ทันทีที่เจ้าบ่าวจูงเจ้าสาวกลับเข้ามาในบรรยากาศรื่นเริง แวดล้อมไปด้วยแขกเหรื่อมากมายที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีในงานแต่งงาน จันทร์เพ็ญและช่างแต่งหน้าก็กรูเข้ามาซับหน้าและจัดแต่งคิมาร์ให้เจ้าสาวอย่างรวดเร็ว ส่วนเจ้าบ่าวที่จู่ๆ ก็อุ้มเจ้าสาวหนีหายออกไปจากงานเสียดื้อๆ เล่นเอาแขกเหรื่อถึงกับนั่งอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ก็ยืนนิ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาว
แม้จะฉุกละหุกไปเสียทุกอย่างจนแทบไม่ทันได้ตั้งตัว ทว่าหัวใจของคนตัวเล็กยังคงเต้นโครมครามไม่หยุด เธอลอบมองใบหน้าคมคร้ามซึ่งปิดแผ่นหนังไว้กว่าครึ่งหนึ่งด้วยความรู้สึกเต็มตื้น เกิดมาจนอายุเกือบจะยี่สิบปีเธอก็เพิ่งรู้นี่ละว่าการที่ตกหลุมรักใครสักคนเป็นเช่นไร ไม่ว่าเขาคนนั้นจะทำหน้าตาบูดบึ้งราวกับไปกินรังแตนมาทั้งรัง ขี้หงุดหงิดราวกับยักษ์ร้ายขี้โมโห หรือปั้นหน้าเรียบเฉยราวกับรูปปั้นไร้ความรู้สึก เธอก็ยังยินดีที่จะจ้องมองเขาอย่างไม่รู้เบื่อ นี่ถ้าเขายิ้มกว้างๆ ให้เธอละก็ เธอคงดีใจไปหลายวันเชียวละ
‘ท่าทางเราจะเป็นเอามากนะเนี่ย หลงผู้ชายจนหัวปักหัวปำมันเป็นอย่างนี้นี่เอง นี่ถ้าคนข้างกายไม่ใช่ว่าที่เจ้าบ่าว เราคงไปสั่งทำป้ายไฟมายืนชู ขอเป็นแฟนคลับชีคอสูรหน้าเหี้ยมให้รู้แล้วรู้รอดไป’ หญิงสาวคิดติดตลกพลางก้มหน้าหัวเราะคิกคักอย่างนึกสนุก
ต่างจากผู้ชายตัวโตที่เหลือบมองเธอแล้วยิ้มเพียงเล็กน้อยที่มุมปาก ‘ยายเด็กบ๊องนี่กำลังคิดอะไรแผลงๆ อีกแล้วสินะ นี่ตกลงฉันแต่งงานได้เมียหรือได้ลูกสาวกันแน่...’
ชีคหนุ่มรีบละสายตาไปทางอื่นเมื่อเจ้าสาวของเขาเงยหน้าขึ้น ภัครติคงไม่รู้หรอกว่าสายตาที่เธอจ้องมองเขาด้วยความหลงใหลนั่นไม่ต่างจากเชื้อเพลิงชั้นดีโยนลงมาในกองเพลิงสิเน่หา ดวงตากลมโตคู่นี้ทำให้เขาร้อนรุ่มไปทั้งตัว และหนทางดับร้อนก็ดูเหมือนจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ถ้าจะย่นระยะเวลาของพิธีส่งตัวเข้าหอให้สั้นกว่านี้
‘ให้ตายสิ! ใครเป็นคนคิดพิธีบ้าๆ พวกนี้ขึ้นมา คิดหรือว่าเจ้าบ่าวจะยินดีที่ต้องนั่งปั้นหน้าท่ามกลางแขกเหรื่อมากมาย ร้อยทั้งร้อยเจ้าบ่าวก็ล้วนอยากกอดเจ้าสาวด้วยกันทั้งนั้น’ ชีคหนุ่มกวาดตามองไปยังพ่อบ้านดาริมซึ่งเป็นคนจัดงานอย่างไม่ชอบใจนัก แต่แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเจ้าสาวของเขาไม่ใช่ยายหนูน้อยจอมมโน เขาจะร้อนรนอยากให้ถึงเวลาส่งตัวเข้าหอหรือเปล่า
หากว่าเป็นฟาเบียนล่ะ...มันคงเป็นงานแต่งงานที่แห้งแล้งสิ้นดี และเขาเองก็คงเข้าพิธีราวกับหุ่นยนต์ไร้ความรู้สึก แต่ทำทุกอย่างเพียงเพราะหน้าที่ หาใช่ชายหนุ่มกลัดมันที่พร้อมจะจับเจ้าสาวเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงอย่างหิวกระหาย
“อัสสะลามุอะลัยกุมครับท่านพี่ ผมขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ”
