8

ผู้ชายอ้างสิทธิ

                เอาเข้าจริงงานที่ร้านกิ่งราชพฤกษ์ก็หนักหนาเอาการอยู่เหมือนกัน หลังจากสามวันที่แล้วป้าลี่ขอลาพักผ่อนก่อนต้องเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนหลอดเลือดหัวใจสัปดาห์หน้า นั่นทำให้เชฟเบเกอรี่สองคนหัวหมุนไม่เว้นแต่ละวัน โดยเฉพาะใกล้ช่วงสงกรานต์ที่ลูกค้าหนาตากว่าช่วงเวลาปกติ นั่นทำให้ที่ผ่านมาภัทรียาแตะอาหารมื้อเที่ยงหลังสี่โมงเย็นตลอดหลายวันที่ผ่านมา และวันนี้ก็เช่นกัน แม้จะเหนื่อยแต่ก็ดีใจที่ฝีมือทำเบเกอรี่ของเธอได้รับการยอมรับจากลูกค้า เสียงชื่นชมไม่ขาดปากที่ได้ฟังจากพี่พนักงานเสิร์ฟ ทำให้ความเชื่อมั่นในตนเองเมื่อครั้งเก่าเริ่มกลับคืนมา ต่อให้เหนื่อยกายเพียงใดแต่หัวใจเธอกลับเปี่ยมไปด้วยพลังในการทำงาน

                แม้จะต้องอดข้าวบ้างก็ตาม

                “น้องผึ้ง ทานข้าวเสร็จหรือยัง หน้าร้านบอกว่าเค้กช็อคโกแลตหน้านิ่มกำลังจะหมดอีกแล้ว” ชายหนุ่มรุ่นพี่ที่เพิ่งเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นเชฟหลักวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องครัว

                “หมดอีกแล้วเหรอคะพี่อัฐ ดีนะที่น้ำผึ้งเพิ่งทำใส่เตาอบไปเมื่อกี้นี้สามปอนด์ แต่หน้าช็อคโกแลตอาจจะไม่พอ เดี๋ยวผึ้งทำให้เดี๋ยวนี้เลย” ว่าแล้วหญิงสาวที่เพิ่งตักข้าวกระเพราหมูสับเข้าปากได้เพียงคำเดียวจึงรีบล้างมือ ก่อนหมุนตัวจัดเตรียมช็อคโกแลต เนย และแป้งข้าวโพด สำหรับผสมทำหน้าเค้ก

                “หมดสามปอนด์นี้ก็คงพอแล้วละมั้ง” เพื่อนร่วมงานหนุ่มคาดเดาขณะจัดเตรียมถาดใส่เค้ก

                “หวังว่านะคะ เดี๋ยวน้ำผึ้งจะได้ผสมแป้งเตรียมสำหรับขนมปังพรุ่งนี้ค่ะ”

                “ครับ เดี๋ยวพี่ช่วยเตรียมแป้งขนมปังให้” ชายหนุ่มผิวสีแทนอมยิ้ม เต็มใจช่วยหญิงสาวรุ่นน้องเต็มความสามารถ “ว่าแต่มะรืนร้านจะปิดสงกรานต์สามวัน พี่อยากเคลียร์ผลไม้สดที่เก็บไว้ให้หมด น้องผึ้งคิดว่าเราควรจะทำเมนูพิเศษอะไรดี”

                “ทำวุ้น หรือเยลลี่ผลไม้ ไม่ก็เต้าฮวยผลไม้ดีไหมคะ หยุดหลายวันถ้าเหลือจะได้เก็บได้ด้วย” คนชอบทำขนมเสนอ ในสมองจินตนาการไปถึงเยลลี่ผลไม้ชิ้นโตบนเต้าฮวยเย็นที่ถูกเสิร์ฟลงตรงหน้าหม่อมหลวงหนุ่ม

                เขาจะชอบหรือเปล่า?

สามวันแล้วที่ได้แต่ส่งข้อความคุยกันโดยไม่ได้พบหน้า บางครั้งเธอก็อดคิดไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอจะเป็นไปในทิศทางใด เธอชอบเขาหรือไม่? และเขาชอบเธอจริงหรือ? คิดไปพลาง มือก็คนส่วนผสมแต่งหน้าเค้กไปพลาง จนเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ที่เพิ่งนำเค้กออกมาพักนอกเตาอบต้องเรียกคืนสติก่อนที่ส่วนผสมในอ่างจะไหม้

                “น้องผึ้ง ช็อคโกแลตเดือดแล้วนะครับ”

                “อุ๊ย ขอโทษค่ะพี่อัฐ” หญิงสาวดึงตัวเองออกจากความคิดถึง ตั้งสติให้อยู่กับงานตรงหน้าก่อนที่ความไหวหวั่นจะทำให้เสียงาน

                แต่ไม่ทันที่ภัทรียาจะเริ่มเทแป้งข้าวโพดลงในครีมช็อคโกแลต สาวเอ๋ก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องครัว

