9

บทที่ 9

บทที่ 9

 

ฟ้าพราวไม่เคยต้านทานความต้องการของภูริดลได้เลยสักครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกันกว่าจะรู้ตัว เธอก็ถูกจับลอกคราบจนเหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า

                “นี่คุณ ทำไมมือไวอย่างนี้” หญิงสาวยกมือขึ้นกอดอกตัวเองด้วยความเขินขาย ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเขาจะแนบแน่นถึงขั้นสอดประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาแล้ว แต่เธอก็อดเขินไม่ได้อยู่ดี

                “ไม่เห็นต้องอายเลย” เขาหนีบต้นขากักร่างเล็กเอาไว้ใกล้ตัวแล้วดึงข้อมือทั้งสองข้างที่ไขว้กันเป็นกากบาทเหนือทรวงอกอวบลง “หน้าอกคุณสวยจะตาย มีของดีก็ต้องโชว์สิ”

                “ฉันไม่ใช่พวกหน้าด้านเหมือนคุณนะ”

                “ผมก็ไม่ได้จะให้คุณหญิงไปโชว์ให้คนอื่นดู แล้วบอกไว้ก่อนนะว่า ‘ผมหวง’ ห้ามให้คนอื่นดู ผมดูได้คนเดียว” พูดพลางวางมือทาบก้อนเนื้อกลมกลึงข้างหนึ่งแล้วออกแรงนวดคลึงเบาๆ ส่วนอีกข้างใช้ปลายลิ้นตวัดวนไปรอบปลายยอดสีทับทิม ก่อนจะงับเข้าจนเต็มปากแล้วดูดกลืนอย่างหิวกระหายให้สมกับที่ต้อง ‘ทนอด’ มาทั้งคืน

                “อื้อ...” ฟ้าพราวส่งเสียงครางแผ่วหวิว เธอต้านทานอะไรไม่ได้เลย นอกจากปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับการชักนำของสามี 

“ทำไมชอบดูดนักนะ...อ๊ะ...” เสียงต่อว่าสะดุดลงเมื่อเขาแกล้งดูดปลายยอดอย่างรุนแรง ส่งผลให้ความเสียวซ่านพุ่งจี๊ดจากตรงนั้น แล่นดิ่งลงสู่เบื้องล่างบริเวณกึ่งกลางร่างกาย

                “นมคุณหญิงหวานมาก ผมชอบ” เขาตอบงึมงำทั้งที่ปากยังครอบครองทรวงอกอวบที่เขาโปรดปราน จากนั้นก็จับร่างบางให้นอนราบลงบนที่นอนแล้วตามลงไปทาบทับ กระซิบบอกบางอย่างที่ทำให้ผิวแก้มของหญิงสาวเห่อร้อนและแดงระเรื่อ 

“ผมไม่ได้ชอบดูดนมอย่างเดียวนะ ‘ที่อื่น’ ผมก็ชอบ”

                ฟ้าพราวแทบจะไม่ต้องถามเลยว่า ‘ที่ไหน’ เพราะพอพูดจบเขาก็เลื่อนตัวลงไปเบื้องล่าง จับเข่าทั้งสองข้างของเธอตั้งชันแล้วแยกออก

                “คุณดิน!” หญิงสาวตกใจ รีบหนีบขาเข้าหากัน แต่กลายเป็นว่าเธอหนีบศีรษะของเขาให้ติดอยู่ตรงนั้นแบบใกล้ชิดยิ่งกว่าเดิม เขาเอียงหน้ามาจูบด้านในต้นขาของเธอ แตะปลายลิ้นลงบนผิวเนื้ออ่อน แล้วไล้เลียลากยาวไปยังจุดกึ่งกลางร่างกาย

                ภูริดลแนบริมฝีปากลงบนเนินเนื้อนุ่ม จูบซับและดูดเบาๆ ก่อนจะถอนใบหน้าออกมานิดหนึ่งเพื่อดูให้แน่ใจอีกครั้งว่า ภรรยาของเขาพร้อมรับศึกหนักในเช้านี้หรือยัง

                “ยังเจ็บอยู่มั้ย”

