นชกครับ”

จ่าสิบเอกคนหนึ่งเดินเข้ามารายงานด้วยน้ำเสียงแข็งขัน เป็นเหตุให้สิงหามองโทรศัพท์ที่เพิ่งวางสายไปด้วยความคาดไม่ถึง หรือว่ามันจะมีส่วนจริง

“จ่า...สืบให้ทีว่าสายที่โทร. เข้ามาหาผม โทร. มาจากที่ไหน เพราะผมก็เพิ่งได้รับข่าวเดียวกับจ่าเมื่อไม่กี่นาทีนี่แหละ”

“ครับผม”

สิงหาสีหน้าเคร่งเครียด ถ้าสิ่งที่เขาได้ยินมันคือเรื่องจริง รมณจะทำอย่างไร ความคิดเข้าข้างตัวเองแวบเข้ามาในสมอง ดีสิ! รมณก็ไม่ต้องแต่งงานกับทางโน้น ดี! เขาจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง สิงหาคิดพร้อมกับเปิดคอมพิวเตอร์ สืบหาข้อมูลของค่ายมวย ย. ยอดยิม ไม่ต่างจากอีกฝั่งหนึ่งที่เพิ่งวางหูโทรศัพท์สาธารณะลง

รอยยิ้มภายใต้หนวดเคราที่รกรุงรังผุดขึ้นอย่างยินดี แผนแรกประสบความสำเร็จ ต่อไปค่ายมวย ย. ยอดยิมต้องล่มสลาย และเมื่อนั้นค่ายมวยของเจ้านายเขาก็จะกลายเป็นค่ายมวยอันดับหนึ่ง ย.ยอดยิมก็จะค่อยๆ เลือนหายไป เงินก็จะคล่องมือขึ้น เพียงคิดถึงเงิน สิทธิ์ก็ยิ้มร่า หยิบโทรศัพท์ออกมารายงานความคืบหน้ากับคนเป็นเจ้านาย และคิดว่าฝ่ายนั้นก็น่าจะยินดีด้วยเช่นเดียวกัน

“เสี่ยครับ...แผนแรกของเราสำเร็จแล้วครับ”

“ดีมากสิทธิ์ ทีนี้ก็คอยจับตาดูค่าย ย. ยอดยิมอย่าให้คลาดสายตา มันเซเมื่อไรเราซ้ำ มันล้มเมื่อไรเรากระทืบ มันต้องระส่ำระส่ายแน่นอน ว่าแต่ยาที่ฉันสั่งให้ไปซื้อมา แกได้มาหรือเปล่า”

“ได้ครับเสี่ย ผมจะผสมให้นักมวยของเราดื่มทีละนิด มันจะได้มีแรงต่อย”

“ดี! ระวังด้วย อย่าให้เรื่องนี้รั่วไปล่ะ”

“ครับเสี่ย”

ร่างอ้วนท้วนของเสี่ยกิตติหัวเราะออกมาดังลั่น ถ้าเขากำจัดค่าย ย. ยอดยิมไปได้ ค่ายกิตติยิมของเขาก็จะมีชื่อเสียง นักมวยก็จะมีสปอนเซอร์ดีๆ สนับสนุน เงินก็จะมากขึ้น คล่องมือขึ้น

“ไอ้ยอดผา ค่ายมวยแกได้ล่มสลายแน่คราวนี้!”

เสี่ยกิตติประกาศกร้าว ดวงตาพราวระยับ กวาดตามองไปยังนักมวยของตัวเอง ไอ้พวกนี้มันขยันซ้อมก็เพราะยาขยันที่เขาให้ลูกน้องคนสนิทผสมให้พวกมันกิน ถือว่าเป็นอาหารเสริมสร้างแรงอย่างหนึ่ง ซึ่งมันก็ได้ผล การตรวจปัสสาวะก่อนขึ้นชกไม่ใช่ปัญหา เงินหนาเสียอย่าง ปิดปาก ปิดตา คนหมู่มากได้อยู่แล้ว

 

บ่ายแก่มากแล้ว ตอนที่เสียงโทรศัพท์มือถือของสิงหาดังขึ้น แวบแรกที่เห็นชื่อคนโทร. มานั้น ผู้กองหนุ่มถึงกับยิ้มหน้าบาน แต่พอคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา รอยนั้นก็จางลง

“สวัสดีครับน้ำมนต์ มีอะไรหรือเปล่าครับ ถึงโทร. หาผมได้”

“สวัสดีค่ะสิงห์ น้ำมนต์โทร. มากวนหรือเปล่าคะ”

“เปล่าครับ ว่าแต่น้ำมนต์มีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่า ถึงได้โทร. หาผมได้”

“แหม สิงห์พูดแบบนี้ น้ำมนต์รู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้”

เสียงหัวเราะของรมณดังออกมาเพียงแผ่วเบา ความจริงเธอก็รู้สึกผิดจริงๆ นั่นแหละ ถ้าไม่ติดว่าเจนตาคอยกำกับอยู่ข้างๆ เธอก็ไม่อยากทำให้สิงหาสับสน

“เอ่อ เย็นนี้สิงห์ว่างหรือเปล่าคะ มีคนชวนไปกินข้าวค่ะ”

เจนตาแทบกลั้นหายใจระหว่างรอลุ้นคำตอบของสิงหา รมณเปิดลำโพงโทรศัพท์เอาไว้เธอถึงได้ยินการสนทนานี้ไปด้วย ถ้าให้เธอโทร. หาสิงหาเอง เขาคงปฏิเสธอย่างแน่นอน

“ใครครับ ถึงได้กล้าใช้น้ำมนต์ชวนผมแบบนี้ ขี้ขลาดจริงเชียว”

“ฉันไม่ได้ขี้ขลาดนะ แล้วถ้าฉันชวน คุณจะไปกับฉันไหมล่ะ”

เจนตายกมือขึ้นปิดปากเมื่อเผลอพูดอะไรออกไป ในขณะที่รมณถึงกับส่ายหน้าในความโก๊ะของเพื่อนรัก

“ก็ชวนผมเองสิครับ คุณจ๋า”

เจนตาเงียบไปครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น

“ถ้าอย่างนั้น เย็นนี้เจอกันที่ร้านเบอบิย่านะคะ ผู้กอง”

