4

สี่ พิธีปักปิ่นที่แสนวุ่นวาย


สี่

พิธีปักปิ่นที่แสนวุ่นวาย

 

ฤดูหนาวผ่านไปห้ารอบ เมืองลั่วหยางยังคงคึกคักด้วยผู้คนที่ทำการค้าและเหล่าจอมยุทธ์ที่เดินทางมายังเมืองหลวงแห่งนี้ แต่ในวันนี้กลับมีผู้คนจากต่างเมืองทั่วสารทิศหลั่งไหลเข้ามายังเมืองลั่วหยางจนดูเนืองแน่นมากกว่าปกติ สิ่งที่ดึงดูดพวกเขาหาใช่เทศกาลวันสำคัญใดๆ ไม่ แต่เป็นพิธีปักปิ่นของเด็กสาวนางหนึ่ง ผู้ซึ่งบุรุษทั่วหล้าต่างเล่าลือถึงความงดงามของนางว่าเป็นดั่งดวงใจของมหาบุรุษทั้งหลาย

ท่ามกลางผู้คนมากมาย มีบุรุษผู้หนึ่งดูโดดเด่นด้วยรูปโฉมที่งดงามเกินสตรีเดินถือพัดมาตามทางเดินในใจกลางตลาด โดยมีสาวใช้หน้าตาแฉล้มแช่มช้อยตามหลังมาติดๆ ซึ่งทั้งสองกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนที่ผ่านไปมามิใช่น้อย บุรุษรูปงามเดินแวะเข้าไปที่ร้านเครื่องประดับข้างทางเพื่อเลือกดูต่างหูสำหรับสตรี

“ตาแก่ จะไปไหน” เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นหลังแผงเครื่องประดับ ทำให้บุรุษรูปงามเงยหน้าขึ้นมอง สตรีร่างอ้วนกำลังดึงหูชายวัยกลางคนที่ทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด

“ข้าแค่จะไปดูมู่สาวเย่าปักปิ่นเท่านั้น ไม่ได้ไปเที่ยวหอคณิกาเสียหน่อย” ชายผู้เป็นสามีพยายามอธิบาย

“อะไรก็มู่สาวเย่า มู่สาวเย่า นางเป็นลูกสาวเจ้าหรืออย่างไร” สตรีร่างอ้วนเดือดดาล

“เจ้าก็เห็นนางมาตั้งแต่เล็กๆ และนางก็เป็นลูกค้าประจำของพวกเรา วันนี้นางทำพิธีปักปิ่น[1] เราก็ควรไปร่วมยินดีกับนางมิใช่หรือ” ผู้เป็นสามีแย้ง

“พิธีปักปิ่นอะไร โตจนอายุสิบเจ็ดแล้วเพิ่งจะมาปักปิ่นเนี่ยนะ นางแม่เล้าอ้วนนั่นจงใจอวดโฉมเด็กนั่นเพื่อเรียกลูกค้ามากกว่า”

“อย่างไรก็ช่าง ข้าจะไปซะอย่าง” ว่าแล้วสามีร่างผอมก็ปัดแขนอวบของภรรยาที่ดึงหูอยู่ออกไปอย่างแรง แล้ววิ่งด้วยความรวดเร็วหายเข้าไปในฝูงชน ปล่อยให้ภรรยาร่างอ้วนโกรธกระฟัดกระเฟียดอยู่หลังแผงขายของ

“มู่สาวเย่าคนนี้เป็นใครกันหรือเถ้าแก่เนี้ย” บุรุษรูปงามถามแม่ค้าร่างอ้วน อีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบหันมาพูดคุยกับลูกค้าหน้าร้านทันที

