7

บทที่ 7

บทที่ 7

 

ฟ้าพราวนั่งรอรถสองแถวอยู่บนม้านั่งยาวใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าไร่ พอสายหน่อยแดดก็เริ่มแรงขึ้น อุณหภูมิในร่างกายของหญิงสาวก็เริ่มสูงขึ้นเช่นกัน อาการปวดหัวก็เริ่มมากขึ้น แต่เธอก็กัดฟันทน ความเจ็บป่วยทางร่างกายเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดทางใจที่ได้รับจากภูริดล

                “คุณฟ้าจะไปไหนคะ” ม่านไหมที่มีรีสอร์ตอยู่ติดกับไร่ชาของภูริดลขับรถผ่านมา เธอจอดรถแล้วเปิดกระจกทักทาย

                “จะกลับกรุงเทพค่ะ”

                “แล้วพี่ดินไปไหนคะ ทำไมไม่ไปส่ง”

                “คุณดินไม่ว่างค่ะ ทำงาน” ไม่อยากบอกเหตุผลที่แท้จริงว่าโดนเขาไล่ออกจากไร่

                “แล้วนี่จะไปยังคะ นั่งเครื่องกลับหรือเปล่า”

                “ใช่ค่ะ” ฟ้าพราวโทรศัพท์ไปยืมเงินเพื่อนสนิทแล้วจองตั๋วเครื่องบินผ่านแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือไว้เรียบร้อยแล้ว

                “งั้นก็ขึ้นรถเลยค่ะ เดี๋ยวฉันไปส่ง”

                “ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ” ใครจะอยากยุ่งกับผู้หญิงที่จ้องจะงาบสามีตัวเองอยู่

                “ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ฉันกับพี่ดินสนิทกันมาก มีอะไรก็ช่วยเหลือกันตลอดอยู่แล้ว” ม่านไหมจงใจเน้นคำว่า ‘สนิทกันมาก’ เป็นพิเศษ คล้ายจะประกาศตัวว่าเธอก็เป็นคนสำคัญของภูริดลไม่น้อยกว่าฟ้าพราว

                “ถ้างั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะคะ” หญิงสาวยอมรับความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย เพราะปวดหัวมากจนทนนั่งตากแดดอยู่ตรงนี้ไม่ไหวแล้ว อีกทั้งเจ้าแมวอ้วนที่ชินกับการอยู่แต่ในห้องแอร์ก็เริ่มออกอาการงอแงจนเธอนึกสงสาร

                ม่านไหมลงมาช่วยฟ้าพราวยกกระเป๋าเดินทางใส่ท้ายรถ 

“คุณฟ้าไม่ต้องเป็นห่วงพี่ดินนะคะ ช่วงที่คุณฟ้าไม่อยู่ ฉันจะดูแลพี่ดินให้เอง แต่จะว่าไป ปกติฉันก็ดูแลพี่ดินแทบจะทุกเรื่องอยู่แล้ว จนใครๆ ก็คิดว่าฉันกับพี่ดินเป็นแฟนกัน” พูดแล้วก็หัวเราะคิกคัก “บ้าจริงๆ เลยนะคะ ทำไมถึงคิดอย่างนั้นกันไปได้”

                ฟ้าพราวเพียงแค่ยิ้มรับแล้วเดินหนีไปขึ้นรถ เธอมองไม่ผิดจริงๆ ผู้หญิงคนนี้ชอบสามีของเธอ แต่ก็ช่างเถอะ ในเมื่อตอนนี้เรื่องระหว่างเธอกับภูริดลจบลงแล้ว เขาจะไปหัวหกก้นขวิดกับใครก็เรื่องของเขา

                หลังจากรถของม่านไหมแล่นออกไปได้สักพัก ภูริดลก็ขับรถออกมา เขามองไปยังม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่คนงานในไร่และชาวบ้านละแวกนี้มักจะมานั่งรอรถสองแถวกันแต่ไม่เห็นแม้เงาของภรรยา มีเพียงผ้าพันคอแบรนด์เนมราคาแพงระยับถูกลืมทิ้งไว้บนม้านั่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นของฟ้าพราว เพราะคนแถวนี้ไม่มีใครใช้ของฟุ่มเฟือยแบบนี้ 

