5

บทที่ 5

บทที่ ๕


ฟ้ารดาตามขึ้นไปบนห้องนอนของน้องชายเพื่อจะคุยเรื่องที่เขาแสดงออกกับเพ็ญศรี แต่เพียงแค่โผล่หน้าเข้าไปในห้อง ก็ต้องตกใจกับสภาพกระเป๋าเดินทางที่ถูกเปิด ข้าวของในกระเป๋าถูกเทลงพื้นกระจัดกระจายแบบเสื้อไปทาง กางเกงไปทาง บางส่วนก็พันกันอีนุงตุงนัง ของใช้ส่วนตัวอย่างพวกกางเกงใน ถุงเท้า หมวก ครีมบำรุงผิว น้ำหอม โรลออนถูกรื้อออกมากองระเกะระกะ มีสองสามขวดที่กลิ้งไปไกลจากกองของ บ่งบอกว่าพวกมันคงถูกเทออกจากถุงแทนการหยิบมาเรียง

“ทำไมทำอย่างนี้...ประชด?” หญิงสาวทำหน้านิ่ว ไม่เห็นเจ้าของผลงานการประชด แต่ได้ยินเสียงแว่วออกมาจากห้องน้ำ เมื่อก่อนน้องชายเธอไม่ได้เป็นอย่างนี้ แม้ไม่ได้เรียบร้อยแบบผู้หญิง แต่ก็ไม่มีทางรื้อของกระจุยกระจายอย่างนี้แน่นอน “อย่าบอกนะว่านี่ก็คือพฤติกรรมของซาคาอิซัง” 

ถึงแม้จะเพิ่งได้เจอกันไม่ทันข้ามวัน แต่ฟ้ารดาก็รู้ว่าการจะเปลี่ยนพฤติกรรมคนอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วมีทางเป็นไปได้สูงว่ายิ่งพูด ยิ่งบ่น ยิ่งจะทำสิ่งที่ตรงข้าม น่าจะเป็นประเภทพวกดื้อมึน เรียกร้องความสนใจ ทางแก้ไขคือให้ความสนใจและค่อยๆ พูด

“ฟาง...ผมไม่มีแปรงสีฟันละ” 

เสียงพูดดังออกมาจากห้องน้ำ หญิงสาวมองหาในกองข้าวของ เชื่อว่าพวกรักยมคงเตรียมมาให้พร้อม แล้วก็จริง ในกองผ้ามีแปรงสีฟันที่ยังอยู่ในซองใหม่ เธอหยิบไปจะเอาไปส่งให้คนในห้องน้ำที่เปิดประตูแง้มไว้ 

“ถ้าไม่มีผมใช้ของฟางได้นะ เอามายืมก่อน ผมไปเอาในห้องน้ำฟางนะ หรือไปอาบที่โน่นดี”

“ใครเขาใช้แปรงสีฟันกับคนอื่นกัน เดี๋ยวพี่ดูให้...พี่รักยมเตรียมมาให้แล้ว ทำไมซีไม่ดูล่ะ อุตส่าห์รื้อของมากระจุยกระจายซะขนาดนั้น” 

ประตูห้องน้ำเปิดแง้มไว้ ฟ้ารดาจึงคิดว่าคนในห้องน้ำคงยังไม่ได้ทำอะไร เพราะปกติคนจะแก้ผ้าก็คงต้องปิดประตูห้องน้ำก่อน แต่กระนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้คิดจะถือวิสาสะเข้าไป แค่เคาะประตูแล้วยื่นมือเข้าไป 

“เอ้า นี่ไงจ๊ะ” 

“แกะให้ด้วยสิ อยู่ในซองแบบนั้นผมจะใช้ได้ไง” 

ถึงตอนนี้คนพี่ก็ต้องทำให้ เมื่อแกะซองออกแล้วก็ยื่นมือกลับไป 

“ขอบคุณครับ ฟางของผมน่ารักที่ซู้ดดดในโลกเลย ผมรักฟางที่สุดเลยรู้ไหม” 

“ไม่ต้องมาทำเป็นปากหวาน มาหยิบไปเร็วๆ เข้า พี่จะไปเก็บของให้ ทำไมต้องรื้อของออกจากกระเป๋าขนาดนั้นด้วย...มาหยิบไปเร็ว” เธออดบ่นไม่ได้ กระดิกมือที่สอดเข้าไปในห้องน้ำผ่านประตูที่เธอแง้มไว้ “อาบน้ำอย่าลืมล้างซอกหูด้วยนะ ซี...มาหยิบไปเร็วเข้า ทำอะไรอยู่” 

“รอแป๊บ ติดพัน เสร็จแล้ว...มาแล้ว...เมื่อกี้ผมแก้ผ้าอยู่...” 

“แก้ผ้า?” 

ฟ้ารดาตกใจเมื่อประตูเปิดออกพร้อมกับที่มือถูกกระชากจากข้างใน จนตัวเธอถลาตามไปในห้องน้ำ ยังมองไม่เห็นตัวน้องชายที่กระชากประตูเปิด น่าจะอยู่หลังประตู หวังว่าจะไม่... 

“จ๊ะเอ๋!” 

คนทะเล้นโผล่หน้าออกมา ชะโงกตัวออกมาเห็นถึงช่วงราวนมที่เปลือยเปล่า กองเสื้อและกางเกงอยู่ตรงหน้า นั่นบ่งบอกว่าคนที่หลบอยู่หลังประตูไม่ได้ใส่อะไร คิดได้อย่างนั้นใครบางคนก็หน้าซีดเผือด อึ้งเป็นถูกสาป ได้แต่อ้าปากค้าง สบตาเจ้าตัวดีที่ยิ้มค้างและทำหน้าผิดหวัง 

“อะไร ฟางไม่ตกใจเลยเหรอ ทำไมทำหน้านิ่งอย่างนั้นล่ะ โห...แบบนี้แผนสอง!”

ยังไม่รู้ว่า ‘แผนสอง’ ที่อีกฝ่ายบอกหมายถึงอะไร แต่ท่าทางที่กระโจนออกจากหลังประตูก็ทำเอาฟ้ารดาตกใจแทบกรี๊ด หันขวับยกมือปิดตาพลางย่ำเท้าตึงๆ เหมือนจะเดินหนี แต่ขากลับไม่ยอมก้าวออกไปจากจุดนั้น 

“เจ้าซีบ้า! เล่นอะไร อย่ามาเล่นแบบนี้ ไปใส่ผ้าเดี๋ยวนี้นะ! ไม่งั้นพี่จะฟาดด้วยหวายเลย! ยังจะมาหัวเราะอีก ไปใส่เสื้อเดี๋ยวนี้นะ”

“ก็ผมจะอาบน้ำ จะใส่เสื้อผ้าทำไมเล่า” เสียงพูดยังคลอเสียงหัวเราะ “ฟาง...เป็นอะไร คิดว่าผมโป๊เหรอ หันมาดูก่อน ไม่ได้แก้ผ้านะ” ไม่พูดเปล่า ยังใช้มือจิ้มๆ หลังคนที่เข้าใจผิดคิดว่าเขาโป๊ ความจริงคือยังนุ่งผ้าขนหนูอยู่ “หันมาดูก่อน ไม่ได้โป๊หรอกครับ”

ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าใครบางคนจะกล้าแหวกนิ้วตัวเองมองต่ำไปที่หัวเข่าคนที่อยู่ข้างหลัง จึงเห็นว่าเขานุ่งผ้าขนหนูอยู่ อาการถอนหายใจอย่างโล่งอกทำให้คนใช้แผนสองสำเร็จหัวเราะ แล้วรอจังหวะจะเล่นแผนสามในท่าทางที่สองมือกุมขอบผ้าขนหนู รอจังหวะให้พี่สาวหันหน้ามาหา สีหน้าแววตาขุ่น 

“เจ้าซี! แกล้งพี่เหรอ เจ้า...กรี๊ดดด!” 