“นางเป็นเด็กในหอรื่นรมย์ วันนี้เป็นวันปักปิ่นของนาง แต่ก็นะ โตจนเป็นสาวแล้วเพิ่งจะมาปักปิ่น ช่างไม่รู้จักขนบธรรมเนียมเอาเสียเลย” แม่ค้าร่างอ้วนค่อนแคะ “ถึงนางจะสวยก็เถอะ แต่ก็เป็นได้แค่หญิงคณิกาเท่านั้น นอกจากรูปร่างหน้าตาดีแล้วก็ไม่มีอะไรให้น่าชื่นชมสักอย่าง ท่านก็อย่าไปหลงเสน่ห์นางเข้าล่ะ”

บุรุษรูปงามยิ้มน้อยๆ พลางเอื้อมมือไปหยิบต่างหูคู่หนึ่งส่งให้แม่ค้า “ข้าซื้ออันนี้”

“อุ๊ย! ท่านตาแหลมมาก อันนี้เป็นต่างหูหยก เหมาะสำหรับคนรักมาก แต่ราคาอาจจะแพงสักนิดนะเจ้าคะ” แม่ค้าหยั่งเชิงถามลูกค้ารูปงาม

“แพงเท่าไรข้าก็จะซื้อ”

คำตอบของเขาทำเอาแม่ค้าเครื่องประดับดีใจสุดขีด รีบหยิบกล่องใบเล็กมาใส่ต่างหูแล้วบอกราคากับอีกฝ่าย ซึ่งเขาก็มิได้ต่อรองราคาใดๆ ยอมจ่ายด้วยราคาที่แพงนั้น เมื่อเดินออกจากร้านเครื่องประดับบุรุษรูปงามก็ส่งกล่องใส่ต่างหูให้สาวใช้ที่ติดตามมา

“ข้าให้เจ้า”

“ขอบพระทัยเพคะ แล้วองค์... เอ่อ... คุณชายจะไปที่ใดต่อเจ้าคะ” สาวใช้รีบเปลี่ยนคำสรรพนามเมื่อถูกมองด้วยสายตาดุ อีกฝ่ายคลี่พัดในมือแล้วโบกไปมา

“ใครๆ ต่างก็เอ่ยถึงสตรีโฉมงามมู่สาวเย่ากันนัก ไยพวกเราไม่ไปยลโฉมนางกันสักครั้งเล่า” ว่าแล้วบุรุษรูปงามก็มุ่งหน้าสู่หอรื่นรมย์

บริเวณโดยรอบของหอรื่นรมย์โอบล้อมด้วยหมู่ตึกต่างๆ ใจกลางหอเป็นพื้นที่ว่างซึ่งบัดนี้ได้ตั้งปะรำพิธีที่ยกพื้นขึ้นมาแต่ไร้หลังคา เพื่อให้แขกผู้มาร่วมงานได้ชมพิธีปักปิ่นของสาวงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้อย่างเต็มตา เมื่อบุรุษรูปงามกับสาวใช้มาถึงหน้าประตูทางเข้าหอรื่นรมย์ก็พบบุรุษมากมายยืนอออยู่เต็มพื้นที่ โดยมีชายโพกผ้าสีเขียวสองคนยกมือขึ้นขวางกั้นพวกเขามิให้เข้าไปด้านใน

“ข้างในเต็มหมดแล้ว เหลือแต่เก้าอี้บนชั้นพิเศษเพียงสองที่เท่านั้น ถ้าอยากเข้าไปนั่งก็เสนอราคามา ใครเสนอราคาสูงที่สุดก็จะได้เข้าไปนั่ง” หนึ่งในสองบุรุษโพกผ้าสีเขียวประกาศเสียงดัง

“หนึ่งตำลึงทอง” ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา แล้วการประมูลเพื่อแย่งเก้าอี้บนชั้นพิเศษก็ดำเนินไปอย่างดุเดือด

“ห้าพันตำลึงทอง” เสียงของสาวใช้ที่เสนอราคาประมูลได้สร้างความตกตะลึงให้แก่บุรุษในที่นั้น เพราะมันเป็นราคาประมูลอันสูงลิ่วจนยากจะมีบุรุษคนใดเสนอราคาสูงกว่านี้ได้