ชายหนุ่มก้าวลงจากรถไปเก็บผ้าพันคอผืนนั้นขึ้นมา แล้วอดไม่ได้ที่จะยกขึ้นมาดม มันเป็นกลิ่นเดียวกับผิวเนื้ออ่อนนุ่มของเธอที่เขาได้ดอมดม ไล้เลีย และกลืนกินมาทั้งคืน กลิ่นของเธอยังติดอยู่ที่ปลายจมูก รสชาติของเธอยังติดอยู่ที่ปลายลิ้น และถ้อยคำตัดพ้อของเธอก็ยังดังก้องอยู่ในใจของเขา

‘เลิกสนุกกับคนอื่นแล้วมาสนุกกับฉันแค่คนเดียวได้มั้ย’

“บ้าเอ๊ย!” ภูริดลสบถกับตัวเอง มือหยาบกร้านกำผ้าพันคอของภรรยาไว้แน่น เขายอมรับว่าเขา ‘ติดใจ’ เธอมาก และยังอยากสนุกกับเธออีกทุกวัน ทุกคืน เมื่อคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็รีบกลับขึ้นรถแล้วขับออกไป จุดหมายปลายทางคือสนามบิน

 

“ขอบคุณมากนะคะคุณไหมที่มาส่ง” ฟ้าพราวกล่าวขอบคุณแล้วลากกระเป๋าเดินทางพร้อมกับอุ้มแมวเข้าไปในอาคารผู้โดยสาร จัดการเช็กอิน โหลดกระเป๋า และดูแลจนที่รักถูกจับเข้ากรงเพื่อเตรียมโหลดลงห้องปรับอุณหภูมิใต้ท้องเครื่องเรียบร้อยแล้วจึงเดินเตร็ดเตร่อยู่ภายในอาคารผู้โดยสารอีกสักพัก เพราะยังเหลือเวลาอีกมากกว่าจะถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่อง เธอยังไม่อยากเข้าไปนั่งแกร่วอยู่ในเกตเป็นเวลานาน

                “คุณดิน!” หญิงสาวเผลออุทานเมื่อเห็นสามีเดินจ้ำเข้ามา เขากวาดตามองไปทั่ว และกำลังจะหันมาทางเธอ ฟ้าพราวรีบหลบเข้ามุมก่อนที่เขาจะเห็น 

“อย่าเดินมาทางนี้สิ” เธอบ่นเบาๆ เมื่อเขาเดินมาหยุดตรงมุมที่เธอซ่อนตัวอยู่

                ภูริดลทำจมูกฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นน้ำหอมกลิ่นเดียวกับที่ภรรยาของเขาใช้ ชายหนุ่มกวาดตามองหาเจ้าของกลิ่น และกำลังจะเดินเลี้ยวเข้าไปในมุมที่หญิงสาวซ่อนตัวอยู่ ถ้าเลี้ยวเข้าไปคือจ๊ะเอ๋กันแน่ ทว่ามีมือเล็กๆ มือหนึ่งยื่นมาดึงแขนของเขาเอาไว้เสียก่อน 

ฟ้าพราวถึงกับเป่าปากโล่งอก

                “พี่ดิน”

                “อ้าวไหม บังเอิญเจอกันอีกแล้วนะ” ชายหนุ่มหันมาทักทาย

                ม่านไหมยิ้มอย่างใสซื่อ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เธอมาเจอเขาที่นี่ เพราะระหว่างที่ขับรถออกจากสนามบิน เธอเห็นรถของเขาขับสวนเข้ามาพอดี จึงวนรถกลับเข้ามาในนี้อีกรอบ 

“พี่ดินมาตามคุณฟ้าเหรอคะ”

                “รู้ได้ยังไง” ภูริดลแปลกใจ

                “ไหมเป็นคนมาส่งคุณฟ้าที่สนามบินค่ะ ไม่ต้องทำหน้างง” เธอบอกพลางแตะปลายนิ้วลงที่หว่างคิ้วของชายหนุ่มที่ขมวดแล้วคลึงเบาๆ ให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นคลายออก “ไหมขับรถผ่านหน้าไร่ เห็นคุณฟ้านั่งรอรถสองแถวอยู่เลยอาสามาส่งค่ะ”

