ตอนที่ 3

ตอนที่ 3 รายนามที่หายไป

            “หนู! เสร็จรึยังป้าจะปิดห้องแล้ว!” 

เสียงตะโกนโหวกเหวกจากประตูด้านหน้าเร่งให้เนตรไพลินรีบเก็บข้าวของและออกจากห้องทำงาน เลยเวลาเลิกงานมาพอสมควรแล้ว แต่เธอต้องทำความสะอาดพื้นที่ทำงานตัวเองให้เสร็จ ทำให้ ‘ป้านง’ แม่บ้านประจำเทศบาลต้องอยู่รอจนกว่าเจ้าหน้าที่คนสุดท้ายจะออกจากห้องเพื่อล็อกประตูตามหน้าที่ เมื่อเนตรไพลินยังไม่ยอมออกมาเสียที แกจึงเริ่มแสดงอาการไม่พอใจ

            “ค่ะ! จะเสร็จแล้วค่ะคุณป้า อีกนิดเดียวค่ะ” เนตรไพลินขานรับโดยพลัน เมื่อเก็บเอกสารต่างๆ เข้าที่ดีแล้วจึงคว้าเอากระเป๋าใบเล็กสะพายบ่า ก้าวฉับๆ ออกมาหาหญิงวัยกลางคนที่ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงประตูกระจก แกกำกุญแจพวงโตเอาไว้ อีกมือเท้าสะโพกอวบอั๋น

            “ขอโทษค่ะ…” เนตรไพลินกล่าวขอโทษอีกครั้งหลังจากที่ก้าวออกมาจากห้องทำงานแล้ว 

ป้านงชักสีหน้าใส่ ก่อนจะเดินเข้าไปตรวจตราดูความเรียบร้อยครั้งสุดท้าย

หญิงสาวเห็นว่าอยู่ไปก็ช่วยอะไรป้านงไม่ได้ จึงเดินออกไปจากอาคารหลังนี้ ยังไม่ทันก้าวพ้นอาคารก็เกิดบางอย่างขึ้นกับร่างกายเธออีกแล้ว อยู่ๆ สองหูก็ดับ ก่อนภาพนิมิตจะปรากฏต่อสายตา 

หัวใจเนตรไพลินเต้นระรัวเพราะหาคำตอบให้สิ่งที่เห็นไม่ได้ เธอเห็นหญิงวัยกลางคนในชุดเสื้อยืดสีม่วงและกางเกงขายาวสีดำนอนจมกองเลือดท่ามกลางรถจักรยานยนต์ที่ล้มระเนระนาด เลือดสีแดงฉานเจิ่งนองบนพื้นถนนทำให้เธอหายใจไม่ทั่วท้อง หญิงสาวหอบแฮกในทันที โชคยังดีที่คว้าจับกรอบประตูใหญ่ของสำนักงานเทศบาลเอาไว้ได้ทัน

“อะไรกัน…อะไรเนี่ย!” เนตรไพลินเอ่ยเสียงแหบพร่า วินาทีนี้เธอเริ่มได้ยินเสียอีกครา ทั่วทั้งตัวชุ่มโชกเหงื่อ มือข้างหนึ่งทาบอกอิ่ม รับรู้ได้ชัดเจนว่าหัวใจดวงเล็กนี้เต้นแรงแทบระเบิด

“เป็นอะไรอีกล่ะ เลิกงานแล้วก็รีบกลับไปสิ จะอยู่รออะไร!” ป้านงที่เดินตรวจตราห้องสำนักปลัดเรียบร้อยแล้วเดินออกมา ครั้นเห็นว่าเนตรไพลินยังยืนอยู่ประตูด้านหน้าจึงเอ็ดด้วยเสียงอันดัง 

เนตรไพลินรีบปาดเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้างาม แล้วหันไปค้อมศีรษะรับคำ ตอนนั้นเองที่เธอเห็นใบหน้าป้านงชัดเจน หญิงสาวหน้าซีดเผือดลงในทันที แต่จิตใต้สำนึกบอกเธอว่าสิ่งที่เห็นอาจเป็นเพียงความคิดฟุ้งซ่าน หากบอกเรื่องนี้กับป้านง แกคงได้ไม่พอใจและด่าว่าสาดเสียเทเสียเป็นแน่ เธอตัดสินใจเงียบลงอีกคราและเดินไปยังลานจอดรถที่อยู่อีกฟากถนน

หญิงสาวผมยาวไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูรั้วใหญ่ หัวใจเธอเต้นช้าลงมากแล้ว เสียงโหวกเหวกโวยวายทำให้เนตรไพลินรู้ว่าในวันนี้ลานว่างข้างป่าช้าใหญ่มีตลาดนัด พ่อค้าแม่ขายพากันตั้งนั่งร้านแบบง่ายๆ บ้างเปิดท้ายขายกันบนลานดิน ให้ชาวบ้านแวะเวียนมาจับจ่ายใช้สอยกันละลานตา เสียงซู่ซ่าดังมาจากร้านขายไก่ทอดร้านใหญ่ที่แม้น้ำมันในกระทะจะดำอยู่ประมาณหนึ่ง แต่กลิ่นหอมที่โชยออกมาเมื่อนำไก่ลงทอดนั้นรัญจวนใจอย่าบอกใครเชียว พอขายพร้อมกับข้าวเหนียวและน้ำพริกตาแดงห่อเล็กๆ ก็เรียกลูกค้าได้มากโข

“จริงสิ วันนี้มีตลาดนัดนี่นา” เนตรไพลินเอ่ยกับตัวเอง หันมองรายรอบกาย ดูความวุ่นวายของรถราที่แล่นไปมาหน้าตลาดนัด บ้างเข้าจอดเทียบกำแพงของสถานีอนามัย บ้างจำต้องเข้าไปจอดในป่าช้าใหญ่ ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านั้นคุ้นตาเธอเหลือเกิน แต่หญิงสาวต้องสลัดมันทิ้ง เธอตั้งใจว่าจะรีบกลับบ้าน เพราะภาพที่เห็นทำให้รู้สึกใจคอไม่ดี

“เนตร!”

เนตรไพลินยังไม่ทันข้ามถนนไปยังฝั่งป่าช้าใหญ่ ใครบางคนพลันตะโกนเสียงเล็กแหลมเรียกชื่อเธอ

            “ผักกาด!” เนตรไพลินหันมองต้นเสียงในทันที ก่อนจะพบว่าหญิงรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์คนนั้นคือ ‘ผักกาด’ เพื่อนสมัยเรียนที่ไม่ได้ติดต่อกันมาสักพักใหญ่ๆ

            “โอย ว่าแล้วต้องเป็นเนตร!” ผักกาดมองซ้ายมองขวา ให้แน่ใจว่าข้ามไปได้โดยไม่ถูกรถราเฉี่ยวชน เมื่อถึงตัวเพื่อนสาวก็ถึงกับกระโดดเหยง สองมือกุมมือเนตรไพลินอย่างคิดถึงคำนึงหา “คิดถึงจังเลย! เป็นยังไงบ้างไม่ได้เจอกันนานมาก!” 

            “สบายดีจ้ะ เพิ่งเลิกงานน่ะ ผักกาดล่ะ” เนตรไพลินตอบเพื่อนสาวด้วยรอยยิ้มหวาน ยังคงกุมมือเพื่อนแน่น

            “เพิ่งเลิกงานเหมือนกัน วันนี้ทำงานเหนื่อยมากกก!” ผักกาดว่า

            “ทำงานก็ต้องเหนื่อยสิ” เนตรไพลินว่าแกมหัวเราะ ต้องยกความดีความชอบให้ผักกาด ความสดใสของหล่อนทำให้เนตรไพลินลืมความวิตกกังวลเมื่อครู่ไปจนหมด ตอนนั้นเองที่เธอเห็นตราสัญลักษณ์วงกลมสีเขียวบนอกซ้ายของผักกาด ดูเหมือนผักกาดจะทำงานเป็นหมออนามัยประจำตำบลไทรหลวงแห่งนี้