กล่าวจบก็กระเถิบไปนั่งเสียอีกฝั่งหนึ่งของโซฟา มองรมณพร้อมกับพยักพเยิดให้อีกฝ่ายพูดกับสิงหาต่อ รมณจึงกดสัญลักษณ์รูปลำโพงให้กลับเป็นเสียงปรกติ ก่อนจะกรอกเสียงใส่ลงไปใหม่ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มนวลด้วยความรู้สึกผิด

“ขอโทษนะคะสิงห์”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เพียงแต่ผมดีใจมากไปหน่อยที่เห็นชื่อน้ำมนต์ แต่พอรู้ว่าน้ำมนต์ไม่ได้ตั้งใจโทร. หาผมเอง มันเลยผิดหวัง แต่ไม่มากเท่าไรหรอก ว่าแต่เพื่อนน้ำมนต์คิดจะจีบผมจริงเหรอ ถึงได้ชวนผมไปกินข้าวแบบนี้”

“อันนั้นสิงห์ไปถามเขาเองดีกว่านะคะ”

รมณหันไปมองหน้าเจนตาที่แนบหูแทบติดกับหน้าของเธอเพื่อฟังการสนทนาระหว่างเธอกับสิงหา ก่อนจะวางสายผู้กองหนุ่ม และมองเพื่อนด้วยความเห็นใจ

“ชอบสิงห์มากขนาดนี้ แล้วยังเก็บไว้อีกเหรอจ๋า” เอ่ยถามเสียงอ่อน

“ฉันกลัวไงล่ะ กลัวว่าถ้าฉันบอกไป เขาจะไม่เหลือแม้กระทั่งความเป็นเพื่อนให้ฉัน”

รมณส่ายหน้า เอื้อมไปบีบมือของเพื่อนสาวอย่างให้กำลังใจ

“แกเป็นคนน่ารัก สดใส ฉันเชื่อว่าสักวัน สิงห์ต้องมองเห็นความน่ารักของแก”

เจนตาพยักหน้า ส่งยิ้มให้เพื่อนสาว หวังอยู่ลึกๆ ในสิ่งที่รมณกล่าว

“ว่าแต่เย็นนี้แกจะไปกับฉันด้วยหรือเปล่า”

รมณส่ายศีรษะปฏิเสธคำชวนของเจนตา เธอต้องรีบประสานรอยร้าวของยอดผากับเจ้าสัวยอดชายให้เร็วที่สุด

“แกไปส่งฉันที่หนึ่งได้ไหม”

ถึงจะสงสัยว่ารมณจะให้ไปส่งที่ไหน แต่เจนตาก็ไม่ได้เอ่ยถาม เพราะอีกสักครู่เธอก็คงรู้คำตอบ แล้วก็จริง เจนตาขมวดคิ้วมุ่น มองป้ายชื่อขนาดใหญ่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ

“เพิ่งรู้นะว่าแกก็ชอบเตะต่อยเหมือนกัน”

เจนตาถาม ขณะที่สายตายังสอดส่อง มองผ่านกระจกหน้ารถ มองจากตรงนี้ค่ายมวย ย. ยอดยิมก็ดูโอ่อ่าไม่น้อย มิน่า ถึงได้รับความนิยมจากเหล่าคนดัง

“เปล่าหรอก ฉันมาทำหน้าที่ให้คุณตาน่ะ”

เจนตาหันขวับ ตาเบิกกว้าง

                “นี่อย่าบอกนะว่า ว่าที่สามีแกคือคนเดียวกับเจ้าของค่าย ย. ยอดยิม”

รมณไม่ตอบ ทำได้แค่พยักหน้า

ดวงตาเรียวยาวของเจนตายิ่งเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ ทำไมเธอจะไม่เคยได้ยินชื่อ ยอดผา ศิษย์ยอดชนะ ของค่ายมวย ย. ยอดยิม ที่เคยขึ้นปกนิตยสารกีฬาและนิตยสารแนวอื่นอีกหลายฉบับ เขาเป็นนักมวยที่หน้าตาดี รูปร่างดี ที่สำคัญฐานะทางบ้านไม่ใช่ย่อยๆ แต่ไม่คิดว่าหลานชายคนเดียวของเจ้าสัวยอดชายจะเป็นคนเดียวกับเจ้าของค่ายมวยใหญ่ นามยอดผาคนนี้

“ยอดผา ศิษย์ยอดชนะ น่ะหรือ” รมณพยักหน้ารับ “ตายแล้วน้ำมนต์ ถ้าว่าที่สามีแกคือคุณยอดผาละก็ เขาได้ชื่อว่าเป็นนักมวยที่หุ่นดี หล่อขั้นเทพ แถมรวยอีกต่างหาก”

 “มากไปแล้วแก”

“มากไปที่ไหน นี่แหละที่เขาเรียกว่าหล่อขั้นเทพ หรือแกว่าไม่จริง”

คำถามนั้นทำให้รมณหลบสายตา ไม่ตอบเสียดื้อๆ

“มันชักยังไงๆ อยู่น้า ไม่ใช่การบังคับแล้วมั้ง”

“บ้า!”

เจนตาหัวเราะคิกเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของรมณ แล้วอยู่ๆ ก็นึกบางอย่างออก ร้องอุทานเสียงหลง จนรมณพลอยตกใจไปด้วย

“เฮ้ย! แล้วเขาไม่รู้เหรอว่าแกเป็นหลานเจ้าสัวยอดชาย”

รมณส่ายหน้า ยิ้มเศร้าให้เจนตา

“เขาไม่รู้หรอก ถ้ารู้เขาจะยอมให้ฉันเข้าไปในค่ายมวยเขาเหรอ ฉันถึงต้องเข้าไปในฐานะคนที่อยากเรียนมวยเอาไว้ป้องกันตัวเองไง”

“แล้วถ้าเขารู้ เรื่องมันจะไม่ไปกันใหญ่เหรอน้ำมนต์”

รมณถอนหายใจออกมานิดหนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มซีดเซียวให้เพื่อน

“ถ้าฉันทำให้เขารู้ว่าคุณตารู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น และรักเขามากแค่ไหนได้ ฉันก็จะเดินออกไปจากชีวิตของพวกเขา หลังจากนั้นเขาก็คงจะลืม เรื่องระหว่างฉันกับเขาก็จะค่อยๆ เลือนหายไป”

