บทที่ ๒
รถเก๋งติดฟิล์มดำแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านเดี่ยวรั้วรอบขอบชิดไม่ไกลจากโรงเรียนบ้านรักษ์ใจ ก่อนที่ประตูข้างคนขับจะเปิดออก บอดีการ์ดหนุ่มในชุดสูทสุภาพก้าวลงจากเบาะข้างคนขับมาเปิดประตูผู้โดยสารด้านหลัง
“เชิญครับ ซาคาอิซัง ถึงบ้านคุณฟ้ารดาแล้วครับ”
“ขอบคุณครับ”
ชายหนุ่มที่เวลานี้อยู่ในโหมดกนธีก้าวลงจากรถ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำแล้วเรียบร้อย สีหน้าสดใส ยิ้มอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้เหลือเค้าอารมณ์ขุ่นมัวที่แสดงออกเมื่อหลายชั่วโมงก่อน หลังจากที่ซัดคนขับแท็กซี่ในคราบโจรจนบาดเจ็บสาหัสกรามแตก นิ้วมือหักแทบจะทั้งห้านิ้ว คงหยิบจับอะไรไม่ได้ไปหลายเดือน
“ส่งเสร็จแล้วก็กลับขึ้นรถได้แล้ว นารูโตะ” เขาบอกคนที่เปิดประตูให้ ก่อนจะหันไปหาคนที่ขับรถ “โทคิโอะซัง ไม่ต้องลงมาเลย กลับขึ้นรถแล้วกลับไปได้เลย สัญญากับผมแล้วไงว่าจะแค่มาส่ง ผมไม่เอาคนคุมความประพฤติ ผมสัญญาว่าจะไม่ก่อเรื่อง”
“ไม่ทันแล้วมั้งครับ ลงเครื่องยังไม่ถึงสองชั่วโมง คุณส่งคนนอนโรงพยาบาล อาการสาหัสไปคน”
“ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เจ้านั่นมาทำปูไต่ผม พวกพี่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครโดนตัว ยิ่งทำหื่นใส่แบบนั้น ผมไม่หักคอก็บุญเท่าไหร่แล้ว”
นารูโตะกับโทคิโอะมองหน้าสบตากัน รู้ดีว่าการไม่ชอบให้คนถูกตัวคือนิสัยที่ติดตัวกนธีมาตั้งแต่เด็ก เป็นพฤติกรรมที่ยังแก้ไม่ได้ ด้วยชายหนุ่มเป็นเด็กพิเศษที่มีปัญหาด้านการเข้าหาคน บกพร่องด้านพฤติกรรมและการควบคุมอารมณ์ เป็นคนหวงตัว ไม่ชอบสัมผัสพูดคุยกับคนแปลกหน้า แต่เพราะตรวจเจอตั้งแต่เด็ก จึงได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี ทำให้เขาปรับตัวได้ดีขึ้น แต่ก็ยังมีนิสัยบางอย่างติดตัวมา อย่างเรื่องไม่ชอบการสัมผัสจากคนแปลกหน้า ยิ่งถ้าแสดงพฤติกรรมหื่นหรือคุกคามยิ่งเลวร้ายอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้น
“แล้วนั่นก็โจร ดีนะที่เหยื่อเป็นผม ถ้าเป็นคนอื่นคงน่าสงสารแย่ ผมทำความดีนะ คุณตำรวจยังบอกเลยว่าไอ้ลุงหื่นนั่นเป็นตัวอันตรายที่พยายามตามจับอยู่ อย่าทำหน้าเครียดเป็นเรื่องใหญ่ได้ไหม แล้วไม่ต้องไปบอกอากิระซัง ไม่ต้องบอกพ่อนะ จะเป็นเรื่องใหญ่เปล่า ๆ...สัญญาแล้วนะห้ามบอก โดยเฉพาะพ่อ!”
“ครับ” บอดีการ์ดทั้งสองตอบเป็นเสียงเดียวกัน พวกเขายอมรับปากก็เพื่อต่อรองให้ชายหนุ่มยอมกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโด แล้วให้พวกเขาพามาส่งที่นี่ “ผมกับนารูโตะจะไม่บอกทางญี่ปุ่นตามสัญญา คุณก็ต้องรักษาสัญญาด้วยนะครับ”
“แค่ไม่ให้ขาดการติดต่อใช่ไหม ได้อยู่แล้ว กลับไปได้แล้ว อย่าให้ต้องไล่เลยนะ ขอร้องละ ขอความเป็นส่วนตัวให้ผมด้วย”
เขาบอกพลางโค้งตัวลงแทบจะเก้าสิบองศา ส่งผลให้บอดีการ์ดทั้งสองรีบขยับออกห่างจากรถและโค้งตัวตอบรับ แล้วสุดท้ายก็รู้ว่าคงต้องยอมลงให้ความต้องการของผู้เป็นนาย อย่างน้อยเวลานี้พวกเขาก็ถูกสั่งให้มารับใช้ชายหนุ่มในฐานะนายของพวกเขา
“งั้นก็กลับได้แล้ว ไม่ต้องห่วงผมหรอก สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายใครอีก จะไม่ให้ซาคาอิออกมากระทืบใครอีก บอกแล้วว่าผมชอบเป็นเจ้าซีมากกว่าอยู่แล้ว”
“แต่นี่เพิ่งตีสี่เองนะครับ คุณฟ้ารดาคงไม่ตื่นเวลานี้” โทคิโอะบอกขณะมองนาฬิกา “ให้ผมกับนารูโตะไปช่วยปลุกไหมครับ”
“ไม่เป็นไร ผมไม่ปลุกหรอก จะรอให้ฟางตื่นตอนเช้า ฟางจะได้เซอร์ไพรส์”
ถึงตอนนี้สองบอดีการ์ดหนุ่มจำต้องยอมลงให้ นารูโตะก้มลงหยิบกระเป๋าสะพายหลังของชายหนุ่มออกจากรถมาส่งให้ แล้วจึงกลับขึ้นรถ
“บ๊ายบาย พี่รักยม...โทคิโอะซังขับรถดีๆ อย่าขับรถเร็วนะครับ นารูโตะจังอย่าเครียด เดี๋ยวแก่เร็ว ไว้เจอกันครับ”
ชายหนุ่มโบกมือให้รถที่เพิ่งเคลื่อนออกไป พร้อมยิ้มกว้างที่ดูอย่างไรก็แค่ชายหนุ่มบุคลิกสดใสอารมณ์ดี มีมาดทะเล้นเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่ควรมีอะไรที่ต้องให้ใครกังวล แต่ทันทีที่ดวงตาคมเหลียวกลับมามองตัวบ้าน สีหน้าและแววตาก็เปลี่ยนไป ท่าทางดูสุขุมขึ้นขณะเดินไปที่ประตูรั้ว
