4

บทที่ ๔

บทที่ ๔

 

ผ่านไปร่วมเดือนแล้วหลังจากงานฌาปนกิจมาลัย มาวินย้ายออกจากมูลนิธิกัญญามิตรเช้าวันถัดมานั้นเอง แล้วจนบัดนี้ก็ไม่ได้กลับมาที่มูลนิธิอีก มีแต่ข้อความส่งข่าวถึงชไมพรเป็นครั้งคราว

ปลายฝนมาที่โรงเรียนซึ่งเด็กหนุ่มกำลังศึกษาเล่าเรียนเป็นครั้งที่สาม ครั้งแรกนั้นเธอมาขอพบครูประจำชั้นตั้งแต่ตอนที่ยังปิดภาคเรียน บอกเล่าปัญหาของมาวิน จนกระทั่งได้นัดพบและหารือกับอาจารย์ใหญ่และผู้เกี่ยวข้องฝ่ายต่างๆ เป็นลำดับต่อมา และวันนี้เธอก็มาเพื่อรับฟังคำตอบจากทางโรงเรียน

“ทางเราคงไม่อาจมอบทุนการศึกษาให้นายมาวินได้ เพราะถ้าทำอย่างนั้นก็คงมีพ่อแม่ผู้ปกครองเด็กนักเรียนอีกหลายคนยื่นขอทุนการศึกษาบ้าง หวังว่าคุณจะเข้าใจ” รองผู้อำนวยการเอ่ยกับนักสังคมสงเคราะห์สาว

“ไม่เหมือนกันนี่คะท่าน มาวินมีปัญหารุนแรงภายในครอบครัว เขาเพิ่งเสียแม่ และมีปัญหากับพ่อจนอาจเป็นอันตรายต่อตัวเขาเองได้ ถ้ากลับไปอยู่กับครอบครัว”

“จะว่าอย่างนั้นก็เถอะครับ ทางโรงเรียนคงทำได้แค่ให้ความปลอดภัยแก่เขาในรั้วโรงเรียน” หนุ่มใหญ่ตอบอย่างเสียมิได้ “อีกอย่างทางผู้บริหารเขาก็ไม่เห็นข่าวที่ว่าในหน้าสื่อ มันก็พูดยากน่ะนะคุณ”

ปลายฝนไม่วายผิดหวังกับตรรกะของผู้ที่เป็นถึงฝ่ายบริหาร

“มูลนิธิเราไม่ได้มุ่งเน้นสร้างภาพหน้าสื่อ แต่เราทำจริงค่ะท่าน ท่านจะตรวจสอบประวัติการทำงานของดิฉันหรือมูลนิธิก็ได้”

“ผมทำอะไรไม่ได้หรอก เขาประชุมสรุปกันมาแบบนี้ แต่คุณสบายใจได้ ยังไงนายมาวินก็มีสิทธิ์เรียนจนจบ ม. หกเทอมสุดท้าย แล้วเมื่อไรที่ต้องการวุฒิการศึกษา เขาค่อยมาจ่ายค่าเทอม”

หญิงสาวจุกในอก อับจนถ้อยคำโต้ตอบ เธอจำต้องถอยกลับไปตั้งหลักและปรึกษาหารือกับเพื่อนร่วมงานที่มีประสบการณ์มากกว่าว่าจะทำอย่างไรต่อไป อย่างน้อยก็ยังมีเวลาหลายเดือนกว่าจะสิ้นสุดปีการศึกษา

ปลายฝนเดินมาจากอาคารอำนวยการ เวลานั้นคงตรงกับพักกลางวันพอดี เด็กนักเรียนชั้นมัธยมหลายคนเดินเป็นกลุ่มๆ ให้เห็นทั่วไป บริเวณโดยรอบยามนี้จึงคึกคักแปลกตา ต่างจากสองครั้งก่อนหน้านี้ที่เธอมาตอนปิดภาคเรียน

ขณะที่ปลายฝนกำลังจะเดินผ่านสนามบาสเกตบอลกลับออกไป เธอก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียก ตามด้วยเสียงฝีเท้าตึงตังดังขึ้นเบื้องหลัง

“พี่!”