                “อ๋อ...” ภูริดลพยักหน้ารับ แล้วถอยออกห่างหนึ่งก้าวเพื่อรักษาระยะห่างไม่ให้ใกล้ชิดกันมากเกินไป

                ‘สนิทกันมากถึงขนาดแตะเนื้อต้องตัวกันอย่างนี้เลยเหรอ!’ ฟ้าพราวที่แอบดูอยู่ในซอกคิดอย่างกรุ่นโกรธ แต่แล้วก็งงตัวเอง ว่าจะโกรธทำไม ในเมื่อเธอไม่ได้รักเขาสักหน่อย

                “พี่ดินคะ ไหมถามอะไรตรงๆ สักอย่างได้มั้ยคะ” ม่านไหมปั้นหน้าทำเหมือนเกรงใจเหลือเกิน

                “ถามมาสิ ถ้าตอบได้พี่จะตอบ”

                “พี่ดินไม่ได้แต่งงานกับคุณฟ้าเพราะรักกันใช่มั้ยคะ เรารู้จักกันมานาน ถ้าพี่ดินคบกับคุณฟ้ามาก่อนหน้านี้ ไหมต้องรู้ แต่นี่อยู่ๆ พี่ดินก็บอกว่าแต่งงานกับคุณฟ้าแบบกะทันหัน ไหมว่ามันแปลกๆ”

                ภูริดลแค่นหัวเราะในลำคอก่อนตอบไปตามตรง “พี่ไม่ได้อยากแต่งหรอก แต่พ่อบังคับ พี่ไม่อยากมีปัญหากับพ่อ เพราะแค่ปัญหาเก่าก็แทบจะมองหน้ากันไม่ติดอยู่แล้ว ก็เลยแต่งๆ ไปให้มันจบเรื่อง”

                ‘ฉันก็ไม่อยากแต่งกับคนเถื่อนแบบคุณนักหรอก’ ฟ้าพราวเถียงในใจแล้วก้มมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือ เห็นว่าใกล้ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว จึงเดินตัวลีบๆ หลบออกไปอีกทาง ปล่อยให้สามีชาวไร่ของเธอคุยกับสาว ‘คนสนิท’ ต่อไป

                “เอ่อ พี่ดินคะ ถ้าไหมพูดอะไรไป พี่ดินอย่าโกรธไหมนะคะ ไหมแค่หวังดี ไม่อยากให้พี่ดินโดนสวมเขา”

                “สวมเขา!?”

                “ค่ะ” ม่านไหมปั้นหน้าสงบเสงี่ยมเป็นผู้หวังดีแต่แอบประสงค์ร้ายได้อย่างแนบเนียน “ไหมว่าคุณฟ้าน่าจะมีคนรักอยู่แล้วนะคะ ตอนที่นั่งรถมาด้วยกัน ไหมได้ยินคุณฟ้าคุยโทรศัพท์กับคนชื่อ ‘แจ็ค’ จี๋จ๋ากันน่าดูเลย เห็นนัดแนะกันให้ไปรอรับที่สนามบินดอนเมืองด้วย”

                ภูริดลขบกรามแน่นแล้วทำท่าจะเดินเข้าไปในเกต

                “พี่ดินจะไปไหนคะ” ม่านไหมรีบคว้าแขนเขาไว้

                “จะไปตามฟ้ากลับไร่”

                “ไม่ทันแล้วค่ะ เครื่องออกไปแล้ว” หญิงสาวโกหกหน้าตาย ทั้งที่รู้เวลาเครื่องออกของฟ้าพราวอยู่แล้ว “ถ้าพี่ดินไม่ได้รักคุณฟ้า ก็น่าจะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการหย่าได้นะคะ คุณพ่อพี่ดินน่าจะเข้าใจ”

                “หย่าเหรอ!” เขาทวนคำเสียงลอดไรฟันอย่างเกรี้ยวกราด 

ฝันไปเถอะ ฟ้าพราวจะเป็นอิสระได้ก็ต่อเมื่อเขา ‘หมดสนุก’ ในตัวเธอแล้วเท่านั้นแหละ!

