6

เจ้าสาวกะโปโล


  

ใครก็ได้ช่วยหยิกเธอแรงๆ หยิกให้เจ็บที่สุด ถ้ายังเจ็บไม่พอก็ตบที่หน้าเธอเลยก็ได้ เพื่อที่จะได้มั่นใจว่าเธอไม่ได้กำลังฝันไป ทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นและดำเนินต่อไปนับจากนี้เป็นเรื่องจริง เธอกำลังจะเป็นเจ้าสาวคนที่ห้าของชีคฮัยฟาอ์ บินวาลีด อัลซาดัต ชีคผู้ปกครองหมู่บ้านเจมิน นี่มันเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ เธอสับสนไปหมดแล้ว

“เงยหน้าขึ้นหน่อยสิจ๊ะหนู เอาแต่ก้มหน้าแบบนี้พี่แต่งหน้าไม่ถนัดเลย” ช่างแต่งหน้ามืออาชีพใช้ปลายนิ้วมือแตะที่ปลายคางมนของว่าที่เจ้าสาว ก่อนจะค่อยๆ เชยขึ้น พิศมองใบหน้าของหญิงสาวอย่างใช้ความคิด

“ขอโทษค่ะ” ภัครติเอ่ยขอโทษก่อนจะยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง เธอไม่ถนัดกับการนั่งนิ่งๆ ให้ช่างแต่งหน้าบรรเลงสีสันลงบนใบหน้า ขนาดวันรับปริญญาของเธอเอง เธอยังแทบไม่ยอมแต่งหน้า ทาแค่แป้งกับลิปสติกสีสดที่เพื่อนบังคับทาให้เท่านั้น

“ผิวนุ่มละเอียด รูปหน้าก็สวย ดวงตาก็โต๊โต หนูสวยมากเลย รู้ตัวมั้ยจ๊ะ” ช่างแต่งหน้าเอ่ยชมอย่างจริงใจ หาใช่ประจบ เธอมองภัครติคนนี้มาทั้งวัน แอบคิดว่าหญิงสาวหน้าตาผิวพรรณดีขนาดนี้ทำไมมาเป็นสาวใช้ เพราะหน้าตาระดับนี้ไปเป็นดาราหรือนางเอกละครได้สบายๆ เลยทีเดียว ตั้งใจว่าพอจบงานแต่งงานของท่านชีคจะเอ่ยปากขออนุญาตกับแม่ครัวจันทร์เพ็ญ ให้แม่หนูคนนี้ไปเป็นนางแบบในงานอบรมสอนแต่งหน้าที่เธอจะจัดขึ้น แต่นาทีนี้เห็นทีจะไม่ได้แล้วละ เพราะท่านชีคฮัยฟาอ์เองก็คงเห็นอย่างที่เธอเห็น จึงได้ตีตราจองเด็กคนนี้ไปเป็นของตนเองแต่เพียงผู้เดียว

“ขอบคุณค่ะ” ภัครติยิ้มอาย เข้าใจว่าช่างแต่งหน้าคงชมเธอไปอย่างนั้นเอง ด้วยหญิงสาวเคยชินกับตัวเองที่เป็นเด็กกะโปโล วันๆ หนึ่งแทบไม่ส่องกระจก สนใจแต่สิ่งภายนอกมากกว่าจะสนใจตัวเองอย่างหญิงสาวคนอื่นๆ ที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน

“เดี๋ยวพี่จะใช้อิษมิดกรีดขอบตาให้นะคะ ดวงตาจะได้คมเข้ม ตาโตๆ แบบนี้กรีดไม่ต้องมากก็สวยเด่นแล้วค่ะ”

“อิษมิดคืออะไรเหรอคะ” ภัครติถามด้วยความสงสัย เธอเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก จึงยังไม่รู้จักประเพณี วัฒนธรรมของคนที่นี่ แต่เธอก็สังเกตเห็นอย่างหนึ่งว่าสาวใช้ในคฤหาสน์ล้วนกรีดตาจนคมกริบชวนมองทุกคน เว้นแต่ป้าจันทร์เพ็ญของเธอซึ่งเป็นชาวไทย

“อิษมิดก็คือแร่พลวงจ้ะสาวน้อย แร่นี้มีฤทธิ์เย็น ช่วยรักษาและถนอมดวงตา”

“อ๋อ...ค่ะ”