หญิงสาวไม่ได้หันไป ท่ามกลางนักเรียนที่เดินกันขวักไขว่ ใครจะไปคิดว่าเสียงเรียกนั้นหมายถึงตน

“พี่ฝน!”

ร่างบางชะงักกึก ก่อนเจ้าของเสียงตะโกนที่ดึงความสนใจของผู้คนรอบข้างจะวิ่งมาหยุดหน้าเธอ มาวินยิ้มกว้างทั้งที่ยังเคี้ยวลูกชิ้น ผมเผ้าและใบหน้าชื้นเหงื่อเป็นมัน

“กะแล้วว่าต้องเป็นพี่ ผมจำเสื้อมูลนิธิได้ พี่มาทำอะไรที่โรงเรียน ไม่เห็นบอกผมก่อนเลย”

“มาหารือเรื่องทุนการศึกษาให้ไม้” เธอตอบตามตรง “วันนี้ยังไม่สำเร็จ แต่พี่จะพยายามใหม่”

เด็กหนุ่มอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง ทุกครั้งที่แสงแห่งความดีส่องใจ เขาเป็นต้องเจ็บแปลบลึกๆ ที่แม่สิ้นหวังต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อผู้ที่ทำงานเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง

“ถึงว่าสิ เปิดเทอมวันแรกครูประจำชั้นก็เรียกผมไปถามเรื่องที่บ้าน ผมนึกว่าครูรู้จากเพื่อนซะอีก”

ปลายฝนยิ้มเจื่อนๆ เธอไม่อาจพูดอะไรได้มาก คิดย้อนไปแล้วก็ให้เจ็บใจที่ผู้บริหารสถานศึกษากลับไม่เห็นคุณค่าการศึกษาและอนาคตของเด็กคนหนึ่ง เท่ากับเงินค่าเทอมเทอมเดียว

“พี่ไม่ต้องห่วงหรอก ครูบอกว่าผมยังมีสิทธิ์สอบเหมือนเพื่อนๆ แล้วถ้าจะเอาวุฒิไปเรียนต่อก็ค่อยมาจ่ายค่าเทอม ผมก็กะว่าจะหางานทำ เก็บเงินมาเอาวุฒิไปเรียนต่อมหา’ลัยเปิดเอา”

หญิงสาวเป็นฝ่ายอึ้งไปบ้าง ความคิดและความใฝ่ดีของมาวินช่างน่าประทับใจ ทำให้คนทำงานอย่างเธอยิ่งภูมิใจที่มีส่วนยื่นมือมาช่วยเหลือเขา 

“ช่วงนี้ผมก็ช่วยงานที่บ้านไอ้บีมัน พอมีเงินใช้แต่ละวัน”

“บ้านเพื่อนที่ไม้ไปอยู่น่ะเหรอ เขาทำอะไร”

“เป็นร้านขายแก๊สหุงต้มน่ะพี่” เขาตอบเบาลง ท่าทางเก้อเล็กน้อย “เลิกเรียนหรือวันหยุดผมช่วยส่งแก๊สแทนคนงานต่างด้าวที่ร้าน”

ปลายฝนจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความชื่นชม ความดิ้นรนเพื่ออนาคต ไม่งอมืองอเท้ารอโชคชะตาปรานี ทำให้เธอนึกถึงเด็กสาวคนหนึ่งที่ตนเคยรู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี

“เรามาพยายามด้วยกันนะ ไม้ตั้งใจเรียนและตั้งใจทำงานแบบนี้ พี่ก็จะพยายามหาทุนการศึกษาให้ไม้ให้ได้”

ความรู้สึกบางอย่างไหลบ่าโอบล้อมหัวใจ เพียงแค่ได้รู้ว่าเขาไม่ได้พยายามอยู่ลำพัง มาวินยิ้มจางๆ อย่างสับสนกับสิ่งที่ผลิบานในอกตนยามนี้ มันทำให้หัวใจเขาพองฟูขึ้นมา

