7

บทที่ ๗

บทที่ ๗

 

คืนข้ามปีที่ไม่มีความสำคัญใดเป็นพิเศษเปลี่ยนไปเพราะมาวิน หลังเขาส่งข้อความมาตอนบ่าย หญิงสาวก็ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกไปข้างนอก เธอหยิบถุงของขวัญใส่กระเป๋าสะพายทรงขนมจีบ ก่อนที่มาวินจะโทร. บอกว่าเขามาถึง

เด็กหนุ่มนั่งรออยู่บนรถจักรยานยนต์ที่ได้รับการปรับแต่งพอสมควร ไม่ใช่คันเก่าที่ใช้ขนถังแก๊สหนักหลายกิโลกรัม มาวินดูโตเป็นหนุ่มเต็มตัวเมื่อสวมแจ็กเกตยีนแขนยาวทับเสื้อยืด มีเพียงประกายตาแจ่มใสที่คงพบเห็นได้แต่ในดวงตาเด็กที่ยังคงเดิม

“หิวยัง” เขายิงคำถามทันทีที่เธอเดินไปหา

“หิวสิท่า เราน่ะ”

“นิดหน่อย ผมไม่ได้กินไรตั้งแต่เที่ยง”

ได้ยินคำตอบของเขาแล้ว ปลายฝนอดยิ้มขันไม่ได้

“พี่ก็เหมือนกัน”

มาวินหรี่ตาล้อเลียนขณะส่งหมวกนิรภัยอีกใบให้ หญิงสาวมองค้อนสายตาทะเล้น แล้วขึ้นนั่งหันข้างบนรถจักรยานยนต์ที่ผ่านการปาดเบาะมา

“ร้านอยู่ไกลไหม”

“ไม่ไกล” เขาเอี้ยวตัวมาตอบ ครั้นเห็นเจ้าหล่อนยังติดสายรัดใต้คางไม่ได้จึงยื่นมือมาช่วยพลางขยายความ “ขี่ออกไปถนนใหญ่อีกเส้นก็ถึงแล้ว หรือพี่มีร้านที่อยากไป”

ปลายฝนช้อนตามองเด็กหนุ่มที่อยู่ใกล้ชิด กลิ่นกายหอมสะอาดของเขาลอยมาแตะจมูกเธอ เป็นครั้งแรกที่เธอเผลอคิดว่าไม่อยากให้เขาเป็นหนุ่มไปกว่านี้เลย

“ไม่ละ ไปร้านที่ไม้ว่านั่นแหละ”

มาวินจำต้องถอนสายตาจากดวงตาเรียวสวย ฝืนยิ้มกลบเกลื่อนหัวใจที่ชกกระหน่ำแทบหลุดออกมานอกอก จนเขาหวั่นเกรงว่าเธออาจได้ยินเสียงหัวใจ

เมื่อหญิงสาวสวมหมวกนิรภัยเรียบร้อยแล้ว ผู้มารับก็ขี่รถออกไปตามซอยที่เชื่อมต่อถนนสองสายเข้าด้วยกัน ทว่าวันนี้พวกเขาไม่ได้ออกทางปากซอยประจำ แต่ย้อนไปทางถนนอีกสายที่ขนาบข้างด้วยอาคารพาณิชย์ บริเวณเวิ้งที่ดินเปล่าติดถนนใหญ่นั่นเองคือร้านหมูกระทะ มีโต๊ะให้เลือกนั่งทั้งกลางแจ้งและใต้หลังคายกสูง

“คนเยอะเหมือนกันนะ” หญิงสาวเปรยเมื่อลงจากรถ

“ผมแอบถามคนแถวนี้เวลาไปส่งแก๊ส มีแต่คนแนะนำร้านนี้”

ปลายฝนยิ้มเอ็นดู นึกอยากบีบแก้มคนที่ทุ่มเทให้ทุกเรื่องด้วยความมันเขี้ยว

“นั่งข้างนอกไหม อากาศดี”

มาวินพยักหน้าอย่างไม่มากเรื่อง แล้วตามหญิงสาวไปที่โต๊ะหินติดกับกระถางต้นไม้ที่ประดับไฟเทศกาล ไม่ทันหย่อนกายนั่งก็มีเด็กหนุ่มมาสอบถามจำนวนคน รวมถึงเครื่องดื่มและเตาที่ต้องการ