 

ณ สนามบินดอนเมือง ฟ้าพราวลากกระเป๋าเดินทางพร้อมกับอุ้มที่รักออกมาจากห้องผู้โดยสารขาเข้า เธอกวาดตามองหาผู้ที่นัดแนะให้มารับไปทั่ว ก่อนจะเห็นเขายืนโบกมือให้อยู่ไม่ไกล จึงรีบลากกระเป๋าเข้าไปหา

                “ฉันไม่ไหวอะแจ็ค ฉันอยากร้องไห้ให้น้ำตาท่วมโลกไปเลย” ว่าแล้วก็ปักหน้าผากลงกลางอกกว้างของชายหนุ่มหน้าตาหล่อตี๋แบบโอปป้าสไตล์เกาหลี เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ กล้ามแน่น แต่งตัวสะอาดสะอ้านและเนี้ยบกริบแบบลูกผู้ดี 

                “โอ๋ๆ อยากร้องก็ร้องเลยแก แต่อย่าเอาน้ำตาเข้าวังเด็ดขาด เดี๋ยวท่านพ่อแกจะหัวใจวายตาย ถ้ารู้ว่าลูกสาวออกเรือนไปได้แค่สองวันก็ถูกผัวไล่ออกจากบ้าน” หนุ่มมาดเท่ลูบหลังปลอบใจเพื่อนสาวอย่างอ่อนโยน

ชายหนุ่มหน้าตาดีชนิดที่เป็นพระเอกได้แบบสบายๆ คนนี้เป็นเพื่อนสนิทของฟ้าพราวสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เขาชื่อ ‘แจ็ค’ จักรวาลหรืออีกชื่อที่รู้กันเฉพาะในหมู่เพื่อนสนิทก็คือ ‘แจ็คเกอลีน’ 

เวลาอยู่กับเพื่อนสาวคนสนิทอย่างฟ้าพราว จักรวาลจะสาวแตกเต็มที่ แต่เวลาอยู่กับครอบครัวหรือออกงานสังคม เขาจะต้องแอ๊บแมนเต็มร้อย เพราะครอบครัวซึ่งสืบเชื้อสายนักรบเก่ามาตั้งแต่สมัยอยุธยายังเปิดใจยอมรับเรื่องความหลากหลายทางเพศไม่ได้

“จะไปพักใจที่คอนโดฉันก่อนหรือจะเข้าวังเลย” ชายหนุ่มถามพลางดึงกระเป๋าเดินทางจากมือเพื่อนสาวไปลากให้ แล้วเดินนำไปยังลานจอดรถ

“ขอไปพักใจที่คอนโดแกก่อนดีกว่า ค่ำๆ ค่อยเข้าวัง ถ้าท่านพ่อเห็นสภาพฉันตอนนี้ ต้องซักฟอกฉันอย่างหนักแน่” ฟ้าพราวตอบเสียงอ่อยแล้วระบายลมหายใจยาวเหยียดอย่างแสนอ่อนล้า “แกแวะโรงพยาบาลให้ฉันด้วยนะ ฉันไม่สบายอะ อยากหาหมอหน่อย”

“ผัวแกจัดหนักขนาดแกไข้ขึ้นเลยเหรอ” เพราะสนิทกันมาก และฟ้าพราวก็เล่าทุกอย่างให้จักรวาลฟังหมดแล้ว เขาถึงได้กล้าถามตรงๆ 

“หนักมาก หื่นมาก จนฉันอดคิดไม่ได้ว่าถ้ายังอยู่กับเขาต่อ ฉันจะทนความเซ็กซ์จัดของเขาไหวมั้ย”

“นี่นังคุณหญิง ถ้าไม่ไหวจะแตะมือเปลี่ยนตัวกับฉันก็ได้นะ ฉันสแตนด์บายรอตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง” คนที่ตัวสูงกว่าราวหนึ่งฟุตกระแทกไหล่ใส่คนตัวเล็กเบาๆ อย่างล้อเล่น แต่ถ้าได้จริงก็ไม่ปฏิเสธ

