3
สมัครงาน
“เอ่อ...เอ่อ...”
สริณยาเพิ่งรู้สึกตัวว่าเธอเผลอจ้องหน้าคนหล่อนานเกินไป และเขาก็น่าที่จะรู้ว่าเธอกำลังตะลึงมองเขาอยู่ ใบหน้าเธอจึงผ่าวร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นมันเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติ เมื่อคนเราอาย ก็จำต้องก้มหน้าลง ไม่กล้ามองคนหล่ออีก ทว่าเธอยังตอบอุบอิบออกไปได้ “คือได้ยินว่าที่นี่รับสมัครพนักงานเสิร์ฟน่ะค่ะ เลยจะมาสมัคร”
สุดหล่อที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตอบกลับมาว่า “ถ้าจะมาสมัครเป็นพนักงานเสิร์ฟ เสียใจด้วยนะครับ คนเต็มแล้ว”
“ฮะ ไม่ได้นะ!” ใบหน้าที่ก้มต่ำเงยขึ้นมองคนที่ดับฝันของเธอทันที และเมื่อสุดหล่อได้ยินเสียงเธอตะโกนลั่น เขาก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ กิริยาคล้ายสงสัยนั้นทำให้สริณยาต้องรีบกลบเกลื่อนด้วยการทำเรื่องที่เธอไม่ชอบเลย...เธอต้องโกหก “ฉัน...ฉันต้องการงานจริงๆ นะคะ ฉันตั้งใจมากด้วยที่จะมาสมัครที่นี่ ไม่มีตำแหน่งว่างแล้วจริงๆ เหรอคะ ไม่ต้องเป็นพนักงานเสิร์ฟก็ได้ค่ะ จะเป็น...แม่บ้าน คนล้างจาน คนกวาดพื้นก็ได้ ฉันทำได้หมด”
“ตำแหน่งพวกนั้นก็เต็มแล้วเหมือนกัน แต่น้องอยากทำงานที่นี่จริงๆ น่ะเหรอ ไม่เลือกด้วยว่าจะเป็นงานอะไร”
สริณยาพยักหน้าถี่ แล้วก็ได้เห็นสุดหล่อคนนั้นยิ้มกว้าง
พระเจ้าทรงโปรด! นี่เป็นประติมากรรมมีชีวิตที่งามที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมาเลยทีเดียว
“ถ้าอย่างนั้นยังมีตำแหน่งอื่นว่าง โคโยตี้ สนใจจะทำไหม”
คำว่า ‘โคโยตี้’ ทำให้สริณยาชักสีหน้าขึ้นมา เพราะน้องสาวเธอก็ทำงานที่นี่ในตำแหน่งนั้นก่อนถูกชักจูงให้ก้าวไปสู่ด้านมืด สุดท้าย...ก็จบชีวิตลงด้วยวัยเพียงแค่ยี่สิบปี
“สนใจสิคะ สนใจมาก ฉันสมัครเป็นโคโยตี้ได้ไหมคะ”
ผู้ชายหล่อเหลาคนนั้นยิ้มกว้างอีก ดวงตาสีแปลกของเขาพราวระยับเมื่อเอ่ย “สมัครน่ะได้ แต่จะผ่านไหมต้องขึ้นอยู่กับคุณจอห์น”
“คุณจอห์น?”
“เจ้าของผับน่ะ” เมื่ออธิบายสั้นๆ จบเขาก็ก้าวเข้าไปในลานหน้าร้านซึ่งด้านบนมีแชนเดอเลียร์ช่อใหญ่ประดับอยู่ จากนั้นจึงหันมาพยักหน้าให้เธอ “ถ้าพร้อมก็ตามพี่มา”
สริณยากำสายกระเป๋าสะพายแน่น จากนั้นฉีกยิ้มแล้วก้าวตามเทพบุตรเข้าไปใน...นรก!
นรกสวยแบบนี้นี่เอง มนุษย์ถึงได้พาตัวเองมาจมอยู่ที่นี่!