“แล้วพ่อยังพยายามตามตัวไม้อยู่ไหม”

“ไม่แล้วพี่ แกเคยมาดักรอผมที่ป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนเหมือนกัน แต่ผมไหวตัวหลบทัน ป่านนี้คงรู้ว่าเสียเวลาดักรอผมเปล่าๆ เอาเวลาไปกินเหล้าดีกว่า”

เสียงออดบอกเวลาเข้าเรียนดังขัดบทสนทนา ปลายฝนเหลียวมองรอบตัวก็เห็นนักเรียนเริ่มแยกย้ายจนบางตา

“ไปเรียนเถอะ มีอะไรก็อย่าลืมนึกถึงพี่หรือพี่ไหมนะ”

“ฮะ จะลืมได้ไง”

มาวินตัดใจเดินจากไป ไม่รู้ทำไมเขาจึงทำใจไหว้หญิงสาวที่อาวุโสกว่าตนไม่กี่ปีได้ยากเย็นนัก อาจเพราะปลายฝนไม่ได้ให้ความรู้สึกเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเช่นที่เขารู้สึกนบนอบต่อนักจิตวิทยาประจำมูลนิธิ เธอเป็นเหมือนเพื่อนคุยที่เขาสนิทใจ นับแต่วันที่บังเอิญร่วมทางบนรถประจำทางสายเดียวกัน

ผู้ที่ครุ่นคิดทบทวนถึงกับสะดุ้งออกจากภวังค์ เมื่อเพื่อนสนิทที่ดักรออยู่ใต้บันไดกระโดดเกาะไหล่ มาวินสบถพร้อมกับผลักไหล่อีกฝ่ายเป็นการเอาคืน

“เหี้ย! ตกใจหมด”

“แหม มัวแต่ใจลอยถึงสาวอะเด้” บุรีกระเซ้า

“สาวไหน”

“ไม่ต้องมาทำไก๋เลยมึง คุยกับพี่เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตั้งนานสองนาน”

“ก็พี่เขาดีกับกู มึงจะให้กูทำหน้าบึ้งหรือไง”

“เออ ปากแข็งไปเหอะ อย่าให้กูรู้ทีหลังว่ามึงแอบชอบพี่เขานะ กูจะล้อยันลูกบวช”

มาวินวิ่งไล่เพื่อนไปตามระเบียงทางเดิน กลบเกลื่อนหัวใจที่เต้นผิดจังหวะเพราะคำพูดของเพื่อนตัวดี

 

ยิ่งเวลาผ่านไป เรื่องราวของเด็กหนุ่มและแม่ที่ถูกพ่อทำร้ายร่างกายก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความห่วงใยของบรรดาเจ้าหน้าที่มูลนิธิ ทุกคนจดจำมาวินในฐานะเด็กที่รักดี มีหัวคิด เขาไม่ได้นำปัญหามาปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือที่มูลนิธิอีกเลย ดูเหมือนชีวิตใหม่ของเขาจะค่อยๆ เข้ารูปเข้ารอย

มีคดีใหม่หลายคดีเข้ามาในช่วงเดือนที่ผ่านมา บางวันปลายฝนต้องอยู่ทำงานจนเย็นย่ำ ไม่อาจละทิ้งคนที่เดือดร้อนไปได้ บางครั้งก็ต้องออกไปติดตามชีวิตความเป็นอยู่ของอดีตเหยื่อที่เคยดูแล แน่นอนว่าเธอยังขับรถไม่เป็น ทุกครั้งจึงเป็นการติดรถไปกับเพื่อนร่วมงาน และบางทีเธอก็ต้องอยู่โยงที่มูลนิธิในวันหยุดสุดสัปดาห์ ถึงอย่างนั้นเธอก็รักงานนี้และเพื่อนร่วมงานทุกคน

แม้จะเป็นวันหยุด หญิงสาวก็เปิดดูข้อความในโทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งแรกหลังตื่นนอน ทว่าชื่อที่สะดุดตากลับเป็นข้อความจากมาวิน ทั้งที่ตั้งแต่แลกช่องทางติดต่อกัน เขาไม่เคยส่งข้อความหาเธอ