รมณไม่รู้ตัวเลยว่า เสียงที่เอ่ยออกมานั้นฟังดูเศร้าแค่ไหน

เจนตาเอื้อมไปบีบมือรมณอย่างให้กำลังใจ “ฉันเอาใจช่วยแกนะ มีปัญหาอะไรบอกฉันได้ ว่าแต่...แกจะไม่แนะนำว่าที่สามีให้ฉันรู้จักหน่อยเหรอ”

 “เอาไว้วันหลังเถอะ วันนี้ไปทำความรู้จักกับผู้กองสิงหาก่อนละกันนะ กลับไปอาบน้ำด้วย ตัวเหม็นโฉ่มาก”

เจนตาอดเขวี้ยงค้อนให้รมณไม่ได้ แต่พออีกฝ่ายลงไปจากรถ แล้วยังหันกลับมาทำท่าบีบจมูก ราวกับตัวเธอเหม็นมากเสียอย่างนั้น

รมณโบกมืออำลาเพื่อนสาว ก่อนเดินไปยืนตรงหน้าประตูใหญ่ มองไปทางตึกสูงสองชั้นที่อยู่ติดกับค่ายมวย ส่วนนี้เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นส่วนของฟิตเนสเซนเตอร์ มีผู้คนมาใช้บริการกันอย่างหนาตา เสียงเตะกระสอบทรายดังเข้าหูเป็นระยะ

หญิงสาวจับจ้องไปบนสังเวียนมวย หัวใจเธอเต้นแรง เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นยอดผาในฐานะนักมวยเต็มสองตา เส้นผมของเขาเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อจนจับกันเป็นก้อน ร่างกายมันเยิ้มด้วยหยาดเหงื่อ ยอดผาในเวลานี้ดูสง่าอย่างที่เธอบอกไม่ถูก เขาเกิดมาเพื่อเป็นนักมวยอย่างแท้จริง

ดวงตากลมโตยังคงจับจ้องไปยังร่างสูงที่โยกย้ายไปมาหลบหมัดของครูพนมที่โยกตัวหลบหมัดของยอดผาเช่นเดียวกัน แววตาอ่อนแสงยามจับจ้องที่ยอดผาโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้ และยืนอยู่ใกล้กับเธอ

“นั่นน่ะ เป็นหนึ่งท่าในแม่ไม้มวยไทย เรียกว่า ปักษาแหวกรัก นั่นไงครูพนมเป็นฝ่ายรุก ชกใบหน้าของฝ่ายรับด้วยหมัดซ้าย พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า เจ้ายอดอยู่ฝ่ายรับ แก้หมัดด้วยการก้าวเท้าสืบไปข้างหน้า เฉียงไปทางซ้ายเล็กน้อย เอนตัว น้ำหนักตัวอยู่บนเท้าซ้าย งอแขนทั้งสองข้างขึ้นปะทะฝ่ายรับ คล้ายท่าพนมมือ

“เห็นไหมว่าแม่ไม้มวยไทยของเราน่ะ สวยขนาดไหน ที่ลุงสร้างค่ายมวย ย. ยอดยิมขึ้นมา ก็เพื่ออนุรักษ์แม่ไม้มวยไทยเหล่านี้เอาไว้ให้ลูกหลานได้เรียนรู้ ใครอยากเรียน ลุงก็จะสอนให้ฟรีด้วยซ้ำ เพียงแค่อยากเรียนด้วยจิตใจที่ใฝ่รู้ ไม่ใช่เรียนเพื่อไปเป็นนักเลงทำร้ายใคร”

คนที่กำลังมองนักมวยบนสังเวียนอย่างเผลอไผลสะดุ้งเล็กน้อย แก้มสาวร้อนวาบ ปรับสีหน้าให้เป็นปรกติมากที่สุด ก่อนส่งยิ้มให้ยอดชนะที่ยืนอยู่ข้างกาย แต่แล้วรมณก็ต้องหันไปมองบนสังเวียนมวยอีกครั้ง เมื่อยอดชนะมองไปที่ยอดผาอย่างภาคภูมิใจ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาภาคภูมิใจในตัวบุตรชายคนนี้แค่ไหน

“คุณยอดผาเก่งจังนะคะ ดูตอนนี้แล้วไม่เหมือนตอนที่ เอ่อ...”

“ตอนที่มันปากเสียใส่หนูน่ะเหรอ”

ยอดชนะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เดาความคิดของหญิงสาวออก

“เจ้ายอดมันดีตรงนี้แหละ ยามอยู่บนเวที สายตาของมันจะมองแต่คู่ต่อสู้ สมาธิจดจ่อตรงหน้าไม่ว่อกแว่ก และนั่นก็คือข้อดีของการเป็นนักมวยมืออาชีพ”

รอยยิ้มหวานปรากฏบนใบหน้าของรมณ เธอรับรู้ถึงความรักและความภูมิใจในตัวบุตรชายของยอดชนะ ถ้าเจ้าสัวยอดชายมาอยู่ตรงนี้ ได้เห็นในมุมนี้ คงภาคภูมิใจในตัวหลานชายด้วยเช่นเดียวกัน

“แล้วทำไมวันนี้มาเย็นได้ล่ะ”

รมณละสายตาจากสังเวียนมวย มองหน้าคนถาม ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“หนูคงเริ่มติดซ้อมมวยแล้วมั้งคะ อยู่ที่บ้านเบื่อๆ น่ะค่ะ มานี่ดีกว่า จะได้เป็นมวยเร็วขึ้น”

“ลุงดีใจที่หนูเริ่มติดนักมวย เอ่อ...ไม่ใช่สิ ติดซ้อมมวย หนูจะได้เป็นเร็วขึ้น ป้องกันตัวเองได้เร็วขึ้น”

เป็นครั้งแรกที่รมณไม่กล้ามองหน้ายอดชนะ แก้มสาวร้อนวูบวาบอย่างห้ามไม่ได้  ทำไมเธอถึงได้รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวกับคำพูดที่แฝงนัยของคู่สนทนา หัวใจเธอแกว่งไปหมด

อาการก้มหน้าหลบสายตาของรมณทำให้ยอดชนะยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู อยากจะเอ่ยเย้าให้มากกว่านี้ แต่ก็กลัวเจ้าตัวจะอายมากกว่าเดิม รมณไม่รู้ตัวหรอกว่าสายตาของเธอเมื่อสักครู่ยามทอดมองยอดผาบนสังเวียนมวยนั้น มันเต็มไปด้วยความหลากหลาย บางทีเจ้าตัวอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