                “ไม่เจ็บแล้ว” ลมหายใจอบอุ่นของเขาที่เป่ารดจุดอ่อนไหว ทำให้หญิงสาวซ่านสยิวไปทั่วสรรพางค์ เธอไม่เจ็บแล้ว แต่มีความร้อนผ่าวและเปียกชื้นเข้ามาแทนที่ และเธอก็ไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดไม่รู้ว่าตอนนี้เธอกำลังต้องการเขา 

                ฟ้าพราวแยกขาให้กว้างในองศาพอเหมาะที่ร่างกายบึกบึนของสามีจะแทรกตัวได้อย่างไม่อึดอัด เปิดทางให้เขาลากปลายจมูกขึ้นลงตามรอยแยกของกลีบเนื้อนุ่ม สูดเอากลิ่นหอมรัญจวนเข้าจนฉ่ำปอด

                หญิงสาวส่งเสียงครางสั่นระริก สองมือเล็กขยุ้มผ้าปูที่นอนไว้แน่น เมื่อเขาแนบริมฝีปากลงบนเนินเนื้อ จูบซับและใช้ปลายลิ้นหมุนวนรอบปุ่มกระสัน ดูดดึงสลับขบเม้มอย่างเร่าร้อน

                “อื้อ...” เจ้าของเสียงหวานครางกระเส่า ใบหน้าแดงระเรื่อซับสีเลือด เหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมตามไรผม ทั้งที่ภายในห้องนอนเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ สะโพกเพรียวหยัดเข้าหาปากและลิ้นช่ำชองอย่างเรียกร้อง คนเป็นสามีเหมือนจะรู้ความต้องการของภรรยาดี เขาตอบสนองเธอด้วยการเร่งจังหวะให้เร้าใจยิ่งขึ้น

                หญิงสาวกรีดร้องเสียงหวานล้ำเมื่อพุ่งทะยานขึ้นไปแตะจุดสูงสุด ร่างเล็กกระตุกเฮือกแล้วทิ้งแผ่นหลังลงแนบกับที่นอน ลมหายใจของเธอหอบสะท้าน ทรวงอกเปลือยที่มีปลายยอดสีชมพูเข้มตัดกับผิวเนื้อนวลชวนมองกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจ 

ในความพร่าเลือนของสติสัมปชัญญะ ฟ้าพราวสัมผัสได้ว่าปากและลิ้นของสามียังไม่หยุดเคลื่อนไหว เขาอมปุ่มเนื้ออ่อนไหวพร้อมกับทำเสียงต่ำๆ ขณะดูดดุนเหมือนเป่าหีบเพลง ทำให้เกิดความอบอุ่นและการสั่นเทือนแผ่เป็นวงกว้างอยู่ตรงนั้น เติมเต็มความสุขซ่านและทำให้เต็มอิ่มมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

“ผมดูดเก่งมั้ย” ชายหนุ่มเลื่อนตัวขึ้นไปมองสบตาเธอแล้วถามด้วยแววตาพราวระยับ เธอเบือนหน้าหนีอย่างเขินอาย ทว่าเขาก็มองเห็นความสุขที่เอ่อล้นอยู่ในดวงตาคู่สวยได้อย่างชัดเจน “ทำไมไม่ตอบ หรือว่าไม่ชอบ ถ้างั้นวันหลังไม่ดูดให้แล้วนะ”

“เก่ง” รีบตอบแล้วก็รู้ตัวว่าถูกแกล้ง หญิงสาวจึงทุบไหล่เขาไปหนึ่งตุ้บ 

เขาหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดีแล้วถามต่อ “เก่งมากมั้ย”

“มาก” เธอตอบเสียงเบาอย่างเขินอายสุดชีวิต แต่ครั้นจะไม่ตอบก็กลัวว่าวันหลังเขาจะไม่ทำให้อีก

“ชอบมั้ย”

“ฮื่อ” 

“ผมถามว่าชอบมั้ย” เขาถามย้ำอีกครั้งเมื่อเธอไม่ยอมตอบออกมาตรงๆ

“ชอบ พอใจหรือยัง” เธอแหวใส่พร้อมกับใบหน้าที่แดงจัด “คนบ้า รู้ว่าเขินแล้วยังจะแกล้งอยู่ได้”