“เหลืออีกหนึ่งที่ เริ่มประมูลได้” ชายโพกผ้าสีเขียวประกาศอีกครั้ง ทว่าสาวใช้คนเดิมกลับค้านเสียงดัง

“ข้าต้องการทั้งสองที่”

“แม่นางต้องจ่ายหนึ่งหมื่นตำลึงทองสำหรับสองที่นะ” ชายโพกผ้าสีเขียวถามย้ำ “แม่นางแน่ใจนะว่าจะจ่ายได้”

สาวใช้แรกรุ่นล้วงเอาตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงทองจากในอกเสื้อส่งให้ชายโพกผ้าสีเขียวคนนั้น แล้วย้อนถาม “แค่นี้พอจะให้คุณชายข้ากับตัวข้าเข้าไปได้หรือไม่”

ชายโพกผ้าสีเขียวทั้งสองคนมองดูตั๋วเงินในมืออย่างตกตะลึง ก่อนโค้งกายพาบุรุษรูปงามกับสาวใช้เข้าไปด้านใน ประตูทางเข้าหอรื่นรมย์ถูกปิดสนิท ท่ามกลางเสียงโอดครวญด้วยความผิดหวังของเหล่าบุรุษที่ต้องการยลโฉมมู่สาวเย่า

เก้าอี้นั่งพิเศษสองที่ถูกจัดไว้บนชั้นสองของตึกผีเสื้อ ซึ่งเป็นสถานที่ใกล้กับปะรำพิธีมากที่สุด สามารถมองเห็นบุคคลบนปะรำพิธีได้อย่างชัดเจน บุรุษรูปงามมองดูแขกที่นั่งอยู่บนชั้นพิเศษแล้วยิ้มมุมปาก เขามิได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด แต่สาวใช้กลับเอ่ยในสิ่งที่เขาคิดออกมา นางชะโงกหน้ามากระซิบข้างหูเขา

“มู่สาวเย่าผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ แม้แต่รองแม่ทัพหานอี้ อัครเสนาบดีจงหยาง หรือแม้แต่เจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายก็ยังมาร่วมพิธีปักปิ่นของนาง กับแค่หญิงคณิกานางหนึ่งกลับมีบุรุษผู้ยิ่งใหญ่มาสนใจได้มากขนาดนี้ อยากรู้นักนางจะงดงามสมคำเล่าลือหรือไม่”

“ข้าก็อยากเห็นเช่นกัน” บุรุษรูปงามเอ่ย พลางหันไปมองบนปะรำพิธีซึ่งเหลาป่านร่างท้วมเดินออกมายืนตรงกลาง นางสูดลมเข้าปอดก่อนตะเบ็งเสียงสุดแรงเกิดราวกับกลัวจะได้ยินไม่ทั่วถึง

“ขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมพิธีปักปิ่นของมู่สาวเย่าบุตรีของข้า อันที่จริงนางควรจะปักปิ่นตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน แต่เนื่องจากเมืองลั่วหยางเกิดภัยแล้งทั้งสองปีทำให้ข้าตัดสินใจชะลอพิธีปักปิ่นไว้ก่อน จนกระทั่งวันนี้ซึ่งเป็นฤกษ์งามยามดี...”

“เกิดภัยแล้งเกี่ยวอะไรกับทำพิธีปักปิ่น น่าขันจริงๆ” สาวใช้แอบเหน็บเบาๆ ก่อนฟังแม่เล้าแห่งหอรื่นรมย์พูดต่อ

“เพื่อมิให้เสียเวลา ข้าขอเริ่มพิธีปักปิ่น ณ บัดนี้” เหลาป่านร่างท้วมผายมือไปทางบันไดขึ้นปะรำพิธี แล้วตะโกนด้วยเสียงอันดัง “นางคือบุตรีของข้านามว่า มู่สาวเย่า ผู้ที่จะปักปิ่นในวันนี้”