“ไปตักอาหารกัน”

ปลายฝนพลอยกระตือรือร้นตามคำชวน ยิ่งเห็นอาหารสดและเมนูปรุงสำเร็จละลานตา ท้องก็ร้องขึ้นมาให้คนข้างๆ หันมองขวับ เธอตีต้นแขนผู้ที่หัวเราะตน 

“เชื่อแล้วว่าพี่ไม่ได้กินไรมา” มาวินแหย่ไม่เลิก แม้เดินกลับมาที่โต๊ะแล้ว

“ไม่หิวบ้างก็แล้วไป” หญิงสาวตวัดตาค้อนพลางคีบมันหมูทาบนเตา

“หิวสิ ผมไม่ได้บอกว่าไม่หิวซะหน่อย” เขาตอบหน้าเป็น แกล้งกางศอกสะกิดท่อนแขนเธอเชิงง้องอน “แต่คราวหน้าถ้าพี่หิวก็บอกผมได้ ผมจะได้ไปรับเร็วขึ้นไง”

“คราวหน้าพี่ไม่มาด้วยแล้ว” เธอเอาคืน แต่ครั้นอีกฝ่ายมีสีหน้าอึ้งงัน หญิงสาวก็ยิ้มขัน “ล้อเล่น!”

มาวินรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นชั่วขณะ กระทั่งสาวรุ่นพี่ยิ้มออกมา เขาก็เหมือนคนตายแล้วฟื้น อมยิ้มกระหยิ่มที่ได้รู้จักตัวตนอีกด้านของเธอ

“ฝากไว้ก่อน”

“เดี๋ยวนี้ขู่พี่เหรอ” 

“ไม่ได้ขู่ แค่ฝากไว้”

ปลายฝนมองค้อน ไม่คิดว่าเด็กดีในสายตาเธอบทจะทำตัวเจ้าเล่ห์ขึ้นมาก็ทำได้น่าหยิกทีเดียว

“กินเสร็จแล้วพี่อยากไปไหนต่อ”

หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อย เธอไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้าจึงไม่มีคำตอบใดเป็นพิเศษให้อีกฝ่าย

“ไม่รู้สิ กลับห้องมั้ง”

“อยากนั่งรถดูไฟไหม ผมพาไป”

ข้อเสนอนั้นน่าสนใจ แต่ไม่มีน้ำหนักเท่าเหตุผลที่ว่าเขาใช้เวลาเย็นนี้กับเธอ ทั้งที่วัยรุ่นอย่างเขาจะไปเฉลิมฉลองกับเพื่อนก็ได้ ในเมื่อคืนนี้เขามีแค่เธอ และเธอก็มีมาวินเป็นเหมือนครอบครัวที่ขาดหาย ปลายฝนจึงตอบตกลง

“ก็ดีนะ”

รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเด็กหนุ่มตอกย้ำการตัดสินใจของเธอ ปลายฝนพลอยตื่นเต้นกับคืนข้ามปีอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานาน

ตลอดมื้ออาหาร มาวินคอยพลิกหมูสไลด์บนเตาและคีบใส่จานให้หญิงสาวบ่อยครั้ง ไปๆ มาๆ คนที่ท้องร้องก็อิ่มตื้อก่อน ปลายฝนสลับมาเป็นฝ่ายปิ้งเนื้อสัตว์ให้มาวินบ้าง แม้เธอจะอ้างว่ากลัวถูกร้านปรับค่าอาหาร แต่คนกินรู้สึกปลาบปลื้มกับโมงยามนี้ยิ่งนัก

“จริงสิ พี่ว่าจะถาม ไม้พอรู้ไหมว่าแถวซอยเรามีร้านจำหน่ายอุปกรณ์ในบ้านเปิดขายช่วงนี้ไหม” เธอเอ่ยเมื่อนึกได้

“ไม่แน่ใจ ไว้ผมดูให้ พี่จะซื้ออะไร”

“หลอดไฟห้องน้ำน่ะสิ เพิ่งหลอดขาดเมื่อเช้าเอง”

“อ๋อ สบายมาก หลังขี่รถดูไฟ ผมแวะเอาหลอดไฟที่ร้านไปเปลี่ยนให้”