“เอาละจ้ะ เหลือกตาขึ้นมองบนเพดานได้แล้วสาวน้อย เรามีเวลาไม่มากหรอกนะ อย่าลืมว่าท่านชีคฮัยฟาอ์รอเราอยู่” ช่างแต่งหน้าหัวเราะคิกอย่างเห็นเป็นเรื่องตื่นเต้นที่แสนโรแมนติก ใครจะคิดเล่าว่าชีคผู้มีฉายาว่าชีคอสูรจะตกลงปลงใจแต่งงานกับสาวใช้วัยขบเผาะ ละอ่อนไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัวเช่นนี้

ภัครติหน้าแดงระเรื่อเมื่อได้ยินชื่อของชายที่ขโมยจูบแรกไปจากเธอ เธอรู้สึกเห่อร้อนไปทั้งใบหน้าลามไปถึงใบหู ทว่ามือกลับเย็นเฉียบเมื่อคิดว่าหน้าที่ของเจ้าสาวคืออะไร เธอต้องมอบบุตรชายให้แก่เขา แล้วการที่จะมีบุตรชายได้ก็ต้อง...

“ตายแล้วหนูภัค! ทำไมหน้าแดงแบบนั้น ไหวมั้ยลูก” จันทร์เพ็ญก้าวยาวๆ มาแตะที่หน้าผากของหลานสาวด้วยท่าทางกระวนกระวาย คิดสงสารหลานสาวที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ กลายเป็นเจ้าสาวของชีคฮัยฟาอ์โดยไม่สมยอม โถ...หนูภัคของป้าคงขวัญเสียแย่เลย

“หนูไม่เป็นอะไรค่ะป้า” หญิงสาวพยายามสูดหายใจเข้าปอดลึก จู่ๆ ความทรงจำตอนที่เธอแอบอ่านการ์ตูนวาบหวิวของเพื่อนชายในห้องเรียนก็ผุดขึ้นมา

ในหัวหญิงสาวปรากฏภาพตัวการ์ตูนชายหญิงกอดจูบโลมไล้ปราศจากอาภรณ์นุ่งห่ม เนื้อแนบเนื้อราวกับจะผสานกันเป็นหนึ่งเดียว คำบรรยายเสียงครวญครางกระเส่าของตัวการ์ตูนฝ่ายหญิงที่ทำท่าราวกับมีความสุขเสียจนแทบสำลักออกมา อีกทั้งภาพการเมกเลิฟที่ดุเดือดเสียจนเธอต้องปิดการ์ตูนเล่มนั้นแล้วส่งคืนให้เพื่อนอย่างไม่อาจทนอ่านต่อไปได้อีก นาทีนี้เธอนึกเสียดายการ์ตูนเล่มนั้นเหลือเกิน ถ้าเธอข่มความอายแล้วอ่านเพื่อศึกษาสักนิด เธอก็น่าจะเตรียมตัวสำหรับการเป็นเจ้าสาวของชีคฮัยฟาอ์ได้ไม่ยาก

แล้วนี่เธอจะทำอย่างไรดี จะถามป้าจันทร์เพ็ญก็ดูเหมือนจะไม่ได้คำตอบ เพราะป้าเองก็ไร้ประสบการณ์เช่นเดียวกับเธอ เผลอๆ เธออาจมีประสบการณ์มากกว่าผู้เป็นป้าด้วยซ้ำไป ก็ในเมื่อเธอเพิ่งเสียจูบแรกให้ชีคฮัยฟาอ์ไปหมาดๆ

ภัครติมองช่างแต่งหน้าอย่างลังเล ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยถามออกไปว่า “พี่คะ... เอ่อ...ผู้ชายผู้หญิงแต่งงานกันแล้วต้องทำอะไรบ้างคะ พี่พอจะบอกหนูได้มั้ยคะ หนูกลัวว่าถ้าหนูทำอะไรไม่ถูกต้อง ท่านชีคจะโกรธหนู”

เคล้ง!

ช่างแต่งหน้าถึงกับทำแปรงปัดแก้มหลุดจากมือ จันทร์เพ็ญที่กำลังจัดชายกระโปรงให้หลานสาวถึงกับอ้าปากค้าง ช่างทำผมอมยิ้มจนตาเล็กหยี สาวๆ ที่กำลังวิ่งวุ่นต่างหยุดชะงักแล้วหันมามองภัครติ ก่อนที่ทุกคนจะพร้อมใจกันหัวเราะพรืดออกมาด้วยความขบขัน และนึกเอ็นดูเจ้าสาววัยกระเตาะคนนี้เสียเหลือเกิน