“ไม่เห็นต้องเขินเลย” บอกพลางเกลี่ยปอยผมที่ปรกใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักของภรรยาออกอย่างแผ่วเบา ไม่เหลือเค้าคนเถื่อนคนเดิมเลยแม้แต่น้อย “เรื่องแบบนี้เราต้องเปิดอกคุยกัน ถึงจะตอบสนองความต้องการของกันและกันได้อย่างตรงจุด ถ้าคุณหญิงชอบแบบที่ผมทำให้เมื่อกี้ วันหลังผมจะได้ทำให้อีกไง”

“ไม่ต้องมาพูดดี”

“เอ๊า พูดดีก็ไม่ชอบ หรืออยากให้ปากหมาเหมือนเดิม”

“ไม่เอา ฉันเหนื่อยจะทะเลาะกับคุณ เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว” ว่าแล้วก็ผลักร่างหนาที่ทาบทับอยู่บนตัวออก “ลงไปจากตัวฉันได้แล้ว ฉันจะไปอาบน้ำ”

“อะไรกันคุณหญิง ตัวเอง ‘เสร็จ’ แล้วจะหนีแบบนี้ไม่ได้นะ” ภูริดลเด้งตัวตามไปกอดร่างเปลือยของภรรยาไว้จากทางด้านหลัง แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนขอบเตียงพร้อมกับดึงร่างเล็กให้นั่งลงบนตักด้วย “ผมยังไม่เสร็จ ดูดให้ผมก่อน”

“ดูดอะไร!?” ฟ้าพราวถามหน้าตาเหลอหลา

แทนคำตอบ ชายหนุ่มจับตัวภรรยาให้นั่งคุกเข่าลงบนพื้นข้างเตียง ขยับขากว้างออกเพื่อให้เธอเห็นความเป็นชายอันแข็งขึงที่ดันผ้าเนื้อบางของกางเกงชุดนอนขึ้นมาจนเห็นเป็นรูปร่างชัดเจนเต็มสองตา

“ฉะ...ฉัน...ดูดไม่เป็น” ฟ้าพราวตอบตะกุกตะกัก สองมือที่วางทาบอยู่บนต้นขาแข็งแรงของสามีจิกเกร็งด้วยความตื่นตระหนก แต่กระนั้นเธอก็ไม่คิดจะถอยหนี ณ ตอนนี้ ความอยากรู้อยากลองมีมากกว่าความกลัวและความกระดากอายเสียแล้ว 

“ผมจะสอนให้เอง” ภูริดลก้มหน้าลงบอกภรรยาที่ซุกตัวอยู่ตรงกลางหว่างขาด้วยน้ำเสียงแตกพร่าทว่าเซ็กซี่ เพียงแค่คิดว่าจะถูกครอบครองด้วยริมฝีปากนุ่มในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า หัวใจของเขาก็เต้นโลดจนแทบจะหลุดออกมานอกอก

ฟ้าพราวเงยหน้าขึ้นสบตากับสามีด้วยแววตาประหม่าทว่าแฝงความเร่าร้อนอยู่ในที เมื่อสักครู่นี้เขาทำให้เธอมีความสุขมาก เธอจึงอยากทำให้เขามีความสุขแบบเดียวกัน

“ฉันต้องทำยังไง”

                เขายิ้มใส่นัยน์ตาเธอ ประคองสองแก้มนวลที่แดงจัดด้วยมือใหญ่หยาบกร้านแล้วมอบจูบเร่าร้อนชนิดที่ทำให้เธอหายใจแทบไม่ทัน จากนั้นกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า

“ถอดกางเกงให้ผมสิ” 

หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่าย เธอรูดกางเกงชุดนอนผ้าฝ้ายของเขาลงมาตามท่อนขาแข็งแรงที่เต็มไปด้วยลอนกล้ามเนื้อ พร้อมกับกางเกงชั้นในสีขาว ปลดปล่อยท่อนเนื้ออวบหนาที่เหยียดขยายเกือบเต็มลำให้เป็นอิสระ ฉับพลัน ดวงตากลมโตสีคาราเมลก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ เธอเคยเห็นมันมาแล้ว แต่ไม่เคยเห็นใกล้ชนิดที่เห็นเส้นเลือดนูนเป่งแทบทุกเส้นขนาดนี้