ล็อก แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาที่ถนัดการปีนป่าย รั้วบ้านสูงสามเมตรอย่างคฤหาสน์ของตระกูลยังเคยปีนมาแล้ว นับประสาอะไรกับแค่รั้วสูงพ้นหัว ครู่ต่อมาชายหนุ่มก็เหนี่ยวตัวขึ้นไปบนต้นไม้ริมรั้วได้ ก่อนจะกระโดดลงไปที่สนามหญ้า เข้าไปในบริเวณบ้านได้อย่างง่ายดาย
“ผมกลับมาแล้วนะฟาง...กลับมาหาฟางแล้ว” เขาเอ่ยแผ่วเบาเมื่อมองเข้าไปในบ้าน ใบหน้ามีรอยยิ้ม ดูอ่อนโยนเพราะความสุข ก่อนที่รอยยิ้มจะเลือนหายไปเมื่อปรายตาไปเห็นตุ๊กตาแม่เหล็กสี่ตัว เป็นตุ๊กตาครอบครัวอันประกอบไปด้วยตุ๊กตาพ่อแม่ พี่สาว และน้องชายตัวน้อย
‘ตุ๊กตาสี่ตัวนี้เป็นตัวแทนพวกเรา ถ้าออกจากบ้านก็เอาตุ๊กตาแปะไว้ที่บอร์ดข้างประตู แต่ถ้ากลับมาบ้านก็แปะที่บอร์ดกลางประตู ตอนนี้พ่อกลับมาแล้วก็เอามาแปะที่ประตูตรงนี้ ความจริงพ่อก็แทบจะอยู่บ้านตลอดเวลานะ คงไม่ต้องย้ายตุ๊กตาพ่อไปติดบอร์ดข้างประตูหรอกมั้งเนอะ พ่อเป็นคนเฝ้าประตูเอง’
ภาพคนในครอบครัวปรากฏชัดขึ้นในหัวของกนธี แม้ประตูบ้านจะต่างกัน แต่เขากลับมองเห็นภาพจากความทรงจำได้ชัด ภาพของพ่อที่มักใส่ผ้ากันเปื้อนเสมอ ในขณะที่แม่ใส่ชุดสาวออฟฟิศ พี่สาวยังเป็นเด็กประถม ในขณะที่เขาเป็นเด็กอนุบาลสาม
‘ส่วนแม่ก็ออกนอกบ้านตลอด’ คำพูดของแม่ทำให้ทุกคนหัวเราะ ‘สงสัยต้องเฝ้าบอร์ดข้างประตูซะละมั้ง แต่วันนี้แม่ก็กลับมาแล้วจ้ะ แม่ก็หยิบมาแปะตรงนี้ด้วย ขออยู่ข้างๆ พ่อนนท์นะ’
‘พี่ฟางก็กลับมาแล้ว พี่ฟางก็แปะตรงนี้ค่ะ’ พี่สาวเขย่งเท้าเล็กน้อยเมื่อเอาตุ๊กตาประจำตัวไปแปะ ก่อนจะก้มลงมาหาน้องชาย ช่วยหยิบตุ๊กตาตัวสุดท้ายให้ ‘เจ้าซีก็กลับมาแล้ว แปะที่บอร์ดเลยสิจ๊ะ’
‘โอ๊ะโอ แม่เอมิว่าพ่อนนท์แขวนบอร์ดสูงไปแล้วนะ เจ้าเปี๊ยกของบ้านเอื้อมไม่ถึง’
คนที่เอื้อมไม่ถึงบอร์ดหน้าหงิกเบาๆ จับตุ๊กตาพยายามจะแปะใส่บอร์ดที่เป็นเหล็ก แต่ไม่ถึง จึงแปะใส่ประตูไม้ ตุ๊กตาแม่เหล็กก็หล่นลงพื้นจนตุ๊กตาขาหัก ส่งผลให้เจ้าของตุ๊กตาเบะปากจะร้องไห้ ซึ่งเป็นการรู้กันในบ้านว่าถ้าทำ ‘เจ้าแก้มกลม’ ร้องไห้ เจ้าตัวจะร้องไม่หยุดจนกว่าจะเหนื่อยหลับไปเอง พี่สาวจึงต้องรีบเข้าไปแก้ไขสถานการณ์
‘โอ๋ๆ ๆ ซีคับ ไม่เป็นไรนะ ไว้พี่ฟางเอากาวมาติดนะ’
‘แล้วพ่อก็จะไปเอาค้อนมาติดบอร์ดใหม่ให้เตี้ยลงกว่าเดิม’
‘งั้นแม่ทำอะไร...อ้อ แม่จะไปซื้อนมมาเยอะๆ ให้เปี๊ยกซีกิน จะได้ตัวสูงดีไหมลูก’
‘แม่เอมิ! ถ้าไม่คิดจะช่วยก็อยู่เฉยๆ นะคะ ไปช่วยพ่อนนท์หาค้อนมาติดบอร์ดใหม่ดีกว่านะ โอ๋...เจ้าซีไม่ร้องนะคับ เอางี้ มา พี่ฟางอุ้มซีขึ้นไปติดเองนะ...ไม่เป็นไร จนกว่าซีจะตัวสูงพอจะติดบอร์ดเอง พี่ฟางจะอุ้มซีนะ ดีไหมคับ’
‘ทำอย่างนั้นก็ได้เหรอคับ’
‘ได้สิ เพราะยังไงเราก็ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่แล้ว พี่ฟางอยู่ไหน เจ้าซีอยู่นั่นใช่ไหมล่ะ’
‘ได้ไหมคับ’
คนตัวเล็กสุดของบ้านหันไปถามพ่อและแม่ที่รีบพยักหน้าให้ ก่อนจะรีบพากันไปหากาวมาติดขาตุ๊กตาที่หักให้ รู้สึกโล่งใจที่เห็นคนตัวเปี๊ยกสุดยิ้มได้ และตบมือดีใจเมื่อพี่สาวอุ้มตัวเขาขึ้นไปแปะตุ๊กตาบนบอร์ด
‘ติดข้างพี่ฟางเลย ผมกลับบ้านมาแล้วคับทุกคน ผมกลับมาแล้วพี่ฟาง’
“กลับมาแล้ว...” ภาพในอดีต บอร์ดดูสูงไปสำหรับเขา แต่วันนี้บอร์ดที่ติดไว้สูงราวเมตรครึ่งดูเตี้ยไปด้วยซ้ำสำหรับคนตัวสูงกว่าร้อยแปดสิบห้า ซึ่งกำลังหยิบตุ๊กตาน้องชายตัวเดิมจากบอร์ดข้างประตูมาติดไว้ที่บอร์ดกลางประตู ข้างๆ ตุ๊กตาพี่สาว
“ผมกลับมาแล้วนะฟาง เจ้าซีกลับบ้านมาหาฟางแล้ว”
ขอโทษที่หายไปนาน...ขอโทษที่โตช้า
แต่ตอนนี้ผมโตพอแล้ว โตพอที่จะมายืนอยู่ข้างๆ ฟางได้แล้ว
อยู่เคียงข้างกันเหมือนตุ๊กตาพี่สาวน้องชาย
“แต่เราจะไม่ใช่พี่สาวน้องชายกันต่อไป ฟางจะต้องเป็นผู้หญิงของผม...ของผมคนเดียว”
เอมิ แม่ของกนธีเป็นลูกเสี้ยวอังกฤษ ไทย ญี่ปุ่น เธอแยกทางกับ ‘คาโอรุ’ หลังคลอดลูกแฝดไม่นาน ตอนแรกเอมิยืนกรานว่าลูกทั้งสองคนต้องอยู่กับเธอ แต่เพราะเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำให้ต้องยอมรับข้อเสนอที่ฝ่ายนั้นยื่นให้ ดีกว่าต้องเสียลูกทั้งสองคน เพราะรู้ว่าฝ่ายนั้นมีอำนาจ มีเงิน อีกทั้งพวกเขาจะให้เงินเธอก้อนหนึ่งเพื่อดูแลลูกชายคนเล็กที่ไม่แข็งแรง กนธีหรือเซย์จิมีพัฒนาการช้ากว่าเด็กทั่วไป ผิดกับพี่ชาย ซึ่งเมื่อพ่ออดีตสามีรู้เรื่องเข้าก็ดูจะไม่ปลื้มใจ