สิ้นเสียงเหลาป่าน บุรุษภายในหอรื่นรมย์ทุกคนต่างลุกจากเก้าอี้พากันชะเง้อชะแง้มองลงไปยังปะรำพิธี หญิงสาวนางหนึ่งสวมหมวกปกปิดโฉมหน้าเดินขึ้นมาบนปะรำพิธี รูปร่างนางเพรียวบางอ้อนแอ้นดูสง่างามด้วยชุดฮั่นฝูสีขาวราวกับหิมะ ชั่ววินาทีที่นางค่อยๆ เปิดหมวกที่เป็นดั่งผ้าคลุมก็ทำเอาหัวใจเหล่าบุรุษทั้งหลายแทบหยุดเต้น

ความเงียบเกิดขึ้นยาวนานเมื่อมู่สาวเย่าเปิดเผยโฉมหน้าของนาง บุรุษทั่วทั้งหอแทบหงายหลังล้มตึง เพราะหญิงสาวที่ทุกคนคาดหวังว่าต้องงดงามดุจหญิงงามล้มเมืองนั้น กลับเป็นสตรีหน้าดำราวกับเปาบุ้นจิ้นที่มีเพียงฟันกับดวงตาเท่านั้นที่เป็นสีขาว อย่าว่าแต่บุรุษเลยที่ตกใจ แม้แต่เหลาป่านเองก็แทบลมจับ ร่างท้วมของนางเซเล็กน้อย จนมู่สาวเย่าต้องเข้ามาประคอง

“ท่านแม่เป็นอะไรรึไม่เจ้าคะ”

“มู่สาวเย่า เจ้า เจ้า” เหลาป่านตวาดเสียงตะกุกตะกักเพราะความโกรธอัดแน่นจนด่าไม่ออก และก่อนที่เหล่าบุรุษที่มาร่วมงานจะก่อการจลาจลย่อมๆ มู่สาวเย่าก็ประกาศก้องด้วยเสียงอันดังฟังชัดเจน

“แขกทุกท่าน พวกท่านได้เสียเงินมากมายเพื่อมาร่วมงานพิธีปักปิ่นของข้าในวันนี้ ความคาดหวังของพวกท่านมิใช่การแสดงความยินดีที่ข้าจะพ้นวัยเยาว์เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แต่เป็นเพียงแค่อยากยลโฉมเด็กสาวคนหนึ่งว่าจะมีความงามเพียงใดเท่านั้นใช่หรือไม่”

“ใช่ แต่พวกข้าเห็นเพียงเด็กสาวหน้าตาอัปลักษณ์เท่านั้น เอาเงินพวกข้าคืนมาเลย” ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้น ตามมาด้วยเสียงสนับสนุนมากมาย

มู่สาวเย่าเดินไปหากลุ่มนักดนตรีโบราณที่ตั้งวงอยู่ด้านข้างปะรำพิธี แล้วนางก็หยิบไม้ขึ้นมาตีระฆังแรงๆ เสียงสบถด่าจึงเงียบลง เด็กสาวหน้าดำแย้มยิ้ม แล้วตะโกนบอกทุกคน

“ข้ามิได้ปรารถนาจะทำให้พวกท่านผิดหวังแม้แต่น้อย แต่พิธีในวันนี้มีความสำคัญกับชีวิตของข้ามาก เป็นพิธีอันทรงเกียรติและยิ่งใหญ่ของเด็กสาวคนหนึ่ง มิใช่ละครสัตว์ และข้าก็มิใช่สัตว์ที่จะมาแสดงให้พวกท่านชมอย่างสำราญใจ ข้าต้องการเพียงคนร่วมแสดงความยินดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ มีความรักและปรารถนาดีเยี่ยงญาติมิตร พวกท่านจะทำเพื่อข้าซึ่งเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งได้หรือไม่” คำอ้อนวอนแสนเศร้าของมู่สาวเย่าทำให้ทุกคนชะงักและนิ่งเงียบ