                “น้ำผึ้ง ๆ มีคนมาหา”

                “ใครเหรอเอ๋” คนมือเป็นระวิงอยู่หน้าเตาถาม กำลังจะจดจ่อกับการเทแป้งข้าวโพดลงในครีมช็อคโกแลต

                “เขาบอกว่าเป็นแฟนเก่าน้ำผึ้งอะ ชื่อปิ่น” สีหน้าของเอ๋เต็มไปด้วยความสงสัย

                ทันทีที่ได้ยินชื่อปิลันธ์ หัวใจที่เพิ่งคงที่ก็พลันสั่น เธอวางแป้งลงข้างเตา ปิดไฟเตา แล้วคนส่วนผสม เหมือนยื้อเวลาตอบคำถามของเพื่อนร่วมงานสองคนที่ยืนจ้องหน้าด้วยความใคร่รู้

เขามาทำไม? หญิงสาววนเวียนอยู่ในความคิด ก่อนตอบรับเป็นสัญญาณ “จ้ะ เดี๋ยวออกไป”

                “น้ำผึ้ง แต่คนนั้นเขาเป็นผู้หญิงนะ เขาเป็นแฟนน้ำผึ้งจริง ๆ เหรอ” เอ๋มิวายถามต่อ เรียกความสนใจให้เชฟอัฐที่เพิ่งวางเค้กก่อนสุดท้ายลงบนถาดได้เป็นอย่างดี

                “น้องผึ้งเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงเหรอ” ชายหนุ่มหนึ่งเดียวอดถามไม่ได้

                “ค่ะ แต่เลิกกันไปแล้ว”

                “แล้วเขาจะมาหาน้ำผึ้งทำไม” เอ๋ถาม

                “ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วเราบังเอิญไปเจอกันที่ร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่ สงสัยเขาคงมีธุระมั้ง เอ๋ออกไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้หรือเปล่า” หญิงสาวตอบ พลางวางส่วนผสมร้อนในหม้อลงในอ่างน้ำเย็น “พี่อัฐ น้ำผึ้งฝากราดช็อคโกแลตบนเค้กด้วยนะคะ”

                “ได้ครับ เอ๋ไปเป็นเพื่อนน้ำผึ้งหน่อยแล้วกัน ทางนี้พี่จัดการเอง”

                “ได้ แต่ผึ้งโอเคไหม” เพื่อนวัยเดียวกันตอบ

                “โอเค ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขาแล้ว แต่แปลกใจที่เขามามากกว่า” เธอตอบตามจริง ใจเริ่มนึกกังวลกับความต้องการของปิลันธ์

                “งั้นฉันเดินไปเป็นเพื่อน เขาบอกว่าจะรอน้ำผึ้งอยู่ที่ที่จอดรถ”

                ภัทรียาพยักหน้ารับรู้ ก่อนออกมาพร้อมกับเอ๋ ไปยังพื้นที่จอดรถยนต์ด้านหลังของร้านอาหาร ซึ่งร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ และสายลมยามบ่ายแก่พอเป็นกำลังสนับสนุนให้เธอเผชิญหน้ากับอดีตคนเคยรักที่นั่งไขว่ห้าง ก้มหน้าดูจอโทรศัพท์อยู่บนเก้าอี้ยาวใต้ซุ้มการะเวก

                ปิลันธ์ดูมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าแต่ก่อน ใบหน้าขาว จมูกโด่งที่เธอเคยชื่นชอบ ดูธรรมดาเหลือเกินเมื่อสังเกตในตอนนี้

                “พี่ปิ่น” หญิงสาวเป็นฝ่ายทักทาย

                “น้ำผึ้ง” ปิลันธ์เงยหน้าจากเครื่องมือสื่อสารลุกยืนมองหน้าเธอด้วยรอยยิ้ม

                เป็นรอยยิ้มที่เธอเคยต้องการในวันที่อ่อนล้า...แต่ไม่ใช่วันนี้ ภัทรียายิ้มตอบ “นี่เพื่อนร่วมงานของน้ำผึ้งค่ะ ชื่อเอ๋”

                “สวัสดี เราปิ่นเป็นแฟนน้ำผึ้ง”

                “แฟนเก่าค่ะ” คนเกือบลืมความเจ็บปวดย้อนทันควัน ไม่อยากให้เพื่อนร่วมงานเข้าใจผิด

                ปิลันธ์ชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าตึงด้วยความรู้สึกขัดใจ “แฟนเก่าก็แฟนเก่า”

                “พี่ปิ่นมีธุระอะไรกับน้ำผึ้งเหรอคะ ตอนนี้น้ำผึ้งงานยุ่งมาก”

                “น้ำผึ้งตัดผมทำไม” คนเคยรักเอื้อมมือแตะปลายเส้นผมที่เคลียไหล่ “หรือเป็นเพราะพี่”