ภัครติสังเกตว่าใบหน้าของชีคฮัยฟาอ์แปรเปลี่ยนไปทันที เมื่อชายหนุ่มขาวสูง หน้าตาจัดว่าหล่อเหลา และมีหลายๆ ส่วนคล้ายคลึงชีคฮัยฟาอ์ก้าวเข้ามาทักทาย ดูเหมือนว่าชายอ่อนวัยกว่าคนนี้จะมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของชีคฮัยฟาอ์ไม่น้อย เธอเดาได้เลยว่าชายคนนี้คงเป็นน้องชายร่วมสายเลือดของชีคฮัยฟาอ์อย่างไม่ต้องสงสัย โอซาฟาร์ บุตรชายคนเล็กของสุลต่านเชอร์กี สุไลมาน วาจดาห์
“วะอะลัยกุมุสสะลาม ฉันดีใจที่นายอุตส่าห์สละเวลามา”
“เรียกว่ามาด้วยความยินดีดีกว่าครับท่านพี่ เจ้าสาวของพี่สวยมาก คุ้มค่ากับการรอคอยเลย จริงมั้ยครับ” โอซาฟาร์ยิ้มกว้างอย่างคนอัธยาศัยดี ในขณะที่เขาชวนคุยยืดยาว ชีคฮัยฟาอ์กลับตอบกลับเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น
“แล้วนี่ท่านพี่จะไม่แนะนำให้ผมรู้จักกับเจ้าสาวคนสวยหน่อยเหรอครับ” คนเป็นน้องเอ่ยท้วงพลางหันไปยิ้มให้ว่าที่พี่สะใภ้
รอยยิ้มของเขาทำให้ภัครติต้องยิ้มตอบโดยอัตโนมัติ ชายตรงหน้าทั้งสองคนช่างแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว โอซาฟาร์สดใสและร่าเริงราวกับยามทิวาที่เต็มไปด้วยแสงแดดเจิดจ้า ทว่าชีคฮัยฟาอ์กลับหม่นหมองและเงียบขรึมราวกับราตรีที่แสนเงียบเหงา
“ภัครติ นี่คือโอซาฟาร์ น้องชายต่างมารดาของฉัน”
“สวัสดีค่ะ” ภัครติยกมือไหว้แบบไทยอย่างอ่อนน้อม และนั่นทำให้โอซาฟาร์ถึงกับประหลาดใจ
“สาวสวยคนนี้เป็นคนไทยหรือนี่ นับว่าเป็นโชคดีของท่านพี่ เพราะชีคผู้ปกครองรัฐในคาบสมุทรนี้ล้วนได้สาวไทยเป็นชีคคากันถ้วนหน้า นี่ผมชักอยากรู้จักสาวไทยให้มากขึ้นแล้วสิ อยากจะรู้นักว่าเหตุใดชายหนุ่มในแถบนี้ถึงได้พากันหลงใหลสาวไทยนักหนา”
“อาจเพราะผู้หญิงไทยมีความอ่อนน้อมถ่อมตนมั้งคะ”
“ผมว่านั่นคงเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่ผู้หญิงไทยขึ้นชื่อเรื่องความสวย น่ารักอ่อนหวาน ช่างเอาอกเอาใจ แบบนี้เห็นทีว่าผมคงได้อุ้มหลานหัวปีท้ายปีแน่ๆ ไม่ได้การแล้ว แบบนี้ต้องเตรียมของรับขวัญหลานไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ” โอซาฟาร์หยอดมุกตลกพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี และนั่นทำให้ชีคฮัยฟาอ์คลายสีหน้าเครียดลงกว่าครึ่ง
“นี่เป็นของขวัญวันแต่งงานที่ท่านพ่อฝากผมนำมาให้พี่ครับ” โอซาฟาร์ยิ้มกว้างอีกเช่นเคยก่อนจะหันไปยังกล่องของขวัญกล่องใหญ่ซึ่งองครักษ์ถือตามมาด้านหลัง “ส่วนของผมกล่องนี้ครับ กล่องไม่ใหญ่เท่าของท่านพ่อ แต่รับรองว่าตั้งใจเลือกให้พี่ชายโดยเฉพาะ”
ภัครติรับรู้ได้ว่าชีคฮัยฟาอ์หายใจแรง ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยราวกับไม่รู้สึกรู้สาเต็มไปด้วยความประหม่า เธอจึงตระหนักว่าเขายังต้องการการยอมรับจากผู้ให้กำเนิด แม้จะบอกกับใครต่อใครว่าเขาไม่ต้องการมัน แต่เจ้าตัวย่อมรู้ดีว่าเขาโหยหามันมาทั้งชีวิต