วูบหนึ่งปลายฝนอดคิดไม่ได้ว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเขา เหตุการณ์วันที่เขาโทร. มาบอกข่าวร้ายกับเธอย้อนกลับมาในความทรงจำ แต่เมื่อเปิดเข้าไป หญิงสาวก็โล่งใจราวยกภูเขาออกจากอก

‘ผมไปเจอพี่ได้ไหม ผมเก็บเงินพอเลี้ยงคืนพี่ได้แล้ว’/

หญิงสาวระบายลมหายใจออกมาพร้อมรอยยิ้ม เธอกำลังจะพิมพ์ข้อความปฏิเสธว่าไม่เป็นไร เขาควรเก็บเงินไว้ใช้ส่วนตัว แต่ก็ฉุกคิดได้ว่ามาวินไม่ได้ติดต่อเธอหรือชไมพรนานพอสมควร คงดีหากถือโอกาสนี้สังเกตความเป็นไปในชีวิตของเขา เธอจึงเปลี่ยนใจตอบตกลง

‘ได้สิ บ่ายๆ เป็นไง ที่ป้ายรถเมล์เดิม’/

เธอไม่ทันวางโทรศัพท์ ข้อความใหม่ก็แจ้งเตือนเข้ามา

‘โอเคฮะ’/

นับวันมาวินก็ยิ่งกลับมามีชีวิตชีวาสมวัย เธอดีใจที่หลังจากเขาเผชิญเรื่องราวทั้งหมด ต้องรับมือกับความสูญเสีย จิตวิญญาณแห่งวัยรุ่นยังคงหลงเหลืออยู่ในตัวเขา แสดงออกมาผ่านสายตาแห่งความหวัง ความมุ่งมั่นเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจ

ปลายฝนนำตะกร้าผ้าลงไปซักที่ตู้หยอดเหรียญชั้นล่างของอะพาร์ตเมนต์ ก่อนขึ้นมาปัดกวาดห้องเช่าแบบสตูดิโอฆ่าเวลา แล้วจึงลงไปนำเสื้อผ้าที่ซักทำความสะอาดแล้วขึ้นมาตากที่ระเบียงห้อง จากนั้นก็อาบน้ำเตรียมตัวออกไปข้างนอก

หญิงสาวนั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างออกมายังป้ายรถประจำทางหน้าปากซอย ทันทีที่ลงจากรถ เธอก็เห็นเด็กหนุ่มยืนรอตนอยู่ก่อนแล้ว เขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นทับเสื้อยืดข้างในกับกางเกงยีน ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่ มาวินดูตัวใหญ่ขึ้นในสายตาเธอ

“พี่...” เขาคลี่ยิ้ม

“มาถึงนานยัง”

“ไม่นานฮะ”

ไม่นานก็บ้าแล้ว...คนที่มาถึงก่อนเวลาตั้งครึ่งชั่วโมงคิดอย่างขบขันตนเอง

“พี่อยากกินไร” เขาถาม สีหน้าแช่มชื่นผิดจากเด็กหนุ่มท่าทางคร่ำเคร่งคนเก่า

“แล้วแต่คนเลี้ยงสิ แต่ห้ามเลี้ยงพี่เกินค่าข้าวมันไก่นะ เดี๋ยวพี่ต้องเลี้ยงคืนไม่รู้ด้วย”

“ผมไม่ให้พี่เลี้ยงหรอก พี่ช่วยผมมาเยอะแล้ว” มาวินยิ้มจางๆ “งั้นข้ามถนนไปฝั่งนั้นนะ จะได้ขึ้นรถเมล์ไปทางห้าง แล้วค่อยคิดว่าจะกินอะไร”

ปลายฝนพยักหน้าพร้อมกับก้าวเดินไปพร้อมเด็กหนุ่ม บริเวณนั้นไม่มีสะพานลอยจึงต้องข้ามทางม้าลายเมื่อไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดง มาวินคอยหันมองหญิงสาวข้างๆ เสมอ เพื่อความแน่ใจว่าเธอจะข้ามทันก่อนไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียวอีกครา

หนุ่มสาวขึ้นรถประจำทางมาลงท่ารถฝั่งตรงข้ามห้างสรรพสินค้า วันหยุดเช่นนี้มีของขายมากมาย อีกทั้งทำเลที่ตั้งใกล้ตลาดสดยังดึงดูดผู้คนให้มาจับจ่ายใช้สอย

“พี่ว่าหาอะไรกินแถวนี้ก็ได้นะ ร้านขนมจีนนั่นก็ดูน่ากิน คนเยอะเชียว”

มาวินรู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้เขาสิ้นเปลือง เพราะถ้าข้ามไปฝั่งห้างสรรพสินค้า ของกินของใช้ย่อมราคาสูงกว่า เขาเองก็ไม่ดันทุรังเปลี่ยนใจเธอ เดินตามไปที่ร้านขนมจีนที่ต่อโต๊ะเรียงรายเป็นแถวยาวกินพื้นที่ทางเท้า มีผักสดเติมได้ไม่อั้น เมื่อแม่ค้าตักน้ำยาที่เลือกราดขนมจีนแล้ว ทั้งสองก็ถือจานมานั่งกินที่โต๊ะใต้ร่มผ้าใบ

“หืม อร่อย” ปลายฝนหลุดปากชมหลังชิมไปคำแรก

“พี่กลัวเปลืองตังค์ผมใช่ไหม ถึงเลือกร้านนี้” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างรู้ทัน

“ก็ด้วย” หญิงสาวยอมรับ “แต่มันก็อร่อยจริงๆ ชิมสิ”

มาวินยิ้มน้อยๆ ก่อนตักน้ำยาแกงเขียวหวานชิม ต่อให้อาหารจะรสชาติดีหรือแย่แค่ไหน เขาก็ดีใจ หัวใจพองโตแค่สาวรุ่นพี่ผู้นี้ยอมรับน้ำใจ ออกมากินข้าวกับตน

“เป็นไง”

“แม่ผมทำอร่อยกว่า”

ปลายฝนสะดุ้ง เหลือบตามองแม่ค้าหน้าตาถมึงทึง แล้วกระซิบเตือนคนพูดตรง

“เบาๆ สิ เดี๋ยวได้ถูกด่าเปิงหรอก”

“พี่นี่ตลก ทีตอนเผชิญหน้าพ่อผมไม่เห็นกลัวเลย” เขาหัวเราะขัน

“ไม่เหมือนกันนี่ นั่นมันหน้าที่ แต่นอกเหนือจากเรื่องงานพี่ไม่ใช่พวกหาเรื่อง เที่ยวอยากมีเรื่องกับชาวบ้านหรอกนะ”

มาวินลืมตัวจ้องมองหญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้าม ถ้อยคำที่พ่อต่อว่าด่าทอหน้าที่การงานของเธอและเจ้าหน้าที่มูลนิธิย้อนกลับเข้ามาในมโนสำนึก ทว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่คิดอย่างนั้น ผู้ที่ทำงานช่วยเหลือผู้อื่นอย่างจริงใจและจริงจังไม่สมควรถูกพูดถึงในทางเสียหาย บั่นทอนกำลังใจ ไม่เช่นนั้นใครจะอยากทำเพื่อผู้อื่น

“พี่เรียนจบอะไรถึงมาทำงานที่นี่” เด็กหนุ่มอยากรู้ขึ้นมา

ปลายฝนชะงักเล็กน้อย ด้วยเคยชินแต่เป็นฝ่ายตั้งคำถามมากกว่าถูกถาม

“พี่เรียนคณะมนุษยศาสตร์ สาขาสังคมวิทยา” เธอตอบแล้วถามกลับ “ไม้ล่ะ อยากเรียนอะไร”

“ไว้ถ้าผมทำสำเร็จ ผมจะบอกพี่คนแรก”

“แปลว่ามีเป้าหมายในใจแล้ว?”