“ลองสัมผัสมันดูสิ” ภูริดลบอกพลางจับมือเล็กมาโอบรอบความเป็นชายของเขาเอาไว้

“คุณ...มัน...” ฟ้าพราวจะชักมือออกเมื่อแตะโดนท่อนเนื้อเรียบลื่นร้อนอุระ ทว่าเขาจับมือเธอบังคับให้รวบกำตัวตนอันแข็งขึงแล้วขยับรูดขึ้นลงตามความยาวอย่างเชื่องช้า เสียงครางลึกด้วยความพึงพอใจของเขาปลุกเร้าให้หญิงสาวกระสับกระส่ายและร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกครั้ง

“ดูดมันสิ ทำเหมือนเวลาที่คุณดูดไอติม”

ฟ้าพราวมองหน้าเขาสลับกับท่อนเนื้ออวบหนาที่อยู่ในอุ้งมืออย่างลังเลใจ และในเสี้ยววินาทีนั้นคำพูดที่เธอเคยบอกกับเขาก็ดังขึ้นในหัว

‘ฉันจะทำให้คุณลืมผู้หญิงทุกคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต’

มนุษย์ทุกคนมีสัญชาตญาณของความเป็นนักสู้ที่กระหายชัยชนะอยู่ในตัวด้วยกันทั้งนั้น ราชนิกุลผู้สูงศักดิ์อย่างฟ้าพราวก็เช่นกัน เธอต้องการอยู่เหนือผู้หญิงทุกคนที่เขาเคยผ่านมา และเธอจะต้องทำให้เขาลืมผู้หญิงพวกนั้นให้ได้ด้วย

“ฉันจะกลืนกินคุณ” เธอข่มขู่สามีด้วยน้ำเสียงแผ่วหวานปนเซ็กซี่ก่อนจดริมฝีปากนุ่มจูบส่วนปลายโค้งมนสีจัด

“เต็มที่เลยจ้ะเมียจ๋า” ชายหนุ่มระบายลมหายใจออกมาแรงๆ ด้วยความคาดหวัง เขาเอนกายไปด้านหลัง ใช้สองมือค้ำยันที่นอนเอาไว้ กล้ามเนื้อสะโพกและหน้าขาแข็งเกร็งจนเห็นลอนกล้ามเนื้อสวยงามชัดเจนเมื่อถูกดูดที่ส่วนปลายอย่างอ่อนโยน

เสียงแหบห้าวที่ครางกระหึ่มกับกลิ่นกายเย้ายวนเฉพาะตัวของเขาทำให้ฟ้าพราวตื่นเร้าไปด้วย เธอตวัดลิ้นไล้เลียจากโคนด้านล่างขึ้นมาตามความยาวจนสุดส่วนปลาย

                “เก่งมากคุณหญิง” ภูริดลกัดฟันบอกน้ำเสียงแตกพร่า ใบหน้าแดงก่ำชื้นเหงื่อ ภายในร่างกายอัดแน่นไปด้วยความทรมานที่หวานล้ำ เขาไม่เคยคิดเลยว่าหญิงสาวที่ชอบทำท่าเขินอายกับ ‘เรื่องบนเตียง’ อยู่ตลอดเวลาจะเป็นฝ่ายรุกได้เร้าใจถึงขนาดนี้

                ในจังหวะที่เบ่งบวมจนแทบปริแตก เขาก็รั้งตัวภรรยาขึ้นมา จับเธอนอนราบลงบนที่นอน โถมกายลงทาบทับ สอดเสียดความเป็นชายลึกลงในกายเธอแล้วขยับโยกอย่างอ่อนโยน ก่อนจะค่อยๆ รุนแรงและหยาบกระด้างขึ้นตามความปรารถนาที่ทวีความเร่าร้อนมากขึ้นจนยากจะควบคุมตัวเอง เขากระแทกกระทั้นอย่างบ้าคลั่งและแตกสลายอย่างรุนแรงในเวลาต่อมา

                ฟ้าพราวกอดร่างบึกบึนที่ทิ้งตัวลงซุกซบบนอกเปลือยของเธออย่างสิ้นเรี่ยวแรงไว้แน่น กล้ามเนื้อภายในตัวเธอยังตอดรัดเขาเป็นจังหวะรุนแรง พร้อมกันนั้นก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ฉีดพุ่งและอุ่นวาบอยู่ภายในช่องท้อง