“เรื่องนี้เธอไม่จำเป็นต้องรู้หรอกนะสาวน้อย” ช่างแต่งหน้าพูดพลางหยิบแปรงด้ามใหม่ขึ้นมาแทน แล้วปัดลงบนบลัชออนสีพีชอย่างเบามือ

“อ้าว แต่หนูกำลังจะแต่งงานกับท่านชีคนะคะ”

“ก็เพราะเรื่องแบบนี้ท่านชีคจะเป็นคนสอนหนูเองทั้งหมดยังไงล่ะจ๊ะ หนูไม่จำเป็นต้องรู้อะไรเลย แค่ทำใจให้สบายแล้วปล่อยตัวปล่อยใจไปกับท่านชีคก็พอ” ช่างทำผมโน้มหน้าลงมาใกล้ๆ เจ้าสาว ก่อนจะพูดกลั้วหัวเราะ

ตั้งแต่เป็นช่างทำผมให้เจ้าสาวมานับร้อยราย ไม่เคยเห็นเจ้าสาวคนไหนน่ารักน่าเอ็นดูเท่าแม่หนูคนนี้เลย ให้ตายสิ รับรองเลยว่าท่านชีคฮัยฟาอ์ต้องเจอศึกหนัก หัวใจแข็งกร้าวคงได้หกคะเมนตีลังกาวันละสามตลบ พนันได้เลยว่าต่อให้ผู้ชายที่ถูกเรียกว่าอสูรก็ต้องพ่ายแพ้ให้โฉมงามคนนี้อย่างหมดรูป

“อ๋อค่ะ คงเหมือนตอนที่ท่านชีคจูบหนู” ภัครติพยักหน้าก่อนจะพึมพำออกมาแผ่วเบาอย่างลืมตัว ทว่าทั้งห้องแต่งตัวกลับเงียบสนิทด้วยความตะลึงงัน ก่อนที่ทุกคนจะผสานเสียงออกมาแทบจะพร้อมๆ กันอีกครั้ง

“กรี๊ด!”

“เมื่อกี้หนูว่าอะไรนะ ท่านชีคจูบหนูอย่างนั้นเหรอคะ” นาทีนี้ทุกคนวางงานที่ตนเองทำอยู่แล้วกรูกันเข้ามายืนรายล้อมเจ้าสาวอย่างพร้อมเพรียง

“อุ้ย!” ภัครติเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ รีบยกมือขึ้นปิดปาก แต่ดูเหมือนจะไม่ทันเสียแล้ว เธออาจจะปฏิเสธสายตาคาดคั้นของทุกคนได้ แต่ปฏิเสธสายตาของป้าจันทร์เพ็ญไม่ได้ เธอจึงยอมพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ ทว่าทุกคนที่เงี่ยหูฟังสุดชีวิตกลับได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ก็หนูสวมชุดนี้แล้วลองเต้นรำไปรอบๆ ห้อง ไม่เห็นว่าท่านชีคเดินมาข้างหลังเลยชนท่านชีคเข้า หนูยังไม่ทันขอโทษ ท่านชีคก็จูบหนูเลยค่ะ” เล่าออกไปแล้วใบหน้าก็แดงราวกับย้อนกลับไปยังเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง เธอคิดว่าป้าและคนอื่นๆ คงต่อว่าหรือไม่ก็หัวเราะเยาะความเปิ่นของเธอ ทว่าการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ทุกคนผสานมือไว้ที่หน้าอก ใบหน้าแดงนิดๆ ดวงตาเหม่อลอยคล้ายกำลังเคลิ้มฝัน หลุดออกไปอยู่ในห้วงแห่งจินตนาการชั่วขณะ ก่อนที่สาวใช้คนหนึ่งจะพูดขึ้นมาว่า

“หูย...ท่านชีคโรแมนติกกว่าที่พวกเราคิดไว้มากเลย”

“หรือว่าความจริงแล้วท่านชีคจะแอบชอบหนูภัคมาตั้งแต่แรก” สาวใช้อีกคนผสมโรงทันที

“ตายแล้วหลานป้า เมื่อครู่ที่ลงไปนั่งกองกับพื้นเพราะเพิ่งโดนจูบหรอกเหรอเนี่ย ป้าก็คิดว่าหนูโดนท่านชีคดุ” จันทร์เพ็ญยิ้มหน้าบาน ความกังวลใจก่อนหน้านี้ว่าหลานสาวอาจต้องทุกข์ทรมานเพราะต้องแต่งงานกับชีคฮัยฟาอ์ที่แสนเคร่งขรึมเข้าถึงยากอันตรธานไปจนหมดสิ้น ดูเหมือนว่าการแต่งงานในครั้งนี้จะไม่มีใครต้องทน ทั้งตัวท่านชีคเองและหลานสาวของเธอ