‘คุณพ่อท่านยอมให้ที่สุดแล้วนะเอมิ รับข้อเสนอเถอะ ไม่อย่างนั้นท่านจะเอาลูกไว้ทั้งสองคน คุณก็รู้ท่านไม่ไยดีเซย์จิ ถ้าเขาอยู่ที่นี่ลูกจะต้องลำบาก เขาควรได้อยู่กับแม่...ส่วนซาคาอิ ผมสัญญาว่าจะดูแลลูกให้ดี คุณพ่อรักซาคาอิมาก ท่านจะเลี้ยงหลานคนนี้อย่างดี...ขอโทษที่ผมเป็นสามีที่ดีให้คุณไม่ได้ ขอบคุณที่เข้าใจผม ขอให้คุณได้เจอชีวิตใหม่ที่เมืองไทย ได้เจอคนที่ดีกว่าผม ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะเอมิ อย่างที่คุณบอกผม เราเป็นสามีภรรยากันไม่ได้แล้ว แต่เราก็จะยังเป็นเพื่อนกัน เป็นพ่อและแม่ของลูกแฝดของพวกเรา’
เอมิมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยด้วยเงินที่ครอบครัวอาชิโมโตะให้มา เธอซื้อบ้านหลังหนึ่ง ตั้งใจจะเลี้ยงลูกเองสักปีสองปีแล้วออกไปหางานทำ แต่ด้วยความที่กนธีต่างจากเด็กทั่วไป จึงค่อนข้างลำบากในการหาคนดูแล จนเธอได้เจอกับอานนท์ จิตรกรวาดภาพประกอบลูกติดที่โดนภรรยาทิ้ง เขากำลังโดนคนทวงหนี้ต่อหน้าลูกสาวตัวเล็กๆ วัยสามขวบ เอมิเข้าไปช่วยเหลือ ทำให้ได้รู้จักกัน จึงรู้ว่าชีวิตอานนท์กำลังลำบาก เขาโดนไล่ออกจากบ้านเช่า ไม่มีที่ไป แต่เป็นคนที่ทำงานบ้านได้ ดูแลเด็กได้ดี เอมิจึงตกลงจ้างเขาเพื่อดูแลกนธี
ช่วงปีแรกพวกเขาต่างแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ แต่ต่อมาก็กลายเป็นความรัก พวกเขาต่างช่วยกันเติมเต็มความขาดของกันและกัน แล้วก็ตกลงเป็นครอบครัวเดียวกัน เลี้ยงดูลูกทั้งสองคนโดยให้พวกเขาคิดว่าเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน เติบโตมาด้วยความรู้สึกอย่างนั้น ญาติฝ่ายอานนท์ตอนแรกไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะอย่างน้อยการมีเอมิก็ทำให้อานนท์มีเงินดูแลตัวเองและลูก ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะมาทำให้เดือดร้อน
ฟ้ารดาและกนธีอายุห่างกันสองปี ช่วงก่อนห้าปี กนธีมีพัฒนาการช้า ตัวเล็ก มีปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมการเข้าสังคม เขาไม่ยอมสื่อสารกับคนแปลกหน้า เป็นเด็กพิเศษที่เอมิต้องพาไปปรึกษาหมอ ได้รับคำแนะนำ มีการให้ยาและสอนคนในครอบครัวเรื่องวิธีดูแลส่งเสริมพัฒนาการ โดยเฉพาะฟ้ารดาแม้จะยังเป็นเด็ก แต่เธอก็เป็นเด็กอ่อนโยนและรักน้องชายมาก เพราะพ่อและแม่จะสอนว่าน้องไม่สบาย น้องป่วย น้องเป็นเด็กพิเศษที่ต้องมีคนอยู่ด้วย คอยกุมมือเวลาที่น้องรู้สึกกังวลหรือไม่ปลอดภัย ซึ่งเธอก็พร้อมจะเป็นคนที่จะคอยทำให้น้องรู้สึกปลอดภัยมั่นคง
หลังได้รับการดูแลอย่างดี กนธีมีพัฒนาการดีขึ้นมาก เหมือนเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เด็กชายสามารถไปโรงเรียนตามปกติ มีความสามารถด้านกีฬาดีเยี่ยม สติปัญญาดี อาจยังมีปัญหาในการเข้าสังคมบ้าง เขาไม่ชอบการให้คนไม่สนิทสัมผัสตัว รู้สึกไม่ปลอดภัยถ้าถูกจับ ถูกกอด ถูกจู่โจมระยะประชิด แต่ก็ได้พี่สาวคอยสอนบอกให้หายใจลึกๆ ให้คิดว่านี่คือเพื่อน คือครู คือคนที่ไว้ใจได้ ไม่มีใครคิดร้ายกับเขา ฟ้ารดาจะคอยพาเขาไปทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่น เติบโตมาด้วยกัน จนเด็กชายได้รับคำชื่นชมว่าเป็นเด็กดี สุภาพอ่อนโยน และเป็นคนที่ติดพี่สาวมากจนมักพูดกันว่า ‘เจอพี่ฟางที่ไหนก็จะเจอเจ้าซีที่นั่น’
คนอาจจะมองว่ากนธีติดพี่สาวมากจนบางทีทำให้ฟ้ารดาไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง เธอต้องคอยดูแลน้องชาย บ่อยครั้งที่กนธีหลุดมีอาการวิตกกังวล หนีไปหลบอยู่ในมุมที่เขาคิดว่าจะปลอดภัย พี่สาวต้องถูกตามตัวไปพาออกมา ทำให้เธอต้องใช้เวลาปลอบดูแลน้อง จนคนรอบตัวอดคิดไม่ได้ว่าเป็นภาระที่หนักเกินไปสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ตัวเธอกลับไม่คิดอย่างนั้น เธอมีความสุขที่ได้ดูแลน้อง เธอภูมิใจที่พ่อและแม่ให้เธอทำงานนี้ และเต็มใจที่จะเป็นที่ยึดเหนี่ยวใจให้น้องตลอดไป จนกว่าจะถึงวันที่เธอไม่จำเป็นกับน้องแล้ว น้องไม่ต้องการเธอแล้ว
‘ซี...อยู่ไหน ซี พี่ฟางมาแล้ว ออกมาเร็วเข้า...ทำไมมาอยู่ตรงนี้ ดูสิตัวเปื้อนหมดแล้ว ร้องไห้ทำไม ใครรังแกซี บอกพี่ฟางซิคับ ใครทำอะไรซี โอ๋...ไม่ร้องนะซี ไหนดูซิเจ็บตรงไหน ถ้าไม่เจ็บร้องไห้ทำไมคับ ไหนบอกว่าจะไปดูพี่ซ้อมรำไง’
‘เพื่อนพี่ฟางไม่ให้ผมไป เขาว่าผมเกะกะ เกาะพี่ฟางเป็นปลิง ผมไม่ใช่ปลิงนะ ผม...ผม...ฮือ...’