“ขอบใจมาก ฝากไว้ที่ดาริมได้เลย ฉันคงต้องไปก่อน” ชีคฮัยฟาอ์ไม่แม้แต่จะยื่นมือไปรับกล่องของขวัญ เขาจูงเจ้าสาวเดินหนีหายเข้าไปในกลุ่มแขกเหรื่อ เป็นการปิดฉากการสนทนากับน้องชายต่างมารดาโดยไม่มีคำล่ำลา
โอซาฟาร์ได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างอ้างว้างของพี่ชาย หลายปีมานี้เขาพยายามเป็นกาวใจให้ท่านพ่อและพี่ชาย แต่ดูเหมือนทั้งสองคนจะนิสัยเหมือนกันมากเกินไป คือเต็มไปด้วยความทิฐิมานะ เจ้าคิดเจ้าแค้น และไม่ยอมรับฟังความเห็นจากใครเลย
ในที่สุดความวุ่นวายทั้งหมดก็จบลง มีเพียงเสียงหัวใจเต้นรัวเร็วของหญิงสาวตัวน้อยที่ยืนอยู่กลางห้องหอด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ความเครียด ความกังวลถาโถมเข้าหาเธอราวกับคลื่นพายุหมุนกลางทะเลทราย เธอเหลือบมองเตียงกว้างปูด้วยผ้าคลุมเตียงสีขาวสะอาด โรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดงสดเป็นรูปหัวใจ ไฟในห้องไม่ได้สว่างจ้า แต่ให้ความสว่างเพียงแค่สลัวๆ เท่านั้น เครื่องเรือนทุกชิ้นเป็นของเก่าทำจากไม้เนื้อแข็งสีเข้ม บ่งบอกรสนิยมของผู้เป็นเจ้าของ เธอเคยเข้ามาที่ห้องนี้ตอนโดนน้ำร้อนลวกหน้าอก แต่ตอนนั้นเธอไม่มีโอกาสได้สำรวจตรวจตราไปรอบๆ ห้องเฉกเช่นเวลานี้ เพราะมัวแต่เขินอายที่ต้องเปิดเปลือยหน้าอกต่อหน้าเขา
เธอกำลังแบกความคาดหวังของตัวเอง คาดหวังว่าจะต้องเป็นภรรยาที่ทำให้สามีถูกใจ ทำให้สามีมีความสุข แต่เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการใช้ชีวิตคู่เลย ไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไรเขาจึงจะมีความสุข แล้วแบบนี้เธอจะเป็นภรรยาที่ดีได้อย่างไร
ภัครติบีบมือแน่น เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงก่อนจะเหลือบมองไปยังคนตัวโต ผู้ที่บัดนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าของตัวเธอทั้งร่างกายและหัวใจ เขายืนนิ่งจ้องมองกล่องของขวัญมากมายที่วางเรียงรายซ้อนกันราวกับภูเขาสูงจนแทบจดเพดาน ทว่ากล่องของขวัญที่ดึงดูดสายตาของชีคหนุ่มเอาไว้คือ กล่องของขวัญขนาดใหญ่ของสุลต่านเชอร์กี สุไลมาน วาจดาห์
บางทีคืนนี้เจ้าบ่าวอาจเครียดจนไม่แตะต้องตัวเธอ ดีจัง...เธอจะได้มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจอีกหนึ่งคืน เมื่อคิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็ค่อยๆ ย่องไปที่ประตู ทว่าชุดเจ้าสาวลากยาวทำให้เธอเดินเหยียบชายกระโปรงจนล้มคว่ำลงไปกับพื้น
“ว้าย!”
ภัครติรีบลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล อายจนใบหน้าแดงจัดเมื่อคนตัวโตเบนความสนใจจากกล่องของขวัญมายังเธอจนได้ ทั้งที่เธอตั้งใจจะค่อยๆ ย่องออกจากห้องหอไปเงียบๆ แท้ๆ
“จะไปไหน”
“เอ่อ...” ภัครติทำหน้าเหลอเมื่อชีคหนุ่มเอ่ยถามเสียงห้วน
“ฉันถามว่าเธอจะไปไหน!”