“สายหวานอย่างแกรับความป่าเถื่อนของเขาไม่ไหวหรอก” 

พูดแล้วก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน เขาเถื่อนมาก แต่เธอก็ไม่ได้กลัวหรือว่ารังเกียจเขาเลย ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจตอนนี้คือความน้อยใจและเสียใจมากกว่า ทั้งที่เธอพยายามทำดีกับเขาทุกอย่าง ยอมเขาทุกอย่าง แต่เขาก็เอาแต่ใส่อารมณ์กับเธอราวกับโกรธเกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อน

“ถ้าเขามาตามแกกลับไร่ แกจะกลับปะ”

ฟ้าพราวนึกถึงภาพที่ภูริดลคุยกับม่านไหมอย่างสนิทสนมที่สนามบินเชียงรายแล้วคิดว่า เขาคงไม่มาตามเธอกลับแน่นอน 

“เขามีผู้หญิงเยอะจะตาย เขาไม่สนใจเมียที่เขาไม่ได้รัก ไม่ได้อยากแต่งงานด้วยอย่างฉันหรอก”

“งั้นก็หาผัวใหม่ไปเลยสวยๆ”

“ฉันไม่ซิงแล้ว แถมยับเยินขนาดนี้ใครจะเอา”

                “สมัยนี้ไม่มีใครสนใจเยื่อบางๆ ที่มองไม่เห็นนั่นหรอก”

                “เอาไว้ก่อนเหอะ ตอนนี้ฉันมีอิคุณดินเป็นผัวคนเดียวก็เจ็บจะตายอยู่แล้ว ฉันยังไม่คิดมีผัวใหม่ตอนนี้หรอก” เพราะอยู่กับเพื่อนสนิท ฟ้าพราวถึงได้พูดคำว่า ‘ผัว-เมีย’ อย่างสะดวกปาก ไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทมากนัก

                “เจ็บอะไร” จักรวาลถามด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เพราะรู้ว่าเพื่อนสาวของเจ้าหล่อนกำลังร้าวระบมที่ตรงไหน

                “เจ็บใจ”

                “ใช่เหรอ”

                “เออๆ ก็เจ็บทั้งสองที่นั่นแหละ ไม่ต้องทำเป็นรู้ดี” ฟ้าพราวตอบพลางจิกตามองด้วยความหมั่นไส้

 

จักรวาลขับรถมาส่งฟ้าพราวที่วังดุษฎีรังสรรค์ตอนสี่ทุ่ม ทันทีที่ราชนิกุลสาวและเพื่อนสนิทก้าวเข้าไปในห้องโถงก็ได้ยินเสียงหัวเราะของหม่อมเจ้าดนัยเทพดังแว่วออกมาให้ได้ยิน

                “ท่านพ่อแกคุยกับใครอะหญิงฟ้า หัวเราะร่วนเชียว ปกติท่านเคร่งขรึมจะตาย ฉันเจอหน้าท่านทีไรขาสั่นทุกที”

                “นั่นสิ ปกติเวลานี้ท่านต้องขึ้นนอนแล้วนะ ทำไมวันนี้ยังรับแขกอยู่อีก” ฟ้าพราวพูดพลางส่งกระเป๋าเดินทางและที่รักให้สาวใช้เอาไปเก็บที่ห้องนอน แล้วเดินนำจักรวาลเข้าไปในห้องโถง 

หญิงสาวตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นว่าท่านพ่อของเธอนั่งคุยอยู่กับ ‘ลูกเขยชาวไร่’ อย่างออกรสจนน่าประหลาดใจ ความจริงท่านน่าจะโกรธเขามากกว่า เพราะวันแต่งงานเขาฉีกหน้าท่านแบบไม่มีชิ้นดี 

“คุณดิน! คุณมาที่นี่ทำไม”

“มารับเมียกลับบ้านครับ” ภูริดลบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล และลงท้ายด้วยคำว่า ‘ครับ’ อย่างสุภาพ อีกทั้งยังมีรอยยิ้มละมุนบนใบหน้าแบบที่ฟ้าพราวไม่เคยเห็นมาก่อน