                “ไม่ใช่ค่ะ น้ำผึ้งแค่อยากตัด” เธอขยับตัวเว้นระยะห่างจากปิลันธ์ สัมผัสจากเขาไม่ทำให้หัวใจไหวหวั่นได้อีก แต่กลับอึดอัดเมื่อคิดถึงวันที่ถูกคนตรงหน้าหักหลัง

                “พี่นึกว่าน้ำผึ้งจะคิดถึงวันดี ๆ ของเราบ้าง พี่เคยบอกน้ำผึ้งใช่ไหมว่าน้ำผึ้งไว้ผมยาวแล้วสวยเหมือนนางในวรรณคดี แต่ผมสั้นแบบนี้ก็น่ารัก เหมือนสมัยที่เรารู้จักกันแรก ๆ ตอนนั้นเราทำงานเป็นผู้ช่วยเชฟด้วยกันไง” ปิลันธ์ฟื้นความหลัง ใบหน้าขาวส่งยิ้ม และแววตาอ่อนโยนสบประสาน

                เยื่อใยบาง ๆ ที่เคยมีกับปิลันธ์ทำให้หญิงสาวต้องหลบหนีสายตา หัวใจที่คิดว่าแข็งแกร่งเกือบอ่อนไหวกับคำพูดหวานหูเพียงไม่กี่คำ

                “ค่ะ ตอนนั้นน้ำผึ้งคงเคยรักคนผิด ถ้าพี่ปิ่นมาเพื่อจะคุยเรื่องแค่นี้ น้ำผึ้งขอตัวก่อนค่ะ ยังมีงานอีกเยอะ” ภัทรียาจับมือเพื่อนร่วมงานที่ยืนหน้าเจื่อนไว้ “ขอโทษด้วยนะเอ๋ ที่เราทำให้เสียเวลา”

                “มะ ไม่เป็นไร”

                แต่ภัทรียายังไม่ทันจะหันหน้าหนี ปิลันธ์กลับดึงต้นแขนเธอไว้ คิ้วสองข้างขมวดจนแทบเป็นปมที่กึ่งกลางหน้าผาก “ไม่น้ำผึ้ง! พี่กำลังเดือดร้อน มีแต่น้ำผึ้งที่ช่วยพี่ได้ พี่ไม่เหลือใครแล้ว”

                หญิงสาวไม่ตอบ หรือถามคำถามใด เธอเพียงมองหน้าคนเคยรักด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่ปิลันธ์จะเป็นฝ่ายพูดทุกสิ่งทุกอย่างออกมา

                “น้ำผึ้ง...ให้โอกาสพี่ได้ไหม เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม ตอนนี้พี่ย้ายมากรุงเทพฯ แล้ว เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ พี่ขาดน้ำผึ้งไม่ได้จริง ๆ”

                “ทำไมคะพี่ปิ่น ทำไมต้องมาพูดอะไรแบบนี้เวลานี้” เสียงเครือของปิลันธ์ทำให้ภัทรียาใจอ่อนลง

                “ผู้หญิงคนนั้นหลอกพี่ เขาหลอกให้พี่ร่วมลงทุนทำร้านกาแฟ... ตอนนี้พี่ไม่เหลืออะไรเลย พี่รู้ว่าน้ำผึ้งยังรัก ยังห่วงพี่อยู่ใช่ไหม...”

                “ไม่ค่ะ น้ำผึ้งไม่มีเงินให้พี่ปิ่นอีกแล้ว ตอนนี้น้ำผึ้งติดหนี้คุณพ่ออยู่สองล้าน และน้ำผึ้งก็เพิ่งเริ่มงาน ถ้าพี่ปิ่นอยากได้เงินก็ไปขยันทำงานสิคะ เลิกยุ่งกับน้ำผึ้งได้แล้ว” หญิงสาวตอบ ส่ายศีรษะมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกสับสน ใช่...เหมือนเหตุการณ์อย่างนี้เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน ไม่ใช่เดจาวู แต่ปิลันธ์มักมีเหตุผลดี ๆ สักอย่างให้เธอใจอ่อน ยอมควักเงินให้เขาอยู่เสมอ “เอ๋ เรากลับเข้าข้างในกันเถอะ”

                สิ้นถ้อยคำปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยภัทรียาจึงจูงมือเพื่อนร่วมงานหนีจากปิลันธ์ไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้คนกดดันยืนกำมือแน่น ปากก่นด่าไล่หลังอย่างโกรธแค้น

                “โธ่เว้ย! กูก็ไม่คิดจะกลับมายุ่งกับมึงหรอก อีผู้หญิงจืดชืด”

                “พูดจาแบบนี้ไม่ดูดีอย่างหน้าตาเลยนะคะ” อรวสาที่บังเอิญผ่านมา และแอบฟังเรื่องที่สองคนคุยกันถือโอกาสทักทาย ในหัวมีความคิดบางอย่างที่แล่นเข้ามาระหว่างสังเกตเหตุกาณ์เมื่อครู่ “คุณมีเรื่องอะไรกับน้องผึ้งเหรอ”