“คะ...คือ...หนู” ภัครติเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะขบฟันลงบนริมฝีปากล่างอย่างไม่รู้จะตอบคำถามเขาอย่างไร “หนูแค่จะออกไป...หนู...” จะบอกได้ยังไงว่าเธอจะหนีไปนอนกับป้าจันทร์เพ็ญ ขืนพูดออกไปมีหวังโดนชีคฮัยฟาอ์โกรธแน่ๆ หญิงสาวขบฟันลงบนริมฝีปากล่างอีกหลายครั้ง ก่อนจะตวัดปลายลิ้นเลียริมฝีปากของตนเอง
ชีคหนุ่มสาวเท้าเข้าหาเธอ ก่อนจะพูดเสียงลอดไรฟัน “เธอกำลังท้าทายฉัน” ยายเด็กนี่กล้าดียังไงถึงได้ตวัดปลายลิ้นออกมาเลียริมฝีปากด้วยท่าทางเซ็กซี่จนเขาไม่อาจละสายตา นี่ตกลงเธอไร้เดียงสาหรือจัดจ้านรู้วิธียั่วยวนเขากันแน่
“หนูขอโทษค่ะ หนูเห็นว่าท่านชีคดูเครียดๆ หนูเลยคิดว่าจะออกไปนอนกับป้า” หญิงสาวสารภาพออกมาหมดเปลือก จะให้คิดคำโกหกในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้เห็นทีจะคิดไม่ออก งานนี้ตายเป็นตาย เธอผิดที่คิดจะหนีออกจากห้องหอ ถ้าจะต้องถูกลงโทษ เธอก็จะน้อมรับแต่โดยดี เมื่อคิดได้ดังนั้นก็หลับตาแน่นเพราะคิดว่าเธออาจจะถูกเขาทำร้ายร่างกาย
“ว้าย!”
เธอสะดุ้งสุดตัวก่อนจะหวีดร้องเสียงดังเมื่อเขายื่นมือมาบีบลงบนต้นแขน ก่อนจะกระชากเธอเข้าไปในอ้อมกอดแล้วบดจูบอย่างบ้าคลั่ง
เขา...ไม่ได้ตบ แต่เขา...จูบ
ดวงตาที่เหลือกโพลงด้วยความตกใจค่อยๆ ปิดลงอย่างเชื่องช้า เธอโอนอ่อนอย่างว่าง่าย มิได้ขัดขืนจูบเร่าร้อนของเขา มิหนำซ้ำยังหลงใหลจูบของเขาทุกแบบ ไม่ว่าเขาจะจูบเธอด้วยความรู้สึกเช่นไร เธอก็ยินดีเผยอรับอย่างไม่เกี่ยงงอน
เพียงแค่ถูกเขาผลักเบาๆ หญิงสาวก็เซถอยจนแผ่นหลังแนบติดกับบานประตู มือข้างหนึ่งของชีคฮัยฟาอ์ประคองที่ใบหน้าเพื่อให้เธอแหงนขึ้นรับจูบของเขาได้อย่างถนัดถนี่ ส่วนมืออีกข้างนั้นโอบเอวคอดกิ่วก่อนจะกระหวัดไปยังแผ่นหลัง ดันจนร่างบอบบางบดเบียดกับร่างกายกำยำของเขาราวกับจะหลอมเป็นหนึ่งเดียว ชั่วอึดใจต่อมาเขาก็รูดซิปชุดวิวาห์ออก ไต่ปลายนิ้วว่องไวไปยังแผ่นหลังเปลือยเปล่า ตวัดปลายนิ้วเพียงนิด ตะขอบราเซียร์ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย
“เป็นเจ้าสาวของฉันก็ต้องนอนบนเตียงของฉันเท่านั้น” เขากระซิบเสียงทุ้มแผ่วข้างใบหู แล้วหลุบตาลงต่ำเพื่อจ้องมองสิ่งที่บราเซียร์ห่อหุ้มเอาไว้
ชีคหนุ่มหายใจผิดจังหวะขณะประคองหน้าอกคู่งามเอาไว้ด้วยมือหนา ไล้ปลายนิ้วหัวแม่มือสัมผัสส่วนที่เป็นสีชมพูระเรื่อน่าลิ้มรส ทว่าเจ้าสาววัยกระเตาะกลับสะดุ้งเมื่อถูกสัมผัสที่ยอดอกอิ่ม เธอตัวสั่นเทิ้มไปหมดจนเขานึกกลัวว่าคนในอ้อมกอดจะเป็นลมไปเสียก่อน
“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า” เขาเอ่ยถามขณะที่มือข้างหนึ่งยังคงกอบกุมหน้าอกไว้ไม่ยอมปล่อย และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยง่ายๆ เพราะความนิ่มหยุ่นล้นมือทำให้ติดใจอยากจะสัมผัสให้มากกว่านี้... มากกว่านี้ตามที่ใจปรารถนา
แตกต่างจากเจ้าของทรวงอกสวย หัวใจของสาวน้อยเต้นแรงจนแทบระเบิดออกมานอกอก ก้มหน้างุด ไม่กล้าเงยขึ้นสบตาเขา ก่อนจะพยักหน้าและส่ายหน้ารัวๆ ราวกับกำลังสับสน