ตั้งแต่เล็กกนธีจะแทนตัวว่า ‘ผม’ กับพี่ พ่อแม่ และผู้ใหญ่ เพราะพ่อเขาสอนอย่างนั้น และเขาเองก็เลียนแบบพฤติกรรมของพ่อ ซึ่งเป็นผู้ชายอ่อนโยน พูดเพราะและสุภาพ บ่อยครั้งที่มาโรงเรียนเขาจะถูกคนล้อเป็นตุ๊ดบ้างแต๋วบ้าง ด้วยเป็นคนที่มีพฤติกรรมเข้ากับสังคมยาก มีบุคลิกที่ถูกแกล้งถูกข่มได้ง่าย จึงโดนกระทำเสมอ บวกกับเป็นคนที่มีทักษะด้านกีฬาดี สติปัญญาดี เหมือนไม่ได้ตั้งใจ เหมือนไม่อยากเด่นแต่ก็เด่น คนที่แย่กว่าหลายคนก็หมั่นไส้และเอาปมเรื่องอื่นมา ‘บูลลี่’ รู้ว่าเกลียดการถูกสัมผัสก็ยิ่งแกล้งเข้ามากอด มาผลักให้เขาสติหลุดอยู่เสมอ เพื่อจะให้เด็กชายเป็นตัวตลกของคนในโรงเรียน
‘ปลิงที่ไหนจะน่ารักขนาดนี้กัน’ ฟ้ารดาว่าพลางสัมผัสตัวน้องอย่างอ่อนโยน ประคองให้ลุกขึ้นแล้วปัดฝุ่นให้ นั่นคือสิ่งที่เธอทำให้น้องชาย เธอยิ้มให้กำลังใจ ดึงมือน้องมาบีบ ‘ไปเถอะจ้ะ ไปห้องรำแล้วจะได้กลับบ้านกัน พี่จะไปลาออก บอกครูว่าไม่ทำแล้ว ที่นั่นมีคนแกล้งน้องชายพี่ พี่ก็ไม่อยากไปหรอก’
‘พี่ฟางอยากรำไม่ใช่เหรอ อยากใส่ชุดไทยสวยๆ แล้วก็จะได้คะแนนเพิ่มด้วย’
‘ก็ใช่คับ แต่พี่ฟางอยากให้ซีมีความสุขมากกว่า ถ้าซีไปที่นั่นแล้วโดนแกล้ง พี่ก็ไม่อยากไปหรอก’
‘ขอโทษที่ผมขี้ขลาด ผมเอาแต่หนี ผม...ผมขอโทษ...’ พูดแล้วจะร้องไห้ แต่ก็พยายามอดทนไว้ ‘โตซะเปล่าก็ยังขี้แย ผมไม่อยากร้องไห้นะพี่ฟาง แต่น้ำตามันไหลเอง ผมขี้กลัว เอาแต่เป็นปลิงเกาะพี่ฟาง’
‘ใครว่าล่ะ สำหรับพี่นะ ซีไม่ได้เป็นอย่างนั้น เจ้าซีของพี่อ่อนโยนน่ารัก การยอมคน การเป็นคนไม่สู้คนไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรอกนะสำหรับพี่ พี่ชอบซีที่เป็นแบบนี้ ดีกว่าซีที่ไปทำก้าวร้าว ไปยืนเถียงๆ หรือตีกับคนอื่น เห็นเด็กห้อง ป. หกวันก่อนไหม ที่ตีกันหลังห้องน้ำ พี่ไม่เอาแบบนั้นนะ ซีของพี่อย่าไปทำอย่างนั้นนะ พี่นึกภาพตอนนั้นไม่ออก แล้วไม่อยากนึกภาพด้วย พี่ไม่ขออะไรมาก ขอแค่ซีเป็นซีแบบนี้ตลอดไปพี่ก็พอใจแล้ว พี่ยอมมาปลอบซีแบบนี้ ดีกว่าต้องไปนั่งทำแผลหรือเช็ดเลือดให้ซีนะ’
ด้วยฟ้ารดาสอนน้องอย่างนี้ เด็กชายกนธีจึงเป็นคนที่เลี่ยงการมีปัญหา การเผชิญหน้ากับคนอื่น เมื่อโตขึ้น เขาไม่ได้เอาแต่หนีปัญหาไปซุกตัวร้องไห้แล้ว แต่ก็ยังคงเป็นคนติดพี่สาวเหมือนเดิม เป็นพี่น้องที่รักและอยู่เคียงกันมา แล้วคนรอบตัวก็คงมองภาพที่พวกเขาจะแยกกันไม่ออก กระทั่งมันเกิดขึ้นจริง เมื่อรถของครอบครัวประสบอุบัติเหตุ พ่อและแม่เสียชีวิต เหลือเพียงพวกเขาที่รอด การรอดชีวิตของเด็กที่ยังดูแลตัวเองไม่ได้และไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ทำให้ญาติของแต่ละฝ่ายจับพวกเขาแยกจากกัน
‘ไอ้เด็กซีนั่นมันโรคจิต โรคจิตมาตั้งแต่เด็กแล้ว ถึงจะไม่ใช่พี่น้อง แต่ที่ผ่านมาก็ถูกเลี้ยงให้เป็นพี่น้อง มันจะมาบอกรักฟางได้ยังไง! ไม่ว่ายังไงป้าก็รับไม่ได้ ป้าไม่รับมันมาอยู่ด้วยหรอกนะ และป้าจะไม่ปล่อยให้ฟางอยู่กับเด็กโรคจิตนั่น ปล่อยให้มันไปอยู่กับครอบครัวมันน่ะดีแล้ว...หรือฟางก็คิดอย่างมัน เป็นคนโรคจิตเหมือนกัน ฮึ! ยายฟาง บอกป้ามานะ ถ้าไม่ใช่ก็หาทางสลัดมันทิ้ง บอกมันให้เด็ดขาด อย่าปล่อยให้เรื่องบัดสีบัดเถลิงเกิดขึ้นในตระกูลเรานะยายฟาง ไปจัดการไล่มันไป!’
ในขณะที่คนรอบตัวบอกว่า สิ่งที่กนธีบอกพี่สาวว่า ‘รัก’ คือความโรคจิต ฟ้ารดาไม่ได้คิดอย่างนั้น เธอคิดเพียงว่าเพราะน้องยังเด็ก เพราะเพิ่งรู้ว่าเธอและน้องไม่ใช่คนสายเลือดเดียวกัน ทำให้น้องพยายามหาที่ยึดเหนี่ยว หาเหตุผลเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น มันไม่ใช่ความรักของหนุ่มสาว มันแค่ความสับสน ถึงแม้น้องพยายามจะยืนกรานว่าไม่ใช่พี่น้องก็รักกันแบบอื่นได้
‘ยี่สิบสามปีเต็ม พ่อนนท์เคยบอกว่าผู้ชายจะเป็นผู้ใหญ่ตอนยี่สิบสามปีเต็ม จะรู้ว่ารักเป็นยังไง แปดปีจากนี้ห้ามติดต่อ ห้ามเจอหน้า ทำได้ไหม พิสูจน์สิ! รับคำท้า! ถ้าความรู้สึกซียังไม่เปลี่ยน พี่จะเชื่อว่าที่เราเป็นอยู่...ไม่ใช่รักของ...พี่น้อง’
ที่พูดออกไปก็แค่จะซื้อเวลา คิดไว้ว่าเมื่อน้องมีสติ เมื่อน้องโตขึ้นจะมองเห็นความจริง อาจจะใช้เวลาสองเดือน สามเดือน อย่างมากก็คงแค่หนึ่งปี น้องก็คงคิดได้แล้วติดต่อกลับมา แต่กลายเป็นว่าตั้งแต่แยกจากกันวันนั้นที่เธอได้เห็นน้องชายรับคำท้าของเธอทั้งน้ำตา น้ำตาของความเสียใจและอัดอั้นที่ทำอะไรไม่ได้ดีกว่านี้ เขาก็ไม่กลับมาอีกเลย
‘ได้! แปดปี...ผมจะกลับมา ถึงตอนนั้นฟางต้องเป็นของผม! จำไว้นะ! ฟางเป็นของผมคนเดียว!’