คราวนี้ได้แต่กรี๊ดและยกมือปิดหน้า เสียงกรี๊ดที่น่าจะดังออกไปไกลจนทำให้เพ็ญศรีที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ได้ยิน แต่ไม่แน่ใจว่าต้นเสียงมาจากที่ไหน ตอนนี้ฟ้ารดารู้แล้วว่าโดนเจ้าซีแกล้งอีกครั้ง เพราะใต้ผ้าขนหนูที่ถูกเปิดยังมีกางเกงบ็อกเซอร์อีกตัว ไม่ได้เป็นภาพชวนใจหายอย่างที่จินตนาการไปแล้ว แต่การได้เห็นผู้ชายเกือบเปลือยอยู่ตรงหน้าก็เป็นภาพที่ชวนตกประหม่า แม้เวลานี้เขาจะพันผ้าขนหนูตามเดิมแล้ว แต่สภาพที่เปลือยท่อนบนก็ยังทำให้สาวเรียบร้อยอายหน้าแดงก่ำ ในขณะที่คนก่อเรื่องหัวเราะถูกใจที่แกล้งพี่ได้

“โอ๋ๆ ผมล้อเล่นน่ะฟาง” ปากบอกว่าโอ๋ แต่สีหน้าและแววตายียวนและมีความสุขสุดๆ ที่เห็นพี่สาวอายหน้าแดง ก้มหน้าต่ำ จนเขาต้องโค้งตัวลงไปส่องหน้า “ทำอย่างกับไม่เคยเห็นผมโป๊ ตอนเด็กเรายังแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันเลย เห็นของกันและกันมาหมดแล้วเนอะ...โอ๊ยยย!”

เป็นอีกครั้งที่เพ็ญศรีหันตามเสียงร้องมาที่บ้านฟ้ารดา

เสียงร้องที่ดังยาวอยู่ครู่หนึ่งจนเจ้าหล่อนมั่นใจว่ามาจากบ้านไหน

“ฟาง! ตีผมทำไม โอ๊ยยย เจ็บๆ...ทำไมเล็บฟางคมขนาดนี้เนี่ย” 

เสียงโวยวายเบากว่าเสียงร้อง แต่อยู่หน้าประตูรั้วก็ยังได้ยิน ก่อนที่เสียงในบ้านจะเบาลงเป็นเสียงพูดปกติ แต่ก็พอรู้ว่ามีคนหนึ่งบ่นอุบที่ถูกตี 

“ยอมแล้วฟาง...ปล่อยๆ นี่ไม่ใช่ปูหนีบแล้ว โอเคๆ ผมไม่แกล้งฟางแล้ว...จะทำตัวดีๆ” 

เสียงกนธีนั้นดังชัดเจน ในขณะที่เสียงฟ้ารดาเบาเกินกว่าคนแอบฟังจะได้ยิน

“สัญญาครับ ไม่ดื้อ ไม่ทะเล้น จะไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลยครับ” 

เพ็ญศรีแทบอยากจะปีนประตูเข้าไปแอบฟังในบ้าน ถ้าหล่อนไม่ติดสายอยู่ 

“อ้าว ฟางไปไหน ยังไม่บีบยาสีฟันให้ผมเลย นะ...ทำให้หน่อย...”

เพ็ญศรีทำหน้าตาเหมือนขยะแขยงสิ่งที่ได้ยิน อาการสะบัดตัวยืนยัน

“เพ็ญว่าคุณพี่ต้องรีบมาแล้วละค่ะ ถ้าชักช้าได้เกิดเรื่องบัดสีขึ้นกับหลานคุณพี่แน่ๆ ดูเจ้าเด็กซีนั่นมันจะร้ายมาก น้องฟางตามเล่ห์มันไม่ทันหรอกค่ะ...ค่ะ...เพ็ญจะพยายาม แต่ไม่รู้จะไหวแค่ไหนนะคะ...ได้ค่ะ ถ้าสินน้ำใจงามขนาดนี้ก็สู้สุดตัวละค่ะ”

เพ็ญศรียิ้มหวานให้โทรศัพท์ก่อนวางสาย แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเมื่อมองกลับไปในตัวบ้าน ยังมีเสียงพูดคุยดังแว่วมาสลับกับเสียงหัวเราะของฝ่ายชาย 

“น่าเสียดาย เกิดมาหล่อรวยเสียเปล่า ต่อให้น่าสนแค่ไหน แต่โรคจิตก็ไม่ไหวนะ...ยี้! น่าขนลุก! บอกว่าชอบคนอายุมากกว่า หวังว่าคงจะไม่มาชอบ...เราหรอกนะ” 


“เด็กดื้อนี่ มันน่าโดนฟาดจริงๆ เลย” ฟ้ารดาพึมพำกับตัวเอง หลังจากผลักเจ้าเด็กนี่ให้กลับเข้าไปอาบน้ำเรียบร้อย เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ส่ายหน้าระอาในความทะเล้นเล่นไม่รู้เรื่องของน้องชาย “เล่นไม่รู้เรื่อง ตัวเองไม่ใช่เด็กแล้วนะ” 

เธอบ่นพึมพำพลางเก็บเสื้อผ้าใส่ตู้ เอาของใช้ต่างๆ ไปวางให้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เสร็จเรียบร้อยก็จะกลับเข้าห้องตัวเองเพื่ออาบน้ำแต่งตัวบ้าง ใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีเธอก็แต่งตัวเรียบร้อย แต่ยังไม่ทันได้ออกจากห้อง ก็มีสายโทร. เข้ามา เพียงแค่เห็นชื่อที่ปรากฏ เจ้าของโทรศัพท์ก็ถึงกับหน้าเสีย 

“สวัสดีค่ะ คุณป้า”

“ตอบป้ามาตามตรงนะฟาง เจ้าเด็กซีนั่นไปหาฟางที่บ้านเช่าใช่ไหม” 

“คุณป้ารู้ได้ยังไงคะ” ฟ้ารดาถาม เพราะตกใจที่ป้าแขไขของเธอรู้ข่าวเร็ว แต่เมื่อมาคิดดูอีกทีก็ไม่ได้แปลกใจ “พี่เพ็ญโทร. บอกคุณป้าเหรอคะ”

“ป้าจะรู้จากใครไม่สำคัญหรอก มันแค่แวะมาเยี่ยมแล้วหนูก็ไล่มันกลับไปแล้วใช่ไหมยายฟาง” 

การไม่ตอบคือคำตอบที่ดีที่สุดและง่ายที่สุดสำหรับฟ้ารดา แต่ดูเหมือนจะยิ่งทำให้เธองานเข้า เพราะมันไม่ใช่คำตอบที่ญาติผู้ใหญ่ของเธออยากได้ยิน 

“กี่ปีๆ ก็ไม่เคยเปลี่ยนนะยายฟาง ไหนรับปากป้าแล้วไงว่าจะไม่ยุ่งกับไอ้เด็กนั่น ไล่มันไปพ้นๆ แล้วยังจะไปยุ่งกับมันอีกทำไม ไม่กลัวมันจะปล้ำเอารึไง หรือจริงๆ แล้วเราก็เป็นโรคจิตเหมือนกัน”

“คุณป้าอย่าพูดอย่างนั้นเลยนะคะ ฟางขอร้อง ซีไม่ได้โรคจิต อย่าว่าน้องซีอย่างนั้นเลยค่ะ ซีแค่...”

“ยายฟาง!” เสียงตวาดสวนออกมานั้นทำให้ฟ้ารดาเม้มปาก “สรุปจะเอายังไง จะไล่ไอ้เด็กนั่นไปไหม”

“ฟางจะไม่ไล่น้องอีก ไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว ซีเพิ่งมาถึง ซีกลับมาหาฟาง เขาเป็นน้องชายฟางนะคะคุณป้า”

“มันไม่ใช่! ป้าจะไม่พูดกับเราเรื่องนี้อีกนะ ต่อให้ฟางคิดว่ามันเป็นน้อง แต่มันไม่ได้คิดอย่างนั้น พี่น้องท้องเดียวกันยังไว้ใจกันไม่ได้เลย แล้วยิ่งไอ้เด็กที่พูดออกมาว่าไม่ได้รักฟางแบบพี่สาว ฟางจะไปอยู่กับมันได้ยังไง ไม่รู้ละ ป้าไม่ยอม ถ้าฟางไม่กล้าไล่มันกลับ งั้นฟางก็บอกมันว่าป้าไม่สบาย ฟางต้องมาดูแล ให้มันกลับไปซะ ไปลางานต่อซะสักอาทิตย์หนึ่ง มาอยู่กับป้า”