“พูดได้ดี ข้าขอร่วมยินดีกับเจ้าด้วยความจริงใจฉันมิตรสหายคนหนึ่ง” บุรุษรูปงามยืนขึ้นปรบมือ กลายเป็นกระแสแห่งความชื่นชมตามมา บุรุษทั่วทั้งหอรื่นรมย์ต่างปรบมือดังสนั่นกึกก้อง

เหลาป่านยกมือขึ้นปาดเหงื่อเมื่อทุกอย่างราบรื่นไปด้วยดี พิธีปักปิ่นดำเนินไปอย่างสงบเรียบร้อย หลินเมี่ยวซินเป็นผู้มัดมวยผมให้เด็กสาวหน้าดำและปักปิ่นหยกตรึงมวยผมของนางไว้ เมื่อเสร็จพิธีมู่สาวเย่ากำลังจะลงจากปะรำพิธีและผู้คนกำลังจะทยอยออกจากหอรื่นรมย์ก็มีเสียงตะโกนมาจากกลุ่มผู้ชมเป็นเสียงเด็กชายวัยสิบขวบ

“พี่สาว ขนาดท่านหน้าดำยังสวยเลย ถ้าท่านหน้าขาวจะต้องสวยมากๆ แน่”

“เจ้าอยากเห็นพี่หน้าขาวหรือไม่เล่า” มู่สาวเย่าย้อนถามด้วยความเอ็นดู

“แน่นอน ข้าอยากเห็น”

บทสนทนาของทั้งคู่ทำให้ทุกคนชะงัก พากันยืนรอดูโฉมหน้าที่แท้จริงของเด็กสาวที่เพิ่งพ้นวัยเยาว์มาเมื่อสักครู่ บ่าวรับใช้คนหนึ่งนำอ่างทองเหลืองเข้ามาหามู่สาวเย่า นางก็ชำระล้างเขม่าดินที่ทาไว้บนใบหน้าออกจนสะอาดหมดจด สาวงามดุจภาพวาดปรากฏต่อสายตาทุกคน ดวงหน้ากระจ่างใสราวกับเกล็ดหิมะ นัยน์ตากลมโตดุจจันทร์ฉาย จมูกโด่งเป็นสันสวยงามรับกับริมฝีปากแดงดุจทาชาด ความงามซึ้งติดตรึงใจบุรุษทุกคนในที่นั้น

และแล้วความวุ่นวายก็เกิดขึ้นเมื่อมีกลุ่มคนพาลสิบคนกระโดดลงมาบนปะรำพิธีเพื่อฉุดตัวมู่สาวเย่า เหลาป่านและเหล่าหญิงคณิกาต่างวีดร้องเสียงดัง แล้วพากันวิ่งหนีอย่างอลหม่าน ก่อนที่หัวหน้าคนพาลจะเข้าถึงตัวมู่สาวเย่า บุรุษรูปงามก็เข้าขัดขวางและใช้วรยุทธ์ปราบหัวหน้าคนพาลจนสลบเหมือด ส่วนคนพาลคนอื่นก็ถูกรองแม่ทัพหานอี้ อัครเสนาบดีจงหยาง และเจ้ายุทธภพเอวี้ยนคายจัดการจนพวกมันหนีกระเจิง

เมื่อความวุ่นวายสงบลง ในหมู่ตึกก็เหลือเพียงบุรุษผู้ยิ่งใหญ่สี่คนคือ บุรุษรูปงาม รองแม่ทัพหานอี้ เจ้ายุทธภพเอวี้ยนคาย และอัครเสนาบดีจงหยาง เหลาป่านกับพวกสาวๆ ต่างพากันมาขอบคุณบุรุษทั้งสี่ รวมทั้งมู่สาวเย่าด้วย

“แค่เพียงเผยโฉมครั้งแรกก็ทำเอาปั่นป่วนไปทั่วเมืองลั่วหยางแล้ว หากเจ้ารับแขกวันแรกจะยิ่งโกลาหลแค่ไหน ข้ามิอาจนึกภาพได้เลย” อัครเสนาบดีจงหยางกล่าว