“บ้า ทำงั้นได้ไง” เธอท้วงเสียงหลง เรียกรอยยิ้มขันจากอีกฝ่าย

“ทำได้สิ ที่ร้านมีหลอดไฟตุนไว้ เยอะ ผมค่อยจ่ายเงินคืนม้าก็เท่านั้น ไม่ได้ขโมยถอดออกมาซะหน่อย”

“ไม่เป็นไรแน่นะ” ปลายฝนชักคล้อยตาม

“แน่” เด็กหนุ่มตอบหนักแน่นก่อนหลิ่วตายั่วเย้า “กลัวผมถูกไล่ออกแล้วต้องเลี้ยงผมเหรอ”

“อื้อ เลี้ยงตัวเองยังไม่ค่อยได้เลย”

“ผมก็ไม่ให้พี่เลี้ยงหรอก”

คำตอบหยิ่งทะนงทำเอาหญิงสาวชะงักมือ เปลี่ยนใจคีบกุ้งใส่จานตนเอง มาวินยิ้มขันกับคนคิดเล็กคิดน้อย เมื่อกี้เขายังพูดไม่จบ แต่คงไม่จำเป็น สักวันเขาจะพิสูจน์ให้เธอเห็นว่าเขาสามารถดูแลตนเองและดูแลเธอได้ 

สักวัน...

 

ไม่ต้องเดินทางไปถึงแหล่งรวมศูนย์การค้าใจกลางเมือง แค่ขี่รถออกไปตามถนนสายหลักก็พบอาคารห้างร้านประดับประดาไฟเทศกาลสว่างไสว สวยงามละลานตาในเวลากลางคืน

มาวินเลี้ยวเข้าไปจอดหน้ากลุ่มอาคารซึ่งสวนหย่อมด้านหน้าตกแต่งด้วยหลอดไฟดวงกลม แล้วยังมีโครงเหล็กทรงกรวยคว่ำที่ประดับไฟต่างต้นคริสต์มาส เขาดับเครื่องยนต์แล้วยกโทรศัพท์มือถือถ่ายภาพ ปลายฝนจึงลงจากรถมากวาดตามองบรรยากาศรอบตัวพร้อมรอยยิ้มประทับใจ

“ปะ ปล้นแบงก์กัน” มาวินตามมาเย้าแหย่ เพราะตอนนี้พวกตนอยู่หน้าธนาคารสำนักงานใหญ่

หญิงสาวตีต้นแขนเด็กหนุ่มไปที ทว่าดวงตาพราวเป็นประกายขบขัน เธอใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพแสงไฟที่ประดับประดาเป็นรูปลักษณ์ต่างๆ บ้างอีกคน

“ผมถ่ายรูปพี่ให้”

“งั้นเดี๋ยวพี่ถ่ายให้ไม้นะ”

มาวินพยักหน้าเออออไปอย่างนั้น เขายิ้มตามนางแบบสาวบนหน้าจอ เมื่อถ่ายรูปแล้วก็เดินไปให้เธอสำรวจความพอใจ

“ตาพี่ถ่ายไม้บ้าง”

“ไม่เอา” เขาปฏิเสธกลั้วหัวเราะ

“ไม่ต้องเขินหรอกน่า”

“พี่ถ่ายด้วยสิ ผมถึงจะถ่าย”

ปลายฝนทำหน้านิ่วใส่วัยรุ่นท่ามาก แต่ก็ยอมถ่ายภาพเซลฟี่กับเด็กหนุ่มหน้าแสงไฟรูปทรงต้นคริสต์มาสสูงกว่าห้าเมตร มาวินเห็นหญิงสาวพยายามเหยียดสุดแขนแล้วอดใจไม่ได้ เขาเหวี่ยงแจ็กเกตพาดบ่า รับหน้าที่ยกโทรศัพท์มือถือถ่ายให้เสียเอง

“ก็แค่นี้”

คนท่ามากกลั้นยิ้มขัน ใช่...ก็แค่นี้ แค่ได้ถ่ายรูปกับเธอ หัวใจเขาก็พองฟู

หลังเก็บภาพบรรยากาศจนพอใจแล้ว หญิงสาวก็หย่อนกายนั่งบนขอบสนามหญ้าที่ไล่ระดับเป็นขั้นบันได มาวินนั่งลงข้างกัน