                “ระยะปลอดภัยหรือเปล่า ผมไม่ได้ป้องกัน” เขากระซิบถามอย่างเป็นกังวล

                “ไม่...” หญิงสาวตอบเสียงเครียดพอกัน ถึงแม้ว่าเขากับเธอจะแต่งงานกันแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าจะมีลูก แต่เธอยังไม่พร้อม และเชื่อว่าเขาก็ยังไม่พร้อมเช่นกัน ถึงได้ถามแบบนี้ “ถ้าฉันท้องคุณจะว่ายังไง”

                “ก็ไม่ว่ายังไง” เขาถอดถอนตัวตนออกจากความอ่อนนุ่มแล้วพลิกตัวลงนอนหงายข้างกายเธอ ดวงตาสีเข้มที่เพ่งมองเพดานห้องฉายแวววิตกกังวลอย่างหนัก 

ความสัมพันธ์ของเขากับเธอเพิ่งเริ่มต้น ยังไม่รู้เลยว่าจะไปกันได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า เขาไม่อยากให้ ‘ลูก’ เกิดมาแล้วต้องเจอกับครอบครัวที่แตกร้าว พ่อไปทาง แม่ไปทาง เหมือนที่เขาเคยเจอมาก่อน

                “คุณไม่ต้องคิดมากหรอก ถ้าฉันท้อง ฉันก็ดูแลตัวเองได้ ฉันกับลูกจะไม่เป็นภาระของคุณ” ฟ้าพราวบอกเสียงเบาเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจจากภูริดล

                ชายหนุ่มนิ่งเงียบ เขาไม่ได้กลัวที่จะมี ‘ภาระ’ เงินเขามีเยอะ จะมีลูกสักยี่สิบคนเขาก็เลี้ยงไหว เขาห่วงเรื่องของจิตใจต่างหาก เขาเติบโตมาอย่างเด็กบ้านแตก ขาดความอบอุ่น ความสัมพันธ์กับพ่อก็คลอนแคลน เขาไม่มั่นใจว่าจะเป็น ‘พ่อ’ ที่ดีได้ 

ในเมื่อตัวเขาเองเป็นคนที่ขาดวิ่นเว้าแหว่ง แล้วเขาจะเลี้ยงลูกให้เป็นคนเต็มคนได้ยังไง

 

ฟ้าพราวกับภูริดลร่วมโต๊ะอาหารเช้ากับหม่อมเจ้าดนัยเทพและหม่อมมาลินี ส่วนวาสิตาที่เพิ่งกลับจากปาร์ตียังนอนหลับสลบไสลอยู่ในห้องนอน หนุ่มชาวไร่ได้รับการต้อนรับจากพ่อตาเป็นอย่างดี ในขณะที่หม่อมมาลินีมองเขาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามอย่างเปิดเผย

                “รู้จักมั้ย อเมริกันเบรกฟาสต์” หม่อมมาลินีถาม

                “ไม่อยากบอกว่าไส้กรอกเนี่ย ของชอบของผมเลย” ภูริดลยิ้มมุมปากอย่างกวนประสาทแล้วใช้มือหยิบไส้กรอกที่วางอยู่ในจานใบใหญ่กลางโต๊ะขึ้นมากัด “อร่อยกว่าที่ผมเคยซื้อจากตลาดนัดอีกนะเนี่ย”

                “แน่ละ นี่ของนอกเชียวนะ แพ็กนึงเป็นพัน” หม่อมมาลินีเบะปาก

                “มีดกับส้อมก็มี” ฟ้าพราวสะกิดเตือนสามีให้รักษามารยาทบนโต๊ะอาหาร เธอรู้ว่าเขาไม่ได้เถื่อนขนาดใช้มีดกับส้อมไม่เป็น แต่เขาจงใจแกล้ง

                “ไม่อะ ชาวไร่อย่างผมถนัดใช้มือมากกว่า”

                หญิงสาวแอบหยิกสีข้างของสามีอย่างแรงแล้วกระซิบต่อว่า 

“เกรงใจท่านพ่อของฉันบ้างสิคุณ” 

                หม่อมเจ้าดนัยเทพได้ยินก็ฝืนยิ้มให้บุตรสาว 

“ไม่เป็นหรอกหญิงฟ้า ปล่อยเขาตามสบายเถอะ”