เสียงตะโกนก้องในอดีตดังขึ้นในความฝันอีกครั้ง ทำให้ฟ้ารดาน้ำตาไหลแม้รู้สึกตัวตื่นในยามเช้า หญิงสาวขยับลุกขึ้นนั่งด้วยความเศร้า แปดปีนานเหลือเกิน นานจนทำให้เริ่มเชื่อแล้วว่าน้องชายจะไม่กลับมา คำพูดในวันนั้นของเธอคงทำให้น้องเสียใจและผิดหวัง และคงจะลืมพี่สาวคนนี้ไปมีชีวิตใหม่ เพราะไม่อย่างนั้นน้องคงกลับมาแล้ว
“ซี...พี่ฟางขอโทษ” เธอสะอื้นกับเข่าตัวเอง “กลับมาหาพี่ได้ไหม กลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม พี่ฟางคิดถึงเจ้าซีมาก...มากเหลือเกิน...”
บ้านเช่าของฟ้ารดาอยู่ระหว่างบ้านสองหลัง ฝั่งซ้ายมือเป็นบ้านของสามีภรรยาเจ้าของบ้านเช่า ส่วนฝั่งขวามือเป็นบ้านของครอบครัวเล็กๆ มีพ่อแม่ ลูกสาววัยรุ่นคนหนึ่ง และลูกวัยประถมคนหนึ่ง ทุกเช้าเธอจะถูกปลุกด้วยเสียงแม่บ้านที่ปลุกลูกๆ ให้อาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน วันนี้เธอตื่นก่อนเพราะฝันถึงอดีตที่แสนเศร้า แต่เมื่อเสียงปลุกดังขึ้นก็ทำให้รู้ว่าได้เวลาที่จะลงจากเตียงแล้วเช่นกัน
“ต้อยติ่ง รีบลุกเร็วเข้า ตื่นรึยัง แม่บอกหลายครั้งแล้วว่าห้ามล็อกห้อง!” เสียงปลุกแว่วมาพร้อมกับเสียงทุบประตู มีเสียงลูกสาวร้องสวนไปว่าตื่นแล้ว อย่าโวยวายได้ไหมแม่
“ถ้าฉันไม่โวยวายแกจะตื่นไหม แม่อาบน้ำให้น้องแล้ว แกรีบไปอาบน้ำแล้วมาแต่งตัวให้น้องนะ แม่จะลงไปทำกับข้าว ให้เร็ว ถ้าแม่ต้องมาเรียกอีกรอบ แกจะไม่ได้เงินค่าขนมไปกินโรงเรียน”
ฟ้ารดามาอยู่บ้านหลังนี้ได้ปีกว่าๆ ตั้งแต่เธอมาทำงานที่โรงเรียนบ้านรักษ์ใจ ตอนมาหาบ้านเช่าเธอไม่กล้าเข้ามาดูด้วยซ้ำ ด้วยบรรยากาศของบ้านบวกกับสภาพแวดล้อม ค่าเช่าน่าจะมากกว่าเงินเดือนของเธอ แต่เพราะลุงฉ่ำแนะนำมา บอกว่าให้ลองไปคุย จึงได้รู้ว่าค่าเช่าไม่ได้แพง แต่เจ้าของบ้านเช่าถามแค่ว่าตื่นเช้าได้ไหม รับเสียงดังตอนเช้าๆ ได้ไหม ถ้าได้ก็มาอยู่ได้ด้วยค่าเช่าที่คุยกันไว้ ที่ต้องถามกันอย่างนี้ก่อน เพราะที่ผ่านมาผู้เช่ารายอื่นๆ จะมีปัญหาเรื่องนี้ตลอด เจ้าของบ้านเช่าก็เป็นคนดี ไม่ได้อยากมีปัญหากับเพื่อนบ้าน จึงเลือกที่จะคืนเงินให้ผู้เช่าย้ายออกไป
นอกจากปัญหาเรื่องเสียงดังแล้ว ก็มีแค่เพื่อนบ้านฝั่งขวานั้นเป็นแม่บ้านประเภทสอดรู้สอดเห็น และมักจะหูตาแพรวพราวเป็นสับปะรด คอยสอดส่ายสายตามาที่บ้านเธอ มีคนแวะมาหาก็จะคอยถามว่าเป็นใครมาจากไหน เป็นแฟนหรือเพื่อน แล้วด้วยนิสัยทำนองนี้ทำให้ผู้เช่ารายก่อนๆ ค่อนข้างระอา ย้ายหนีออกไปหมด จะมีก็แค่ฟ้ารดาเท่านั้นที่อยู่นาน นอกจากเธอเป็นผู้เช่าที่นิสัยดีแล้ว ยังจ่ายเงินตรงเวลา เจ้าของบ้านเช่าจึงเอ็นดูเธอเป็นพิเศษ ให้ความรักความเมตตาถึงขั้นเคยจะยุให้ลูกหลานจีบ แต่พอเห็นท่าทางวางตัวชอบอยู่คนเดียวของฟ้ารดาก็ไม่ฝืนใจเธอ
“แม่! ช่วยด้วย พี่ต้อยติ่งตีลูกหมี! โอ๊ย! เจ็บแม่!”
“แม่อย่าไปเชื่อ หนูไม่ได้ตีมันเลย ไอ้ลูกหมี อย่ามาพูดหมาๆ นะ”
“แม่ พี่ต้อยติ่งพูดไม่เพราะ บอกว่าผมเป็นหมาด้วย แม่!”
จากนั้นเสียงอึกทึกครึกโครมก็ตามมา ส่งผลให้เจ้าบ้านในละแวกนั้นตื่นกันหมด ต่างเปิดไฟและลุกจากเตียง รวมถึงฟ้ารดา หญิงสาวอมยิ้มพลางถอนหายใจ สลัดเรื่องเศร้าออกจากหัว บอกตัวเองว่าชีวิตต้องดำเนินต่อไป เธอมีเรื่องให้ทำ มีงานที่รัก มีเด็กๆ ที่เธออยากดูแล ทดแทนที่ไม่ได้ดูแลน้องชายอย่างที่แม่เคยฝากฝัง แล้วนั่นทำให้เธอมีแรงที่จะลุกขึ้นในทุกๆ วัน
ถึงแม้บ้านจะอยู่ใกล้ที่ทำงาน แต่ฟ้ารดาก็ตื่นเช้าเป็นประจำ ไม่ลุกมาทำงานบ้านก็ทำขนมไปฝากเด็กๆ บางวันก็จะไปออกกำลังกายโดยการวิ่งยามเช้า เพราะงานที่ทำต้องคอยรับมือเด็กๆ ที่มีพลังเหลือร้าย เธอต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม การเป็นสาวเรียบร้อยทำให้ชุดออกกำลังกายเธอไม่ได้หวือหวา เป็นชุดวอร์มพอดีตัวที่ใส่แล้วดูน่ารักสมบุคลิก รวบผมหางม้าเสร็จก็สวมหมวกแก๊ป มีผ้าขนหนูสีขาวพาดคอ สวมรองเท้าพร้อมออกจากบ้าน แล้วสิ่งที่จะต้องทำเสมอก่อนออกจากบ้านคือ หยิบตุ๊กตาแทนตัวเองที่แปะตรงบอร์ดหน้าประตูไปติดไว้ที่บอร์ดข้างประตู
หนึ่งปีตั้งแต่มาอยู่บ้านนี้ ตุ๊กตาตัวเดียวที่ได้มาติดที่บอร์ดหน้าประตูมีแค่ตุ๊กตาของเธอ มันเป็นภาพที่ชินตาและคุ้นเคย ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นดูก็รู้ว่าควรหยิบอะไรตรงไหน แต่วันนี้เพียงแค่เอื้อมมือจะไปหยิบ หัวใจเธอก็หล่นวูบ
นี่มัน...ตุ๊กตาของซี มาอยู่นี่ได้อย่างไร
ซีกลับมา...วูบแรกที่เห็นสมองคิดอย่างนั้น คิดว่าน้องกลับมา แต่เสี้ยววินาทีต่อมาก็คิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีทางที่น้องจะกลับมา หรือต่อให้กลับมา นี่ก็ไม่ใช่บ้านหลังเดิมที่เคยใช้ชีวิตครอบครัวด้วยกัน น้องจะมาถูกได้อย่างไร น้องไม่เคยติดต่อมา ไม่เคยมีข่าวคราวใดๆ หายไปเหมือนตายจากกัน
ที่นี่มีแค่เธอ...แค่เธอเพียงคนเดียว
“ใช่...เหลือแค่เรา เหลือแค่เราคนเดียว”
ตามปกติฟ้ารดาจะไม่ได้รู้สึกเศร้าหดหู่มาก อาจมีคิดถึงชีวิตเก่าๆ คิดถึงครอบครัว โดยเฉพาะน้องชาย แต่มันก็แค่ความคิดถึง พอได้ทำโน่นนี่ก็ผ่านช่วงเวลานั้นไปได้ จะมีบ้างที่รู้สึกอ่อนแอ อย่างเช่นวันครบรอบวันตายของพ่อแม่ หรือวันเกิดของเธอและน้องอย่างตอนนี้
“ก็แค่มีคนมาเล่น คงมีคนมาแปะเล่น...เท่านั้นเองฟาง”
ความเสียใจระคนผิดหวังมีมากเกินกว่าที่คำปลอบใจตัวเองจะเอาอยู่ หญิงสาวทรุดลงไปนั่งหน้าประตู ความเศร้าจู่โจมเธออีกครั้งและหนักหนาจนต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะตั้งสติได้ พยายามลุกขึ้นอีกครั้ง มองไปที่ตุ๊กตาพี่และน้อง เห็นลักษณะการวางตุ๊กตาที่ ‘พิเศษ’
มันไม่ใช่ความบังเอิญ!