“ฟางจะลางานขนาดนั้นได้ยังไงคะ แค่ลาวันนี้ฟางก็เกรงใจคนอื่นจะแย่”

“ถ้าเกรงใจไม่กล้าลาหยุด ก็ลาออก...เดี๋ยวบ่ายๆ ป้าจะให้คุณพลไปรับ เตรียมตัวไว้ล่ะ”

“คุณป้า...” ฟ้ารดาเรียกเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายจะวางสาย “ฟางไปหาคุณป้าไม่ได้ค่ะ ฟางต้องทำงาน นี่คืองานที่ฟางรัก คุณป้าสัญญาแล้วว่าจะให้ฟางทำงานนี้ไปจนครบสองปี อย่าบังคับฟางอีกเลยนะคะ”

“งั้นก็ไปลางาน ป้าไม่มีทางปล่อยให้ฟางอยู่บ้านคนเดียว แล้วมีไอ้เด็กนั่นวนเวียนอยู่ใกล้ตัวหรอกนะ ถ้าคุณพลและครอบครัวเขารู้จะเป็นยังไง” 

“เขาจะมองยังไงก็ช่างเขาเถอะค่ะ มันไม่ได้มีผลต่อชีวิตฟาง” 

“แต่มันมีผลต่อชีวิตป้า มีผลต่อครอบครัวป้า ครอบครัวที่พ่อของฟางเป็นหนี้ ฟางรับปากจะใช้หนี้ให้พ่อไม่ใช่เหรอ จะไม่ใส่ใจเลยเหรอ ป้าก็ไม่ได้จะบังคับให้ฟางแต่งงานกับคุณพล ไม่ได้คิดจะคลุมถุงชน ให้ฟางลองคบกัน ศึกษากันดู แต่ดูสิ่งที่ฟางทำสิ! รู้ว่าคุณพลเขาชอบก็อย่าเล่นตัวนักเลย รับรักเขาซะทีเถอะ ป้าขอร้องละ...คุณพลเขาพร้อมจะปลดหนี้ให้ จะทนโง่ไปทำงานกับเด็กเอ๋อให้เหนื่อยทำไม เป็นคุณนายแต่งตัวสวยๆ ไม่ชอบรึไง”

ฟ้ารดาไม่พูดอะไรอีกเลยแม้แต่คำเดียว เธอรู้สึกว่าป่วยการ พูดไปก็เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น เพราะเคยพูดไปแล้ว แย้งไปแล้วแขไขก็ไม่รับฟัง ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายร่ายยาว เมื่อบ่นจนพอใจแล้วก็จะเงียบไป แล้วเปลี่ยนโหมดมาพูดดีกับเธอ แต่การพูดดีนั้นก็ยังคงยืนยันเจตนาเดิมเสมอ 

“ฟางลูก...ถ้าป้าไม่เดือดร้อน ป้าจะไม่บังคับใจหนูเลย หนูจะยังไม่ตกลงกับคุณพลก็ได้ แต่ก็ทำดีกับเธอหน่อย ป้าไม่ได้คิดดอกเบี้ยครอบครัวหนู แต่ทางบ้านคุณพลเขาเป็นคนอื่นนะ เพราะเขามาชอบหนู อยากได้หนูไปเป็นสะใภ้ก็เลยช่วยผ่อนผันให้ ตอนนี้หนูยังไม่มีเงินมาปลดหนี้ ที่ส่งมาแต่ละเดือนดอกก็ยังไม่พอเลย ป้ารู้ว่าหนูไม่ได้ก่อหนี้เอง หนูไม่ได้ผิดเลย แต่ก็ทำยังไงได้ล่ะ เราเป็นลูกก็ต้องรับผิดชอบ”

“คุณป้าไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ ฟางจะรับผิดชอบ” ฟ้ารดาบอกอย่างที่เคย ทำให้คู่สายยิ้มได้ “แต่ฟางไม่ได้รักชอบคุณพล ยังไงฟางก็ไม่เลือกแต่งงานปลดหนี้ค่ะ”

“ป้าก็ไม่ได้บอกให้แต่ง แค่คบๆ กันดู คุณพลเองก็ขอแค่นั้น ขอแค่โอกาสจากฟาง ลองคบกับเธอดูนะ เวลาเธอชวนไปข้างนอกก็ไปบ้าง โทร. หาก็คุยด้วยบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ตัดบท ทำได้ไหมลูก”

ฟ้ารดาไม่รู้จะเลี่ยงตอบอย่างไรจึงเงียบไป

“งั้นค่ำนี้ป้าจะให้คุณพลไปรับหนูนะ แล้วหนูก็มาอยู่บ้านพักสักอาทิตย์นะจ๊ะ” 

“ฟางไม่อยากลางานค่ะ” 

“งั้นไม่ลาก็ได้ แต่ต้องออกไปดินเนอร์ค่ำนี้กับคุณพล แล้วป้าจะส่งแจ๋วไปอยู่กับหนูที่บ้านโน้น อย่างที่หนูก็รู้ นังแจ๋วแหววเป็นคนงานที่บ้านคุณพลมานานก่อนที่เขาจะให้มาช่วยดูแลป้า เขาคงดีใจถ้าป้าบอกว่าจะส่งนังแจ๋วให้ไปช่วยดูแลหนู แล้วถ้ามีนังแจ๋วเป็นพยานว่าหนูกับเด็กซีนั่นไม่ได้มีอะไร คุณพลเขาคงเชื่อง่ายกว่า งั้นแค่นี้ก่อนนะลูก ไว้ค่ำๆ หนูแต่งตัวสวยๆ ล่ะ คุณพลจะไปรับ”

“คุณป้า...” ฟ้ารดาจะแย้งแต่สายตัดไปแล้ว เธอโทรศัพท์กลับไป แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับสาย “แย่จัง ทำยังไงดีล่ะ” 


“ฟาง ผมเสร็จแล้วนะ” 

ในขณะที่ฟ้ารดากำลังกระวนกระวายใจ เสียงเรียกของกนธีก็ทำให้เธอแทบสะดุ้ง ยังไม่ทันจะพูดอะไร ประตูหน้าห้องก็เปิดออก เผยให้เห็นว่าเจ้าของห้องนั่งหน้าเครียดอยู่หน้าเตียงนอน 

“ขออนุญาตเข้าไปนะ ห้องฟางยังเรียบร้อยเหมือนเดิมเลยนะ”

“ขออนุญาตแล้วต้องรอให้อนุญาตก่อนสิเจ้าซี” 

คนโดนว่าไม่ได้ฟังสิ่งที่พี่สาวเอ็ดสักนิด ยังคงเดินสำรวจห้อง แล้วสายตาก็ไปจับที่รูปถ่ายครอบครัวบนโต๊ะข้างเตียงนอน 

“ว้าว...ฟางใช้รูปนี้วางข้างเตียงเหรอ ผมก็มีรูปนี้ติดกระเป๋าตลอดเลย รูปครอบครัวเรา...” 

รูปที่ว่าเป็นรูปถ่ายครอบครัวครบทั้งสี่คน ตอนนั้นฟ้ารดายังเป็นเด็กหญิงวัยสิบขวบ กนธีแปดขวบ เขายังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ ยังตัวเล็กมากเมื่อเทียบกับพี่สาว 

“นี่ไง ผมให้ดู...” เขาบอกพลางเข้าไปนั่งข้างๆ พี่ ดึงกระเป๋าสะพายไหล่มาเปิด หยิบกระเป๋าเงินแล้วเปิดให้พี่สาวดู “ผมเก็บภาพนี้ไว้ติดตัวเสมอเลยนะ เก็บจนซีดหมดแล้ว แต่ก็ไม่แปลกนะ ตั้งแปดปีมาแล้ว”  

กนธีพูดแล้วยิ้ม รอยยิ้มที่ทำให้ฟ้ารดายิ้มตามได้ แต่ความรู้สึกแย่ๆ ที่เกิดขึ้นหลังบทสนทนาทางโทรศัพท์ยังคงสะท้อนผ่านสีหน้าและแววตาให้น้องสัมผัสได้ 

“ฟางเป็นอะไรรึเปล่า” 

ยังคงไม่ได้คำตอบ แต่อาการเอื้อมมากุมมือเขาไว้บ่งบอกว่าหญิงสาวกำลังต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ คำถามที่ตามมาคือ อะไรทำให้รู้สึกอย่างนั้น อะไรทำให้คนที่เขาห่วงใยรู้สึกแย่ 

“ฟาง อย่าเอาแต่มองผมแล้วเงียบสิ ฟางเป็นอะไร ทำไมทำหน้าเหมือน...จะร้องไห้ล่ะ คิดถึงพ่อกับแม่เหรอครับ”

พอโดนถามน้ำตาก็เหมือนจะไหล แต่หญิงสาวก็ฝืนยิ้มแล้วพาตัวเองออกจากความเศร้า “จ้ะ งั้นไปเถอะ ไปหาคุณพ่อคุณแม่กัน” 

“โอเค ไปกัน” เขาบอกพลางเก็บกระเป๋าเงินใส่กระเป๋าสะพายข้าง แล้วขยับลุกขึ้น โดยช่วยฉุดมืออีกคนให้ลุกตาม แต่ในช่วงที่เขาหันหลังจะเดินนำหน้าไป พี่สาวก็โผเข้ามากอดจากด้านหลัง 

“ฟาง?”