“เอ่อ...” ภัครติทำอะไรไม่ถูก คำพูดที่ว่าชีคฮัยฟาอ์อาจชอบเธอทำให้หัวใจของหญิงสาวแรกแย้มถึงกลับพองโตจนคับอก

“อะแฮ่ม เสร็จหรือยังครับ ได้เวลาพาเจ้าสาวไปเข้าพิธีแล้ว” ดาริมเดินเข้ามาในห้องแต่งตัว กระแอมเบาๆ ขัดจังหวะการสนทนาที่ดูเหมือนกำลังจะออกรสชาติราวกับดูละครหลังข่าวก็ไม่ปาน

“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณพ่อบ้าน พาตัวหนูภัคไปให้ท่านชีคได้เลยค่ะ” ช่างแต่งหน้าและช่างทำผมพร้อมใจกันจับเจ้าสาวให้ลุกขึ้นยืน แล้วดันหลังให้ออกจากห้องแต่งตัวไปอย่างรวดเร็ว

ภัครติละล้าละลัง หันกลับไปมองทุกคนอย่างไม่ค่อยมั่นใจนักว่าเธอดีพอที่จะเป็นเจ้าสาวของชีคฮัยฟาอ์หรือเปล่า แต่ทุกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอกลับส่งยิ้มกว้าง แล้วพากันชูสองนิ้วให้เธอ

“สู้ๆ นะยายหนูภัค ทำลายกำแพงน้ำแข็งของท่านชีคให้ได้ เพราะตอนนี้กำแพงน้ำแข็งของท่านชีคมีรอยร้าวแล้ว”

 

ราวกับว่าสรรพเสียงรอบตัวถูกตัดขาด ณ เวลานี้ภัครติได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตนเองที่เต้นแรงราวกับจะกระโจนออกมานอกอก พ่อบ้านดาริมพาเธอเดินไปยังลานพิธีซึ่งจัดไว้อย่างเรียบง่าย กระโจมหลังใหญ่สีขาวปูพื้นด้วยพรมเปอร์เซีย และข้าวของเครื่องใช้ที่ทำจากไม้สีเข้มให้ความรู้สึกหนักแน่นและน่าเกรงขาม แขกอาวุโสที่ชีคฮัยฟาอ์รักและเคารพนั่งกับพื้นโดยมีเบาะรองนั่งสีแดงเลือดนก มีโต๊ะไม้ตัวเตี้ยขนาดเล็กตั้งไว้ข้างกายเพื่อวางกาน้ำร้อนและอินทผาลัมเชื่อม ส่วนแขกเหรื่อคนอื่นๆ นั่งอยู่ในกระโจมของตนที่ทางคฤหาสน์จัดสรรไว้ให้อย่างเป็นสัดส่วน

หญิงสาวแอบมองเข้าไปในกระโจมจนทั่ว แต่กลับไม่พบเจ้าบ่าว แล้วพ่อบ้านดาริมก็พาเธอขึ้นไปยืนบนแท่นไม้เตี้ยๆ ซึ่งประดับเป็นซุ้มกุหลาบสีขาวนวล ภัครติขึ้นไปยืนด้วยความเก้อเขินเพราะแขกเหรื่อล้วนจับจ้องมายังเธอด้วยความสนใจใคร่รู้

“นี่เป็นพิธีแต่งงานของชาวหมู่บ้านเจมิน อาจแตกต่างจากที่อื่นบ้าง แต่ก็ไม่มากมายอะไร อย่างเช่นการให้เจ้าสาวยืนบนแท่นดอกไม้นี้เพื่อรอให้เจ้าบ่าวมารับไปประกอบพิธีแต่งงานทางศาสนา ซึ่งนับว่าเป็นพิธีแต่งงานที่มีแค่หมู่บ้านเจมินที่เดียวเท่านั้น” พ่อบ้านดาริมอธิบายเสียงเรียบ อย่างน้อยการที่เขาพูดคุยกับเธอบ้างก็อาจทำให้เธอลดทอนอาการตื่นเต้นลงได้

“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ ทว่าเสียงของพ่อบ้านดาริมเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เธอจับใจความไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพ่อบ้านพูดเรื่องอะไร