“บ้านพี่อยู่ที่ไหนเหรอ”

คำถามนั้นฟังเหมือนชวนคุยมากกว่าละลาบละล้วงก็จริง แต่ปลายฝนตัวเกร็งขึ้นเล็กน้อย ก่อนให้คำตอบกว้างๆ

“แถวปทุมฯ”

“ก็ไม่ไกล” เขาเปรยแผ่วเบา “พ่อแม่พี่ยังอยู่ไหม”

“อยู่” เธอตอบเสียงเบาพอกัน 

“ไม่คิดถึงเหรอ”

คราวนี้ไม่มีคำตอบ เพียงผินมองใบหน้าด้านข้างของผู้ที่เงียบงัน มาวินก็คล้ายจะเข้าใจเหตุผลแท้จริงที่หญิงสาวเลือกอยู่ลำพังช่วงเทศกาล ต้นเหตุที่สามารถลบเลือนรอยยิ้มของเราได้ กัดกร่อนพลังใจคนเราอย่างร้ายลึกยิ่งกว่าปัญหาใดๆ

“ไม่ใช่ทุกบ้านจะน่ากลับไปใช่ไหม”

คำคาดเดาเขย่าหัวใจปลายฝน ตามหน้าที่แล้วเธอไม่ควรเปิดเผยเรื่องส่วนตัวให้เหยื่อรับรู้ ถึงแม้บัดนี้มาวินจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิแล้วก็ตาม แต่อีกใจของเธอก็หวั่นไหวที่มีคนร่วมรับรู้และเข้าใจ โดยเฉพาะคนคนนั้นมีพื้นเพครอบครัวคล้ายกัน

“ได้ข่าวพ่ออีกหรือเปล่า” เธอถามอย่างห่วงใย

“ไม่แล้ว” มาวินปฏิเสธทันควัน เขาไม่ได้ตั้งใจโกหกให้เธอเป็นห่วงแต่แรก ก่อนจะหยิบกระดาษที่พับเก็บไว้ในกระเป๋าแจ็กเกตยีนออกมาคลี่ส่งให้หญิงสาว “ดูนี่ดีกว่า ผลการเรียนเทอมแรกฮะ”

“สามจุดแปดเก้า” เธออ่านทวน ตาโต หันมองเขาอย่างชื่นชม

นี่ต่างหากที่มาวินอยากให้เธอรู้สึก ภูมิใจ...อิ่มเอิบใจกับเขามากกว่าคอยห่วงกังวล

“พี่รู้ไหม บีบอกว่าถ้ามันเข้ามหา’ลัยแล้วต้องไปอยู่หอ มันจะยกมอ’ไซค์คันนี้ให้ผมใช้ ผมตั้งใจว่าถึงตอนนั้นจะขี่รถส่งอาหาร อย่างน้อยก็รายได้ดีกว่าส่งแก๊สแน่ๆ”

ปลายฝนเผลอมองผู้ที่บอกเล่าแผนการในอนาคตให้ฟังอย่างเปี่ยมด้วยความหวัง ทั้งที่เขามีสิทธิ์น้อยใจโชคชะตาหรือเปรียบเทียบชีวิตตนเองกับเพื่อนสนิท ทว่าไม่เคยสักครั้งที่เด็กหนุ่มจะประชดชีวิตให้ยิ่งแย่ลง ดวงตาหญิงสาวทอประกายชื่นชม

“ไม้ไม่อิจฉาเพื่อนเหรอ”

“จะบอกว่าไม่อิจฉาก็คงไม่ใช่ แต่คนอื่นมีชีวิตที่ดีก็ดีแล้ว ผมไม่ได้อยากให้ใครมาเป็นอย่างผมเหมือนกัน”

มาวินไม่มีทางรู้เลยว่าคำพูดของเขาตรงกับสิ่งที่เธอทำอยู่ และส่งเสริมกำลังใจให้เดินหน้าอย่างมีความหวังมากขึ้นเช่นกัน

“ทำไมมองผมอย่างนั้นล่ะ”

ปลายฝนสะดุ้งออกจากภวังค์ เธอเสหยิบถุงใบเล็กออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้วส่งให้อีกฝ่ายแก้เก้อ

“อ้ะ ของขวัญคนเก่ง”