“ตกลงว่าเจ็บหรือไม่เจ็บกันแน่” คนตัวโตรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งเจ้าสาววัยละอ่อน กดปลายนิ้วโป้งบดลงเบาๆ ที่ยอดอกอิ่มอีกครั้ง...และนั่นทำให้เธอสะดุ้งสุดตัว
“มะ...ไม่เจ็บค่ะ”
“โชคดีที่ไม่มีแผลเป็น” เขาพูดขณะก้มหน้าลงไปใกล้ๆ ทรวงอกขาวอวบราวกับกำลังพินิจพิจารณา โดยที่ภัครติไม่ทันตั้งตัว เขาก็โน้มต่ำลงจนชิดยอดปทุมถัน แล้วใช้ปลายจมูกโด่งปัดเฉียดยอดอกอิ่มราวกับหยอกเย้า และนั่นทำให้หญิงสาวตกใจจนแข้งขาอ่อนแรง ทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างหมดท่า
“ถึงกับลงไปนั่งที่พื้นเลยเหรอเด็กน้อย”
“ขอโทษค่ะ หนู...” หญิงสาวทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ใบหน้าแดงก่ำประกอบไปด้วยความอายและความเสียใจ
เจ้าบ่าวขี้แกล้งถึงกับขมวดคิ้วมุ่นด้วยความแปลกใจ “เธอขอโทษฉันเรื่องอะไร”
“ก็หนูตอบสนองท่านชีคได้ไม่ดีเท่าที่ควร แค่ท่านชีคสัมผัสตัวหนู หนูก็รู้สึกเหมือนจะเป็นลม” เธอสารภาพออกไปด้วยเสียงสั่นเครือ ยังผลให้คนตัวโตถึงกับยืนอึ้งไปหลายอึดใจ
ให้ตายเถอะ! ยายเด็กนี่คิดอะไรไปไกลเสียจนกู่ไม่กลับ ไม่รู้ตัวเลยหรือยังไงว่าความไร้เดียงสาของเจ้าหล่อนแทบจะฆ่าผู้ชายให้ตายทั้งเป็น ยิ่งเธอไม่ประสาเรื่องเพศตรงข้ามมากเท่าไร เขาก็กระหายอยากได้ตัวเธอให้เร็วที่สุด แต่วินาทีนี้เขาได้ตระหนักแล้วว่าเธอยังไม่พร้อม เขาควรให้เวลาเธอเรียนรู้อย่างช้าๆ ประวิงเวลาที่จะเชยชมเธอออกไปให้นานอีกนิด บ่มสาวน้อยตรงหน้าให้กลายเป็นสาวสะพรั่ง เธอจะได้รู้ว่าความสุขในเรื่องเพศไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือน่ากลัวเลยสักนิด
เธอยังเป็นสาวน้อยอายุสิบเก้าปี แม้ว่าพรุ่งนี้เธอจะมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ กระนั้นหากเทียบกับชายวัยสามสิบกว่าอย่างเขา นับว่าเธอเด็กกว่าเขามาก เด็กมากเสียจนเขารู้สึกว่าตนเองเป็นไอ้แก่ตัณหากลับที่จะจ้องจะจับเธอมาฉีกกินทั้งเนื้อทั้งตัว
ก็คิดดูสิ...ร้อยวันพันปีเขาไม่เคยกระเหี้ยนกระหือรืออยากหลับนอนกับใคร เซ็กซ์สำหรับเขาเป็นแค่การปลดปล่อยความต้องการทางเพศเท่านั้น แต่พอได้พบเธอเขากลับรู้สึกราวกับว่าเซ็กซ์คือลมหายใจ เขาแทบขาดใจตายเมื่อคิดว่าต้องอดทน และอดทน เพื่อรอให้เธอพร้อม...ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไร
เมื่อเห็นว่าเจ้าบ่าวหน้าโหดเอาแต่ยืนนิ่ง เธอก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างสำนึกผิด นี่เขาคงจะโกรธเธอมากเลยสินะ สมควรแล้วในเมื่อเธอมันเป็นเจ้าสาวที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย แต่ถึงอย่างไรเธอก็ตั้งใจว่าเธอจะต้องทำให้ชีคฮัยฟาอ์ซึ่งบัดนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของเธอมีความสุขให้ได้ “หนูจะพยายามทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุดค่ะ”
ชีคหนุ่มหลุดออกจากภวังค์ ยิ้มที่มุมปาก ไม่ง่ายเลยกับการกลั้นหัวเราะเมื่อได้ยินประโยคสุดพิลึกพิลั่นที่ออกมาจากปากของเธอ “เธอจะทำยังไง”