“ตอนเรียนยังงอแงไม่ยอมเจาะเลือดอยู่เลย ตอนนี้กลายเป็นคุณหมอไปแล้วเหรอ” สาวเจ้าแซวเพื่อนสนิท

ทันทีที่ผักกาดพยักหน้ารับ ทั้งคู่ก็ถึงกับส่งเสียงดีอกดีใจดังลั่น หลังจากเรียนจบทั้งสองต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง เนตรไพลินต้องลงสอบในสนามสอบต่างๆ เพื่อสมัครตำแหน่งงานข้าราชการ จนแทบไม่มีเวลาติดต่อกับเพื่อนสนิทเลย กระทั่ง ‘นิล’ หรือนิลพิราพ น้องสาวของเธอสอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดังในตัวจังหวัดและต้องย้ายไปพักหอพักในมหาวิทยาลัย เนตรไพลินจึงตัดสินใจสมัครสอบเป็นพนักงานเทศบาลของตำบลที่เธออยู่ เพราะต้องอยู่ดูแลย่าและทวดแทน

“เนตรล่ะ!” เพื่อนสนิทถามต่อพลางจูงมือเนตรไพลินให้ข้ามถนน ชวนให้เดินเที่ยวตลาดนัดสักครู่ เพื่อพูดคุยกันให้หายคิดถึง

“พอดีได้งานสาธารณสุขของเทศบาลน่ะ วันนี้ก็เพิ่งทำงานวันแรก” เนตรไพลินถูกผักกาดดึงมือให้แวะซื้อขนมเบื้องเจ้าดัง

“ชอบกินเหลือเกินนะขนมเบื้องเนี่ย” เนตรไพลินยังจำได้ดีว่าขนมที่ผักกาดชื่นชอบมากที่สุดคืออะไร 

หลังจากพวกเธอเดินออกจากร้านขนมเบื้อง ผักกาดก็จูงมือเธอให้แวะซื้อน้ำหวานจากรถขายน้ำหวาน น้ำหวานสีสันฉูดฉาดอยู่ในขวดโหลใสที่ตั้งเรียงรายบนพ่วงข้างของรถสามล้อ ปิดฝาโหลด้วยฝาพลาสติกสีแดงสด เอกลักษณ์ของร้านขายน้ำเหล่านี้คงหนีไม่พ้นฝูงผึ้งกว่าหลายสิบตัวที่ตอมน้ำหวานในขวดโหลใหญ่ เมื่อลูกค้าสั่งน้ำหวานสักแก้ว พ่อค้าก็เพียงเปิดฝาขวดโหลออก ใช้กระบวยตักน้ำหวานใส่แก้วพลาสติกที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง บีบแก้วใสเบาๆ และยื่นให้ลูกค้า แต่บางคราก็ต้องตักซากผึ้งออกจากขวดโหลเสียก่อน

“เบาๆ บ้างนะ เรื่องน้ำหวานน่ะ” เนตรไพลินกระซิบบอกเพื่อนสนิท แต่ผักกาดดูจะชื่นชอบการดื่มน้ำหวานเป็นชีวิตจิตใจ หลังจากหล่อนลิ้มรสหวานของน้ำชาไทยสีส้มสดในแก้วนั้น ใบหน้ากลมก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มแสนมีความสุข

“จ้ะแม่~” ผักกาดรับปากเช่นเคย แม้จะไม่เคยทำได้เลยสักครั้งก็ตาม

เนตรไพลินถึงกับส่ายหน้าให้ความทะเล้นของเพื่อนแล้วหันมองร้านรวงอื่นๆ หาร้านที่เธอน่าจะสนใจ แต่ข้าวของเครื่องใช้และอาหารเครื่องดื่มที่ขายในวันนี้ไม่ถูกใจเธอเลยจริงๆ ตลาดนัดเต็มไปด้วยของทอดและของหวานที่เธอไม่ชอบกิน เนตรไพลินมองผ่านร้านขายของมากมายก่อนจะสะดุดตากับใครบางคนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแปลกตา

“เนตรไม่กินอะไรเหรอ” ผักกาดถามในขณะที่ง่วนกับการกินขนมเบื้องในมือ

เนตรไพลินจ้องมองชายผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ริมรั้วสีเขียวอ่อนของสำนักงานเทศบาล ชายผู้นั้นสวมชุดสูทสีดำสนิท กางเกงสแล็กสีดำยาวถึงตาตุ่ม รองเท้าหนังขัดเงาเป็นมันปลาบ สวมหมวกฟีดอราสีดำสนิทเด่นสะดุดตา ชาวบ้านในละแวกนี้คงไม่มีใครสวมเสื้อผ้าเป็นทางการได้ขนาดนี้ หากไม่ใช่ดารานักแสดงที่ต้องสวมบทบาท หรือผู้ชื่นชอบการแต่งคอสเพลย์ตามตัวการ์ตูนหรือภาพยนตร์ สำหรับเนตรไพลิน เธอรู้สึกว่าเขาแต่งตัวประหลาดเสียมากกว่า

“เนตร” ผักกาดเรียกเพื่อนอีกครา แต่เนตรไพลินเอาแต่จ้องอีกฝั่งของถนนแทบตลอดเวลา ผักกาดจึงตะโกนดังขึ้น

“เนตร!” 

เพื่อนสาวถึงกับสะดุ้งโหยง หันขวับมามองหล่อนที่ดูดน้ำหวานในแก้วพลาสติก

“อะ…อะไรเหรอ!” เนตรไพลินถึงกับทำหน้าตาเหลอหลา

“ตัวเองต่างหากเป็นอะไร เหม่อเชียว” ผักกาดถาม เคี้ยวขนมเบื้องตุ้ยๆ ดวงตากลมของหล่อนจ้องใบหน้างามของเพื่อนอย่างรอฟังคำตอบ

“ก็คนนั้นน่ะ แต่งตัวแปลกๆ” เนตรไพลินบอก ชี้นิ้วไปอีกฟากของถนนด้านหน้า ทำให้ผักกาดชะเง้อหน้ามองตาม

“ไหน” 

“อ้าว…” เนตรไพลินฉงน เธอละสายตาจากชายชุดดำไม่กี่วินาที เขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ตาฝาดรึเปล่า…” ผักกาดพยายามมองโลกในแง่ดีเข้าไว้

“นั่นสิ…” เนตรไพลินยอมรับความเห็นของหล่อน ด้วยไม่ต้องการคิดเรื่องไร้สาระนี้ต่อ แต่ยังกวาดตามองหา แน่นอนว่าเธอไม่เห็นใครที่สวมชุดสีดำและหมวกทรงแปลกตานั้นอีกแล้ว

“ยายๆ เอานี่! เอานี่!”

เสียงหนึ่งดึงเธอให้กลับมาสนใจสิ่งรอบข้าง เด็กน้อยตัวเล็กๆ ในชุดเสื้อยืดสีเขียวสด นุ่งกางเกงขาสั้นสีแดง เดินจูงมือหญิงวัยกลางคนที่เนตรไพลินจำได้ เพราะแกคือป้านง พนักงานทำความสะอาดที่เพิ่งไล่เธอให้ออกจากห้องทำงาน แกสวมเสื้อยืดสีม่วงและกางเกงขาวยาวสีดำเฉกเช่นเดียวกับภาพนิมิตที่เธอเห็นก่อนหน้านี้ วินาทีนั้นเองที่ทุกอย่างเงียบสงัด ภาพนิมิตปรากฏต่อสายตาเธออีกครั้ง ร่างที่นอนจมกองเลือดยังคงเป็นร่างป้านง แต่ห่างออกไปมีเด็กน้อยนอนแน่นิ่งด้วย 

ขนทั่วตัวเธอลุกชัน เพราะเด็กน้อยในนิมิตสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกันกับหลานป้านง เขาติดอยู่กับกันชนหน้ารถกระบะสีดำคันใหญ่ที่ชนอัดกำแพงป่าช้า วินาทีนั้นน้ำตาไหลจากดวงตาของเนตรไพลินอย่างน่าประหลาด เธอรีบเช็ดมันและก้าวไปหาป้านงในทันที

“อ้าว! เนตร! เนตรเดียวก่อน!” ผักกาดที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรรีบจ้ำอ้าวตามไปในทันที

“คุณป้าคะ!” 