แล้วหัวใจของภัครติก็ถึงกับสะดุดแรง เมื่อเจ้าบ่าวของเธอปรากฏตัวขึ้น ชายหนุ่มสวมโต๊บสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อตัวนอกหรือบิชท์สีดำ บิชท์นี้นิยมทำจากผ้าวูล มักใช้สวมในโอกาสพิเศษ สาบเสื้อตกแต่งด้วยดิ้นไหมทอง ปล่อยชายยาวลากพื้นเล็กน้อย ที่ศีรษะคลุมฆุตเราะห์สีขาว สวมทับด้วยอิกัลหรือเสวียนสีดำทำจากไหม ซึ่งใช้ตรึงผ้าคลุมศีรษะให้อยู่กับที่ ใบหน้าของเขายังมีคงมีแผ่นหนังคาดทับปิดบังรอยแผลเป็นเอาไว้ ดวงตาคมเข้มจ้องมองมายังเธอประดุจราชสีห์ที่กำลังกระโจนเข้าตะปบเหยื่อก็ไม่ปาน

หญิงสาวยืนตัวแข็งทื่อราวกับหัวใจจะหยุดเต้นลงเสียให้ได้เมื่อเขาเดินขึ้นมาบนแท่นไม้แล้วหยุดยืนเบื้องหน้า ใกล้เสียจนใบหน้าของเธอแทบชิดอกกว้างของเขา เจ้าสาวจอมซนสะดุ้งจนสุดตัวเมื่อจู่ๆ เขาก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น เธอรีบหลับตาห่อไหล่เข้าหากัน ด้วยกลัวว่าเขาอาจไม่พอใจจึงยกมือขึ้นจะทำร้าย ทว่าเขากลับเอื้อมมือสูงขึ้นไปเหนือศีรษะของหญิงสาว แล้วปลดมงกุฎดอกกุหลาบสีขาวที่แขวนอยู่บนซุ้มเถากุหลาบด้านบนลงมา ก่อนจะบรรจงสวมลงบนศีรษะเธออย่างเบามือ

“เอ่อ...ขอบคุณค่ะ”

ภัครติค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าบ่าวจอมบงการ พบว่าเขากำลังจ้องมองเธออยู่ก่อนแล้ว ตาคมวาววับจ้องมองเธอราวกับเห็นเธอเป็นกระต่ายน้อยเนื้อหวาน อยากจะขย้ำด้วยกรงเล็บแล้วกลืนกินเธอทั้งเนื้อทั้งตัว เธอพยายามข่มความกลัวและความตื่นเต้นด้วยการเม้มริมฝีปาก โดยไม่รู้เลยว่าการทำเช่นนั้นทำให้ชีคหนุ่มถึงกับลำคอแห้งผาก กระหายที่จะลิ้มรสความหอมหวานจากริมฝีปากที่เขาเคยได้ดื่มด่ำติดใจจนยากจะถอดถอน

“ว้าย!” หญิงสาวหวีดร้องเสียงหลง เพราะจู่ๆ เขาก็อุ้มเธอขึ้นโดยที่เธอยังไม่ทันตั้งตัว มือเล็กบีบบ่าหนาเอาไว้แน่น ก่อนจะซุกหน้าลงกับอกกว้างโดยอัตโนมัติ ทว่าเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากคนตัวโต เธอก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นก่อนจะปล่อยมือจากบ่าเขาอย่างรวดเร็ว

“เด็กที่ปีนต้นไม้เล่นซนไปทั่ว นึกว่าไม่รู้จักกลัวอะไรเสียแล้ว”

“หนูไม่ได้กลัวความสูง หนูกลัวท่านชีคต่างหาก” ปากไวเสียจนพูดออกไปแล้วเจ้าตัวยังตกใจ อยากจะตบปากตัวเองหลายๆ ครั้ง ดูเอาเถอะ ทำไมถึงได้กล้าต่อล้อต่อเถียงกับชีคฮัยฟาอ์ ทั้งที่ตอนนี้เธอเสียเปรียบเขาแทบทุกประตู กลายเป็นลูกไก่ในกำมือเขา จะบีบก็ตาย จะคลายก็ตายอยู่ดี ยังไงเธอก็ไม่มีทางรอด

“กลัวที่โดนฉันอุ้ม นั่นก็หมายความว่าถ้าเป็นคนอื่นอุ้มเธอไม่กลัวงั้นสิ” เขาก้มลงมาใกล้ๆ ใบหน้าหวานก่อนจะเอ่ยถาม ในขณะที่สาวเท้าตรงไปยังกระโจมทำพิธี