                ปิลันธ์เหลือบมองเพื่อนร่วมงานของภัทรียาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า นึกชมความสวยจัดของคนตรงหน้า แต่เลือกจะเบะปากยักไหล่อย่างคนไม่ใส่ใจ “คุณเป็นใคร มายุ่งอะไรด้วย”

                “ฉันชื่ออรวสา เป็นผู้จัดการร้านอาหารนี้ ฉันอยากรู้ว่าพนักงานใหม่คนนั้นจะสร้างปัญหาให้ร้านของฉันหรือเปล่า”

                “ร้านของคุณเหรอ” ปิลันธ์ยิ้มมุมปาก “ขอโทษด้วยที่รบกวนเวลาทำงานของพนักงานคุณ ฉันปิลันธ์ เรียกสั้น ๆ ว่าปิ่นก็ได้ ฉันเป็นแฟนของน้ำผึ้ง”

                “แฟนเหรอ...” คราวนี้อรวสาเป็นฝ่ายยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร “...ยินดีที่ได้รู้จักนะคะปิ่น”

 

                เย็นมากแล้วหลังจากเรื่องปวดศีรษะผ่านไป ภัทรียาที่หมดแรงกายได้แต่นั่งดมยาดมปล่อยอารมณ์ไปกับสายลมและแสงไฟใต้ต้นราชพฤกษ์ใหญ่ สมองคิดกังวลกับการปรากฏตัวของปิลันธ์ ใจที่เคยคิดว่าเขาคือคนที่เคยรัก ทำให้เธอรู้สึกเศร้า แต่ไม่ใช่เศร้าเพราะอาการอกหัก แต่เศร้าเพราะคิดถึงสมัยก่อนว่าเธอรักเขาได้อย่างไร ปิลันธ์สนใจแต่ตัวเองมาตลอด...ใช่ว่าข้อนี้เธอไม่รู้

                “เฮ่อ...ทำไมตอนนั้นฉันถึงทนได้นะ” ภัทรียาพึมพำกับตัวเอง คิดวกวนกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ผิดกับตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านที่หัวใจเช่นเก่า หรือเพราะเธอมีใครอื่นให้สนใจ คิดไปก็นึกถึงผู้ชายตาหวานที่ไม่ได้เจอหน้ากันสามวัน

เขากำลังทำอะไรอยู่นะ? บางทีหม่อมหลวงตาหวานอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลยก็ได้ คิดอย่างนั้นหัวใจภัทรียาก็พลันวูบไหวยิ่งเห็นชายหนุ่มร่างสูง ใบหน้าหล่อเหลาเดินออกมาจากส่วนของร้านอาหาร ดวงตากลมโตมองกลับมา ทำให้เธอยากจะเก็บอาการสะท้านในกลางอก เจ้าของริมฝีปากบางตีสีหน้านิ่งเฉย มือล้วงกระเป๋ากางเกงสแล็คสีน้ำเงินเข้มเข้ารูปขณะหยุดยืนตรงหน้า

                คิดถึงเขาจัง...แต่ปากเธอกลับไม่เอ่ยออกไป ภัทรียาขมวดคิ้วจ้องกลับคนตัวสูง

                “มองหน้าหาเรื่องเหรอคะ” เธอถามกระเซ้า

                “ใช่ ได้ยินว่าวันนี้มีเรื่องดี ๆ”

                “คงใช่ค่ะ” ตอบไปหญิงสาวก็คิดถึงงานที่ผ่านมาทั้งวัน “วันนี้ทำเค้กไปยี่สิบปอนด์ มากที่สุดเท่าที่ฉันเคยทำมาในชีวิตเลยค่ะ”

                “ใช่เหรอ” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว คิดเคืองหญิงสาวที่แอบนัดพบใครอื่นลับหลัง และปากก็พาลหาเรื่องอย่างห้ามไม่อยู่ “ได้ยินว่าแฟนมาหาถึงที่ น่าจะมีความสุข”

                เท่านี้ความรู้สึกดีที่อยู่ในใจหญิงสาวเมื่อครู่ก็พลันผลุบหาย เธอเผลอกลอกตาใส่ภาคย์อย่างหาเรื่อง “ถ้าคิดว่านั่นเป็นเรื่องดี และฉันมีความสุข ก็แล้วแต่คุณจะคิดแล้วกัน” ว่าแล้วจึงลุกหนีร่างใหญ่ที่อยู่ดีไม่ว่าดีเล่นพูดจาไม่เข้าหูหาเรื่อง

“จะไปไหนน้ำผึ้ง” คนพร้อมมีเรื่องปรี่ตัวเข้าขวาง “คืนดีกับแฟนเก่า ใจคอจะไม่บอกแฟนชั่วคราวอย่างผมบ้างเหรอ”

                “กลับคอนโดค่ะ ฉันเหนื่อย เรื่องอะไรฉันจะอยู่ให้คุณเอาเรื่องไร้สาระมาใส่สมองฉันอีก”