เนตรไพลินโพล่งขึ้นน้ำเสียงวิตกเมื่อไปหยุดยืนอยู่หน้าสองยายหลาน พวกเขาสะดุ้งโหยง เด็กน้อยรีบหลบหลังยายโดยพลัน

“อ้าวหนู มีอะไร” ป้านงถาม ขยับมือแห้งเหี่ยวปกป้องหลานชายราวกับแม่ที่จะคอยปกป้องลูกจากทุกสิ่ง

“คุณป้า อย่าเพิ่งไปไหนนะคะ” เนตรไพลินว่า สีหน้าเป็นกังวล แต่เลือกจะไม่บอกเรื่องราวที่เห็น มิเช่นนั้นคงเป็นเรื่องราวใหญ่โตแน่ โดยเฉพาะหากมันเป็นเพียงความคิดฟุ้งซ่านของเธอ

“พูดอะไรของหนูเนี่ย!” ป้านงขมวดคิ้วแน่น เท้าสะเอวไม่พอใจที่เนตรไพลินทำให้หลานชายหวาดกลัว แกเองก็รู้สึกไม่ปลอดภัยที่เนตรไพลินเอ่ยวาจาเช่นนั้น ดูเหมือนเนตรไพลินจะโกรธเคืองที่แกเร่งให้กลับบ้าน

“ขอร้องละค่ะ ช่วย…เดินเที่ยวต่อ หรืออะไรก็ได้ รออีกสักพักให้…ให้…” เนตรไพลินพยายามหาทางออก แต่เธอไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เห็นจะเป็นจริงหรือเปล่า หากมันเป็นจริง นั่นหมายความว่าสองยายหลานคู่นี้จะต้องตาย และเธอยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ แต่ไม่รู้เลยว่าสถานการณ์นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด หากเธอรู้เวลาสักหน่อยก็คงจะดี

“เนตร…เกิดอะไรขึ้น…” ผักกาดคล้องแขนเนตรไพลิน เรียกชื่อให้เธอตั้งสติให้ดีเสียก่อน ผักกาดเองก็รู้จักกับป้านง แกมักพาหลานชายมาหาหมอที่สถานีอนามัย ทุกคนต่างรักและเอ็นดูหลานชายของแก

“ไว้จะเล่าให้ฟังนะ” เนตรไพลินกระซิบบอกเพื่อนสนิท ป้านงดูจะไม่พอใจที่เธอออกปากให้เดินเที่ยวเล่นต่อ และดูสงสัยในพฤติกรรมแปลกๆ ของเธอ

ป้านงตัดสินใจหันไปอุ้มหลานชายขึ้นมา เด็กน้อยรีบซุกหน้ากับบ่ายาย โอบคอคุณยายเอาไว้แน่น สีหน้าของป้านงแสดงความไม่พอใจอยู่มาก แกเดินไปยังลานจอดรถเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน

“ไม่ได้นะคะ!” เนตรไพลินที่เห็นสองยายหลานมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถจักรยานยนต์ ถึงกับขยับตัวเข้าขวาง “ช่วยรอก่อนเถอะค่ะ! หนูขอร้องละ! อีกห้านาทีก็ได้ หรือไม่ก็ให้หนูไปเอารถมาให้ก็ได้! แล้วป้าออกไปทางอื่นดีมั้ยคะ” 

แต่ป้านงเดินอ้อมเธอไป ไม่สนใจคำแนะนำของเนตรไพลินเลยสักนิด

เนตรไพลินคิดหาวิธี มีอยู่เพียงสองทางคือ ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปโดยคิดว่าสิ่งที่เธอเห็นเป็นเพียงความเพ้อเจ้อ หรือพยายามห้ามแกไว้โดยไม่สนใจว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ วินาทีนั้นเองเนตรไพลินตัดสินใจคว้าแขนข้างหนึ่งของป้านงเอาไว้ 

“คุณป้าคะ ได้โปรด!” 