“ฮะ แต่ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า” เขายอมรับพลางหลุบตา “ผมไม่อยากคาดหวังในทางที่ดีเกินไป เหมือนตอนที่คิดว่าจะทำงานพิเศษแบ่งเบาภาระแม่ แล้วอะไรๆ อาจจะดีขึ้น เพราะเวลามันไม่เป็นอย่างที่หวัง มันโคตรเจ็บเลย”

ปลายฝนพยักหน้าเข้าใจ เธอทอดมองคนที่แบ่งปันความรู้สึกนึกคิดกับตนอย่างเปิดเผย แล้วรู้สึกปลาบปลื้มกับความไว้วางใจที่ตนได้รับจากเด็กหนุ่ม

“ยังไงพี่ก็รอฟังข่าวเสมอ” เธอบอกอย่างเชื่อมั่น “ขนาดวันนี้ยังมาให้ไม้เลี้ยงตามสัญญาเลย เห็นมะ”

มาวินสบตาคนตรงหน้าอีกครา อดยิ้มออกมาด้วยหัวใจเบาสบายขึ้นไม่ได้ ครั้นหญิงสาวเอื้อมหยิบไข่ต้มในตะกร้าบนโต๊ะ เขาก็ยื่นมือออกไปหมายอาสา ทว่าสัมผัสมืออีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ผมแกะให้”

ปลายฝนดึงมือกลับแล้วยิ้มรับน้ำใจ เดาได้ไม่ยากเลยว่าความรักความผูกพันกับแม่ทำให้เด็กหนุ่มมีนิสัยเอื้อเฟื้อ ละเอียดอ่อน เธอบอกขอบคุณเขาเมื่อเขาวางไข่ต้มที่ปอกเปลือกเกลี้ยงเกลาลงในจาน

หลังกินอิ่มและกลับออกมาผ่านตลาดนัดที่เริ่มตั้งแผงขายของกันอย่างคึกคัก ปลายฝนก็แวะซื้อกิ๊บติดผมจากร้านหนึ่ง เธอไม่มีเพื่อนมากนักนอกจากเจ้าหน้าที่ที่มูลนิธิกัญญามิตร แต่กลับไม่รู้สึกอึดอัดที่ตนมีเด็กหนุ่มเป็นเพื่อนกิน เพื่อนเดินเล่น ก่อนจะขึ้นรถประจำทางกลับด้วยกัน

“ไม้เลี้ยงขนมจีนพี่แล้ว ให้พี่ออกค่ารถเถอะ”

“พี่ออกขาไปแล้วไง”

“ตามใจ อะไรก็ไม่รู้ แย่งกันจ่ายค่ารถเมล์เนี่ย” เธอเอ่ยอุบอิบ 

มาวินขนคอลุกชันเมื่อเห็นสายตาหงุดหงิดรำคาญของคนเก็บเงินบนรถประจำทาง เขารีบจ่ายเงินแล้วรับตั๋วโดยสารสองใบติดกันมาจ้องมองยิ้มๆ 

“บ้านของเพื่อนไม้อยู่แถวไหน” ปลายฝนถามไถ่ ไม่ทันสังเกตคนที่สะดุ้งออกจากภวังค์ 

“แถวนี้แหละฮะ ผมยังเคยมาส่งแก๊สในซอยที่พี่อยู่เลย” มาวินตอบพลางเก็บตั๋วโดยสารใส่กระเป๋าเสื้อ

“จริงเหรอ แล้ววันหยุดไม้ไม่ต้องช่วยงานเขาหรือ”

“ถ้าหยุดก็แค่ไม่ได้ตังค์ แต่ม้าไอ้บีไม่ว่าอะไรหรอกฮะ ม้าแกใจดี เมตตาผมมากอยู่ ทุกวันนี้เงินที่ได้ผมก็เก็บไว้ใช้ที่โรงเรียน ส่วนค่ากินอยู่ ม้าเขาดูแลเหมือนผมเป็นลูกจ้างที่ร้านคนหนึ่ง”