เขาหยิบของข้างในออกมา ครั้นเห็นเป็นกล่องหูฟัง รอยยิ้มก็กว้างขึ้นเกือบถึงใบหู

“ตอนนั่งรถเมล์ด้วยกัน พี่เห็นสายหูฟังที่ไม้ใช้มันเริ่มเปื่อยแล้วนี่”

มาวินไม่รู้จะเอ่ยคำใดแทนความรู้สึกยามนี้ ไม่เพียงแต่มันคือของขวัญปีใหม่จากคนที่ตนมีใจให้ แต่ยังมีที่มาจากความใส่ใจที่เธอมีให้แก่เขาอีกด้วย

“ขอบคุณฮะ ผมจะรักษาอย่างดีที่สุด” เขาบอกเธอและตนเอง 

ไม่มีวันที่เขาจะทำลายหัวใจของผู้หญิงคนนี้ ไม่มีวันที่เขาจะทรยศน้ำใจของเธอ ไม่มีวัน...

“ที่จริงผมมีของขวัญให้พี่เหมือนกัน” เขาบอกพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ “แต่ผมลืมเอามา ไว้กลับไปเอาหลอดไฟที่ร้านก่อนนะ”

“อะไรอะ ไม่เห็นต้องให้อะไรพี่ก็ได้”

“ก็อยากให้ ทีพี่ยังให้ผมได้เลย”

เมื่อไม่อาจปฏิเสธให้เป็นการดูถูกน้ำใจ ปลายฝนจึงลุกขึ้นชวนเขากลับก่อนจะดึกไปกว่านี้

“งั้นกลับเลยแล้วกัน กว่าไม้จะเปลี่ยนหลอดไฟให้พี่อีก”

มาวินเดินตามไปที่รถ ส่งแจ็กเกตยีนให้หญิงสาวพร้อมกับให้เหตุผล

“อากาศเย็นลง พี่สวมไว้เถอะ เดี๋ยวไซนัสอักเสบกำเริบอีก”

ขาดคำสายลมในคืนหน้าหนาวก็พัดกรูมาปะทะร่างกาย ปลายฝนยอมรับแจ็กเกตยีนมาสวมทับเสื้อผ้ายืดแขนสามส่วน แต่ไม่รู้เพราะเนื้อผ้าหนา ความเอาใจใส่ของเด็กหนุ่ม หรือสายตาคมกล้าที่มองมา หัวใจเธอจึงอุ่นซ่านอย่างน่าประหลาด

 

เจ้าของกิจการปิดร้านเพื่อไปเที่ยวพักผ่อนช่วงเทศกาล คนงานต่างด้าวลูกจ้างร้านขายแก๊สยังถือโอกาสนี้กลับบ้านเกิดไปหาครอบครัว เหลือเพียงมาวินอยู่โยงเฝ้าตึกแถวสองคูหาลำพัง

เขาไขกุญแจประตูหลังร้านเข้าไป ปลายฝนตามไปด้วยเพราะอยากรู้ความเป็นอยู่ของอีกฝ่าย เธอกวาดตามองภายในตึกแถวชั้นล่างซึ่งเป็นพื้นที่โล่ง ถังแก๊สหุงต้มหลายขนาดวางเรียงรายเป็นระเบียบพอใช้ ถึงอย่างนั้นก็ดูอันตรายในสายตาคนที่ไม่คุ้นเคย ก่อนที่มาวินซึ่งตรงไปที่ห้องเก็บของจะกลับออกมาพร้อมกล่องหลอดไฟ

“ห้องพี่ใช้หลอดกลมแบบนี้หรือเปล่า”

“ใช่” หญิงสาวลืมตัวยิ้มดีใจ “เท่าไรน่ะ”

“ไม่รู้สิ เดี๋ยวผมค่อยถามม้า”

“แล้วบอกพี่ด้วยนะ”

เด็กหนุ่มพยักหน้าส่งๆ “ผมขึ้นไปเอาของบนห้องก่อน ขึ้นไปด้วยไหม”

“ไม่ดีกว่า พี่ไปรอที่รถนะ”

มาวินกลั้นยิ้มขัน เขาก็ไม่คิดว่าคำชวน ‘ขึ้นห้อง’ ของตนจะได้ผล โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่วางตัวดีมาตลอด