“เอ่อ...หนูจะปล่อยตัวปล่อยใจไปกับท่านชีคค่ะ ถ้า...ท่านชีคจะจูบ หรือจะจับ...ตรงไหน หนูก็จะยอม ไม่ขัดขืน ไม่ว่าท่านชีคสอนให้หนูทำอะไร หนูก็จะตั้งใจทำค่ะ” หญิงสาวพูดด้วยท่าทางแข็งขัน โดยยึดคำพูดตามที่ช่างทำผมแนะนำมา และนั่นทำให้ชีคฮัยฟาอ์อึ้งจนพูดไม่ออก ก่อนจะเผลอหัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดัง มันเป็นเสียงหัวเราะที่เขาแทบไม่ได้เปล่งออกมาหลายปีแล้ว
“ยายเด็กบ๊อง เธอนี่มันร้ายนักนะ เธอเข้าใจสิ่งที่ตัวเองพูดมากน้อยแค่ไหนกัน” เขาย่อตัวลงที่พื้น ยื่นมือไปเชยคางมนให้เงยขึ้น จ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตของเจ้าสาวไร้เดียงสาอย่างรอคอยคำตอบ
“หนูเข้าใจค่ะ”
ชีคหนุ่มแค่นหัวเราะในลำคอ เธอไปเอาความมั่นใจผิดๆ พวกนี้มาจากไหน “ไหนอธิบายมาสิว่าเธอเข้าใจว่ายังไงบ้าง”
“เอ่อ...หนู” หญิงสาวผสานมือไว้ที่หน้าตัก บิดแรงจนมือแดงด้วยความขวยเขิน “หนูต้องยอมเป็นของท่านชีค เราต้องมีอะไรกันแบบว่า...ถ้าท่านชีคทำแบบนั้นแล้วหนูก็จะตั้งท้อง” หญิงสาวเงียบไปอึดใจเมื่อเห็นว่าเขายังคงเงียบเพื่อรอฟัง เธอจึงคิดว่าน่าจะอธิบายให้ละเอียดมากกว่านี้ ชีคฮัยฟาอ์จะได้รู้ว่าเธอเองก็พอจะรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้างแม้จะไม่มากก็ตาม “หนูเคยเรียนเพศศึกษามาค่ะ ท่านชีคใช้อวัยวะส่วนนั้นของท่านชีคใส่เข้ามาที่...”
“พอ!” ชีคหนุ่มรีบยกมือห้าม ก่อนที่หญิงสาวจะอธิบายอะไรต่อมิอะไรที่ตลกไปมากกว่านี้
“นะ...หนูเข้าใจผิดเหรอคะ” หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ให้ตายเถอะยายเด็กบ้า! ระบบการศึกษาเรื่องเพศสัมพันธ์ในประเทศของเธอมันแย่ถึงขนาดนี้เชียวหรือไง”
หญิงสาวหน้าถอดสี ความมั่นใจที่คิดว่าตัวเองพอจะรู้หายวับไปกับตา “น่าจะเป็นที่ตัวหนูเองค่ะ หนูรู้สึกอายเลยไม่ค่อยตั้งใจศึกษาเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เพื่อนเคยส่งการ์ตูนโป๊ให้อ่านหนูน่าจะตั้งใจอ่านให้มากกว่านี้ แต่หนูก็แค่เปิดผ่านๆ เห็นว่ามันน่าอายเลยไม่หยิบขึ้นมาอ่านอีก แล้วยังมีซีดีหนังเอวีญี่ปุ่นที่เพื่อนเคยยัดใส่กระเป๋าให้ หนูก็น่าจะลองเปิดดู ไม่น่าโยนทิ้งเพราะเข้าใจว่าเพื่อนแกล้ง ทั้งที่เพื่อนคงหวังดีกับหนู”
ชีคฮัยฟาอ์เข้าใจเจ้าสาวของเขาอย่างแจ่มแจ้ง ปัญหาเรื่องเพศศึกษาในประเทศฟาอิกสถานก็มีไม่น้อยไปกว่าประเทศไทย เพราะขนบธรรมเนียมประเพณีที่สอนสั่งต่อๆ กันมาว่าเป็นเรื่องน่าอาย ทำให้เด็กบางคนไม่กล้าศึกษา ไม่กล้าที่จะเอ่ยถาม ได้แต่เก็บความสงสัยเหล่านั้นเอาไว้เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไม่สมควร หากพูดไปจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนลามก หรือมักมากในกาม โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงจะรู้สึกอายมากหากต้องให้มาเรียนรู้เรื่องเหล่านี้
ซึ่งความจริงแล้วเรื่องเพศศึกษาเป็นเรื่องสำคัญมาก เด็กรุ่นใหม่ควรจะได้เรียนรู้ เพื่อป้องกันตนเองจากการท้องในวัยที่ยังไม่พร้อม และป้องกันโรคติดต่อที่มากับการมีเพศสัมพันธ์ อย่างเช่น โรคเอดส์ ซิฟิลิส หนองใน ซึ่งเขาเองก็ให้การสนับสนุนโรงพยาบาลเจมินในการจัดตั้งกลุ่มให้ความรู้ โดยออกภาคสนามไปตามบ้านเรือนของประชาชน แต่ก็ยังไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนเท่าใดนัก