                “หญิงต้องขอโทษท่านพ่อแทนคุณดินด้วยเพคะ”

                “ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องขอโทษด้วย” ภูริดลขัดขึ้น แล้วหยิบไส้กรอกอีกชิ้นวางใส่จานให้ภรรยา “กินสิ แท่งเล็กกว่าที่คุณหญิงเคยกินเยอะเลย แต่ก็อร่อยใช้ได้นะ”

                ฟ้าพราวมองไส้กรอกในจานสลับกับสีหน้ากรุ้มกริ่มของสามีแล้วอดนึกถึงอะไรบางอย่างที่มีลักษณะเป็น ‘แท่ง’ เหมือนกัน แต่ขนาดใหญ่กว่ามากไม่ได้

                เขาทำให้การมองไส้กรอกของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!

            “หญิงฟ้าเป็นอะไรหรือเปล่าลูก หน้าแดงเชียว” หม่อมเจ้าดนัยเทพถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นแก้มขาวเนียนของบุตรสาวอยู่ๆ ก็แดงก่ำขึ้นมาอย่างผิดสังเกต

                “เปล่าเพคะท่านพ่อ หญิงสบายดี” เธอตอบแล้วก็ก้มหน้างุด หยิบมีดกับส้อมขึ้นมาตัดไส้กรอกเป็นขนาดพอดีคำแล้วกินไปเงียบๆ

                 “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ถ้างั้นค่ำนี้หญิงกับดินไปงานเลี้ยงวันเกิดหม่อมก้อยที่วังท่านลุงภาณุแทนพ่อหน่อยนะ”

                ชื่อของ ‘หม่อมก้อย’ ทำให้ฟ้าพราวอดที่จะเงยหน้าขึ้นมองหน้าสามีไม่ได้ เธอเห็นเขาทำหน้านิ่งก็จริง แต่กรามแกร่งบดเข้าหากันแน่น นั่นแสดงว่าผู้หญิงคนนี้ยังมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขาอยู่มาก

                “ท่านพ่อกับหม่อมมาลินีไม่ไปงานนี้เหรอเพคะ”

                “พ่อต้องไปงานของผู้ใหญ่อีกท่านนึง ส่วนงานของท่านลุงภาณุเป็นแค่งานวันเกิดของหม่อมก้อย ให้หญิงฟ้ากับคุณไปแทนคงไม่น่าเกลียดอะไร”

                “หญิงไปคนเดียวก็ได้เพคะ วันนี้คุณดินจะกลับไร่แล้ว”

                “ใครบอกคุณหญิงว่าผมจะกลับวันนี้” ภูริดลขัดขึ้นด้วยเสียงนิ่งเรียบ “ผมไปงานกับคุณหญิงได้”

                “จะไปทำไม” ฟ้าพราวมองหน้าสามีอย่างข้องใจ 

                “ทำไมล่ะ อายที่จะพาสามี ‘ชั้นต่ำ’ อย่างผมออกงานด้วยเหรอ”

                “นี่คุณ ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าดูถูกตัวเองแบบนี้อีก”

                หม่อมมาลินีแค่นหัวเราะในลำคอ “อย่าไปให้ขายขี้หน้าเลย งานนี้มีแต่ผู้ดี ไม่เหมาะกับชาวไร่ที่แม้แต่มีดกับส้อมก็ยังใช้ไม่เป็นหรอก แล้วดูสารรูป...เอ๊ย สภาพเหมือนหลุดออกมาจากป่าแบบนี้ แขกเหรื่อในงานเห็นเข้าจะตกใจกันหมด”

                “ทำไมต้องดูถูกกันขนาดนี้ด้วยคะหม่อม” ฟ้าพราวฉุนกับคำพูดของหม่อมมาลินี และโมโหสามีของตัวเองด้วยที่ชอบทำตัวให้คนอื่นดูถูก ทั้งที่จะทำตัวให้ดูดีก็ทำได้ แต่ไม่ยอมทำ

                “เอาละๆ อย่าเถียงกัน” หม่อมเจ้าดนัยเทพปราม “ที่พ่อให้หญิงฟ้าพาดินไปด้วยก็เพราะท่านลุงภาณุอยากเจอดิน”