ไม่นานเขาก็กลับออกมาหาเธอหลังร้าน ปิดล็อกประตูเรียบร้อยดังเดิม ทั้งสองก็ตรงไปยังอะพาร์ตเมนต์ของหญิงสาวซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ซอย แม้เคยมาที่นี่แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าไปข้างในกับเธอ

ห้องพักบนชั้นสามมีพื้นที่ประมาณยี่สิบสี่ตารางเมตร ทันทีที่ก้าวเข้าไปก็พบเตียงเดี่ยวตั้งอยู่กึ่งกลาง ปลายเตียงเป็นโทรทัศน์และตู้เย็น ส่วนตู้เสื้อผ้าอยู่ติดผนังฝั่งห้องน้ำ มาวินสังเกตว่ามีประตูอีกบานเปิดออกไปสู่ระเบียง

“รกหน่อยนะ”

“ถ้าห้องพี่รก ห้องผมคงรังหนูแล้วละ” เขาตอบติดตลก กลบเกลื่อนใจที่เต้นแรง “ผมเปลี่ยนให้เลยนะ ยืมเก้าอี้หน่อย”

หญิงสาวตามไปสังเกตการณ์หน้าห้องน้ำ ขณะที่มาวินยืนบนเก้าอี้พร้อมกับเหยียดแขนหมุนหลอดไฟหลอดเก่าออกจากขั้ว

“เอาไฟฉายไหม”

“ไม่เป็นไร มองเห็นอยู่”

คำพูดนั้นได้รับการยืนยัน เมื่อมาวินหมุนหลอดไฟใหม่แทนที่อย่างง่ายดาย ก่อนเขาจะบอกให้หญิงสาวลองเปิดสวิตช์ไฟหน้าห้องน้ำ ทันใดนั้นแสงสว่างก็กลับมา

“เห็นไหม ผมบอกแล้วว่าสบายมาก”

“จ้า ไม้เก่ง” เธอแกล้งลากเสียงชื่นชม

มาวินยกเก้าอี้ออกมาวางไว้ที่โต๊ะทำงานข้างเตียงดังเดิม ถือโอกาสนั้นกวาดตาสำรวจข้าวของเครื่องใช้ผ่านๆ ครั้นไร้วี่แววสมาชิกคนอื่นภายในห้อง เขาก็เผลอยิ้มกับตนเอง

ตอนที่ปลายฝนออกจากห้องน้ำ เด็กหนุ่มกำลังทดลองเสียบหูฟังอันใหม่กับโทรศัพท์มือถือ เขาพยักหน้าเรียกเธอพร้อมกับยื่นหูฟังข้างหนึ่งให้ จนเมื่อหญิงสาวก้าวไปใกล้ มาวินก็ใส่หูฟังข้างนั้นให้เธอ

“ไม่มีเสียงอะไรเลย”

“ผมได้ยินนะ”

“หรือเสียที่ข้างพี่”

“ฟังดีๆ”

หญิงสาวทำหน้านิ่วหน้าเงี่ยหูฟัง แล้วโดยไม่ทันตั้งตัว เสียงที่ถูกเร่งทีเดียวจนสุดก็ดังลั่นจนเธอสะดุ้งตกใจ ปลายฝนดึงหูฟังออกทันทีแล้วตรงเข้าทุบคนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจที่แกล้งเธอ

“นิสัย เป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

มาวินหัวเราะชอบใจพลางยกมือปัดป้องกำปั้นเล็กๆ เป็นพัลวัน เขารวบกอดร่างบางเชิงง้องอน แต่กลายเป็นถูกหญิงสาวทั้งหยิกทั้งตีเต็มไม้เต็มมือกว่าเดิม

“โอ๊ย กลัวแล้ว อย่าทำผม”

“กลัวแล้วยังหัวเราะนี่นะ หลอกพี่อีกใช่ไหม”

ปลายฝนสนุกกับการได้แกล้งเอาคืนด้วยการบิดเนื้อคนทะเล้น ได้เห็นเขายิ้ม ได้ยินเขาหัวเราะเต็มเสียง เธอก็พลอยยิ้มหัวตาม

“เฮ้ย”