                หม่อมหลวงปากเสียรีบคว้าข้อมือหญิงสาวไว้ แต่ไม่หยุดหาเรื่องให้หงุดหงิด “มีคนรออยู่ที่คอนโดหรือไง”

                นี่เขาไปกินรังแตน หรือเอาสุนัขใส่ปากจากไหนมา หาเรื่องกันได้ตั้งแต่เจอหน้า ไม่คิดถามความรู้สึกเธอบ้างหรือยังไง “คุณภาคย์ อย่าหาเรื่อง ฉันเบื่อ”

                คำว่า เบื่อ ที่ผ่านออกจากปากหญิงสาวทำให้คนที่อยู่ในสภาวะแปรปรวนเพราะความหึงหวงยิ่งเกิดอารมณ์ ชายหนุ่มดึงตัวเธอโดยแรงจนคนตัวผอมถลาเข้ามาประชิดลำตัว “เธอนั่นแหละที่หาเรื่อง ตกลงจะกลับไปคืนดีกับทอมนั่นใช่ไหม” เขาตะคอกถาม หยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดภาพถ่ายขณะที่ปิลันธ์จับเส้นผมหญิงสาว ดวงตาทั้งสองประสานกันเหมือนซาบซึ้ง ชวนให้คนเห็นเพียงภาพคิดต่อไปได้ไกล “จะอธิบายภาพนี้ว่ายังไง”

                “ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด แค่พี่ปิ่นแวะมาหา ก็เท่านั้น” หญิงสาวตอบ ตกใจมากกว่าที่ใครบางคนแอบซุ่มมองและเก็บภาพไว้ “ถ้าคุณจะคิดมันก็เรื่องของคุณ”

                “คนในร้านพูดกันให้ทั่วว่าเมื่อบ่ายเธอพลอดรักกับแฟนทอมแบบไม่เกรงใจใคร ทำอะไรก็เห็นแก่หน้าผม เห็นแก่หน้าคุณลุงบ้าง ที่นี่ไม่ใช่โรงแรมที่เธอจะพลอดรักกับใครได้” ภาคย์ใส่อารมณ์ ดวงตาโตมองตาเธอราวกับต้องการเค้นหาคำตอบที่ถูกใจ

                “ใครเป็นคนพูด ทำไมคุณไม่ไปถามคนที่พูดว่ายุ่งเรื่องคนอื่นทำไม แล้วถ้าฉันจะพลอดรัก ฉันไปทำที่คอนโดไม่ดีกว่าเหรอ อีกอย่างนี่มันเรื่องของฉัน ไม่ได้เกี่ยวกับคุณนะคุณภาคย์ คุณเป็นอะไร ถึงได้มายืนต่อว่าเหมือนฉันเป็นจำเลย” ภัทรียาเถียงเสียงแข็ง ไม่ชอบที่ชายหนุ่มเชื่อใครบางคนที่คิดไม่ดีกับเธอ

                ภาคย์มองภาพหญิงสาวที่โต้เถียงเขาด้วยริมฝีปากอันสั่นสะท้าน พึงใจที่เธอไม่เหมือนใคร พึงใจที่เธอเป็นเช่นตัวเธอ แต่กลับหงุดหงิดใจที่เธอพยศดื้อรั้น โกรธที่เห็นเธอใกล้ชิดกับใครอื่น ทั้งที่เขาคือคนที่เธอควรใกล้ชิดมากที่สุด

                “เป็นสิ เธอไม่มีสิทธิไปจับมือกับคนอื่น” ชายหนุ่มตอบกลับไปอย่างคนไม่มีเหตุผล เขาสวมกอดเอวเธอ ดึงรั้งให้ตัวบอบบางให้ใกล้ชิด จับจ้องใบหน้าที่อยู่ห่างเพียงคืบด้วยความรู้สึกปั่นป่วน

                ภัทรียากลั้นลมหายใจเม้มริมฝีปากแน่น เงยจ้องตาผู้ชายใจแคบอย่างหาเรื่อง “ฉันมีสิทธิ”

                “ไม่มี”

                สิ้นคำของชายหนุ่ม เหมือนโลกทั้งใบของภัทรียาก็พลันถูกเหวี่ยงให้หมุนเร็ว เมื่อริมฝีปากร้อนประทับลงบนปากเธออย่างเอาแต่ใจ อ้อมแขนที่กอดตัวเธอไว้รัดแน่นจนไม่อาจผลักไส กลิ่นน้ำหอมผสมกลิ่นเหงื่อเจือจางแสดงความเป็นเพศชายจากตัวเขาไม่ทำให้เธอรู้สึกรังเกียจ แต่กลับทำให้เธออ่อนไหว รสชาติของจูบที่ถ่ายทอดผ่านอารมณ์ดุดันกำลังส่งผลทำลายล้าง เธอเผลอเผยอริมฝีปากตอบรับความร้อนของปลายลิ้น จังหวะลมหายใจเหมือนกำลังถูกเขาดูดกลืนยื้อแย่ง เช่นเดียวกับสิทธิของตัวเธอที่กำลังถูกประกาศครอบครอง