ฟังดูเหมือนโชคชะตาจะเห็นใจและเข้าข้างมาวินบ้างแล้ว เธอยินดีและปลื้มใจไปกับเขาจริงๆ

“ผมถึงไม่เคยเข้าใจเลย ทำไมแม่ถึงไม่กล้าก้าวออกมาจากชีวิตแบบนั้น แม่ไม่เชื่อว่าคนอื่นจะดีกับเราอย่างจริงใจ”

“ประสบการณ์ที่ผ่านมาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แม่ของไม้ไม่ใช่คนผิดในเรื่องนี้ ผู้หญิงบางคนต่อให้ถูกทำร้ายจิตใจหรือร่างกายแค่ไหน แต่ยังรักผู้ชายที่ทำร้ายเธอก็มี”

มาวินผินมองผู้ที่ชี้ให้เขามองเห็นอีกแง่มุม ก่อนเธอจะเบนสายตาไปทางอื่น

“ผมไม่ได้โกรธแม่ ผมแค่เสียใจและเสียดายที่แม่ไม่ให้โอกาสตัวเองได้มีชีวิตดีกว่าที่เคยเป็น”

ปลายฝนหลุบตาคิดทบทวนคำพูดเป็นเหตุเป็นผลของเด็กหนุ่ม มาวินพิเศษกว่าหลายคนที่เธอเคยพบเจอ เขามีความคิดและทัศนคติดีต่อชีวิต แม้ผ่านเรื่องร้ายมาก็ตาม

ขณะที่เธอพูดให้เขาได้คิด คำพูดของเขาก็ทำให้เธอคิดได้เช่นกัน

การเดินทางขากลับดูจะสั้นกว่าปกติ มาวินมาบอกทีหลังว่าบ้านของเพื่อนอยู่ป้ายรถประจำทางก่อนหน้านี้ แต่เขากลับนั่งรถมาลงป้ายเดียวกับเธอ

“ไม่บอกแต่แรก ไม้เลยต้องข้ามถนนไปขึ้นรถ แถมเสียค่ารถอีกน่ะสิ”

“แค่ป้ายเดียวเองพี่ ผมเดินย้อนไปก็ได้ ขามาผมก็เดินมา” เขาตอบเสียงระรื่นอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ “ยังไงผมก็ต้องมาส่งพี่”

“จ้า ขอบใจนะ” หญิงสาวลากเสียงตอบอย่างอ่อนใจแกมเอ็นดู “โชคดี มีอะไรส่งข่าวพี่บ้าง”

“แน่นอนฮะ พี่กับผมไม่ใช่คนอื่นคนไกล ห่างกันป้ายรถเมล์เดียว”

ปลายฝนพยักหน้าเออออระคนขบขัน เธอเดินจากมา โดยไม่รู้เลยว่าเด็กหนุ่มมองตามจนลับตา

เสียงแจ้งเตือนข้อความดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือตอนที่หญิงสาวเข้ามาในห้องพักส่วนตัว ครั้นเปิดดู หัวใจเธอก็เต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง

‘วันนี้เป็นวันเกิดผม ขอบคุณนะพี่’/

เธอรีบเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก คลิกเปิดแฟ้มของมาวินขึ้นมา แล้วให้เสียดายที่เพิ่งมารู้เอาป่านนี้ มิเช่นนั้นเธอคงยอมตามใจเขาไปกินข้าวที่ห้างสรรพสินค้า เลี้ยงข้าวหรือซื้อเค้กชิ้นเล็กๆ ให้เขา ในเมื่อเขาเลือกชวนเธอ...ใช้เวลาด้วยกันในวันสำคัญ

‘สุขสันต์วันเกิดนะไม้ ขอให้ไม้รักษาตัวตนอย่างที่เป็น พี่เชื่อว่าทุกอย่างจะสมหวังดังที่ไม้ตั้งใจ’/

เธอส่งข้อความตอบไป ไม่เคยเลยที่จะอวยพรใครเช่นนี้ ไม่เคยเลยที่จะรู้สึกผูกพันใกล้ชิดกับใคร ทั้งที่รู้จักกันเพียงไม่นาน


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น