สิ้นเสียงอุทานของเด็กหนุ่ม หนุ่มสาวที่แกล้งกันไปมาก็ล้มลงบนเตียงทั้งคู่ ปลายฝนตัวแข็งค้างขณะสบตาคู่คมที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าเธอ

มาวินมีขนคิ้วเรียงเส้นสวย จมูกโด่ง ผิวของเขาไม่เข้มแต่ก็ไม่ขาว เธอไม่สังเกตมาก่อนเลยว่าเหนือริมฝีปากและแนวคางของเด็กหนุ่มปรากฏตอหนวดจางๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเวลานี้ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้เธอเหลือเกิน ไออุ่นจากลมหายใจที่รินรดทำให้ช่องท้องเธอปั่นป่วน ราวกับผีเสื้อนับร้อยนับพันกระพือปีกข้างในตัวเธอ

แทนที่จะขยับออกไป มาวินกลับโน้มใบหน้ามาใกล้หญิงสาวมากขึ้น เขาถอนสายตาจากเธอมาจับจ้องกลีบปากอิ่มที่เผยอแยกจากกันเล็กน้อย ราวกับเธอต้องอ้าปากไขว่คว้าลมหายใจ ยิ่งเขาขยับใกล้เข้ามากเท่าไร ทรวงอกเธอก็ยิ่งสะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะเดียวกันกับเขา

ปลายฝนตกอยู่ใต้มนตร์สะกดบางอย่าง มันครอบงำความคิดและจิตใต้สำนึกของเธอให้ละเลยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี กระทั่งเสียงดังกัมปนาทและแสงสว่างวาบอาบท้องฟ้ายามราตรีทำลายมนตร์สะกดนั้น หญิงสาวก็ออกแรงผลักร่างเด็กหนุ่มได้ทันท่วงที เธอผุดลุกจากเตียงแล้วถอยกรูดออกห่างจากความหวั่นไหวที่ก่อเกิดขึ้นในใจ

เสียงดอกไม้ไฟเฉลิมฉลองวันใหม่ดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีสรรพเสียงใดกึกก้องอื้ออึงในใจมาวินมากไปกว่าเสียงเขาก่นด่าตนเอง ยิ่งได้เห็นปฏิกิริยาของหญิงสาวรุ่นพี่ เขาก็ยิ่งหวาดกลัวต่อความเปลี่ยนแปลงด้านความสัมพันธ์ระหว่างพวกตนต่อจากนี้ไป

“พี่...”

“ดึกแล้ว ไม้กลับเถอะ พี่ลงไปส่ง” ปลายฝนชิงเอ่ยแทรกก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดอะไร

เธอดึงประตูเปิดกว้าง บังคับกลายๆ ให้แขกต้องตามออกมา จากนั้นเธอก็รีบเดินลงบันไดโดยไม่เปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มได้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างกัน

พลุหลากสีสันยังคงกระจายพร่างพรายบนท้องฟ้า หนุ่มสาวต่างชะงักแหงนหน้ามอง ก่อนดวงตาสองคู่จะเลื่อนมามองสบกัน

“พรุ่งนี้พี่ไปไหนหรือเปล่า”

“ว่าจะเข้าไปที่มูลนิธิ” ปลายฝนตอบโดยไม่ต้องคิด ทั้งที่เธอควรจะคิดได้ก่อนหน้านี้ แต่ทุกคราวที่อยู่กับมาวิน เธอลืมปัญหา ลืมหน้าที่ ลืมความเหมาะสม

“ไม่หยุดเหรอ” เขาถามคล้ายอาวรณ์

“พี่ต้องเข้าไปเคลียร์งานน่ะ”

ถ้าเป็นเมื่อก่อน หญิงสาวคงใจอ่อนให้แก่ท่าทางก้มหน้าคอตก แต่บัดนี้เธอตระหนักแล้วว่าตนเปิดโอกาสให้มาวินเข้ามาใกล้ชิดหัวใจ ร่างกาย และความรู้สึกมากเพียงใด เมื่อเกือบข้ามเส้นแบ่งที่เขากับเธอจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต

ปลายฝนหันหลังเดินจากมา ไม่มีการโบกมือลาเช่นทุกที ไม่มีโอกาสแม้แต่ที่มาวินจะมอบของขวัญปีใหม่ที่เขาตั้งใจซื้อให้เธอ


 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น