                ไม่ได้...สมองมึนเบลอด้วยจูบกำลังโต้แย้งกับความรู้สึก อ้อมแขนแข็งแรงกำลังทำให้เธออ่อนแรง หัวใจไม่อาจควบคุมความหวิวไหวปั่นป่วน อยากหลบเลี่ยงจากสิ่งที่ทำอยู่แต่ไม่อาจฝืนความต้องการของตนเอง

                “คุณภาคย์ อย่า...เราไม่ได้เป็นอะไรกัน” ภัทรียาอ้อนวอนทันทีที่ปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระ

                “เป็นสิ...” ชายหนุ่มกระซิบกับข้างแก้มเธอ มือลูบไล้แผ่นหลังบอบบางอย่างอ่อนโยน “...ต่อให้น้ำผึ้งจะปฏิเสธ แต่ผมไม่ให้เวลาคุณแล้ว”

                “ฉันไม่เข้าใจ” สมองหญิงสาวยังมึนเบลอกับคำพูดกำกวมของชายหนุ่ม เธอได้แต่ส่ายศีรษะ ซุกใบหน้ากับไหล่กว้างที่ยังคงรั้งตัวไว้

                “นับจากวันนี้เป็นต้นไป น้ำผึ้งคือผู้หญิงของผม ห้ามไปข้องแวะกับผู้ชาย หรือทอม หน้าไหนเด็ดขาด...” เขาสั่ง เลิกใจเย็นกับความสัมพันธ์ที่ยืดเยื้อมาเป็นเดือน หมดความอดทนกับเรื่องราวที่รกหูรกตาจากคนรอบกาย “...นี่เป็นคำสั่ง เป็นคำสั่งที่เธอต้องเชื่อฟัง”

                หมายความว่ายังไง...ผู้หญิงตัวเล็กนึกสับสน แต่เธอสับสนได้เพียงไม่นาน ชายหนุ่มก็ก้มลงประกบริมฝีปากเธออีกครั้ง ยืนยันสิ่งที่ต้องการโดยที่เธอไม่อาจขัดขืน

                “คุณภาคย์...ตกลงคุณใจดีหรือใจร้าย” ภัทรียาถามเสียงอ่อย จิตใจล่องลอยไปกับความหวานติดตรึงของจูบยาวนาน ที่ยากจะยอมรับว่าเธอกับเขายังคงยืนอยู่ด้านหลังของร้านอาหาร ถึงจะค่ำมืดแต่แสงไฟสว่างคงทำให้ใครก็ตามที่ผ่านต้องเห็นเรื่องน่าอายนี้

                “แล้วน้ำผึ้งชอบแบบไหน” คนใจร้ายที่เพิ่งจูบหญิงสาวจนปากเจ่อย้อนถาม ไล้นิ้วลงบนริมฝีปากแดง หัวใจเต้นระรัวกับความสุขที่พรั่งพรู

                “ฉัน...ไม่รู้” เธอตอบ ความรู้สึกหวั่นไหวกับหวาดหวั่นกำลังถกเถียงกันอยู่ภายใน เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับจูบแบบที่ผู้ชายจูบผู้หญิง และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่รู้สึกอบอุ่นเพราะอ้อมกอดจากใครอื่นที่ไม่ใช่เพศเดียวกัน

                “แล้วเกลียดไหม” ภาคย์ถามไปโดยไม่คำนึงถึงคำตอบ เพราะอย่างไรเสียเขาตัดสินใจไปแล้วว่าจะผูกมัดเธอไว้ เช่นเดียวกับที่บิดาผูกมัดมารดาไว้

                เป็นอีกครั้งที่ภัทรียาส่ายศีรษะแทนคำตอบ นั่นทำให้หัวใจชายหนุ่มพองโตกว่าเดิม

                “ไม่เป็นไรครับ เรามีเวลาคิดทั้งชีวิต” เขายิ้มมีเลศนัย

                รอยยิ้มของหม่อมหลวงเจ้าเล่ห์ทำให้สติที่ล่องลอยของภัทรียาลอยกลับคืนมาสู่ร่างกาย ดูเหมือนเธอกำลังถูกเขาบังคับจูงมือให้เดินไปยังจุดหมายบางอย่าง จุดหมายที่ยากจะคาดเดา กับดวงตากลมโตเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เหมือนร่ายมนต์คาถาปลุกเร้าการตัดสินใจ...