กนธีค่อนข้างตกใจระคนประหลาดใจในสิ่งที่ฟ้ารดาทำ เธอกอดตัวเขาแน่น ซบหน้ากับแผ่นหลัง แต่ยังไม่พูดอะไร ชายหนุ่มพยายามถามว่าเป็นอะไร แต่เธอก็ไม่ตอบ เอาแต่ส่ายหน้าแล้วบอกว่าไม่มีอะไร 

“พี่แค่ดีใจ...ดีใจที่วันนี้ซีกลับมาหาพี่” เสียงพูดสั่นเครือ “พี่ต้องทำยังไงถึงจะได้อยู่กับซีได้...เหมือนเมื่อก่อน พี่ต้องทำยังไง...คนอื่นถึงจะมองข้ามคำว่าพวกเราไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ ถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้...เราเป็นพี่น้องกันใช่ไหมซี เราจะเป็นพี่น้องกันตลอดไปใช่ไหม...พี่ฟางคือพี่สาวซี และเจ้าซีก็คือน้องชายของพี่ฟาง”

กนธีไม่ตอบ แต่เอื้อมมือขึ้นมากุมมือหญิงสาวที่กอดตัวเขาไว้ ตบปลอบเบาๆ จึงเพิ่งสังเกตว่าเธอถือโทรศัพท์ไว้ ถ้าจะมีอะไรที่ทำให้ฟ้ารดาเป็นอย่างนี้ ก็คงเป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นผ่านโทรศัพท์ จากคำพูดที่สะท้อนความหนักใจออกมาทำให้ชายหนุ่มพอจะเดาได้ นั่นเป็นเหตุผลให้เขาขบกรามแน่น

“ใช่ ฟางคือพี่สาวผม” กนธีเลือกพูดสิ่งที่จะทำให้ฟ้ารดาคลายความกดดัน ถ้าเธอสบายใจที่จะได้ยินอย่างนั้น เขาก็จะพูดเพื่อให้คนที่ทำหน้าเศร้าตอนนี้ยิ้ม “แล้วผมก็คือน้องชายที่น่ารักของพี่ฟาง เลิกทำหน้าเศร้าได้แล้วฟาง แปดปีนานเกินพอแล้วที่พวกเราเศร้า ต่อไปนี้ยิ้มๆ นะ”

เขาบอกคนที่เพิ่งคลายอ้อมแขนที่กอดเขาออก ก่อนที่อุ้งมือใหญ่ๆ จะเอื้อมมาแตะผิวแก้มใส 

“ผมกลับมาแล้ว” คำพูดหนักแน่นเมื่อดวงตามองประสานกัน ใบหน้าห่างกันไม่ถึงคืบเมื่อคนตัวสูงกว่าก้มลงหา “แปดปีก่อนที่ผมต้องห่างฟางเพราะเราต่างเด็กทั้งคู่ แต่ตอนนี้ผมโตแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว และผมรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ผมต้องการฟาง จะอยู่กับฟางตลอดไป จะไม่ให้ใครหรืออะไรมาแยกเรา นั่นคือสิ่งที่ฟางเองก็ต้องการใช่ไหม ฟางอยากมีผมอยู่ข้างๆ ฟางใช่ไหม”

ฟ้ารดาพยักหน้าอย่างไม่ลังเล นั่นคือสิ่งที่เธอต้องการที่สุด 

“เพราะงั้นไม่มีอะไรต้องห่วง ผมจะทำให้มันเป็นจริง ฟางเชื่อผมนะ” 

รู้สึกมั่นคง คือสิ่งที่ฟ้ารดากำลังรู้สึก สัมผัสจากมือที่กุมแก้มเธอก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย เพราะอะไรกันนะ ทำไมน้องชายที่เธอเคยเห็นเป็นเพียงเด็กขี้อ้อนคนหนึ่งจึงให้ความรู้สึกอย่างนี้ ความรู้สึกของการเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้รับการปกป้อง เธอพร้อมจะเชื่อสิ่งที่เขาพูด จึงไม่ลังเลที่จะพยักหน้าอีกครั้ง

“งั้นก็ยิ้มได้แล้ว” 

หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่าย นั่นทำให้เธอถูกจูบที่หน้าผาก แต่ก่อนจะทันได้โวยวาย อีกฝ่ายก็ยิ้มใส่จนพูดไม่ออก 

“ให้รางวัลเด็กว่าง่าย วันนี้ฟางทำตัวน่ารักนะ งั้นไปกันเถอะ ไปหาพ่อแม่กัน ถ้าเป็นเด็กดีทั้งวันผมจะพาไปเที่ยว...สวนสนุกดีมะ! หนูฟาง”

“เอาใหญ่นะ! หนูฟางอะไรกัน นี่พี่นะ” คนพี่ทำพองตัวใส่ แต่ดูอย่างไรก็เป็นพี่ตัวจิ๋ว เหมือนชิวาวากับไซบีเรียนฮัสกีตัวใหญ่เป้ง “เรียกใหม่เลย คนนี้ใคร”

“พี่ฟาง” ทำเป็นยอมให้ ส่งผลให้คนโดนเรียกว่าพี่ยิ้ม “พี่ฟางแฟนผมเอง” 

“หือ...” อาการพูดแล้วหันหน้าหนีทำให้ฟ้ารดาได้ยินไม่ถนัด “เมื่อกี้ซีว่าไงนะ”

“อะไร! ไม่ได้พูดอะไร ไปเถอะ ช้ามากแล้ว” เจ้าดื้อไม่พูดเปล่า ยังทำเป็นเอามือวางลงกลางกระหม่อมพี่ จับหมุนให้หันหน้าไปทางประตู ก่อนจะเข้าไปรุนหลังให้เดินนำ “เดินๆ ฟางเดิน สายแล้ว เดี๋ยวซ้อนท้ายรถผมนะ ไปซิ่งกัน”

“ไม่เอาหรอก พี่ไม่ให้ซีขี่รถคันใหญ่แบบนั้นหรอก เนื้อหุ้มเหล็กไม่ปลอดภัย...ไม่ต้องอ้อน ไม่! แล้วพี่ไม่ให้ซีขับรถด้วย พี่จะขับเอง...เพื่อความปลอดภัย”

“ผมขับได้ ขับรถดี พ่อผมมีบริษัทผลิตรถนะ ทำรถแข่ง มีสนามแข่งด้วย ผมเป็นนักเข่งด้วยนะ อย่างน้อยก็เคยเป็น ก่อนจะดีแตก โดนเตะออกจากทีมเรื่องความไร้วินัย แต่ยังไงผมก็ขับรถดีนะฟาง”

“ไม่ใช่ซี แต่เป็นซาคาอิซัง แล้วนี่ถนนเมืองไทย ไม่เหมาะจะให้คนของขึ้นง่ายอย่างนั้นมาขับรถเมืองไทย เพราะงั้นขอกุญแจรถพี่ด้วย”

“เอาจริงง่ะ” ถามพลางล้วงหากุญแจรถ แล้วเหมือนจะนึกอะไรได้ “รถมันแรงมากนะฟาง ผมว่าฟางเอาไม่อยู่หรอก เชื่อผม อย่าหาว่าหล่อไม่เตือน!”