แล้วดูสิ...เจ้าสาวของเขาก็เป็นหนึ่งในผู้หญิงที่ไม่กล้าเรียนรู้เรื่องเพศศึกษา เห็นทีว่าเขาต้องเริ่มติวเข้มด้วยหลักสูตรเร่งรัดให้เธอเสียแล้ว
“จริงๆ พอหนูย้อนคิดไปแล้วก็นึกเสียดาย...ก็หนูไม่คิดว่าหนูต้องมาทำอะไรแบบนี้กับใครนี่คะ หนูไม่เคยรู้สึกรักหรือชอบใครก็เลยคิดว่าเรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นสำหรับหนู หนูคิดว่าหนูคงจะอยู่เป็นโสดแบบป้าแล้วก็ตายจากโลกนี้ไปอย่างเงียบๆ” ภัครติอธิบายยืดยาวด้วยกลัวว่าชีคหนุ่มจะไม่เข้าใจ ถ้าเธอถูกมองว่าอ่อนหัดและไร้ความสามารถ เขาอาจจะยกเลิกการแต่งงาน ซึ่งเธอไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
เธอตกหลุมรักชีคฮัยฟาอ์ ถ้าจะไม่ได้อยู่ใกล้ชิด ได้เห็นหน้าเขา...แค่คิดก็ปวดแปลบที่หัวใจเสียแล้ว เมื่อเธอรัก เธอก็อยากทำทุกอย่างเพื่อให้เขาพอใจ อยากให้เขาจูบ ให้เขากอด อย่างที่ไม่เคยอยากให้ใครทำแบบนี้กับเธอมาก่อนเลย
แค่ได้ยินว่าเด็กสาวตรงหน้าไม่เคยรักหรือไม่เคยชอบใครมาก่อน หัวใจที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งของคนตัวโตก็ถึงกับเต้นผิดจังหวะ คำหวานที่เธอเคยบอกว่าชอบเขาดังก้องขึ้นในห้วงแห่งความนึกคิดอีกครั้ง
‘จะถามหนูอีกสักกี่ครั้ง หนูก็จะตอบเหมือนเดิมว่าหนูไม่ได้ชอบพี่อาเหม็ด คนที่หนูชอบคือท่านชีคต่างหากล่ะคะ’
ยายเด็กบ๊องชอบเรา เธอชอบเราทั้งที่ไม่เคยชอบหรือรักใครมาก่อน ชอบเราทั้งที่เราหน้าตาอัปลักษณ์อย่างงั้นเหรอ จะเป็นไปได้อย่างไร...เธออาจแค่พูดให้เรารู้สึกดีก็ได้
เมื่อคิดดังนั้นชีคหนุ่มก็ถอดแผ่นหนังที่ปิดบังดวงตาข้างขวาออกโดยที่เธอยังไม่ทันตั้งตัว หวังจะเห็นท่าทางขยะแขยงของเจ้าสาววัยละอ่อน แต่นอกจากเธอจะไม่มีปฏิกิริยาที่เขาคาดหวังแล้ว ดวงตาของเธอยังอ่อนแสงลงด้วยความอ่อนโยนยามเมื่อทอดมองมาที่บาดแผลอัปยศของเขา
ความอ่อนโยนที่เขาไม่เคยได้รับจากใคร เขากลับได้รับจากหญิงสาวอายุย่างยี่สิบปี หญิงสาวไม่ได้พูดหรือโอบกอดเพื่อปลอบโยนเขา มีเพียงแววตาของเธอที่ส่งความอบอุ่นตรงเข้ากอดรัดหัวใจปวดร้าวของเขาเอาไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์
“ท่านชีคจะยกเลิกงานแต่งเพราะหนูไม่เก่งเรื่องแบบนั้นหรือเปล่าคะ”
คำถามที่ทำให้ชีคหนุ่มอยากจะหงายหลังล้มตึงลงไปกองกับพื้นช่วยดึงความคิดของเขาให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน เขายื่นมือเข้าไปใกล้ใบหน้าของเธอ ก่อนจะใช้หลังมือแตะลงบนแก้มอิ่มสีระเรื่อด้วยความหลงใหล ใช่! เขากำลังหลงใหลผู้หญิงคนนี้
“มันไม่ยากถ้าเธอจะเรียนรู้” เขาพยายามบังคับเสียงไม่ให้แหบพร่า แต่ไม่ง่ายเลย
“หนูก็คิดว่าแบบนั้น เพราะพี่ช่างทำผมบอกหนูว่าให้ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับท่านชีคก็พอค่ะ แทบไม่มีหลักการอะไรเลย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับท่านชีคใช่มั้ยคะ”
“ไม่ใช่...เรื่องแบบนี้ไม่ใช่แค่ ‘ฉัน’ หรือ ‘เธอ’ แต่มันเป็นเรื่องที่ ‘เรา’ ต้องร่วมมือกัน”
ดวงตาของภัครติเป็นประกายแวววาวเมื่อได้ยินดังนั้น คำว่า ‘เรา’ ทำให้หัวใจของเธอพองโตจนคับอก
“ถ้าอย่างนั้น...ไหนมาดูกันสิว่าเธอจะปล่อยตัวปล่อยใจให้กับฉันได้มากแค่ไหน...”