“นักมวยต้องฝึกหนักอย่างนี้ทุกคนเลยเหรอคะคุณลุง”

“ใช่...ช่วงนี้เจ้ายอดใกล้แข่งแล้วด้วย เลยต้องฝึกซ้อมให้หนักขึ้น”

ดวงตากลมโตของรมณเบิกกว้างอย่างตกใจ ถ้าเขาใกล้แข่งขันแล้วยังสละเวลามาสอนเธอ นั่นหมายความว่าเธอกำลังเบียดเบียนเวลาซ้อมมวยของเขา

“ถ้าอย่างนั้นหนูก็ทำให้เขาเสียเวลาซ้อมสิคะ”

สีหน้าตกใจของรมณทำให้ยอดชนะส่ายหน้า

“ไม่หรอก มีหนูเข้ามา เจ้ายอดจะได้ผ่อนคลาย บางทีมันก็มุ่งมั่นฝึกซ้อมจนเกินไป”

รมณอดย่นจมูกใส่ยอดชนะไม่ได้ ฟังดูเหมือนเธอเป็นตัวคั่นเวลาของยอดผาอย่างไรไม่รู้

“ฟังดูไม่ค่อยน่ายินดีสักเท่าไร แต่ไม่เป็นอะไรจริงๆ นะคะ หนูไม่อยากทำให้เขาเสียเวลาซ้อม”

“ไม่หรอก แต่ช่วงเก็บตัวอาจจะต้องเลิกสอนหนูชั่วคราว”

“มีเก็บตัวด้วยเหรอคะ เหมือนแข่งซีเกมส์ หรือโอลิมปิกเลยค่ะ”

“ใช่ โน่น หนูเห็นคนโน้นไหม ตัวเล็ก ศิษย์ยอดชนะ นั่นน่ะมือหนึ่งของค่ายมวยเราเลยนะ เพิ่งคว้าแชมป์ได้เมื่อไม่กี่วัน มีโปรแกรมจะต้องลงแข่งหลังจากที่เจ้ายอดผาลงแข่งการกุศลเหมือนกัน”

รมณเลื่อนสายตาไปมอง ตัวเล็ก ศิษย์ยอดชนะ มองการซ้อมบนสังเวียนอย่างสนอกสนใจ ดูจากตรงนี้ ลวดลายการหลบหลีกของตัวเล็ก คล่องแคล่วไม่ต่างจากยอดผานัก ดูสง่ามากยามที่อยู่บนสังเวียนมวย

“วันนั้นตัวเล็กต้องแข่งกับนักมวยจากค่ายเสี่ยกิตติ ซึ่งเป็นคู่แข่งของมันนั่นแหละ ฝ่ายโน้นคงแค้นมันน่าดูเพราะคราวล่าสุดเจ้ายอดได้แชมป์มา ต่อยนักมวยของค่ายเสี่ยกิตติเสียหมอบ คิ้วแตกเย็บไปหลายเข็ม ฝีไม้ลายมือของตัวเล็กไม่ด้อยจากเจ้ายอดเลย เวลาเจ้ายอดมันต่อย คนดูมักจะชอบตะโกนขอท่ามวยไทยสักท่าให้เป็นขวัญตา ส่วนเจ้ายอดก็ใช่ย่อย ได้ยินเสียงเชียร์ไม่ได้ ต้องวาดลวดลายแม่ไม้มวยไทยสักท่าละ”

สายตาของรมณเลื่อนไปมองยอดผาที่กำลังซ้อมอยู่กับครูพนม

“หนูอยากไปดูเจ้ายอดมันต่อยไหมล่ะ”

รมณหันขวับมองคนถาม แววตาเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ

“หนูไปดูได้เหรอคะ”

“ได้สิ ไปพร้อมกับค่ายเรานี่แหละ ถ้าหนูไม่กลัวเลือด”

คำว่าเลือดทำให้รมณลอบกลืนน้ำลายลงคอ ใครบ้างจะไม่กลัวเลือด แต่สิ่งที่กลัวไปกว่านั้น เธอกลัวใจตัวเอง ยามที่เห็นยอดผาเจ็บ หญิงสาวตกใจกับความคิดของตัวเอง และถึงกับอึ้งไป เธอกลัวยอดผาเจ็บ นั่นหมายความว่า เธอกำลังแคร์ความรู้สึกของเขา?

“เอ่อ...ถ้าคุณยอดผาเขาไม่มีปัญหา หนูก็อยากไปเชียร์ค่ะ”

“เจ้ายอดน่ะเหรอจะมีปัญหา ลุงจะบอกมันเองว่าหนูเป็นแขกของลุง”

“ขอบคุณค่ะ หนูจะไปค่ะ”

คนที่กำลังซ้อมอยู่บนสังเวียนมวยชะงัก เมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งยืนยิ้มอยู่ข้างบิดา ความยินดีฉายชัดในดวงตา สมาธิที่มีเลือนหายไป หมัดของคู่ต่อสู้อย่างครูพนมพุ่งเข้าที่มุมปากหนา ดีที่เจ้าตัวยั้งมือเอาไว้ เพราะเป็นเพียงการฝึกซ้อม

“โอ๊ย!”

ถึงไม่แรงนัก แต่ก็ทำให้ปวดตุบๆ

“เป็นไงยอช์ต ทำไมไม่มีสมาธิ”

ครูพนมปรี่เข้าไปดูอาการ พลางตำหนิเล็กน้อย

“ไม่เป็นไรครับครู ผมผิดเอง”

ยอดผาเหลือบไปมองรมณ เห็นเธอตกใจเช่นเดียวกัน

“วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน”

ครูพนมพูดกับยอดผาแล้วเดินลงมาด้านล่าง ตามองไปที่หญิงสาวที่ยืนข้างยอดชนะ สีหน้าหนักใจอย่างเห็นได้ชัด นี่เองคือตัวทำลายสมาธิของยอดผา

“อ้อ...หนูน้ำมนต์นี่เอง”

ครูพนมพูดพร้อมกับหันไปทางยอดผา ซึ่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ทั้งที่ในใจรู้ดีทีเดียวว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร

“เอ้า...พี่ยอช์ต ไข่ต้มร้อนๆ ประคบปากซะ”

จ้อยวิ่งเอาไข่ต้มมาให้ยอดผา เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าเวลานักมวยซ้อมมักมีผิดพลาด และตัวเองก็ทำหน้าที่นี้เป็นประจำอยู่แล้ว