จักรวาลมองหน้าหนุ่มชาวไร่อย่างไม่ไว้ใจ แล้วกระซิบกับเพื่อนรัก 

“อิผัวเถื่อนของแกจะมาไม้ไหนวะนังคุณหญิง”

“ไม่รู้อะ” ฟ้าพราวก็เดาเกมเขาไม่ออกเหมือนกัน

“หญิงฟ้าไปเถลไถลที่ไหนมาลูก ดินบอกพ่อว่าลูกออกจากเชียงรายมาตั้งแต่ก่อนเที่ยง ทำไมเพิ่งมาถึงวังเอาป่านนี้” หม่อมเจ้าดนัยเทพถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมกึ่งตำหนิ ทำให้ฟ้าพราวหน้าจ๋อยไปถนัดตาแล้วตอบเสียงอ่อย

                “หญิงแวะไปคอนโดแจ็คมาเพคะท่านพ่อ”

                ชื่อ ‘แจ็ค’ ทำให้ภูริดลเขม้นมองชายหนุ่มที่ยืนตัวติดกับภรรยาของเขาจนแทบจะสิงร่างกันด้วยแววตาแข็งกระด้าง จักรวาลจ้องตาเขากลับอย่างไม่หวั่นเกรง แล้วจูงข้อมือฟ้าพราวไปนั่งร่วมวงสนทนา

                จักรวาลรีบทำท่าแอ๊บแมนแล้วยกมือไหว้ทักทายหม่อมเจ้าดนัยเทพ จากนั้นหันไปทักทายภูริดล 

“สวัสดีครับคุณดิน ยินดีที่ได้พบกันนะครับ เสียดายที่วันงานแต่งงานของคุณกับหญิงฟ้า ผมติดบิซิเนสทริปที่ต่างประเทศ เลยไม่ได้มาร่วมงาน”

                “ไม่เป็นไร งานแต่งจัดขึ้นแบบกะทันหัน ขนาดตัวผมเองยังเตรียมตัวไม่ทันเลย” เขาพูดจาแดกดันจนฟ้าพราวหน้าชา 

“อีกอย่าง งานวันนั้นจัดแค่พอเป็นพิธี ผมเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับพิธีการไร้สาระแบบนี้อยู่แล้ว” หนุ่มชาวไร่ตอบเสียงเข้มแบบไม่มีหางเสียงเหมือนตอนที่พูดกับภรรยา

                หม่อมเจ้าดนัยเทพเหมือนถูกกระทบชิ่งไปด้วย สีหน้าของท่านเจื่อนไปนิดหนึ่งเพราะคำพูดของลูกเขย 

“หญิงฟ้าพาดินขึ้นไปพักเถอะ เพิ่งมาถึง ยังไม่ได้กินอะไรเลย หญิงหาอะไรให้ดินกินด้วยนะลูก”

                “เพคะท่านพ่อ”

                “ถ้างั้นฉันกลับก่อนนะหญิงฟ้า มีอะไรก็โทร. หาฉันได้ตลอดเวลา” จักรวาลบอกพลางวางมือลงบนหลังมือของเพื่อนสนิทแล้วลอบสังเกตปฏิกิริยาของภูริดล ทว่าเขากลับมองด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่มีอาการกรุ่นโกรธเลยสักนิด ทำให้ชายหนุ่มร่างใหญ่หัวใจสาวน้อยคิดว่าเขาคงไม่ได้รักฟ้าพราวจริงๆ

                “อือ...ถ้ามีอะไรฉันจะโทร. หา” ฟ้าพราวบอก

                “ถ้ามีปัญหาอะไรก็ปรึกษา ‘สามี’ สิครับคุณหญิง จะรบกวนเพื่อนทำไม” ภูริดลดึงมือข้างหนึ่งของภรรยามากุมไว้อย่างอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

                ฟ้าพราวแอบสบตากับจักรวาลแบบเลิ่กลั่กไปหมดแล้ว สามีของเธอไปล้มหัวฟาดพื้นที่ไหนมาหรือเปล่า ทำไมถึงได้สุภาพนุ่มนวลขนาดนี้