                “ท่านลุงอยากพบคุณดินทำไมเพคะท่านพ่อ” 

                “ก็วันงานแต่งของหญิงฟ้ามันกะทันหัน ท่านไม่สะดวกมาร่วมงาน ก็เลยจะใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกันไว้ เห็นว่ามีของขวัญแต่งงานจะมอบให้หญิงฟ้ากับคุณด้วย” หม่อมเจ้าดนัยเทพตอบลูกสาวแล้วหันไปพูดกับลูกเขย “แต่ถ้าดินไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ ให้หญิงฟ้าไปคนเดียวก็ได้” 

ความจริงท่านก็ไม่อยากให้ภูริดลไปงานนี้สักเท่าไร เพราะกลัวคนในแวดวงไฮโซจะรู้ว่าเขามีลูกเขยเป็นชาวไร่ แต่เป็นเพราะหม่อมเจ้าภาณุเดชออกปากว่าจะมอบของขวัญแต่งงานให้ฟ้าพราวเป็นที่ดินแถบชานเมืองที่อยู่ในแผนพัฒนาของประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าสูงในอนาคต เขาจึงต้องยอมให้ลูกเขยออกงาน

                “ผมไปได้ครับ ไม่มีปัญหาอะไร” ภูริดลตอบรับอย่างเต็มใจมาก

                ฟ้าพราวมองหน้าภูริดลอย่างข้องใจสุดๆ และอดคิดไม่ได้ว่าที่เขาอยากไปงานขนาดนี้ก็เพราะอยากเจอกวินตราหรือหม่อมก้อยนั่นเอง เมื่อใจคิด สีหน้าก็ออกแล้วเผลอมองค้อนเขาไปหนึ่งขวับ ทำเอาคนเป็นสามีงงไปเลย

 

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ฟ้าพราวก็กลับขึ้นห้องนอนด้วยท่าทางมึนตึง หญิงสาวเปิดตู้เสื้อผ้าเลือกชุดราตรีสำหรับใส่ออกงานคืนนี้โดยไม่สนใจสามีที่เดินตามแนบตัวซ้อนอยู่ด้านหลัง

                “เป็นอะไรอีกคุณหญิง กินข้าวไม่อิ่มเหรอ” ภูริดลถามด้วยท่าทางสบายๆ ผิดกับภรรยาลิบลับ “จะกินไส้กรอกอีกรอบก็ได้นะ” พูดจายั่วเย้าพลางกดแนบความเป็นชายหนาทึบเข้ากับบั้นท้ายนุ่ม

                “ไม่กินแล้ว ไม่เห็นจะอร่อยเลย” หญิงสาวตอบเสียงสะบัดเพราะรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เธอพยายามจะขยับตัวหนี แต่เขาล็อกเอวเธอไว้

                “งอน...?” ภูริดลหัวเราะในลำคอนิดหนึ่ง เขาเพิ่งเคยเห็นเธอแสดงอาการงอนเหมือนผู้หญิงสาวที่งอนคนรักเป็นครั้งแรก ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาก็คงจะรำคาญ แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าเธอน่ารักและน่าแกล้งให้งอนตุ๊บป่องมากกว่าเดิม

                “ไม่ได้งอน”

                “งั้นก็หันมามองหน้าผัวหน่อยสิ” ว่าแล้วก็จับร่างเล็กให้หันหน้ามามองสบตากัน “ไม่ได้งอนแล้วเป็นอะไร หรือว่าไม่อยากให้ผมไปงานด้วย เพราะอายที่มีผัวเป็นชาวไร่”

                “ไม่ใช่”

                “แล้วเป็นอะไร”

                “ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคุณต้องอยากไปงานมากขนาดนี้ ฉันแน่ใจว่าคุณไม่ชอบงานไฮโซแบบนี้ นอกจากคุณอยากไปเพราะอยากเจอใครบางคน”

                “ปกติคุณหญิงก็เป็นคนพูดอะไรตรงๆ อยู่แล้ว ทำไมครั้งนี้ไม่พูดออกมาตรงๆ เลยล่ะ ว่าคุณหญิงคิดว่าผมอยากไปงานนี้เพราะอยากเจอก้อย” เขายิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน พลางกระชับวงแขนที่โอบเอวบางให้แน่นขึ้น