“พี่ชนะ ผมมีเรื่องอยากคุยด้วย”

น้ำเสียงราบเรียบติดจะจริงจังของครูพนมทำให้ยอดชนะพยักหน้า เดินตามครูสอนมวยเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ยอดผายืนข้างรมณตามลำพัง

“เจ็บมากไหมคะ”

คำถามนั้นเขย่าหัวใจยอดผาอย่างแรง ปรกติบาดแผลจากการซ้อมถือเป็นเรื่องธรรมดา เจ็บจนชินชา แต่ตอนนี้แผลที่ปากเขากลับปวดหนึบ เจ็บจนอยากครางออกมา ยิ่งเห็นสายตาห่วงใยของเธอด้วยแล้ว เขาอยากจะร้องครางด้วยความเจ็บให้เสียงดังๆ แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือ พยายามตีหน้าเฉย ถามกลับไปด้วยเสียงเรียบ

“มาทำไม”

“มาทำไมครับ”

รมณสวนกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่ม แต่อีกฝ่ายกลับทำมึน ไม่รู้ไม่ชี้

“ฉันตั้งใจจะมาซ้อม แต่เห็นคุณซ้อมหนักแบบนี้ คุณพักเถอะ ฉันงดเรียนหนึ่งวันก็ได้ค่ะ”

หญิงสาวเตรียมหันหลังกลับเมื่อกล่าวจบ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเข้มดังขึ้นด้านหลัง

“ผมยังไม่หมดแรงหรอกน่า แต่ผมเหงื่อโชกไปทั้งตัวแบบนี้คุณจะรังเกียจไหมล่ะ”

“แล้วฉันพูดว่ารังเกียจหรือยังล่ะคะ”

ยอดผาไม่สนใจคำประชดประชันของอีกฝ่าย เดินเข้าไปใกล้จนรมณได้กลิ่นเหงื่อ แต่แปลกที่เธอไม่ได้รู้สึกรังเกียจมันแม้แต่นิด เมื่อไม่เห็นความรังเกียจในสายตาและการกระทำของหญิงสาว เขาจึงอุ่นใจ ขยับเข้าไปใกล้ชิดอีกนิด

“ไหนลองกำหมัด แล้วต่อยให้ผมดูหน่อยสิ สอนไปตั้งเยอะจำได้แค่ไหน” เขาพูดเมื่อพาเธอขึ้นมาอยู่บนสังเวียนแล้ว

รมณมองหน้าครูฝึกของตัวเองแล้วยกมือขึ้นกำแน่น ตั้งท่าจดมวย เพียงแค่ท่าทางก็ทำให้ยอดผาพอใจ เพราะเธอทำได้ดีกว่าครั้งแรก ยอดผาขยับเท้าไปมา กวักมือเรียกลูกศิษย์ให้บุก เธอก็ไม่ทำให้ผิดหวัง หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอด มองหน้ายอดผานิ่ง สมาธิจดจ่อกับคู่ต่อสู้ หมัดแรกพุ่งเข้าไปกลางฝ่ามือหนาของยอดผา ถึงแม้ท่าต่อยของเธอยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ถือว่าต่อยเป็น ออกหมัดได้อย่างถูกวิธี

“ต่อยมาเลยคุณผู้หญิง แรงมีแค่นี้เองเหรอ ถ้าแรงมีแค่นี้อย่าไปบอกคนอื่นนะว่าเป็นลูกศิษย์ ยอดผา ศิษย์ยอดชนะน่ะ อายเขา”

คำยั่วเย้าทั้งสีหน้าและท่าทางทำให้รมณเริ่มไม่พอใจ หมัดที่พุ่งออกไปจึงกลายเป็นเหวี่ยง เมื่ออีกฝ่ายหลบ หมัดเล็ก ๆ จึงกลายเป็นเหวี่ยง จากเหวี่ยงกลายเป็นทุบ จนคู่ต่อสู้หลบไม่ถูก ร้องเอะอะโวยวายลั่น

“เฮ้ย...คุณ นี่มันไม่ใช่ต่อยแล้วนะ เล่นแบบนี้ขี้โกงนี่หว่า ได้...เล่นแบบนี้ใช่ไหม”

ยอดผาเดินเข้าไปใกล้หญิงสาว ยื่นขาไปขัดขาเล็กของรมณ จนเธอล้มลงไปกองกับฟูกยางที่รองพื้นเอาไว้

“โอ๊ะ!”

รมณอุทานออกมาอย่างตกใจมากกว่าเจ็บปวด ก่อนจะตวัดสายตาขึ้นมองชายหนุ่มที่ยืนเต้นสลับขาไปมา แถมยักคิ้วให้เธอย่างกวนๆ เรียวปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ดวงตาลุกวาว ยิ่งเห็นสีหน้ายั่วเย้ายิ้มเยาะของเขา ความอยากเอาชนะของเธอก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้น

หญิงสาวพยายามลุกขึ้น เกือบจะยืนได้แล้วแต่ก็ล้มลงไปอีกครั้งเพราะขายาวๆ ของยอดผา คราวนี้ดวงตาแม่เสือสาววาววับ ฉายแววอริอย่างชัดเจน ยามมองคนที่ยืนเต้นฟุตเวิร์กยั่วเย้า

“ลุกขึ้นมาคุณผู้หญิง ลุกมาเลย แสดงให้ผมดูหน่อยสิว่า ไอ้ขาเล็กอย่างกับตะเกียบ กับกำปั้นเท่าหัวไม้ขีดมันจะหนักขนาดไหน”

คนถูกท้าทายกัดฟันลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ดวงตาจ้องเขม็งที่คนท้าทาย แต่ลุกขึ้นมาได้ไม่เท่าไร ร่างบางของเธอก็เซถลาเมื่อถูกยอดผาผลักไหล่

“อ๊ายยย! คนบ้า ฉันเจ็บนะ”

ไม่ใช่แค่พูดเท่านั้น ร่างบางถลาเข้าหาครูฝึกที่สับขาหลอกไปมาด้วยความไม่พอใจ ตอนนี้เธอไม่คิดถึงท่ามวยที่เขาสอนแม้แต่น้อย เหวี่ยงหมัดได้เธอเหวี่ยง เตะได้เธอเตะ ถีบได้เธอถีบ ไม่ต้องห่วงท่าสวยหรือว่าอะไรทั้งสิ้น แค่ให้ถูกเป้าเท่านั้นพอ มือเล็กเหวี่ยงใส่ยอดผาครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง แต่ก็สู้ยิบตา เสียงหัวเราะราวกับขำนักหนายิ่งสร้างแรงกำลังทำให้เธอเหวี่ยงหมัดเหวี่ยงเท้ามากกว่าเดิม

หญิงสาวใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดโจมตีร่างสูงของยอดผา แต่ชายหนุ่มกลับใช้มือข้างหนึ่งดันหน้าผากของเธอเอาไว้ ทำให้ไม่ว่าจะเหวี่ยงแขน เหวี่ยงหมัด เหวี่ยงเท้า เธอก็สัมผัสได้แค่อากาศเท่านั้น

“ฮ่าๆ ต่อยเลยคุณผู้หญิง ต่อยมา”

เมื่อหมัดที่เหวี่ยงออกไปสัมผัสได้เพียงอากาศ เธอไม่มีทางชนะเขาแน่ หญิงสาวจึงทิ้งตัวลงนั่งบนสังเวียนมวย ใบหน้างอง้ำ ยกแขนขึ้นกอดเข่าหันหลังให้ชายหนุ่ม

ยอดผาถึงกับชะงัก ทำตัวไม่ถูก ไม่คิดด้วยซ้ำว่าคนอย่างรมณจะยอมเขาง่ายๆ หญิงสาวจะมาไม้ไหนกันแน่

“โกรธหรือไง อะไรกัน แค่นี้ทำเป็นน้อยใจไปได้ บนสนามมวยหรือการต่อสู้จริงๆ น่ะไม่มีเวลาให้คุณมานั่งงอนนั่งโกรธแบบนี้นะ ขืนงอนแบบนี้ได้โดนเตะตกเวที”

ชายหนุ่มพูดพลางหันหลังยืนกอดอก จึงไม่เห็นว่าคนตัวเล็กลุกขึ้นยืน ดวงตาวาววับดุจแม่เสือ จ้องเขม็งที่แผ่นหลังกว้างของเขา มุมปากบางยกสูงขึ้นนิด สองมือกำแน่น ขยับเท้าพุ่งตัวใส่เป้าหมายพร้อมกับระดมกำปั้นและหมัดใส่แผ่นหลังของยอดผาไม่ยั้ง ไม่นับด้วยว่ากี่หมัด

เสียงร้องโอดโอยที่ดังลั่น บวกกับภาพยอดผาเบี่ยงตัว ยกมือขึ้นบังหมัดเล็กๆ ของรมณ เรียกสายตานักมวยที่กำลังซ้อมอยู่ใกล้ๆ บางคนถึงกับหัวเราะเมื่อเห็นยอดผาเพลี่ยงพล้ำผู้หญิงตัวเล็กอย่างรมณ

“เฮ้ย! คุณ ผมเจ็บนะ เล่นขี้โกงนี่หว่า โอ๊ย! เจ็บ บอกว่าเจ็บโว้ย” ยอดผาตะโกนลั่น หนีหมัดเล็กเป็นพัลวัน

 “ใครสอนให้คุณพูดกับผู้หญิงแบบนี้ฮ้า”

รมณพูดพร้อมกับเหวี่ยงหมัดใส่แผ่นหลังของยอดผาอย่างจัง ไม่สนใจเสียงร้องโอดโอยราวกับเจ็บนักหนาของร่างสูงที่พยายามดิ้นรนหนีเธอ  เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าหมัดของเธอนั้นไม่ได้ทำให้เขาเจ็บปวดอะไรมากมายเลย

“โอ๊ย! บอกว่าเจ็บไง”

เมื่ออีกฝ่ายไม่ฟัง ยอดผาจึงเบี่ยงตัวหนีหมัดนับร้อยของรมณไปอีกทางหนึ่ง ทันทีที่ชกเพียงลม หญิงสาวที่ไม่ทันได้ยั้งตัวเองเอาไว้จึงหน้าคะมำถลาไปด้านหน้า หวิดจะจูบพื้นอยู่แล้ว รมณหลับตาแน่น คิดว่าตัวเองต้องล้มหน้าฟาดพื้นเป็นแน่ แต่ไม่ใช่อย่างที่เธอคิด พื้นที่แข็งกลับนุ่มนิ่มกว่า เพราะใครบางคนคว้าเอวเธอไว้ได้แล้วพลิกให้เธออยู่ด้านบนก่อนที่ตัวเองจะล้มกระแทกพื้น

ดวงตากลมโตเบิกกว้าง พอเห็นใบหน้าคมเข้มของยอดผาลอยอยู่ตรงหน้า ห่างกันไม่ถึงคืบ ดวงตาก็ยิ่งเบิกกว้างกว่าเดิม และสบตากันนิ่งอยู่อย่างนั้น ตอนนี้หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงจนแทบทะลุอกออกมา ความนุ่มนิ่มที่ทาบทับบนตัวทำให้เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอ สมาธิแตกกระเจิง

“โห! พี่ยอช์ต เล่นมวยปล้ำกับพี่น้ำมนต์หรือไง จ้อยเล่นด้วยคนสิ”

เสียงร้องทักของจ้อยดังราวกับระฆัง ทำให้สองร่างที่เกยทับกันอยู่รู้สึกตัว ทั้งคู่ลุกขึ้นยืนพรวดพราด ไม่กล้ามองหน้ากันและกัน ต่างคนต่างบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นเรียกว่าอะไร แก้มสาวของรมณร้อนผ่าว ริมฝีปากบางสั่นระริกจนต้องขบไว้แน่น

“เอ่อ...เอ่อ...ฉะ...ฉันกลับก่อนนะคะ”

พูดจบก็แทบจะวิ่งหรือหายตัวไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ติดเสียงเข้มของยอดผาที่ดังขัดขึ้นมาก่อน

“เดี๋ยวสิ! เดี๋ยวผมไปส่ง รอตรงนี้แหละ ขออาบน้ำครู่เดียว”