“ว้าย!”
ภัครติหวีดร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ ชีคฮัยฟาอ์ก็อุ้มเธอขึ้นจากพื้น ยังไม่ทันได้ตั้งสติ แผ่นหลังของเธอก็แนบไปกับที่นอนหนานุ่ม ตามด้วยร่างกายกำยำของคนตัวโตที่คร่อมทับอยู่บนตัวเธอ เธออ้าปากค้าง เบิกตากว้างสบดวงตาคมเข้ม แต่เมื่อจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา เธอก็จำต้องรีบหลุบตาลงต่ำ หัวใจเต้นรัวเร็วด้วยความเขินอาย เพราะดวงตาของเขาฉายชัดว่ากำลังต้องการตัวเธอมากเสียจนไม่อาจเก็บความรู้สึกเอาไว้ได้
“อุ้ย!” เจ้าสาววัยกระเตาะสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆ มือหนาสากก็สอดเข้าไปใต้กระโปรงวิวาห์ แล้วลูบไล้ลงบนต้นขาอย่างเบามือ รู้สึกซ่านสะท้านเมื่อเขาลูบไล้ขึ้นลงช้าๆ ทำให้เธอนึกกลัวจนต้องกระถดตัวถอยหนี
“ไหนบอกว่าจะปล่อยตัวปล่อยใจให้ฉัน นี่ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยก็จะหนีเสียแล้ว”
เขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบแผ่วข้างหูพลางเป่าลมร้อนออกไปอย่างเชื่องช้า ขณะที่มือข้างหนึ่งสอดเข้าโอบเอวบางเอาไว้ เป็นการตรึงร่างกายเธอไม่ให้ขยับหนี ส่วนมือที่สอดเข้าไปในกระโปรงเจ้าสาวเลื่อนขึ้นสูงเรื่อยๆ ก่อนปลายนิ้วของเขาจะเกาะเอาไว้ที่ขอบกางเกงชั้นใน หยุดเนิ่นนาน ไม่ขยับอยู่อย่างนั้นจนคนตัวเล็กรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังนับถอยหลังเพื่อรอระเบิดเวลาทำงาน
“หนูขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจจะขยับ แต่ว่าหนู...ตกใจค่ะ”
“ฉันทำให้เธอกลัวงั้นเหรอ...”
ภัครติส่ายหน้าแรงๆ “หนูไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเรียกว่ากลัวหรือเปล่า แต่หนูอาย แล้วหนูก็ตื่นเต้นมาก หนู...” หญิงสาวมีท่าทางสับสนกับความรู้สึกของตนเอง เธอกำลังจะอธิบายต่อไป ทว่าจู่ๆ เขาก็ยื่นหน้าเข้ามาแล้วงับเบาๆ ที่ริมฝีปากล่างของเธอ
ชีคฮัยฟาอ์ค่อยๆ ปล่อยริมฝีปากล่างที่งับเอาไว้อย่างเชื่องช้า แล้วสลับไปงับริมฝีปากบน ขบเบาๆ ด้วยฟันอย่างเย้าหยอก
“แล้วตอนนี้ล่ะรู้สึกยังไง”
“ทะ...ทรมานค่ะ” ดวงตาของเธอฉ่ำหวาน แค่เขางับริมฝีปากเธอเบาๆ เธอกลับหวิวโหวงในหัวใจได้อย่างประหลาด ไม่...เธอไม่ได้ต้องการแค่นี้ ร่างกายและหัวใจของเธอกำลังเรียกร้องอะไรบางอย่างที่มากกว่านี้
ชายหนุ่มก้มลงสัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปากล่างของเธออีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มนุ่ม “แล้วต้องทำยังไงเธอถึงจะหายทรมาน”
“จูบหนู...” ภัครติแทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าพูดออกไปแบบนั้นได้ยังไง เธอรู้แค่เพียงว่าการที่เขาอ้อยอิ่งอยู่ที่ริมฝีปากของเธอโดยไม่ประทับจูบลงมาเสียทีทำให้เธออึดอัดและโหยหาจูบของเขาราวกับเสพติดมัน
“แต่ถ้าฉันจูบเธอ...ฉันจะไม่หยุดอยู่แค่จูบนะ”
“อือ...” หญิงสาวครางเสียงแผ่วเมื่อปลายนิ้วเรียวซึ่งยังคงรั้งขอบกางเกงชั้นในเอาไว้เริ่มขยับดึงมันให้หลุดออกจากสะโพกผาย
“ฉันจะถือว่าเสียงเมื่อสักครู่เป็นคำแสดงความยินยอมของเธอ”
ความคิดเห็น |
---|