ถ้าไม่ใช่ซี...ก็คงไม่มีใครวางอย่างนี้!
‘ผมอยากเปลี่ยนตุ๊กตาแล้ว ตุ๊กตานี่เตี้ยกว่าฟาง ตอนนี้ผมสูงกว่าฟางแล้ว สูงกว่าตั้งคืบนึง แม่เอมิว่าจะหามาเปลี่ยนให้ก็หาซื้อแบบนี้ไม่ได้เสียที ผมไม่ค่อยชอบเลย มันดูไม่เหมือนผมเท่าไหร่ นี่ผมเริ่มโกรธแม่เอมิแล้วนะ เอาแต่ทำงาน ไม่ยอมไปหามาเปลี่ยนให้เสียที’
‘เอาน่า ซี ตุ๊กตาแบบนี้ใช่ว่าจะหาซื้อได้ง่ายๆ ให้เวลาแม่เอมิหน่อย ครั้นจะเปลี่ยนยกชุดก็เสียดายตุ๊กตาพวกนี้เป็นความทรงจำดีๆ ของครอบครัวเรา จริงๆ พี่ไม่อยากให้เปลี่ยนหรอก เพราะต่อให้เจ้าซีตัวสูงขึ้น เจ้าซีก็ยังเป็นน้องชายตัวน้อยๆ ของพี่ฟาง งั้นเอางี้นะ เวลาวางตุ๊กตาซีก็วางแบบนี้สิ วางให้เยื้องๆ ไปด้านหลัง ให้สูงกว่าพี่แบบนี้ ซีก็ดูตัวสูงกว่าพี่แล้ว จากนั้นก็กางมือตุ๊กตาออกแล้วเราก็จะจับมือกันไว้แบบนี้...ดีไหมคับ’
ต้องเป็นซี...ถึงจะวางตุ๊กตาแบบนี้ได้ ฟ้ารดามั่นใจ
“ซี!” เธอเรียกพลางกวาดตามองหา ฟ้ายังไม่สว่างมากนัก แต่ในบริเวณบ้านก็มีแสงไฟ ตรงถนนก็เช่นเดียวกัน “เจ้าซี! ซีใช่ไหม เจ้าซีกลับมาใช่ไหม”
ไม่มีเสียงตอบกลับ ทุกอย่างยังคงเงียบ
“ซี...ออกมาหาพี่ฟางสิ เจ้าซี!”
มีเสียงเคลื่อนไหวจากบ้านฝั่งขวา หญิงสาวหันขวับไปมอง...
หมายใจว่าจะพบน้องชายยืนอยู่ตรงนั้น...ยืนมองและยิ้มให้
พร้อมกับเอ่ยคำทักทายเหมือนที่เคยเอ่ย ‘ผมกลับมาแล้วฟาง’
แต่ที่เธอเห็นผ่านเงาไม้ คือแมวจรเจ้าประจำที่กระโดดออกมาส่งเสียงร้องเหมียวๆ ขออาหาร เดินเข้ามาคลอเคลีย พันแข้งพันขาขอให้เทอาหารให้ หญิงสาวเข้าไปลูบหัวมัน ก่อนจะไปหยิบอาหารมาเทใส่ชามข้าวให้
“หายไปไหนมาตั้งหลายวัน” ให้ทั้งน้ำและอาหารแล้วก็มาลูบหัว “ถ้าไม่หิวก็ไม่แวะมาหาเลยนะ”
แต่ก่อนฟ้ารดาเป็นคนกลัวแมว เพราะเคยโดนแมวข่วนตอนเด็ก ยังทิ้งรอยแผลเป็นจางๆ ไว้ที่แขน แต่การที่กล้าเข้าไปลูบหัวแมวจรที่เธอเหมือนรับเลี้ยง ก็เพราะคิดถึงเด็กผู้ชายที่ชอบแมวมากคนหนึ่ง แต่เพราะแม่เอมิเป็นคนแพ้ขนสัตว์ในบ้านจึงเลี้ยงไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่เจอแมว น้องชายตัวน้อยจะวิ่งเข้าไปเล่นด้วย ในกระเป๋าน้องชายจะมีอาหารเม็ดติดไปโรงเรียนด้วยเสมอ ยอมเจียดเงินค่าขนมของตัวเองไปซื้อขนมให้แมว
“จอนนี่...อยู่ตรงนั้นนานรึยัง เห็นน้องชายของฟางไหม เห็นเจ้าซีของฟางไหม”
พร้อมกับคำถามเบาๆ อย่างไม่จริงจังนั้น มีเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากต้นไม้ริมรั้ว ฟ้าสว่างมากแล้ว บวกกับแสงไฟ ทำให้ฟ้ารดามองเห็นร่างของผู้ชายตัวสูงโปร่งที่ปีนขึ้นต้นไม้แล้วไต่ไปตรงสันกำแพง ทำท่าจะกระโดดลงมา คราแรกตกใจนึกว่าเป็นโจรขโมย ทว่าก่อนที่เธอจะร้องให้ใครช่วยหรือทำอะไร เธอก็ทันเห็นหน้าผู้ชายคนนั้น
ซี...เจ้าซี? หญิงสาวรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบ
“เจ้าเหมียวบ้า” ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่เห็นเจ้าของบ้านที่กำลังมีอาการเหมือนช็อกระคนตกใจ “หลอกล่อให้ตามออกไปแล้วหายไปไหนก็ไม่รู้ คอยดูนะ จับได้จะฟัดให้พุงตะ...”
ประโยคบ่นอย่างหงุดหงิดของคนที่อยู่บนสันกำแพงชะงักไป
เมื่อปรายตาไปเห็นคนที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู...
ฟาง?
แววตาเธอยามมองมาสะท้อนความตกใจ...พร้อมน้ำตาที่รินไหลผ่านแก้ม
เป็นซีจริงๆ ใช่ไหม พี่ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม...เจ้าซีกลับมา...แล้ว?