ไม่รอคำตอบ ยอดผาเดินลงจากสังเวียนมวย ทิ้งให้รมณยืนใจสั่น กลืนน้ำลายลงคอ ไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ ภาพเหตุการณ์เมื่อสักครู่ลอยเข้ามาในความคิด มือเรียวกำแน่น ยอดชนะเห็นเหตุการณ์นั้นทั้งหมด คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ใบหน้าเคร่งเครียด สิ่งที่ครูพนมกล่าวกับเขามันคงจะเป็นจริง เพราะเพียงแค่ฝึกซ้อม ยอดผายังไม่มีสมาธิจนพลาดท่าเสียที หากปล่อยไว้การแข่งขันก่อนจะแขวนนวมของยอดผาคงจะไม่ราบรื่น

 

ไม่นานร่างสูงของยอดผาก็เดินออกมา หัวใจดวงน้อยของรมณเต้นเร็วขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นยอดผาในแบบที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ผมที่เปียกหมาด กลิ่นน้ำยาโกนหนวดที่โชยเข้าจมูก ยิ่งสร้างความประหม่าให้เธอมากกว่าเดิม

“ไปกันเถอะ” ชายหนุ่มเอ่ยชวนเสียงนุ่มทุ้มพร้อมกับเดินนำหน้าเธอออกไปหยุดที่จักรยาน

รมณชะงักมองหน้ายอดผาที มองจักรยานที ดวงตากลมโตเบิกกว้างกว่าเดิม เมื่อเห็นร่างสูงนั่งคร่อมบนจักรยาน แล้วหันมาพยักหน้าเรียกเธอให้ซ้อนท้าย

“ขึ้นมาสิคุณ บ้านคุณอยู่แถวนี้ไม่ใช่เหรอ ไปจักรยานนี่แหละ ช่วยชาติประหยัดน้ำมัน”

“แต่มันไกลนะคะ”

“ผมปั่น คุณซ้อน มันจะไกลขนาดไหนเชียว มาเถอะ เดี๋ยวจะมืดไปกว่านี้” ยอดผาพยักหน้าเรียกรมณอีกครั้ง

หญิงสาวตัดสินใจไม่ถูกว่าเธอจะนั่งซ้อนเขาแบบไหน เพราะตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยซ้อนท้ายจักรยานใครเลย เคยเห็นแต่ในมิวสิกวิดีโอ และในทีวีเท่านั้น พอมาเจอกับตัวเองจริงๆ อย่างนี้เธอจึงไม่รู้จะนั่งอย่างไร

“นี่...อย่าบอกนะว่านั่งไม่เป็น”

อาการก้มหน้าหลบสายตาและยืนนิ่งทำให้ยอดผาหัวเราะออกมาเบาๆ

“ก็นั่งเหมือนขี่ม้านั่นแหละ”

รมณมองชายหนุ่มที่บุ้ยปากไปทางท้ายจักรยาน รมณเดินไปใกล้ เงอะงะอยู่พักใหญ่ พยายามหาวิธีนั่งว่าเธอควรนั่งแบบไหน ท่าทางของหญิงสาวทำให้ยอดผาหัวเราะดังกว่าเดิม

“ขำมากหรือไง งั้นคุณไปเถอะ ฉันเดินกลับเอง”

น้ำเสียงกระเง้ากระงอดของรมณกับอาการปั้นปึ่งเตรียมจะเดินผ่านเขาไป ทำให้ยอดผาคว้ามือเล็กไว้อย่างรวดเร็ว ลืมตัวสัมผัสเธออย่างใกล้ชิด

“อะไรกันคุณ แค่นี้ทำน้อยใจไปได้ ไม่ขำแล้ว ขึ้นจักรยานเถอะ”

ทั้งน้ำเสียง สายตา และสีหน้าเว้าวอนของยอดผา ทำให้รมณมองเขาอึ้งๆ คาดไม่ถึงว่าผู้ชายแข็งแกร่งอย่างยอดผาจะมีมุมแบบนี้กับเขาด้วย

“อ้าว ถึงกับอึ้งเลยเหรอครับคุณผู้หญิง จะบอกอะไรให้อย่างนะ ถ้าคุณอยู่ใกล้ชิดผมไปอีกนานๆ ละก็ คุณจะอึ้ง ทึ่งยิ่งกว่านี้อีก มาเถอะ นั่งคร่อมบนเบาะเล็กๆ นั่นแหละ แล้วกอดเอวผมให้แน่น”

ยอดผายิ้มทั้งสีหน้าและแววตา รับรู้ได้ถึงน้ำหนักตัวที่ทิ้งลงมาบนเบาะเล็ก

“เกาะแน่นๆ นะน้อง พี่จะพาซิ่งแล้ว”

น้ำเสียงกลั้วหัวเราะราวกับเด็กของยอดผาทำให้รมณยิ้มออกมา หัวใจอุ่นวาบไปทั้งดวง ได้ยินเสียงผิวปากเป็นเพลงของยอดผาดังแผ่วเบา สายลมเย็นพัดผ่านจนเส้นผมสลวยของเธอสยายไปด้านหลัง ฝีเท้าการปั่นของยอดผาสม่ำเสมอ ไม่มีเร่งหรือช้าลงกว่าเดิมแม้แต่น้อย

“บ้านคุณอยู่ซอยไหน”

“ซอยเดียวกับบ้านเจ้าสัวยอดชายค่ะ”

คำว่าเจ้าสัวยอดชายทำให้รถจักรยานคันนั้นหยุดกึก จนหน้ารมณชนกับแผ่นหลังกว้างของยอดผา

                “โอ๊ะ!”

                เสียงร้องอุทานของคนที่นั่งซ้อนท้ายทำให้ยอดผารู้สึกตัว

“เอ่อ...เป็นอะไรไหม”

ยอดผาหันมามองหญิงสาว แววตาและสีหน้าเป็นห่วงจนคนนั่งซ้อนท้ายโกรธไม่ลง

หญิงสาวส่ายหน้า ความอบอุ่นเมื่อสักครู่เลือนหายไป เพียงแค่ได้ยินชื่อของเจ้าสัวยอดชาย ยอดผายังมีปฏิกิริยาขนาดนี้ ถ้าเขารู้ความจริง...รมณสลัดความรู้สึกนั้นออก แล้วลองชวนคุยเรื่องเจ้าสัวยอดชายอีกครั้ง

“คุณรู้ไหม ฉันเคยเห็นเจ้าสัวยอดชายครั้งหนึ่ง ท่านดูสง่า และอบอุ่นมากเลย”

เรียวปากหนาเหยียดยิ้มออกมาราวกับเยาะ ดูแคลนกับคำพูดของคนที่ซ้อนท้าย เท้ายังออกแรงปั่นไปเรื่อย