                “ทำไมคุณภาคย์พูดแปลก ๆ หมายความว่าไงเหรอคะ”

                “ก็หมายความว่าน้ำผึ้งต้องแต่งงานกับผมไง ไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก”

 

                เรื่องเมื่อกี้เป็นเรื่องที่เธอหลับแล้วฝันไปหรือเปล่านะ

                ภัทรียาตบหน้าตัวเองเป็นครั้งที่สอง ความทรงจำช่วงหัวค่ำเด่นชัด แม้อยากให้เป็นเพียงความฝัน แต่ผู้ชายที่นั่งไขว่ห้างสบายใจอยู่บนโซฟาในห้องพักเธอยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเป็นต้นเหตุของอาการระบมที่ริมฝีปาก

                “มองแบบนี้อยากโดนจูบอีกหรือไง” หม่อมหลวงภาคย์ถาม

ดวงตาแพรวพราว และรอยยิ้มอย่างผู้ชนะทำให้ภัทรียาที่เผลอยืนจับปากอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ข้างตู้เย็นใบหน้าร้อนผ่าว อยากตอกกลับเขาให้แสบ ๆ คัน ๆ แต่ดูทีท่าแล้วเธอคงเป็นผู้พ่ายแพ้อย่างราบคาบ

“ใจร้าย” หญิงสาวบ่นอุบ ขณะรินน้ำเย็นใส่แก้วและดื่มอย่างรวดเร็ว หวังให้ความเย็นจะดับความร้อนรุ่มในอารมณ์ไปได้บ้าง

“ตกลงจะเล่าให้ฟังได้หรือยัง”

“เล่าเรื่องอะไรคะ”

“ปิ่นมาทำไม” ภาคย์เค้นชื่ออดีตคนรักของหญิงสาวออกมาอย่างลำบาก ตั้งใจประกาศตัวเป็นศัตรูตั้งแต่วินาทีที่เห็นภาพถ่ายบาดตา

“ทำไมไม่ถามแบบนี้แต่แรก คุณภาคย์ก็น่าจะรู้ว่าฉันกับพี่ปิ่นไม่ได้ญาติดีอะไรกัน” คนได้โอกาสรีบเถียงทันควัน

“ถ้าถามผมก็ไม่ได้จูบน้ำผึ้งสิ”

ยังมีหน้ามาพูดหน้าตาเฉยอีก...ภัทรียาถลึงตาใส่ผู้ชายนิสัยแย่ มั่นใจขึ้นสิบเท่าว่าเขาไม่ใช่แค่นิสัยไม่ดี แต่เข้าขั้นแย่มาก

“แล้วใครเป็นคนส่งรูปให้คุณคะ ถ้าไม่ตอบฉันก็ไม่เล่า”

“มานั่งใกล้ ๆ ตรงนี้สิ แล้วจะบอก” เขาบอกพลางตบพื้นที่ว่างข้างกาย

“ไม่ ฉันยืนตรงนี้แหละดีแล้ว ฉันแค่อยากรู้ว่าใครในร้านที่อยากให้คุณภาคย์คิดว่าฉันกับพี่ปิ่นคืนดีกัน เพราะตอนนั้นฉันชวนเอ๋ออกไปเป็นเพื่อนด้วย ไม่ได้อยู่กับพี่ปิ่นสองต่อสอง” เธอตอบ ยกน้ำเย็นขึ้นดื่มอีกครั้ง อยากระบายความร้อนในอกเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ช่วงเย็น

“เอ๋อยู่ด้วยเหรอ” ชายหนุ่มย้อนถาม เป็นฝ่ายลุกเดินไปนั่งเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่อีกฝั่งหนึ่งของเคาน์เตอร์

“ค่ะ พี่ปิ่นมาขอยืมเงิน แต่ฉันไม่ได้ให้ไปหรอกนะคะ”

“แต่ก่อนเขาเคยขอยืมเงินน้ำผึ้งเหรอ” ภาคย์ตะลึงกับข้อมูลใหม่ของหญิงสาว เขาเอื้อมมือแตะหลังมือเธอที่ยังคงจับแก้วน้ำ “เขาติดหนี้น้ำผึ้งเยอะไหม”

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ฉันไม่เคยจดเอาไว้ บางทีก็หมื่นสองหมื่น รวม ๆ ก็เกือบสองแสนมั้ง”

“สายเปย์หรือไงเรา อย่าบอกนะว่าเอาเงินที่คุณพ่อให้มาลงทุนไปให้เขา” ภาคย์ซักไซ้ต่อ อยากจับผู้หญิงซื่อบื้อมาตีก้นสั่งสอนให้หลาบจำ

                “อือ” คนรู้ว่าทำผิดพยักหน้ายอมรับ ตอบเสียงอ่อยจนเกือบอยู่ในลำคอ “ฉันไม่คิดว่าพี่ปิ่นจะหลอกฉันนี่...”