ความโกรธที่ก่อตัวขึ้นทำให้ป้านงหันกลับไปฟาดมือหนากับใบหน้าของเนตรไพลิน เสียงเผียะดังขึ้น ก่อนเสียงหนึ่งจะดังตามมา…

ตู้ม!

กว่าพ่อค้าแม่ขายและคนเดินตลาดจะทันได้ตกใจเรื่องของเนตรไพลิน ทุกคนก็หันขวับไปมองลานจอดรถด้านนอก รถกระบะสี่ประตูสีดำคันใหญ่พุ่งชนรถจักรยานยนต์ที่จอดไว้ริมกำแพงเก่าของป่าช้า จักรยานยนต์กว่าหลายสิบคันล้มระเนระนาด เสียงโหวกเหวกโวยวายดังลั่น

“อะไรน่ะ…” 

ชาวบ้านพากันไปมุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีก็แต่เนตรไพลินกับผักกาดที่ยืนอยู่ที่เดิม ผักกาดเข้ามาดูแก้มอิ่มของเพื่อนสนิทที่แดงแจ๋เพราะโดนตบ 

“เนตร! เนตรเป็นอะไรมั้ย! เจ็บหรือเปล่า!”

เนตรไพลินส่ายหน้าปฏิเสธ เธอยังคงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น 

ป้านงรีบก้าวฉับๆ ไปดูอุบัติเหตุ ทิ้งเนตรไพลินยืนอยู่กับผักกาดอย่างไม่สนใจไยดี เมื่อแกมาหยุดยืนมองร่วมกับคนอื่นๆ ก็ถึงกับตกตะลึง ดวงตาเล็กๆ จ้องมองรถจักรยานยนต์หลายคันที่ล้มกองกัน กวาดตามองหารถจักรยานคันเก่าของแกที่จอดเอาไว้ในละแวกเดียวกัน ในหัวบัดนี้สับสนวุ่นวายก่อนจะพบว่าจักรยานของแกถูกกันชนรถอัดจนไถลไปติดกับกำแพงป่าช้าเสียแล้ว ที่นั่งของเด็กตรงเบาะหลังยับยู่ยี่

“พูดเป็นเล่น…” ป้านงเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อสายตา หากเนตรไพลินไม่รั้งแกไว้ ป่านนี้แกและหลานชายคงถูกรถชนตายไปแล้ว

ความรู้สึกผิดก่อเกิดขึ้นในใจ ก่อนหน้านี้แกโกรธเคืองเนตรไพลินที่ทำตัวไร้เหตุผล พูดจาแปลกๆ จนหลานชายของแกหวาดวิตก แต่บัดนี้แกเริ่มเข้าใจ บางทีสิ่งที่เนตรไพลินเตือนอาจเป็นเรื่องนี้…

‘อะไรกัน’ ชายผู้หนึ่งถามตนเองพลางเปิดสมุดสีดำในมือ มองหารายนามของใครก็ตามที่เคยปรากฏก่อนหน้านี้ แต่บัดนี้หายไปแล้ว เขาสอดสมุดเก็บในกระเป๋าเสื้อด้านใน ก่อนตบปกเสื้อสูทสีดำสนิท แล้วขยับหมวกฟีดอราที่สวมอยู่ ชายคนนั้นส่ายหน้าให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างแก้ไขอะไรไม่ได้ กวาดนัยน์ตาสีดำมองไปรายรอบ ไม่มีสิ่งใดเป็นพิรุธ

ผู้คนมากมายกรูเข้าไปช่วยคนขับรถกระบะ ไม่นานรถตำรวจก็มาถึงที่เกิดเหตุ เสียงไซเรนดังไปทั่วทั้งบริเวณ ชายในชุดสูทสีดำดึงปีกหมวกลงก่อนจะหายวับไปโดยไม่มีใครรับรู้การมีอยู่ของเขา


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น