ฟ้ารดาแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เธอเห็น พยายามบอกตัวเองว่ามันเป็นภาพลวงตา จินตนาการของเธอเอง ผู้ชายที่เพิ่งกระโจนลงมาจากสันกำแพงไม่มีทางเป็นน้องชายของเธอ เขาอาจจะเป็นแค่คนหน้าเหมือน เห็นผิวขาวใสเหมือนหยวกกล้วย ดวงตาเรียวแหลม ริมฝีปากบางแต่รูปทรงชัด ยิ่งเขาเดินเข้ามาใกล้ ยิ่งเห็นว่าเป็นผู้ชายที่ตัวสูงมาก เจ้าซีของเธอไม่น่าจะตัวสูงได้ขนาดนี้ ต่อให้เจ้าเปี๊ยกของบ้านพยายามกินนมให้มาก แต่ก็ไม่มีทางสูงจนเธอต้องแหงนหน้าขึ้นมองอย่างตอนนี้ ตอนที่เขามายืนอยู่ตรงหน้า ห่างไม่ถึงครึ่งช่วงแขน
ไม่ใช่หรอกฟาง เจ้าซีไม่มีทางมาอยู่ตรงนี้
แปดปี...เวลาตั้งแปดปี ไม่มีใครทนรอได้...ไม่มีใครทำได้!
ถ้าไม่อยากเสียใจผิดหวังก็เชื่อซะ...ว่าที่เห็นอยู่นี่เป็นคนอื่น
คนที่กำลังเอื้อมมือมาปาดน้ำตาให้เธอ...ไม่ใช่เจ้าซี...ของเธอ
“ฟาง...” เสียงเรียกดูต่างไป ซีของเธอเสียงไม่ได้ทุ้มต่ำขนาดนี้ “ผมกลับมาแล้ว...กลับมาหาฟางแล้ว”
ถึงตอนนี้ฟ้ารดาก็ยังไม่อยากเชื่อ เธอสบตาคนตรงหน้าไม่วาง มองทั้งที่มองหน้าเขาไม่ชัด เพราะน้ำตาทำนัยน์ตาพร่ามัว เห็นเขาเป็นเพียงเงาเลือนๆ แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เธอสะอื้นแรง จดจำการเคลื่อนไหวและรอยยิ้มดีใจของน้องได้ แม้จะไม่ชัด
“ผมคิดถึงฟางมากเลย ขอเจ้าซีกอดฟางหน่อยนะ”
สิ้นเสียงเธอก็ถูกรั้งตัวเข้าไปกอด นี่คือเจ้าซีของเธอจริงๆ แม้เขาจะตัวสูงขึ้นจนสายตาเธอมองไม่พ้นไหล่ แผ่นอกก็กว้างขึ้นจนเธอโอบได้ไม่รอบ
“แปดปี...นานมากรู้ไหมฟาง รู้ไหมผมคิดถึงฟางมาก เจ้าซีคิดถึงฟางจัง”
อ้อมแขนกว้างนั้นกระชับแน่นขึ้นจนคนในอ้อมแขนรู้สึกถึงแรงรัด แต่มันก็ช่วยดึงสติเธอกลับมา สติที่ช่วยทำให้ตัวเธอมั่นใจว่า นี่คือคนที่เธอคิดถึงจริงๆ
“เจ้าซีกลับมาหาพี่ฟางแล้วใช่ไหม นี่คือความจริงใช่ไหม”
เสียงถามเจือสะอื้นนั้นทำให้กนธีคลายอ้อมแขน จึงรู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าตัวสั่น ดวงตาพร่าเลือนมองเขาอย่างไม่แน่ใจ
“พี่ฟาง...ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม บอกพี่ฟางซิเจ้าซี...บอกว่าพี่ไม่ได้ฝันปะ...”
จูบ...คือสิ่งที่กนธีทำหลังจากที่เอื้อมมือไปกุมสองแก้มของคนที่ร้องไห้ไม่หยุด ฟ้ารดาอึ้งไป น้ำตาที่รินไหลก่อนหน้านี้หยุดกะทันหันเพราะความตกใจ จูบนั้นแค่แตะเบาๆ ก่อนจะเน้นน้ำหนักริมฝีปากลงไป ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ แต่แค่นั้นก็ทำเอาคนโดนจูบตัวชา หัวใจหล่นวูบ
ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยจูบอย่างนี้ ตอนเป็นเด็ก พ่อแม่ก็สอนให้จูบแสดงความรักกัน แต่จูบเบาๆ บนแก้มบ้าง ริมฝีปากบ้าง หน้าผากบ้าง แต่นั่นคือตอนเด็ก แทบจำไม่ได้แล้วว่าเธอและน้องไม่ได้จูบกันแบบนี้ตอนไหน น่าจะตอนน้องเริ่มโต จูบหลังจากนั้นที่พอจดจำได้คือเธอเป็นฝ่ายจูบน้องบนแก้ม หน้าผาก หรือไม่ก็กลางกระหม่อม ไม่เคยจูบปากแบบนี้...แบบที่อีกฝ่ายจูบเธออยู่
“เย้ ฟางหยุดร้องไห้แล้ว” คนเพิ่งขโมยจูบพี่สาวไปแกล้งตีเนียนทำตาใสใส่ เพราะเขารู้ว่าทำอีกฝ่ายช็อกไปกับสัมผัสข้ามขั้นที่เขาทำ “ตอนเด็กๆ ฟางชอบทำแบบนี้ ชอบจูบปลอบผม ผมเพิ่งมีโอกาสได้ลองทำบ้าง มันได้ผลนะ...อะไรครับ ทำไมทำหน้างง ผมจูบฟางไม่ได้เหรอ...ผมทำผิดเหรอครับ”
เจ้าตัวร้ายทำหน้าเศร้า แสดงออกว่ารู้สึกระคนเสียใจในสิ่งที่ทำ
“ผมขอโทษ...ขอโทษครับ”
“ปละ...เปล่าจ้ะ พี่ไม่ได้ว่า ซีไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกจ้ะ”
ท่าทางจะยกมือไหว้ของเจ้าตัวร้ายทำให้ฟ้ารดารีบปฏิเสธ เพราะไม่ชอบให้น้องชายเสียใจ หารู้ไม่ว่านั่นคือการแสดงละครล้วนๆ เจ้าตัวร้ายไม่ได้รู้สึกผิดสักนิด แล้วก็ทำเนียนต่อร้องเย้ดีใจ รีบรวบมือพี่สาวมากุมไว้ ก่อนจะดึงมาแนบแก้มตัวเองแสดงอาการอ้อนเอาใจเวลาพี่สาวใจดีด้วย
“ดีจัง ผมนึกว่าเผลอทำให้ฟางไม่พอใจ ดีจังที่ฟางไม่โกรธผม”
“เจ้าซี” ฟ้ารดาเป็นฝ่ายกุมแก้มน้องไว้ นิ่งมองดวงตาคู่นั้นที่เธอคิดถึง แล้วน้ำตาก็เหมือนจะไหลอีกครั้ง “พี่ฟางคิดถึงเจ้าซีมากรู้ไหม พี่ฟางดีใจมากที่เจ้าซีกลับมา...กลับมาเป็นน้องชายที่น่ารักของพี่ฟาง”