                “ถ้าฉันมีปัญหาเรื่อง ‘สามี’ แล้วให้ปรึกษากับ ‘ตัวปัญหา’ คุณคิดว่าปัญหามันจะได้รับการแก้ไขมั้ย” หญิงสาวฉีกยิ้มให้สามีที่วันนี้ทำตัวแปลกประหลาดจนยากจะคาดเดา

                “ถ้ามีปัญหา คุณหญิงต้องแก้ที่ต้นเหตุถึงจะถูก”

                “ต้นเหตุอย่างคุณมันเกินเยียวยา หมดทางแก้ไขแล้ว”

                ภูริดลไม่ต่อปากต่อคำ เขาเพียงแค่หัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วจับมือภรรยาลุกขึ้น 

“ขอตัวนะครับทุกคน ผมมีเรื่องต้องเคลียร์กับภรรยาของผมเป็นการส่วนตัว” ว่าแล้วก็จูงข้อมือฟ้าพราวเดินออกไปจากห้องโถงโดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น

 

“คุณดิน ปล่อยฉันนะ!” ฟ้าพราวสะบัดข้อมือออกจากมือใหญ่ของสามีเมื่อเดินมาถึงมุมทางเดินลับตาคน เขายกหลังมือขึ้นแตะหน้าผากและลูบคลำลำคอยาวระหงโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของเธอ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวตัวไม่ร้อน และไม่น่าจะมีอาการไข้อย่างที่เขาเป็นห่วงตั้งแต่เมื่อเช้าก็เบาใจ

                “อย่ามาทำอะไรรุ่มร่ามในวังนะ” หญิงสาวถอยหลังหนีไปจนแผ่นหลังชนผนังแล้วมองเขาอย่างไม่ไว้วางใจ ตอนอยู่ที่ไร่ เขาแทบจะนัวเนียเธอบนพื้นที่ทุกตารางนิ้วในบ้าน แต่อยู่ที่วังเขาจะทำอย่างนั้นไม่ได้

                “ห้องนอนคุณหญิงอยู่ไหน” 

                “ข้างบน” เธอตอบเสียงเบาอย่างไม่ไว้วางใจ เพราะรู้ว่าถ้าขึ้นห้องนอนไม่แคล้วต้องโดนเขาจับกด แต่บอกไว้เลยว่าคืนนี้เขาไม่ได้แอ้มเธอง่ายๆ แน่นอน

                “เดินนำไปสิ” ร่างสูงขยับตัวเปิดทางให้เธอเดินนำไปยังห้องนอนที่อยู่บนชั้นสอง

                ห้องนอนของฟ้าพราวอยู่ทางปีกขวา แยกเป็นสัดส่วนจากปีกซ้ายซึ่งเป็นห้องนอนของหม่อมเจ้าดนัยเทพและหม่อมมาลินี ส่วนห้องนอนของวาสิตา ลูกติดของหม่อมมาลินีก็อยู่ทางปีกซ้ายด้วยเช่นกัน

                “บอกมาตามตรงว่าคุณมาที่นี่ทำไม แล้วที่ทำเป็นแอ๊บพูดดีกับฉันต่อหน้าท่านพ่อเนี่ย ต้องการอะไรกันแน่” ฟ้าพราวถามขณะเดินนำหน้าเข้ามาในห้องนอน

                ภูริดลเดินตามหลังเข้ามาแล้วปิดประตูกดล็อก หญิงสาวเจ้าของห้องหันขวับไปมองหน้าเขาทันที

                “ทำไมต้องล็อกประตูด้วย”

                “คุณหญิงไม่กลัวคนเปิดประตูเข้ามาตอนที่เรากำลังอึ๊บกันอยู่เหรอ” เขาถามหน้าตาย 

                “ลามก! ใครบอกว่าฉันจะทำแบบนั้นกับคุณ” เธอต่อว่าเสียงสะบัดแล้วเดินหนีไปนั่งที่เตียงนอนสี่เสาสไตล์เจ้าหญิงหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง

                “ปกติคุณหญิงนอนไม่ล็อกประตูเหรอ” เขาเดินตามมาทิ้งตัวลงนอนขวางเตียงข้างภรรยา

                “ล็อก”

                “อ้าว...แล้วจะมาว่าผมทำไม”

                ฟ้าพราวชะงักไปนิดหนึ่ง นั่นสิ...ทำไมเธอต้องไม่พอใจที่เขาล็อกประตูห้องด้วย

                “คุณหญิงก็แค่หาเรื่องด่าผม” เขาพูดเสียงเรียบอย่างรู้ทัน และก็กระแทกใจคนฟังอย่างจังเลยทีเดียว

                “ก็คุณมันน่าด่าจริงๆ นี่” ว่าแล้วก็ทุบอกสามีด้วยกำปั้นเล็กๆ ไปหนึ่งตุ้บ

                ภูริดลตอบโต้ด้วยการเด้งตัวขึ้นจับร่างเล็กของภรรยากดให้นอนหงายลงบนเตียง แล้วทิ้งตัวลงทาบทับ 

“คิดจะฆ่าผัวเหรอ”

                “ทุบแค่นี้คุณไม่ตายหรอก” เธอเถียงเสียงขุ่น ไม่ได้ดิ้นรนขัดขืน แต่ถามถึงเรื่องที่ยังคาใจแทน “เป็นคนไล่ฉันมาเอง แล้วตามมาทำไม”

                “ไม่ได้ไล่” เขาพูดเสียงเรียบยานคาง

                “คุณไล่ฉัน” เธอสวนกลับทันควันแล้วย้อนคำพูดของเขา “คุณบอกว่าอยากไปไหนก็เชิญ ไปพรุ่งนี้เลยก็ได้”

                “ผมพูดตอนไหน ไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ภูริดลทำเฉไฉหน้าตาย

                “ไม่ต้องมาตีมึน คนหน้าด้าน” ฟ้าพราวค้อนขวับ

                “กับผัวนี่ด่าเอาๆ นะ ทีกับเพื่อนนี่พูดเสียงอ่อนเสียงหวาน จับไม้จับมือกันต่อหน้าผัวแบบไม่เกรงใจกันเลย”

                “หึงเหรอ”

                หนุ่มชาวไร่หัวเราะเสียงดังอย่างเปิดเผย 

“ผมไม่บ้าหึง ‘เพื่อนสาว’ ของคุณหรอก”

         “รู้ได้ยังไงว่าแจ็คเป็น...”

         “มีแวบนึงที่เพื่อนคุณแอบมองผมเหมือนจะกลืนกินผมเข้าไปทั้งตัว เพื่อนที่จ้องจะกินผัวเพื่อน คบไม่ได้นะ”

         “แหวะ...พูดอย่างกับตัวเองน่ากินนักนี่”

         “แต่เมื่อคืนนี้คุณหญิงก็กินผมทั้งคืน”

         “คุณต่างหากที่กินฉัน”

         “งั้นคืนนี้ผมให้คุณหญิงกินผมคืน จะได้หายกัน”

         “ฉันไม่อยากกิน”

         “กินเถอะ ผมอร่อยนะ” เขาโน้มใบหน้าลงกระซิบยั่วที่ข้างหู แล้วไซ้จมูกไปบนแก้มเนียนนุ่ม สูดกลิ่นภรรยาที่เขาคิดถึงมาครึ่งค่อนวันเข้าไปจนเต็มปอด “กินเสร็จแล้วค่อยคุยกันเรื่องของเรา”

         “ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ” หญิงสาวพูดพลางเอียงคอเปิดทางให้อย่างเผลอไผลเมื่อเขาเลื่อนใบหน้าลงไปซุกไซ้ที่ซอกคอ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอเองก็ชอบการเล้าโลมของเขา

         “แต่ผมมี” เขาพึมพำอยู่กับซอกคอขาวเนียนนุ่ม มือเริ่มซุกซน เคล้นคลึงทรวงอกผ่านเนื้อผ้า “ผมยอมรับว่าติดใจคุณหญิง ผมยังอยากสนุกกับคุณหญิงอยู่ กลับไปอยู่ที่ไร่ด้วยกันนะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น