                “ตกลงเป็นคนซื่อ หรือคนซื่อบื้อกันแน่น้ำผึ้ง ผู้ชายที่คอยไถเงินผู้หญิงเขาเรียกว่าแมงดา ไม่ใช่แฟน ถ้าอยากได้แฟนต้องแบบผมนี่” ผู้ชายปากไวมากชี้ตัวเอง “เลิกให้ความสำคัญกับคนแบบนั้น นี่เป็นคำสั่ง เข้าใจไหม”

                “ตกลงคุณอยากให้คนอย่างฉันเป็นแฟนของคุณเหรอคะคุณภาคย์” เธอถาม เริ่มคิดว่าตนเองซื่อบื้อจริงอย่างที่ชายหนุ่มยืนยัน

                “ทำไมถามเหมือนดูถูกตัวเองแบบนี้ คนอย่างน้ำผึ้งไม่ดีตรงไหนถึงเป็นแฟนฉันไม่ได้” ชายหนุ่มส่ายศีรษะ ยอมรับว่าบางทีภัทรียาเหมือนคนไม่มีความมั่นใจ

                “ไม่รู้สิคะ ตั้งแต่เด็ก ๆ ฉันถูกพี่ชายแกล้งบ่อย ๆ พอเข้าเรียนประถม เพื่อนผู้ชายก็ชอบแกล้งฉัน เหมือนมีอะไรบางอย่างในตัวฉันที่น่ารังเกียจ พอโตขึ้นก็เลยติด รู้สึกว่าไม่ถูกชะตากับเพศตรงข้าม”

                “ก็เธอมันน่าแกล้ง” พูดแล้วชายหนุ่มจึงเอื้อมมือแตะแก้มหญิงสาว

                น่ารักจนน่ากลั่นแกล้งให้ร้องไห้...

                ดวงตาคมหวานที่กำลังจ้องมอง ฝ่ามืออุ่นจัดแผ่ความรู้สึกลึกถึงกึ่งกลางอก พานให้หัวใจหญิงสาวยิ่งสั่นไหว ภัทรียาก้มหน้าหลบสายตาชายหนุ่มแล้วส่ายศีรษะ

                “อย่าแกล้งฉันเลยคุณภาคย์ บางทีฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำตัวแบบไหนเวลาอยู่กับคุณ บางทีคุณก็ใจดี บางทีคุณก็ใจร้าย”

                ฟังคำจากปากคนแก้มแดงแล้วชายหนุ่มนึกขัน เอ็นดูที่ภัทรียาช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรบ้างเลย “กับผู้หญิงที่ชอบผมใจดีเสมอแหละ แค่น้ำผึ้งไม่ยอมมองส่วนดีของผมต่างหาก”

                “คุณภาคย์ชอบฉันเหรอ” คนซื่อบื้อถาม ความรู้สึกตื้นตันพองเต็มอก

                “คิดว่ายังไงล่ะ ฉันก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ชอบก็บอกว่าชอบ ว่าแต่เธอชอบฉันบ้างหรือเปล่าเนี่ย”

                ชอบสิ...หญิงสาวคิด แต่ไม่กล้าพูดออกมา เธอได้แต่พยักหน้ายอมรับ “ค่ะ”

                “เห็นไหม แค่นี้เองไม่เห็นจะยากตรงไหน” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ อยากดึงตัวคนยืนเกร็งเข้ามากอดให้สาแก่ใจ

                “ยากสิคะ ฉันไม่เคยคบผู้ชายนี่นา คุณภาคย์จะอดทนกับฉันไหวหรือเปล่า บางทีคุณอาจจะรำคาญแบบที่พี่ปิ่นรำคาญฉันก็ได้”

                “อย่าพูดถึงคนอื่น เราก็คบกันในแบบของเราสิ น้ำผึ้งคือน้ำผึ้ง ส่วนผมก็เป็นของผมแบบนี้ เราคบกันไม่ต้องเอามาตรฐานคนอื่นมากะเกณฑ์”

                “ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอคะ”

                “ได้สิ ผมชอบน้ำผึ้ง น้ำผึ้งชอบผม แล้วเราก็ค่อย ๆ เรียนรู้กันไป”

“ค่ะ ฉันจะพยายามตั้งตัวให้ได้นะคะ” ภัทรียายิ้ม รู้สึกชื่นในหัวใจที่ชายหนุ่มเปิดโอกาสให้เธอได้เป็นตัวของตัวเอง

                “ดีมากเด็กซื่อบื้อ วันนี้พักผ่อนนะ มะรืนได้หยุดสงกรานต์ใช่ไหม เตรียมตัวไว้นะ ผมจะพาไปเดต” เขาลูบศีรษะเธอด้วยรอยยิ้ม

                “เดตเหรอคะ” เธอทำตาโตย้อนถาม

                “ใช่ แค่เดต ไม่ใช่ขอแต่งงาน เพราะฉะนั้นห้ามปฏิเสธ”

                เอางั้นเลยเหรอ...ชีวิตนี้เธอไม่เคยมีเดตกับผู้ชายเลยนะ...แต่นั่นแหละพูดเรื่องไปเดตก็ดีกว่าพูดเรื่องแต่งงานเนอะ ภัทรียายิ้มแหย จินตนาการมากมายวิ่งวุ่นในหัว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น