แม้พ่อแม่จะไม่อยู่บนโลกนี้ แต่ถ้าไม่ถูกญาติสนิทโกงอย่างไร้ความปรานี ชีวิตของฟ้ารดาและกนธีก็คงไม่ต้องลำบาก เพราะพ่อและแม่ทำประกันชีวิตไว้ ถึงบ้านจะยังผ่อนไม่หมด แต่เงินและสมบัติอื่นๆ ที่พ่อแม่ทิ้งไว้ก็สามารถเอามาใช้หนี้ได้หมด และเหลือพอให้สองพี่น้องใช้เป็นทุนการศึกษาและอยู่ได้จนกว่าพวกเขาจะโตพอดูแลตัวเอง 

อานนท์เป็นลูกชายคนเล็กของบ้าน ด้วยความที่เป็นคนหัวอ่อน ไม่สู้คนและเป็นคนจิตใจดี ชีวิตเขาจึงถูกคนเอาเปรียบ ไม่เคยต่อสู้ ลูกคือสิ่งเดียวที่ทำให้เขาต่อสู้ เขายอมเสียทุกอย่าง ยอมเซ็นยกทุกอย่างให้ภรรยาเก่าแลกกับการได้ลูกมาเลี้ยง ทำให้สมบัติที่พอมีหมดไป ญาติๆ แทบจะตัดขาด เจอแต่ละครั้งก็ค่อนขอด พูดถึงความโง่ที่ยอมให้ทุกอย่างแก่เมียเก่า จนชีวิตลำบาก ไม่มีที่ซุกหัวนอน  

แต่สำหรับอานนท์เขามีความสุข เพราะได้สิ่งที่มีค่าที่สุด นั่นคือฟ้ารดา แม้ชีวิตจะยากลำบากก็ไม่เคยนึกเสียใจกับการเลือก ชีวิตเขาเติมเต็มแล้ว คิดอย่างนั้นกระทั่งได้เจอเอมิและกนธี นี่ต่างหากชีวิตที่ถูกเติมเต็ม ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบของเขาเริ่มขึ้น และเชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้นไปจนแก่เฒ่าและจากโลกนี้ไปเมื่อถึงเวลา แต่เวลาที่ว่ากลับมาถึงเร็วจนพวกเขาไม่ทันได้ทำสิ่งที่จะปกป้องลูกๆ ของพวกเขา 

การตายอย่างกะทันหัน ไม่ได้มีพินัยกรรมใดๆ ไว้ขณะที่ลูกยังไม่บรรลุนิติภาวะทำให้เกิดปัญหา ทั้งสองต้องตกไปอยู่ในการปกครองของญาติฝ่ายอานนท์ ซึ่งต่อให้มีหลายคน แต่เมื่อพวกเขาตกลงแบ่งผลประโยชน์ลงตัว โดยมีแขไข พี่ใหญ่ของบ้านเป็นหัวเรือ ทำให้สุดท้ายฟ้ารดากลายเป็นคนที่ต้องชดใช้หนี้ให้พ่อ หนี้ที่ไม่ได้มีจริง เพียงแค่พวกเขาพูดขึ้นมาเพื่อสิทธิ์อันชอบธรรมในการขายทุกอย่างของอานนท์และเอมิ โดยที่คำแย้งของฟ้ารดาและกนธีไม่มีพลังอะไรเลย 

‘ยายฟางเป็นหลานพวกฉัน แต่เธอไม่ใช่ จะมาอยู่ให้พวกฉันรับภาระไม่ได้ พูดแต่จะอยู่ด้วยกัน ขออยู่ด้วยกัน แล้วเคยคิดไหมว่ามันต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง พวกฉันแบกรับภาระพวกเธอไม่ได้หรอกนะ มีญาติมีพ่ออยู่ก็กลับไปอยู่กับพวกเขาสิ ไม่ใช่ญาติพี่น้องจะมาหน้าด้านอยู่ให้คนอื่นเลี้ยงทำไม’

นั่นคือสิ่งที่คนเหล่านั้นพูดใส่หน้ากนธี พูดแต่ว่าไม่ใช่ญาติ พวกเขาจะไม่มีทางเลี้ยง 

‘แล้วไม่ต้องพูดถึงเงินประกันหรอกนะ แค่จัดงานก็จะหมดแล้ว ไหนจะหนี้สินที่พ่อแม่พวกเธอทิ้งไว้อีก ถ้าหวังดีกับพี่สาวก็ไปซะ เก็บเงินที่แทบจะไม่มีเหลือไว้ให้พี่สาวกิน ต่อให้มันแทบจะไม่พออยู่ได้ถึงเดือน ยังไงยายฟางก็หลานพวกฉัน ลุงๆ ป้าๆ อย่างพวกฉันก็ไม่มีทางปล่อยให้หลานอดตายหรอก’

‘ใช่ พี่แขพูดถูก ไปเถอะซี ลุงเห็นด้วย ไม่ต้องห่วงฟาง ไปอยู่กับพ่อตัวเองเถอะ จะมาอยู่กับคนที่ไม่ใช่ญาติทำไม ถ้ายังไม่เชื่อเรื่องที่บอก จะตรวจดีเอ็นเอดูก็ได้ว่าเธอกับยายฟางไม่ใช่พี่น้อง’

กนธีไม่ได้แย้ง ไม่ได้พูดอะไรเมื่อถูกลุงป้ามากดดัน อย่างไรก็ยังคงยืนกรานว่าจะไม่ไปไหน จะอยู่กับพี่สาว ไม่มีใครเลี้ยงเขาก็จะหาเงินใช้เอง ดูแลตัวเองในบ้านที่พ่อแม่ทิ้งไว้ เมื่อไล่เองไม่ได้ พวกนี้ก็หันไปกดดันฟ้ารดา พูดอย่างที่พูดกับกนธี ทำให้ฟ้ารดาเครียด แทบจะใช้ชีวิตต่อไม่ได้ แต่พวกผู้ใหญ่เหล่านั้นก็ไม่ได้สนใจ สุดท้ายกนธีก็ต้องยอม เพราะไม่อยากเห็นพี่สาวต้องร้องไห้อยู่ตลอดเวลาเพราะปัญหาที่ถาโถมเข้ามา

‘ผมขอแค่สองอย่าง ดูแลฟางให้ดี และไม่ว่ายังไงก็ห้ามขายบ้าน สัญญากับผม...รับปากแล้วก็ทำให้ได้ ถ้าผิดสัญญากับผม ต่อให้ต้องแลกกับทุกอย่างที่มี ผมก็จะให้พวกป้าแขชดใช้!’

สำหรับบรรดาญาติๆ นั่นก็แค่คำพูดของเด็กสิบห้า ที่ตลอดมาพวกเขาคิดว่าเป็นเด็กหัวอ่อน เด็กเอ๋อ โรคจิตที่ไม่ได้ดูน่ากลัวเท่าไร เด็กคนนี้ไม่เคยดื้อกับพวกเขา จะมีก็แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องที่ต้องถูกจับแยกกับพี่สาว เรื่องที่ให้ออกจากบ้านพ่อแม่ ที่เขาเพิ่งแสดงความดื้อแพ่ง ไม่สนใจอะไร ยืนกรานคำเดียวว่าจะไม่ออกจากบ้าน จะไม่ให้พี่สาวไปจากบ้าน ถ้าพี่ไปไหนเขาก็จะไปด้วย 

ทว่าสำหรับกนธี คำขอสองข้อนั้นคือคำมั่นสัญญาที่เขาเดิมพัน เชื่ออย่างสนิทใจว่าพวกผู้ใหญ่จะทำตาม เชื่อว่านี่คือการเสียสละเพื่อให้พี่สาวได้รับการดูแลที่ดีและลดแรงกดดันที่มีต่อพี่สาว การเสียสละที่จะทำให้เขารักษาบ้านพ่อและแม่ไว้ได้ แต่สุดท้ายคนพวกนั้นไม่รักษาสัญญา ไม่เคยรักษาสัญญา

“ผมกลับมาแล้วครับแม่ เจ้าซีกลับมาแล้ว”