ภัครติไม่ตอบ แต่ก้มหน้างุด ใจสั่นเมื่อเขาโน้มมาใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนที่เป่ารดปลายจมูกของเธอ เป็นใครก็ต้องตกใจทั้งนั้น จู่ๆ ถูกคนที่ทำให้เธอใจเต้นแรงได้ทุกวินาทีอุ้ม สู้เอาเธอไปห้อยโหนโจนทะยาน กระโดดร่มลงจากเฮลิคอปเตอร์ เธอยังไม่กลัวเท่ากับการต้องชิดใกล้เขาเลยด้วยซ้ำ ก็ในเมื่อเขาเป็นผู้ชายที่คาดเดาได้ยากเสียยิ่งกว่ายาก เธอไม่มีทางรู้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ แล้วต่อจากนี้เขาจะทำอย่างไรกับเจ้าสาวอย่างเธอ

“หึ” เขาหัวเราะในลำคออีกครั้งเมื่อเห็นเจ้าสาววัยใสเอาแต่ก้มหน้า จังหวะที่เขาค่อยๆ วางเธอลงบนเบาะรองนั่ง เขาก็กระซิบข้างหูพอให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคน

“คืนนี้เธอจะได้รู้ว่าฉันน่ากลัวมากแค่ไหน”

เจ้าสาวนิ่งอึ้งเมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเธอค่อยๆ ซีดขาวราวกับเลือดในกายไหลออกไปจนหมดสิ้น เธอจินตนาการไปถึงโซ่ แส้ กุญแจมือ ชุดหนังสีดำ และอุปกรณ์ต่างๆ อีกมากมายที่เคยอ่านเจอในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศที่ค่อนข้างรุนแรงและโลดโผน

ให้ตายเถอะ! ถ้าพรหมจรรย์ของเธอถูกพรากไปด้วยเครื่องมือน่ากลัวเหล่านั้น เธอต้องตายแน่!

พิธีนิกะห์หรือพิธีแต่งงานทางศาสนาอิสลามเริ่มขึ้น มีเสียงสวดและเสียงพูดคุยเป็นภาษาอาหรับที่หญิงสาวไม่เข้าใจ ใครให้ทำอะไรเธอก็ทำตามโดยไม่ปริปากถามราวกับหุ่นยนต์ ในเมื่อตอนนี้หัวสมองของเธอคิดถึงแต่เรื่องประหลาดๆ เต็มไปหมด

ชีคฮัยฟาอ์ได้แต่ลอบมองท่าทางของหญิงสาวเป็นระยะ เด็กหนอเด็ก ถึงรูปร่างภายนอกจะเป็นสาวสะพรั่ง งดงามจนเขาแทบลืมหายใจ ทว่าภายในของหญิงสาวกลับเป็นเด็กผู้หญิงที่ชอบเล่นซน ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะคิดอะไรพิเรนทร์อยู่ในหัวแน่ๆ ถึงได้หน้าแดงก่ำสลับซีดขาวเช่นนี้

เจ้าของตาคมกริบเบือนกลับไปยังผู้ประกอบพิธีซึ่งเป็นชายอาวุโส ทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีแต่งงานครั้งนี้ ซึ่งชายอาวุโสคนนี้ก็คือผู้ใหญ่บ้าน ปกครองและดูแลที่นี่ก่อนที่ชีคฮัยฟาอ์จะก้าวเข้ามา และร่วมกันพัฒนาหมู่บ้านจนมีความเจริญอย่างเช่นทุกวันนี้ แน่นอนว่างานในวันนี้ปราศจากบิดาผู้ให้กำเนิด เพราะเขาไม่ใช่บุตรชายที่ท่านต้องการ เป็นเพียงแค่เลือดเนื้อเชื้อไขที่ท่านปัดทิ้งอย่างไม่ไยดีเท่านั้น เขาไม่มีทางทำอย่างที่บิดาทำกับเขาเป็นอันขาด เขาจะมอบความรักและความอบอุ่นทั้งหมดที่เขามีให้แก่บุตรชายที่จะถือกำเนิดขึ้นในอนาคต

สิ่งใดที่เขาเคยขาด บุตรชายของเขาจะต้องได้รับอย่างพรั่งพร้อมบริบูรณ์ทุกประการ

ชีคหนุ่มขบกรามเป็นสันนูน ความแค้นและความน้อยเนื้อต่ำใจเกาะกินหัวใจเย็นชาจนแทบไร้ความรู้สึก หากว่าไม่มีผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ก้าวเข้ามา เขาก็คงไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วหัวใจของเขายังมีความรู้สึก และยังมีความต้องการอย่างท่วมท้น มีมาก! เสียจนเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน

ชีคหนุ่มเบนสายตากลับมาจดจ้องที่เจ้าสาวข้างกายอีกครั้งด้วยความว้าวุ่นราวกับเด็กหนุ่มเพิ่งริลองจีบสาว ชุดแต่งงานชุดนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลยสักครั้ง นั่นเพราะเขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยใส่ใจ ปล่อยให้การจัดหาชุดเจ้าสาวเป็นหน้าที่ของพ่อบ้านดาริมและญาติทางฝ่ายเจ้าสาวเท่านั้น ทว่าเมื่อไม้แขวนเสื้อที่สวมใส่ชุดเจ้าสาวคือสาวใช้จอมแก่น เขาก็ชักสนใจชุดเจ้าสาวขึ้นมาเสียดื้อๆ จึงลอบพินิจพิจารณาว่าถ้าเขาจะถอดชุดเจ้าสาวออก จะต้องเริ่มจากตรงไหนก่อนดี

คงต้องค่อยๆ ปลดคิมาร์สีขาวบริสุทธิ์ที่ปกคลุมเส้นผมทั้งหมดออกก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ รูดซิปจากทางด้านหลัง ตวัดเจ้าของร่างบอบบางเข้ามาในอ้อมกอด แล้วลามเลียชิมยอดอกคู่สวยที่เขาเคยได้สัมผัสมาแล้ว และรับรู้ว่ามันนุ่มหยุ่นและชวนหลงใหลมากสักแค่ไหน จากนั้นเขาก็...

“อะแฮ่ม”

จู่ๆ ชีคฮัยฟาอ์ก็กระแอมขึ้นราวกับนี่เป็นวิธีการเรียกสติของตนเองกลับมา นี่เขากำลังคิดบ้าอะไรอยู่ เขาแต่งงานกับภัครติก็เพราะต้องการมีทายาทสืบทรัพย์สมบัติเท่านั้น ภารกิจสำเร็จเมื่อไรเขาก็จะหย่าขาดจากเธอเพื่อให้เธอมีอิสระ ไม่ต้องทนทุกข์ใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายหน้าตาอัปลักษณ์อย่างเขา แต่เขากลับจินตนาการไปถึงเรือนร่างบอบบาง ทว่ากลับมีส่วนเว้าส่วนโค้งตรึงตราจับใจของหญิงสาว ดูเอาเถอะว่าระหว่างเขากับเธอใครฟุ้งซ่านกว่ากัน

ชีคหนุ่มบีบที่สันจมูกโด่งแรงๆ แล้วปิดเปลือกตาลง พยายามตั้งสติ แต่ถามว่าทำได้มั้ย บอกเลยว่าทำไม่ได้

 “ลุกได้แล้ว” เขากระซิบที่ข้างหูเมื่อหญิงสาวเอาแต่นั่งนิ่ง สาวน้อยย่นคอแล้วกระถดตัวถอยหนีด้วยความตกใจ ก็เสียงกระซิบและลมหายใจที่เป่าลดลงมาบริเวณต้นคอยามเขาโน้มเข้าหาน่ะสิทำให้เธอขนลุกชัน รู้สึกซ่านระเรื่อไปทั้งใบหน้า

“ค่ะ” หญิงสาวกำลังจะยืนขึ้น แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมือหนายื่นมาเบื้องหน้าเธอ

“ทำหน้าที่ของเธอ”

“ทะ...ทำตอนนี้เลยเหรอคะ” ภัครติยกมือขึ้นกุมแก้มแดงร้อนผ่าว ให้ตายเถอะ เธอยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ แม้ว่าตอนนี้พระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้า ใกล้เวลาที่จะเข้าห้องเชือด เอ๊ย! เข้าห้องหอแล้วก็ตาม แต่จะให้เธอทำหน้าที่เจ้าสาวที่กระโจมกลางแจ้งแบบนี้ต่อหน้าแขกเหรื่อหลายร้อยคน เธอทำไม่ได้!

“ก็ใช่น่ะสิ ทำตอนนี้และเดี๋ยวนี้เลย!”

“ตะ...แต่ว่าหนูยังไม่...”