เหมือนรอยยิ้มของเจ้าตัวร้ายจะหายไปวูบหนึ่ง แต่ก็เป็นแค่เสี้ยววินาที ก่อนที่เขาจะยิ้มกว้างอีกครั้ง รอยยิ้มที่สดใสและดูใสบริสุทธิ์อย่างที่ฟ้ารดาคุ้นเคย เธอไม่รู้เลยว่าในหัวเขาคิดอะไรอยู่ ประสบการณ์แปดปีที่ผ่านมาทำให้เขาได้เรียนรู้ว่า การสารภาพรักและพูดความจริงออกไปไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ถ้าอีกฝ่ายไม่เข้าใจและไม่พร้อมจะรับฟัง เขาจะไม่พูด แต่เขาจะแสดงออกให้เห็นแบบเนียนๆ จะดึงตัวผู้หญิงคนนี้มาเป็นของเขาให้ได้ โดยใช้คราบของน้องชายที่พี่รักมาเป็นตัวช่วย
“ซีตัวใหญ่ขึ้นมาก สูงขึ้นมากเลยรู้ไหม”
“ผมสูงขึ้นเหรอครับ”
ฟ้ารดาพยักหน้า เธอยิ้ม มองน้องแทบไม่วางตา
“คงใช่ครับ ทีแรกผมก็ตกใจนึกว่าฟางตัวหดสั้นลง ดูๆ ไป ผ่านไปแปดปีความสูงฟางไม่เพิ่มขึ้นเลยใช่ไหมเนี่ย เพราะมัวแต่บอกให้ผมกินนม แต่ตัวฟางไม่ยอมกินแน่ๆ เลยใช่ไหมครับ”
“ใครว่าล่ะ พี่สูงขึ้นตั้ง...สามเซ็นต์”
“แสดงว่าตอนนี้ก็ร้อยห้าสิบ...เอ๊ย ร้อยหกสิบ โอ๊ยฟาง! ผมแค่พูดผิดต้องตีเลยเหรอ ผมเจ็บนะ” เขาร้องโวยวายพร้อมลูบแขน “ไม่เชื่อเหรอ เนี่ยดูสิ แดงเลย” บอกพลางถลกแขนเสื้อให้ดูตรงข้อมือที่ฟ้ารดาเผลอตัวฟาดไป “เห็นไหม แดงเถือกเลย”
“ตายจริง พี่ฟางตีเบาๆ เองนะ”
ฟ้ารดาไม่เคยชินกับกลสำออยของจอมวายร้าย เพราะน้องซีคนเดิมนั้นเป็นเด็กซื่อตรง แต่เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็เริ่มสงสัย เธอแค่ฟาดเบาๆ ไม่มีทางเป็นรอยแดงได้ขนาดนี้ เธอทำหน้าขรึมกลับไป ทำเอาคนโดนรู้ทันหัวเราะกลบเกลื่อน
“ผมล้อเล่นครับ เมื่อกี้ไปไล่จับแมวที่แอบเข้ามาในสวนบ้านฟาง ปีนรั้วออกไป แขนไปครูดกับกำแพงน่ะ”
“แมว? ซีนี่ไม่เปลี่ยนเลยนะ ยังเป็นทาสแมวเหมือนเดิม”
“แล้วก็ยังเป็นทาสฟางเหมือนเดิมด้วย”
เขาพูดเสียงดังฟังชัดอย่างที่เคยพูด แต่ทำไมฟ้ารดากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป แววตายามสบตาเธอก็ยังเป็นคนเดิม หรือเพราะเสียงทุ้มต่ำที่ต่างไป เสียงของผู้ชายที่โตเป็นหนุ่ม ไม่ใช่เสียงแหลมเล็กๆ อย่างที่เคยเป็น ทำให้เธอรู้สึกแปลกไป
“โอ้! นี่ไง เจ้าแมวตัวนี้แหละที่มาหลอกล่อให้ผมออกไป ทีแรกผมว่าจะแอบเซอร์ไพรส์ฟางตรงนี้ รอให้ฟางเปิดประตูออกมา เลยพลาดช่วงเวลาสำคัญเลย ผมควรจะยืนเปิดตัวรอฟางเท่ๆ หน้าประตู ไม่ใช่ให้ฟางเห็นผมทำตัวเป็นลิงปีนกำแพง แย่ชะมัด”
บ่นเสียงเขียวไม่พอใจ แต่ฟ้ารดากลับยิ้มกว้าง มีความสุข
“มานี่เลยนะเจ้าเหมียว มาให้ทำโทษซะดีๆ”
ฟ้ารดามองภาพผู้ชายตัวสูงๆ ที่เดินไปหาเจ้าเหมียวจอนนี่ที่กินอาหารเม็ดอยู่ มันขู่ฟ่อไม่ยอมให้จับ
“อะไรกัน แกเป็นแมวประเภทไหน ไม่ยอมให้ฉันจับเนี่ย คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวจะเจอดี”
“ทำแบบนั้นจอนนี่เขาไม่ให้อุ้มหรอก”
ฟ้ารดาทำสิ่งที่กนธีประหลาดใจ เธอเดินเข้าไปหาจอนนี่ ลูบหัวมันแล้วช้อนตัวขึ้นมาอุ้ม ค่อยๆ ส่งให้คนอยากอุ้มแมวแต่แมวไม่ญาติดีด้วย
“รับไปสิจ๊ะ”
“ฟางกล้าอุ้มแมวแล้วเหรอ”
เมื่อฟ้ารดาพยักหน้า รอยยิ้มใสๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าคม
“นี่แมวที่ฟางเลี้ยงไว้เหรอ”
“ไม่ใช่หรอกจ้ะ จอนนี่เป็นแมวจร เขาไม่ยอมให้ใครเลี้ยงหรอก แต่จะแวะมากินอาหารที่นี่บ้าง คนที่นี่รักจอนนี่ทั้งนั้นแหละ”
“เป็นที่รักนะจอนนี่ เขาอยากเลี้ยงแก แต่แกไม่ยอมให้ถูกเลี้ยงเหรอ”
ฟ้ารดามองภาพทาสแมวที่พูดกับแมวได้อย่างเป็นธรรมชาติด้วยรอยยิ้ม
“เราเลี้ยงแกได้นะ จะเลี้ยงให้ดีเลย อยู่บ้านเรานะ...ไม่เอาเหรอ...ก็ได้ งั้นเราไปหาแมวตัวอื่นมาเลี้ยงก็ได้ อย่ามาเสียใจทีหลังล่ะ...อะไร ไม่ทำหน้าเสียใจหน่อยเหรอ...ฟางดูสิ จอนนี่มันเมินใส่ผม ไม่น่ารักเลย เดี๋ยวผมจะไปหาแมวมาเลี้ยงนะ...เราเลี้ยงแมวกันนะฟาง”
“เรา?”
“ใช่ เมื่อก่อนเราอยากเลี้ยงแมว แต่แม่เอมิแพ้ขนแมวก็เลยเลี้ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้เลี้ยงได้แล้ว ฟางก็ไม่กลัวแมวแล้วด้วย...นะ เลี้ยงกันนะ” เขาเอ่ยอย่างคาดหวังเต็มที่ ในขณะที่อีกคนยังทำหน้างง “ฟางไม่ให้ผมเลี้ยงเหรอ ผมอยากเลี้ยงแมว...นะฟาง เราเลี้ยงแมวกัน”
คำว่า ‘เรา’ นั้นหมายความว่าจะเลี้ยงด้วยกัน...
เลี้ยงที่ไหน...ที่นี่? นั่นหมายความว่าซีจะมาอยู่ที่นี่กับเธอ...
แวบแรกที่คิดได้ ฟ้ารดารู้สึกดีใจจนเผลอยิ้ม
ก่อนรอยยิ้มจะเลือนหายไป...
ต่อให้น้องกลับมาหาเธอ แต่ใช่ว่าเขาจะกลับมาใช้ชีวิตกับเธอได้อย่างเมื่อก่อน
ความคิดเห็น |
---|