                “ยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าอยากเจอหม่อมก้อยจริงๆ” มือเล็กทั้งสองข้างดันใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครา ไม่ให้โน้มลงมาใกล้ “ห้ามจูบฉันตอนที่ยังคิดถึงคนอื่นอยู่”

                “คิดมาก บอกแล้วไงว่าผมชอบ ‘เซ็กซ์’ ของคุณหญิง แล้วผมจะคิดถึงคนอื่นตอนที่มีอะไรกับคุณทำไม” เขาจับสองมือที่ดันใบหน้าของตัวเองออกแล้วก้มลงจูบคนตัวเล็กอย่างดูดดื่มเนิ่นนาน เธอต่อต้านในตอนแรกเพราะงอนอยู่ แต่เพียงไม่นานก็ตอบสนองอย่างเต็มใจ

                “คนบ้า คุยกันดีๆ สักครั้งไม่ได้หรือไง” ฟ้าพราวต่อว่าหน้าแดงจัด ไม่เคยมีสักครั้งที่คุยกันแล้วเธอจะไม่ถูกนัวเนีย

                “ผมยอมรับว่าผมยังลืมก้อยไม่ได้ แต่ผมก็ไม่คิดจะกลับไปหาเธอ คุณหญิงสบายใจได้” 

                “จริงนะ”

                “ผมไม่เคยโกหก” น้ำเสียงที่บอกไม่ได้หนักแน่นเท่าใดนัก แต่ก็แสดงออกถึงความจริงใจเป็นอย่างมาก

                “แต่มันเจ็บนะ ที่ต้องเผชิญหน้ากับอดีตที่เคยทำร้ายคุณ”

                “ผัวคุณหญิงไม่ใช่คนอ่อนแอขนาดนั้น” เขาบอกเสียงเรียบ 

                “ฉันเกลียดปากคุณจริงๆ คำก็ผัว สองคำก็ผัว หัดพูดจาให้สุภาพเหมือนคนอื่นบ้างไม่ได้หรือไง” ฟ้าพราวมองสามีตาดุ แล้วหันไปเลือกชุดต่ออย่างสบายใจขึ้นกว่าเดิมมาก แต่ไม่ว่าเธอจะหยิบชุดไหนออกมา ภูริดลก็ไม่อนุมัติด้วยเหตุผลที่ว่า ‘โป๊เกินไป’ ทั้งที่บางชุดแค่เปิดหน้า เว้าหลังนิดหน่อยเท่านั้นเอง

                “หมดตู้แล้วนะ ชุดนั้นก็ไม่ให้ใส่ ชุดนี้ก็ไม่ให้ใส่ แล้วฉันจะใส่อะไรไปงาน”

                “เดี๋ยวซื้อให้ใหม่” ว่าแล้วก็จูงข้อมือภรรยาเดินออกจากห้อง

                “จะไปไหน”

                “ไปซื้อชุดใหม่”

                “ชุดเก่าก็มี จะซื้อใหม่ให้เปลืองเงินทำไม ชุดออกงานดีๆ แบบนี้ชุดนึงหลายหมื่นเลยนะ”

                “ชุดละเป็นแสน เป็นล้าน ผมก็ซื้อให้เมียผมใส่ได้”

                “บอกแล้วไงว่าอย่ามาอวดรวย อย่ามาทำตัวฟุ่มเฟือยกับฉัน ฉันไม่เอา ไม่ต้องซื้อให้ฉัน”

                “อย่าเรื่องมาก ถ้างอแงก็กลับไร่กันวันนี้เลย ไม่ต้องไปแล้วงานเลี้ยงบ้าบออะไรนั่น”

                “ฉันต้องไปเป็นตัวแทนของท่านพ่อ ไม่ไปไม่ได้ เสียมารยาท”

                “งั้นก็ไม่ต้องเถียง แล้วเชื่อฟังผัว” หนุ่มชาวไร่บอกเสียงแข็งด้วยความรำคาญ แล้วจูงแขนภรรยาไปขึ้นรถเอสยูวีสีดำที่เปื้อนฝุ่นเปื้อนโคลนเกรอะกรัง ซึ่งจอดอยู่ในลานจอดรถภายในวัง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น