‘แม่’ ที่กนธีรู้จักคือผู้หญิงเก่ง สดใส กล้าตัดสินใจ เมื่อแม่เลือกทางเดินเส้นไหนแล้ว แม่ก็จะก้าวต่อไป จะไม่มาเสียเวลาย้อนคิดเรื่องเก่า เรื่องที่กลับไปเลือกใหม่ไม่ได้ เขาเองก็จะทำอย่างนั้น เรื่องเมื่อแปดปีก่อนที่เขาเลือกผิด มันแก้ไขไม่ได้แล้ว การตัดสินใจของเด็กสิบห้าผิดพลาดหลายเรื่อง ทำให้เขาต้องมาอยู่ในสภาพนี้ มันแย่ และในวัยแค่นั้นก็ทำได้เพียงเท่านั้น แต่วันนี้ในวันที่เขาโตแล้ว เขาตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิตไปแล้ว ตัดสินใจว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงที่กำลังวางกุหลาบดอกใหญ่หน้าป้ายหลุมศพของพ่อ 

“พ่อขา เจ้าซีของพ่อกลับมาแล้วนะคะ กลับมาหาฟางและพวกเราแล้ว” ดวงตาซึ่งมีหยาดน้ำใสคลอจ้องมองรูปผู้ชายที่อ่อนโยนที่สุดในความรู้สึกของลูกสาวคนนี้ “พ่อเห็นไหม เจ้าซีของพ่อโตขึ้นมากแล้ว จำได้ไหมคะ พ่อเคยกลัวว่าซีจะตัวเล็ก ก็ขุนให้เขากินอาหารที่มีประโยชน์ กินนม เล่นบาส โหนบาร์ เจ้าซีของพ่อก็งอแง ไม่อยากทำไม่อยากกิน จนพ่อกับแม่ทะเลาะกัน”

“พ่อนนท์กับแม่เอมิเคยเถียงกันด้วยเหรอฟาง ผมไม่ยักจำได้ แล้วพ่อนนท์จะไปทะเลาะกับใครได้ แค่แม่ทำเสียงต่ำๆ ใส่ก็กลัว ทำหน้าหงอแบบนี้แล้ว คนแบบนั้นทะเลาะกับใครไม่เป็นหรอก”

“ซี! ล้อเลียนพ่อไม่ได้นะ” ฟ้ารดาทำเป็นเอ็ด แต่ก็หลุดขำท่าทางที่กนธีแสดงออกเหมือนที่พ่อของเธอเคยทำเวลาถูกแม่ทำเข้มใส่ “ยังจะมาทำทะเล้นใส่พี่อีก นี่สมแล้วที่แม่เอมิเรียกเจ้าดื้อ”

“ก็ดื้อได้แม่ไง ลูกแม่ก็ต้องได้แม่มาเยอะเป็นธรรมดา ใช่ไหมครับ” คำถามสุดท้ายคนพูดเบือนหน้ามาหารูปถ่ายของเอมิบนป้ายหลุมศพ “นี่ไม่ใช่คำพูดผมนะแม่ คำพูดพ่อนนท์นะ แม่อย่ามาทำสายตาแบบนั้นตำหนิผม ใช่ไหมฟาง ฟางจำได้ใช่ไหมว่ามันคำพูดพ่อนนท์” 

ฟ้ารดาพยักหน้า “น้องพูดจริงค่ะแม่ พ่อนนท์บอกว่าเจ้าซีดื้อได้แม่มาเพราะเป็นลูกชายแม่ ส่วนฟางว่าง่ายได้พ่อเพราะเป็นลูกสาวพ่อ” 

ตอนนั้นฟ้ารดาคิดว่ามันก็แค่คำพูดหยอกล้อกันเล่นของคนในครอบครัว ไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไร เมื่อย้อนคิดหลังรู้ความจริงว่าเธอและน้องต่างเป็นลูกติด ก็มีหลายครั้งที่พ่อและแม่มักหลุดปากบอกความจริงข้อนี้ ความจริงที่เธอไม่ได้ระแคะระคายใดๆ ความจริงที่เธออยากจะลืม พยายามบอกตัวเองว่าไม่สำคัญ ความเป็นพี่น้องยังคงอยู่ ช่วงเวลาสิบกว่าปีที่ใช้ชีวิตด้วยกันแบบพี่น้องสำคัญกว่าสายเลือด 

“ลูกสาวพ่อ แต่สวยเหมือนแม่” กนธีพูดในสิ่งที่ทำให้คนหน้าเศร้าข้างๆ หันไปมอง “คนชอบพูดว่าฟางสวยได้แม่เอมิ ตอนนั้นผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ ฟางเมื่อก่อนไม่ได้สวยเหมือนแม่ซะหน่อย ฟางขี้เหร่กว่าแม่เยอะ” 

คราวนี้คนโดนหาว่าตอนเด็กขี้เหร่หน้าคว่ำโดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้อีกคนหัวเราะ แต่ก็ยังคงสบตาแม่ในรูปถ่าย เพราะยังพูดไม่จบ 

“แต่ตอนนี้ฟางสวยแล้ว สวยเท่าแม่เลย” เขาบอกน้ำเสียงจริงจัง จนคนโดนชมอมยิ้มอย่างไม่รู้ตัว “สวยสมกับเป็นลูกสาวแม่ ทั้งที่ฟางไม่ได้เกิดในท้องแม่ แต่ทำไมให้บรรยากาศเหมือนแม่ได้นะ แปลกไหมครับแม่” 

“ไม่แปลกหรอกใช่ไหมคะ แม่เอมิ” ฟ้ารดาเอ่ยขณะมองรูปหญิงสาวบนป้ายหลุมศพ ก่อนจะเบือนหน้ามาทางผู้ชายข้างๆ “ซีไม่เคยได้ยินเหรอ เด็กจะเหมือนคนที่เลี้ยงดู พี่ก็เลยหน้าเหมือนแม่เอมิไง” 

“แต่เท่าที่ผมจำได้ แม่เอมิไม่ค่อยได้เลี้ยงฟางเท่าไหร่นะ เหมือนหน้าที่เลี้ยงจะเป็นของพ่อนนท์ ผู้ชายที่ใช้ชีวิตอยู่กับผ้ากันเปื้อน ผมมาย้อนคิดดูนะ แม่เอมิรักผู้ชายอย่างพ่อนนท์ได้ยังไง พ่อนนท์ต่างกับคาโอรุมาก”

“คาโอรุ?”

“พ่อผม...หมายถึงพ่อแท้ๆ ของผม”

“ทำไมเรียกพ่อด้วยชื่อล่ะซี มันดูผิดปกติไปไหม”

“ก็ตอนแรกไม่สนิท ตอนนั้นเกลียดด้วย ชอบมาบังคับ เลยเรียกชื่อประชดเลย แล้วมันก็ติดปาก หมายถึงตอนแรกน่ะนะ แล้วพ่อในความรู้สึกผมคือพ่อนนท์ คาโอรุเป็นเหมือน...” กนธีทำหน้าคิดเหมือนกำลังหาคำจำกัดความของผู้ชายที่เป็นบิดา “เพื่อนรุ่นพี่”

“หา? พ่อเนี่ยนะเหมือนเพื่อนรุ่นพี่” ฟ้ารดาแทบจะฟาดแขนน้องที่หัวเราะสีหน้าเธอ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมลงให้เมื่อเธอมีสิ่งที่อยากรู้เพิ่มเติม “พ่อคาโอรุของซีต่างจากพ่อนนท์ของเรายังไง”

“คาโอรุเป็น...เพลย์บอย มีลูกตั้งแต่อายุสิบแปด”

“หมายถึงลูกคือซี?” กนธีพยักหน้า “มีลูกตั้งแต่เด็กขนาดนั้น ตอนนี้มีลูกไปกี่คนแล้วล่ะ...แค่ซีเหรอ เป็นไปได้ไง”

“เพราะหลังจากเลิกกับแม่ คาโอรุก็ไม่เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงเลย” กนธีทิ้งระยะให้ฟ้ารดาคิดตาม แล้วเธอก็ทำตาโตเมื่อคิดอะไรบางอย่างได้ “ใช่...คาโอรุเป็นไบ หลังเลิกกับแม่ เขาก็ไม่มีแฟนเป็นผู้หญิง คู่รักของคาโอรุตอนนี้เป็นผู้ชาย แต่ก็ไม่ได้เปิดเผย ตบแต่งออกหน้าออกตาหรอกนะ แต่อยู่ด้วยกันแบบคู่ผัวเมีย”