“เพื่อตัดปัญหานั้นข้าขอเสนอค่าไถ่ตัวเจ้า... หนึ่งแสนตำลึงทอง พอหรือไม่ท่านเหลาป่าน” บุรุษรูปงามยื่นข้อเสนอ แม้บุรุษอีกสามคนจะทำท่าคัดค้าน แต่พวกเขาก็ไม่มีเงินมากพอจะสู้ราคาได้ จึงได้แต่นิ่งเงียบ ฝ่ายเหลาป่านก็ตาโตเป็นไข่หาน แต่ก็ยังทำท่าอิดออด จนบุรุษรูปงามเพิ่มเงินเป็นสองแสนตำลึงทอง เหลาป่านถึงกับยัดเยียดมู่สาวเย่าให้เขาทันที

“ได้ๆๆ ท่านเอาตัวนางไปได้เลย”

“ช้าก่อน ท่านแม่” มู่สาวเย่าเอื้อมมือไปจับมือมารดาบุญธรรมรั้งไว้ ก่อนจะถามบุรุษรูปงาม “ท่านจะไถ่ตัวข้าเพื่อไปเป็นอะไร สาวใช้? ทาส? หรือฮูหยินของท่านล่ะเจ้าคะ”

“แน่นอนต้องเป็นฮูหยินอยู่แล้ว” บุรุษรูปงามกล่าวอย่างหนักแน่น ทว่ามู่สาวเย่ากลับยิ้มขัน แล้วชะโงกหน้าไปกระซิบข้างหูเขา

“กลิ่นบุปผาของเครื่องหอม รอยเจาะที่ติ่งหู คางที่ไร้หนวด และลำคอราบเรียบไร้ความเป็นชาย จะให้ข้าบอกทุกคนหรือไม่ว่าแท้จริงท่านมีเพศใดกันแน่”

บุรุษรูปงามตกใจเล็กน้อย มิคิดว่าสาวงามนางนี้จะจับพิรุธเขาได้ อีกทั้งยังไว้หน้าเขาที่ไม่ประกาศออกมาต่อหน้าทุกคน

“ข้าจะเก็บเงินของข้าไว้ก่อน หวังว่าเราคงจะได้พบกันอีกนะ มู่สาวเย่า” สตรีในคราบบุรุษเอ่ยลา ก่อนเดินออกจากหอรื่นรมย์ไปพร้อมกับสาวใช้คนสนิทท่ามกลางความงุนงงของหลายคน โดยเฉพาะเหลาป่าน

“ถ้าเช่นนั้นพวกข้าขอประมูลค่าไถ่ตัวมู่สาวเย่าได้หรือไม่” เจ้ายุทธภพเอ่ยด้วยความหวัง

“รออีกสามวันเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะให้มู่สาวเย่ารับแขกวันแรก พวกท่านก็มาประมูลชิงตัวนางในวันนั้นก็แล้วกันนะเจ้าคะ” เหลาป่านตัดบท พลางดันหลังมู่สาวเย่าให้เข้าไปด้านในตึกทางด้านหลัง ปล่อยให้บุรุษทั้งสามคนมองตาละห้อยก่อนจะแยกย้ายกลับไป

มู่สาวเย่าถูกมารดาบุญธรรมตำหนิอยู่หลายชั่วยามที่นางทาหน้าเป็นสีดำจนเกือบต้องคืนเงินให้คนที่มาร่วมงาน แต่เพราะทุกอย่างราบรื่นไปด้วยดี เหลาป่านจึงมิได้ทำโทษนาง หลังจากออกจากห้องมารดา มู่สาวเย่าก็ไปหาหลินเมี่ยวซินที่ห้องนอนของหญิงคณิกาอันดับหนึ่ง

“ข้าจะขอร้องเหลาป่านให้เจ้าเป็นอี้จี[2] เหมือนอย่างข้าในวันรับแขกวันแรก” หลินเมี่ยวซินกล่าวกับมู่สาวเย่าที่นั่งจิบน้ำชาอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ

“พี่เมี่ยวซินคิดว่าท่านแม่จะยอมเสียเงินจำนวนมหาศาลอย่างนั้นหรือ”

“เจ้าหมายความเยี่ยงไร”

“การเป็นอี้จีแม้จะได้เงินเยอะ แต่ก็สู้หญิงคณิกาที่ขายเรือนร่างมิได้ พี่เมี่ยวซินก็รู้ว่าท่านแม่เห็นแก่เงินแค่ไหน นางย่อมให้ข้ารับแขกวันแรกด้วยการให้เหล่าบุรุษประมูลกันเพื่อเปิดพรหมจรรย์ข้ามากกว่า”

“น่ารังเกียจจริงๆ” หลินเมี่ยวซินกัดริมฝีปาก นึกเคืองแทนน้องสาวคนโปรด

“พี่เมี่ยวซิน ท่านยังเก็บชุดของพี่ชุนจื่อไว้หรือไม่”

“จู่ๆ ทำไมจึงถามหาชุดของชุนจื่อล่ะ” หลินเมี่ยวซินถาม ก่อนจะลุกขึ้นไปดึงลิ้นชักตู้เสื้อผ้า หยิบเอาชุดบ่าวรับใช้ที่ชุนจื่อเคยสวมตอนอายุสิบเจ็ดออกมาส่งให้มู่สาวเย่า อีกฝ่ายรับมาแล้วเดินเข้าไปหลังฉากกั้น จากนั้นก็เปลี่ยนชุดที่สวมเป็นชุดของชุนจื่อแทน

“นั่นเจ้าสวมชุดนั้นทำไม” หลินเมี่ยวซินสงสัย

“ข้าจะหนีออกไปเที่ยวข้างนอก” มู่สาวเย่าขยิบตาให้พี่สาวคนงาม แล้ววิ่งออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้หลินเมี่ยวซินตะโกนไล่หลัง

“เจ้าจะปีนกำแพงออกไปอีกแล้วหรือสาวเย่า”

มู่สาวเย่าแอบตามซอกตึกไปทางด้านหลังหอรื่นรมย์ซึ่งมีกำแพงสูงเกือบแปดศอก[3] ขวางกั้นอยู่ นางยกบันไดไม้ไผ่ที่ซ่อนเอาไว้มาพาดบนกำแพง แล้วปีนขึ้นไปด้านบนหลังคาซึ่งอยู่เหนือตัวกำแพง

“เหลาป่าน สาวเย่าหนีเที่ยวอีกแล้ว” เสียงใครคนหนึ่งตะโกนจากด้านในหอรื่นรมย์ ทำให้มู่สาวเย่าต้องรีบกระโดดลงจากกำแพงสูงลงสู่ด้านนอก ทว่าเบื้องล่างกลับมีบุรุษในชุดดำยืนอยู่ริมกำแพงตรงที่มู่สาวเย่ากระโดดลงมา

“หลบไป!”


[1] พิธีปักปิ่น เป็นพิธีที่แสดงว่าเด็กหญิงเข้าสู่วัยสาว การก้าวเข้าสู่ขวบปีที่สิบห้า นับเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญมากที่สุดในชีวิตของเด็กหญิงชาวจีน ด้วยถือกันว่าช่วงเวลาวัยเด็กของเด็กหญิงผู้นั้นได้สิ้นสุดลง และเธอได้ก้าวเข้าสู่วัยสาวโดยสมบูรณ์ จากนี้เป็นต้นไปเธอจะต้องปฏิบัติตัวและได้รับการปฏิบัติจากผู้อื่นในแบบผู้ใหญ่

[2] หญิงคณิกาชั้นสูงผู้เป็นดาวประจำหอคณิกาที่ไม่เน้นขายเรือนร่าง แต่ให้บริการเพียงศิลปะและการดนตรี ทำหน้าที่พูดคุยกับแขกให้พวกเขาประทับใจจนปรนเปรอทรัพย์สินเงินทองและของมีค่า

[3] สูงราวสี่เมตร



รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น