“มันก็แค่เปลือกนอก จิตใจ ใครจะรู้ได้”

รมณรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบใจในน้ำเสียงของยอดผา

“บางทีเปลือกที่คุณคิดว่าสวย อาจซ่อนความโหดร้ายไว้ข้างในก็ได้ ใครจะรู้”

“อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้นคะ”

รมณถามออกไปแล้วก็ต้องลุ้นกับคำตอบ

“สิ่งที่ผมเห็นและสัมผัสไงล่ะ”

“คุณพูดเหมือนคุณรู้จักเจ้าสัวยอดชายอย่างนั้นแหละ”

ยอดผาตัวแข็ง คอตั้งตรง

“ผมไม่จำเป็นต้องรู้จักผู้ชายคนนั้นหรอก...แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเขาใจร้ายขนาดไหน”

คำพูดของยอดผาทำให้รมณไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร

“อคติ”

“คุณก็อ่อนใส คิดบวกเกิน”

เมื่อโดนสวนกลับมาแบบนั้น รมณถึงกับเงียบกริบ ไม่ต่างจากยอดผา ที่ไม่อยากจะพูดอะไรออกมาตอนนี้ เพราะอารมณ์ของเขากำลังแปรปรวน ทุกอย่างเป็นความผิดของเจ้าสัวยอดชายนั่นแหละ ความรื่นรมย์ที่มีหายไป เพราะเจ้าสัวยอดชายคนเดียว

“จอดได้แล้วค่ะ”

คนนั่งซ้อนท้ายเอ่ยขึ้น เมื่อยอดผาพาเธอมาถึงปากซอย

“ทำไม...ผมจะไปส่งถึงบ้าน”

“ไม่เป็นไรค่ะ แค่ตรงนี้ก็พอ ขอบคุณมากนะคะ”

พูดจบรมณก็ลงจากรถ ขยับตัวเตรียมจะก้าวเดิน ถ้าไม่ได้ยินเสียงห้าวของยอดผาดังขึ้นเสียก่อน

“โกรธเหรอ”

เงียบกริบ ชั่วอึดใจหนึ่ง รมณจึงหันไปมองหน้าคนที่เอ่ยรั้งเธอเอาไว้ สีหน้าราบเรียบไม่บ่งบอกความรู้สึก

“ฉันควรโกรธคุณเรื่องอะไรล่ะคะ” เธอย้อนถามยอดผาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ต่างจากสีหน้า

“ก็ที่ผมว่าเจ้าสัวยอดชายของคุณไงล่ะ”

“อะไรคะ ที่ทำให้คุณคิดว่าเจ้าสัวยอดชายเป็นคนใจร้าย”

คำถามนั้นทำให้ยอดผาอึ้ง ภาพในอดีตย้อนกลับเข้ามาในมโนนึก บดกรามเข้าหากัน เขารู้เต็มอกว่าเจ้าสัวยอดชายนั้นใจร้ายขนาดไหน ใจร้ายได้แม้กระทั่งกับบุตรสาวของตัวเอง 

“บางทีคนเราอาจมีเหตุผลของตัวเอง เราควรจะให้โอกาส คนคนนั้นได้บอกไม่ใช่หรือคะ” พูดไปแล้วก็รอลุ้นกับปฏิกิริยาตอบกลับของยอดผา

 “ก็ใช่...แต่ไม่ใช่กับผม  เราอย่าพูดเรื่องนี้กันอีกเลย อากาศดีๆ แบบนี้ เราควรอารมณ์ดี ขึ้นรถเถอะ ผมจะส่งให้ถึงบ้าน”

จริงอย่างที่ยอดผาพูด เพราะแค่เริ่ม ทุกอย่างก็ดูแกว่งๆ อย่างไรชอบกล รมณสลัดอารมณ์ทั้งหมดทิ้ง ก่อนส่งยิ้มให้ยอดผา เอ่ยกับเขาเสียงนุ่ม

“ไม่เป็นไรค่ะ อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว ฉันเดินเข้าไปเองดีกว่า”

ดวงตาของทั้งคู่สบกันนิ่ง ต่างคนต่างไม่รู้จะพูดอะไร ในที่สุดก็เป็นรมณที่เอ่ยขึ้นมาก่อน

“ขี่จักรยานกลับบ้านดีๆ นะคะ”

“อื้อ”

ชายหนุ่มรับคำห้วนๆ แล้วพยักพเยิดให้เธอเดินไป เขาจะยืนรอส่ง

“ขี่จักรยานกลับบ้านดีๆ นะคะ”

“อื้อ เดินไปได้แล้ว”

ชายหนุ่มรับคำอีกครั้ง แต่รมณหาได้ทำตามไม่ เธอยังคงมองหน้ายอดผาเหมือนรออะไรสักอย่าง

“ขี่จักรยานกลับบ้านดีๆ นะคะ”

“ก็บอกแล้วไงว่าอื้อ...”

ยอดผาชะงักเมื่อเห็นอีกฝ่ายยกมือขึ้นกอดอก เอียงคอมองเขา ชายหนุ่มกระแอมออกมาเล็กน้อยทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วหมุนหัวจักรยานกลับไปทางเก่า

รมณยืนนิ่งอย่างรอคอย เกือบจะร้องออกมาอย่างผิดหวังเมื่อเห็นเขาขยับจักรยาน เธอคงหวังมากไปกระมัง หญิงสาวหมุนกาย ขยับเท้าเตรียมจะก้าว แต่แล้วก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงเข้มดังตามลมมา

 “ครับ...ผมจะขี่จักรยานกลับบ้านดีๆ ครับ”

รมณยิ้มกว้าง หัวใจเธอวูบวาบราวกับมีปีกบิน ความรู้สึกนี้เรียกว่าอะไรนะ รอยยิ้มนั้นอยู่ได้ไม่นาน เมื่อคิดถึงเรื่องเจ้าสัวยอดชาย นี่เพียงแค่เกริ่น ยอดผายังออกอาการต่อต้านขนาดนี้

ยอดผายิ้มกริ่มสลับกับหัวเราะเบาๆ ตลอดเส้นทางที่ปั่นจักรยานกลับ เขาแหงนหน้ารับลมที่พัดมาปะทะ บอกกับตัวเองว่าอยากให้ความสุขอยู่กับเขาแบบนี้ทุกวัน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น