ฟ้ารดาไม่รู้จะแสดงสีหน้าอย่างไร เธอเฝ้าสังเกตท่าทีของคนเล่าที่พูดเรื่องนี้เหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไป “ซี...รู้เรื่องนี้ตอนไหน ใครบอกเหรอ”

“รู้หลังจากที่ไปญี่ปุ่นได้สักพัก คาโอรุบอก” 

ฟ้ารดาถามว่าตอนรู้เรื่องนี้ เขารู้สึกอย่างไร 

“ก็อึ้งเหมือนฟางตอนนี้ไง จากนั้นก็ขยับออกห่างเลย คาโอรุคงขำเหมือนผมขำฟางตอนนี้ แล้วก็พูดกับผมว่า ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ใช่พวกกินเด็ก โดยเฉพาะลูกตัวเอง” พูดเสร็จก็หัวเราะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น “คาโอรุคือเพลย์บอยจริงๆ นะ เป็นจริงก่อนจะได้เจอคู่รัก แฟนปัจจุบันที่เขาอยู่ด้วยกันมาน่าจะยี่สิบปีได้แล้ว ไม่ได้ปกปิด แต่ก็ไม่ได้เปิดเผย พวกเขาเป็นคู่รักที่รักกันดี แฟนคาโอรุดุมาก ให้บรรยากาศเหมือนแม่เอมิ เอมิจังฉบับผู้ชาย...สวยดุ”

สิ่งที่น้องชายเล่าถึงกับทำเอาฟ้ารดาพูดไม่ออก แต่ในความไม่รู้จะพูดอะไรกลับทำให้เธอรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด อยากฟังเรื่องราวของน้องชายตอนไปอยู่ที่โน่นอีก มีเรื่องมากมายที่เธออยากฟัง อยากรู้ แต่ก็ไม่อยากถาม จึงได้แต่รอให้อีกฝ่ายถ่ายทอดออกมาเอง แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่เธอข้องใจจนต้องถาม

“แม่เอมิรู้เรื่องนี้ไหม รู้ว่าคุณพ่อคาโอรุเป็นไบ” 

“ฟางหมายถึง พวกเขาเลิกกันเพราะเรื่องนี้หรือเปล่าใช่ไหม” 

ฟ้ารดาพยักหน้า 

“พวกเขาไม่ได้เลิกกันเพราะเรื่องนี้หรอก เลิกกันเพราะคาโอรุเจ้าชู้ กะล่อน ปลิ้นปล้อน ปลาไหลเรียกพี่ ตอนนั้นยังเด็กด้วย จนแม่ทนไม่ได้ก็เลิกกัน จบกันด้วยดีนะ”

“พ่อคาโอรุเล่าให้ซีฟังเหรอ”

“เปล่า ยูสึเกะจังเล่าให้ผมฟัง...ก็แฟนคาโอรุไง แม่เลี้ยงผม” 

“ซีสนิทกับพวกเขานะ ตอนแรกพี่ก็ห่วง ฟังเรื่องเล่าของซีจากพี่รักยมก็สงสารซีมาก แต่พอได้ฟังผ่านคำบอกเล่าของซี มันก็ทำให้ความเศร้าในใจพี่คลายลงบ้าง อย่างน้อยก็ดูจะมีคนที่รักซีมากอยู่ด้วย”

กนธีพยักหน้าเข้าใจสิ่งที่ฟ้ารดาอยากบอก 

เขาเลือกที่จะบอกเล่าสิ่งดีๆ เพราะไม่อยากให้พี่สาวห่วง 

ทั้งที่ความจริง มันก็มีเรื่องเจ็บปวด ขื่นขม...จนไม่อยากพูดถึง

“ผมน่ารัก หล่อด้วย ใครๆ ก็รักผมแหละ ดูพี่รักยมสิ รักผมจะตาย คนรักเจ้าซีของฟางเต็มไปหมดนะ ไม่ต้องห่วง ผมโอเค” เขาบอกอย่างอ่อนโยน เผลอยกมือขึ้นวางกลางกระหม่อมคนพี่ “หนูฟางไม่ต้องห่วงนักหรอกนะคะ เจ้าซีโอเค”

“ลามปามนะเจ้าเด็กดื้อนี่” ฟ้ารดาขู่ฟ่อ พยายามดึงมือที่วางบนหัวเธอออก แต่สู้แรงไม่ไหว “พอเลย เป็นเด็กเป็นเล็กจับหัวผู้ใหญ่ไม่ดี ไม่สุภาพ...พอเดี๋ยวนี้เลย”

คนโดนเอ็ดหัวเราะ แต่ก็ยอมดึงมือกลับเพราะกลัวโดนปูหนีบ จากนั้นก็ขยับลุกขึ้นยืน ส่งมือให้อีกคนจับแล้วฉุดให้เธอลุกตาม แสงแดดทอผ่านกิ่งก้านไม้ใหญ่กระทบร่างคนทั้งคู่ที่ยืนขึ้นเคียงกัน คนเป็นน้องตัวสูงกว่าคนพี่มากกว่าหนึ่งฟุต ในขณะที่คนเป็นพี่สาวต้องเงยหน้าคุยกับน้อง โดยเฉพาะตอนที่ยืนห่างกันไม่ถึงก้าวเดิน

“ไหว้แม่เสร็จแล้วไปไหนดีฟาง” 

ฟ้ารดากำลังคิด แต่อีกฝ่ายเสนอขึ้นก่อน 

“ไปลิตเติ้ลบีไหม อยากรู้ละสิว่าคือที่ไหน เดี๋ยวผมพาไป รับรองว่าฟางต้องชอบมากแน่ๆ” 


“ขับเลยแล้ว! ผมว่าน่าจะเลี้ยวเมื่อกี้นะฟาง” กนธีชี้กลับไปยังซอยที่รถสปอร์ตหรูเพิ่งแล่นผ่าน “ซอยนั้นแน่ๆ ผมว่าฟางเข้าเลนผิด ให้ผมขับดีกว่า...อย่าฝืนเลยนะฟาง สัญญาว่าจะขับเบาๆ ไม่ขับน่ากลัวเหมือนตอนมาหรอก แบบนี้เราไม่มีทางไปถึงลิตเติ้ลบีแน่ๆ นี่ผมหิวจะแย่แล้วนะ มื้อเที่ยงก็ยังไม่ได้กิน”

ฟ้ารดายังคงไม่ยอม จนกระทั่งเลี้ยวไม่ทันอีกรอบเพราะเข้าเลนผิด หญิงสาวขับรถได้แต่ก็ไม่ค่อยได้ขับ และมีความเกรงใจเรื่องปาดหน้า เรื่องใช้ความเร็วในการแหวกรถคันอื่นๆ ไปไม่ต้องพูดถึง ไม่มีทางทำได้ นอกจากนั้นยังขับช้าเป็นเต่าจนโดนบีบแตรไล่หลายรอบ แต่กระนั้นเธอก็ไม่อยากให้อีกคนมาขับ เพราะเคยยอมไปรอบแล้วตอนมาจากบ้าน กว่าจะถึงสุสานทำเอาลมแทบจับ พอรถจอดได้ก็แทบจะอ้วกแตก ทำให้ครั้งนี้ไม่อยากยอม 

“ฟาง เจ้าซีสัญญา จะไม่ขับเร็วเกินร้อยห้าสิบ...โอเค ร้อยยี่สิบ...โอเค ร้อย จะทำเข้มทำไมเนี่ย กทม. รถติดจะตาย อย่าว่าแต่ถึงร้อยเลย ห้าสิบก็ยาก น่านะ สัญญา รู้แล้วว่าฟางเมาเวลานั่งรถเร็วๆ” 

ฟ้ารดายังคงไม่ยอม แต่คราวนี้ก็ออกตัวช้า โดนบีบแตรไล่อีกหน 

“ขอเถอะนะ เลี้ยวไปจอดข้างทางเลย แล้วมาสลับที่นั่งกัน...นั่นปั๊ม เลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันเลย”

“ก็ได้ แต่ซีห้ามขับเร็วเกินหกสิบนะ!”