“ไม่อะไร”

“หนูยังไม่...ไม่พร้อมค่ะ” ตอบออกไปด้วยเสียงสั่นเครือ คล้ายจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้ ไม่คิดเลยว่าคนที่นี่จะมีรสนิยมเปิดเผยถึงขนาดนี้ เธอเกิดและเติบโตมาในประเทศไทย ประเทศที่ปกปิดเรื่องราวในมุ้งเอาไว้อย่างมิดชิด เพราะมองว่าเป็นเรื่องน่าอาย ไม่ควรเปิดเผยให้คนอื่นล่วงรู้

“เธอเป็นเจ้าสาวของฉัน ถ้าเรื่องแค่นี้เธอยังทำไม่ได้ แล้วเรื่องอื่นๆ เธอจะทำได้อย่างไร”

“แต่ว่าหนูอายนี่คะ แล้วอีกอย่างหนูก็ยังไม่เคย นี่เป็นครั้งแรกของหนู...” ภัครติผสานมือเข้าหากันแล้วบีบแน่น เธอเริ่มเครียดและรู้สึกกดดัน อยากหนีไปจากสถานการณ์ที่กำลังเผชิญแทบขาดใจ

“ครั้งแรกอย่างนั้นเหรอ” ชีคหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ แต่ชั่ววินาทีต่อมาคิ้วหนาที่ขมวดเข้าหากันก็ค่อยๆ คลายออกพร้อมกับที่ริมฝีปากหนายิ้มออกอย่างเจ้าเล่ห์ “นี่เธอกำลังคิดอะไรของเธอ”

“กะ...ก็...”

“เธอคิดว่าฉันจะให้เธอทำอะไร” เขายื่นมือไปเชยคางมนให้เงยขึ้น ดวงตาสุกใสคลอไปด้วยหยาดน้ำตาสบตาเขาด้วยท่าทางตื่นตระหนก

“อะ...เอ่อ...กะ...ก็...ทำหน้าที่จะ...เจ้าสาวไงคะ” หญิงสาวตอบออกไปอย่างตะกุกตะกัก กลายเป็นคนติดอ่างไปชั่วขณะ

“หน้าที่ของเธอตอนนี้คือเต้นรำกับฉัน ไม่เห็นหรือว่าทุกคนรอเราอยู่”

“อ้าว!” ภัครติถึงกับทำหน้าเหลอหลา มองออกไปยังลานกว้าง เห็นแขกเหรื่อมากมายจับคู่กันออกไปยืนล้อมเป็นวงกลม นักดนตรีแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสกำลังบรรเลงเครื่องดนตรีพื้นเมืองกันอย่างสนุกสนาน

“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ หน้าที่นั้นเธอต้องได้ทำแน่ เพราะยังไงเธอก็ต้องมีลูกชายให้ฉัน” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ ดวงตาวาววับคมกริบจ้องมองเธอราวกับจะกลืนกินเธอทั้งเนื้อทั้งตัว ยังผลให้ภัครติถึงกับก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาเขา

‘บ้าจริง! ทำไมเราถึงคิดแต่เรื่องลามกได้ตลอดเวลานะ น่าขายหน้าที่สุดเลย’

“มาเถอะ” เขายื่นมือไปเบื้องหน้าหญิงสาวอีกครั้ง

ภัครติอายจนอยากจะมุดทรายหนี เธอวางลงบนมือหนา ใบหน้าแดงก่ำ รู้สึกถึงความร้อนที่แล่นทะลุออกหู แต่ดูเหมือนว่าความเขินอายของเธอจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น เพราะจู่ๆ ชีคหนุ่มก็จุมพิตที่หลังมือของเธอแผ่วเบา

“ขอบใจมากที่ยอมเป็นเจ้าสาวของฉัน ขอบใจ...ที่ไม่ทิ้งฉันให้เป็นเจ้าบ่าวที่ปราศจากเจ้าสาว” ชีคฮัยฟาอ์จ้องมองเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว เขายอมรับว่าช่วงเวลาสี่สิบนาทีที่เขาต้องรอเธอแต่งหน้าทำผมเพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวนั้น ช่างเป็นช่วงเวลาที่ทรมาน ด้วยกลัวว่าเธอจะเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อทิ้งเขาไป

“หนูอยากเห็นท่านชีคมีความสุขค่ะ” ภัครติยิ้มกว้าง มองสบตาคมกร้าวข้างที่ปราศจากแผ่นหนัง เธออยากจะยื่นหน้าไปจูบที่ดวงตาและแผ่นหนังนั่นเหลือเกิน แต่ก็ไม่กล้า

“คืนนี้เธอจะได้เห็นฉันมีความสุขร่วมกับเธอ” ชายหนุ่มกระซิบแผ่วกลั้วเสียงหัวเราะเมื่อเห็นหญิงสาวเหลือกตาโพลงราวกับช็อกไปเสียแล้ว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น