เมื่อเจ้าดื้อยอมพยักหน้าให้ ฟ้ารดาจึงเลี้ยวรถเข้าไปในปั๊มน้ำมัน พอรถจอดสนิทกนธีก็รีบลงจากรถ อ้อมมาเปิดประตูให้หญิงสาวที่ยังคงไม่ก้าวขาลง 

“สัญญากับพี่แล้วนะ ถ้าซีขับน่ากลัวอีก พี่จะฟาดด้วยหวาย สามทีเลย!”

“ให้ฟาดห้าทีเลย” เขาทำทะเล้น ก้มลงคุยกับคนที่ยังคงนั่งลังเลอยู่หลังพวงมาลัย 

“ไว้ใจได้แน่เหรอ ซีขับรถน่ากลัว”

“ผมไม่ได้ขับน่ากลัว ฟางขี้กลัวเองละ ลงเร็วเข้า” 

หญิงสาวยังคงไม่ขยับ จนกนธีต้องเข้ามารั้งตัวออกไป พาไปส่งที่เบาะข้างคนขับ ปิดประตูให้เรียบร้อยแล้วก็กลับมาประจำหลังพวงมาลัย สตาร์ตเครื่องและอดแกล้งไม่ได้ เหยียบคันเร่งทำเสียงกระหึ่ม ทำเอาพี่สาวหันมาชี้หน้า 

“ล้อเล่น ขับเบาๆ ไปช้าๆ ก็ถึงเหมือนกัน”

ไอ้เจ้าดื้อล้อเลียนคำพูดพี่สาวเมื่อก่อนหน้านี้ แต่กระนั้นก็ยอมทำตาม ขับรถไปช้าๆ ตามจีพีเอสไป ทุกอย่างราบรื่นจนผู้โดยสารวางใจ จึงหันกลับมาคุยเรื่องที่คุยค้างไว้

“ก่อนหน้านี้ฟางบอกว่ามีคนรู้จักทำร้านกาแฟชื่อลิตเติ้ลบี?” เขาเกริ่น ฟ้ารดาพยักหน้า “แล้วฟางคิดว่าน่าจะเป็นที่เดียวกับที่ผมจะพาไปงั้นเหรอ ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ อาจจะแค่ร้านกาแฟที่ชื่อเหมือนกันก็ได้ โลกคงไม่กลมขนาดนั้นหรอกมั้ง ร้านนี้ภรรยาอากิระซังเป็นเจ้าของ”

“ภรรยาอากิระซัง? ที่ซีบอกว่าเป็นยากูซ่าน่ะเหรอ” 

กนธีพยักหน้า ฟ้ารดาทำหน้าครุ่นคิด 

“งั้นคงไม่ใช่หรอก คุณผึ้งที่พี่เคยรู้จักเธอไม่น่าจะใช่ภรรยายากูซ่า เธอน่ารัก ใสๆ พี่เจอเธอถ้าจำไม่ผิดก็ตอนพี่มาทำงานที่บ้านรักษ์ใจใหม่ๆ เธอมาทำบุญ เอาขนมน้ำหวานมาเลี้ยงเด็กๆ ระยะหลังเธอไม่ได้มาทำบุญเอง แต่จะส่งขนมและน้ำหวานมาช่วยเสมอ พี่จำเธอได้เพราะเธอเป็นคนสวย โลโก้ร้านเธอก็เป็นรูปผึ้ง เหมือนลิตเติ้ลบีที่ซีจะพาไปเลย แต่ฟังจากที่ซีเล่า พี่ว่าคงไม่ใช่แหละ คุณผึ้งคนนั้นไม่น่าจะไปเป็นภรรยายากูซ่าได้หรอก”

“หึ...แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าน่าจะเป็นผึ้งเดียวกัน”

“หือ ผึ้ง? เจ้าของลิตเติ้ลบีชื่อผึ้งเหรอซี” เธอถาม กนธีพยักหน้า “มีรูปไหมล่ะ ขอพี่ดูรูปหน่อยสิจ๊ะ”

“ผมว่าไปเจอเดี๋ยวก็เห็น ใกล้ถึงแล้วนี่ ว่าแต่ฟางชอบเด็กใช่ไหม ที่นั่นมีเด็กด้วยนะ ชื่อคานะจัง เป็นลูกสาวยากูซ่า วัยสามสี่ขวบนี่แหละ เป็นเด็กพี่รักยมหลงกันมาก ชมปร๋อว่าเป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้ แสบสมกับเป็นลูกสาวอากิระซังเลย ที่สำคัญน่ารักมาก น่ารักเหมือนฟางตอนเด็กๆ เลย”

“แสบ? แล้วทำไมบอกว่าน่ารักล่ะ” 

“แสบ แต่หน้าตาน่ารักไง ไม่ต้องทำหน้างง ไปถึงเดี๋ยวก็เจอ นอกจากฟางแล้ว คนที่ผมเห็นว่าน่ารักก็คานะจังนี่แหละ แต่ผมไม่ค่อยได้ไปเล่นด้วย พ่อเขาหวงลูกสาวมาก” 

ยิ่งกนธีพูดถึง ‘อากิระซัง’ มากเท่าไร ฟ้ารดาก็ยิ่งนึกภาพยากูซ่าคนนั้นไม่ออก แต่กระนั้นหญิงสาวกลับรู้สึกดีที่จะได้ไปเจอผู้ชายคนนั้น คนที่น่าจะเป็นอีกคนที่ให้ความรักความเมตตาน้องชายเธอตอนที่อยู่ญี่ปุ่น

“ถึงแล้ว...นั่นไงฟาง ลิตเติ้ลบี ผมเองก็เพิ่งเคยมาครั้งแรก มาลุ้นกันว่าวันนี้จะได้เจออากิระซังไหม”

“หือ? ไม่ได้นัดก่อนเหรอจ๊ะ”

“นัดก่อนส่งข่าวก่อนก็ไม่ได้เจอสิครับ อากิระซังชอบหนีผม”

“ทำไมต้องหนี” 

ฟ้ารดาไม่ได้คำตอบ แต่น้องชายหัวเราะ มองเข้าไปในลิตเติ้ลบี เห็นขบวนรถหลายคันที่จอดอยู่ในโรงรถด้านในก็เดาได้ว่างานนี้เขาคงได้สมหวัง 

“ทำหน้าตาเจ้าเล่ห์แบบนั้นหมายความว่าไงซี มีแผนร้ายอะไรอยู่ในหัวใช่ไหม”

“อะไรกันฟาง ถามผมอย่างนั้นได้ไง นี่ใคร เจ้าซี...ไม่ใช่ตัวร้ายนะ อย่ามาถามแบบนั้น ผมเสียใจนะ”

“เจ้าซีคนเดียวที่ไหน ในนี้มีซาคาอิซังด้วย แล้วพี่รู้สึกว่าคนที่อากิระซังอยากจะหนีน่ะ คือซาคาอิซัง ไม่ใช่เจ้าซีของพี่หรอก...ใช่ไหม”

เจ้าซีของพี่...ทำไมได้ยินคำนี้แล้วรู้สึกเคืองเบาๆ

เจ้านั่นก็คือตัวเราไม่ใช่เหรอ...แต่ทำไมหงุดหงิดที่ได้ยิน

“ซี...เป็นอะไร...ถ้าไม่มีอะไรแล้วทำไมทำหน้าขรึมใส่พี่แบบนั้น”

“เปล่า แค่กำลังคิดว่า ถ้าเจออากิระซังจะทักทายยังไงให้ประทับใจ” เขาแกล้งทำเป็นทะเล้นกลบเกลื่อน แล้วลงจากรถไปเปิดประตูรถให้หญิงสาวที่ดูจะยังกังวลสีหน้าของเขาเมื่อครู่ “ไม่มีอะไรจริงๆ ฟาง ไปเถอะ...เจ้าซีจะพาไปรู้จักครอบครัวของอากิระซัง พี่ชายของผม”

คำว่า ‘พี่ชายของผม’ ดูมีความหมายกับกนธี ความหมายที่ทำให้ฟ้ารดารู้สึกใจหายอย่างประหลาด ทั้งที่มันควรทำให้เธอดีใจที่กนธีมีคนอื่นที่เขาจะให้ความสำคัญ

แต่ความรู้สึกที่ว่า ‘เรา’ กำลังจะหมดความสำคัญ...คืออะไร

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น