ภายในเดอะพราวผับตกแต่งด้วยสีดำ ทองและเงิน ด้านบนมีแชนเดอเลียร์งดงามห้อยเอาไว้หลายช่อ แม้ตอนนี้จะยังไม่ได้เปิดไฟ สริณยายังจินตนาการได้ว่ายามค่ำคืน ลูกปัดซึ่งห้อยย้อยราวเกล็ดหิมะเหล่านั้นคงเล่นแสงไฟวาววับน่าดูชม
หญิงสาวมีโอกาสเพียงกวาดตามองไปรอบๆ ร้านเท่านั้น ไม่อาจมองอย่างละเอียด เนื่องจากเทพบุตรผู้นำทางไม่ลดฝีเท้าลง เขาก้าวพาเธอผ่านโซนด้านหน้าซึ่งมีเวทีขนาดเล็กทรงกลมหลายเวทีตั้งเอาไว้เป็นจุดๆ ไปยังโซนด้านในซึ่งเด่นสะดุดตาด้วยบาร์เหล้าขนาดใหญ่ และโซฟาหนังสีดำที่กรุเอาไว้รอบห้อง
ห้องด้านในก็มีเวทีทรงกลมอีกแล้ว แต่มีขนาดใหญ่กว่าข้างนอก ดูเป็นส่วนตัวกว่า หรูหรากว่าเพราะห้องนี้ปูพรมสีแดงเอาไว้ ในขณะที่โถงด้านนอกเป็นพื้นไม้เทียม
เดินผ่านห้องซึ่งมีพรมสีแดงก็พบห้องน้ำหญิงและชาย โดยห้องน้ำทั้งสองถูกกั้นเอาไว้ด้วยบันไดรูปตัวยู
เทพบุตรสุดหล่อพาเธอขึ้นบันไดนั้นไปยังชั้นสามของร้าน ตอนนี้หัวใจสริณยาเต้นแรงขึ้นมาเพราะความกลัว เธอรู้สึกว่าโง่มากที่เดินเข้ามาในนรกโดยไม่มีอะไรป้องกันตัวเลย ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าที่นี่เต็มไปด้วยอันตราย มีทั้งเหล้า ยา และสัตว์นรก!
กระนั้นเธอก็มาไกลกว่าจะหันหลังกลับได้แล้ว...หญิงสาวสูดลมหายใจลึก เชิดหน้าแล้วก้าวขึ้นบันไดขั้นสุดท้ายไปยังทางซึ่งทอดยาวอยู่ตรงหน้า
สริณยาอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับผับแห่งนี้มาพอสมควร จึงรู้ว่าชั้นสองของเดอะพราวผับคือห้องคาราโอเกะ ส่วนชั้นสามคือห้องวีไอพี ห้องแต่ละห้องนั้นบุผนังเอาไว้ด้วยวัสดุเก็บเสียง ภายในห้องตกแต่งอย่างหรูหรา มีระดับ และเป็นที่เล่าลือกันในหมู่นักท่องเที่ยวว่า สาวซึ่งพาขึ้นมายังห้องวีไอพี...นาบได้
จู่ๆ ขนแขนสริณยาก็ลุกซู่ ทว่าเธอยังแข็งใจก้าวต่อ ที่ไม่ฝ่อจนหนีไปเสียก่อนส่วนหนึ่งเพราะความดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ของเธอ แต่อีกส่วนเป็นเพราะเมื่อมองไปยังเบื้องหน้า เธอเห็นผู้หญิงหลายคนยืนพิงผนังหน้าห้องวีไอพีอยู่
ถ้ามีคนเยอะ คนร้ายก็คงไม่กล้าลงมือให้พยานรู้เห็นแน่
หลังปลอบใจตนเองเรียบร้อย สุดหล่อที่เดินนำทางเธอมาก็หยุดเดินในที่สุด เขามองไปยังประตูของห้องซึ่งอยู่ริมสุดทางเดินแล้วถาม
“มีเด็กอยู่ในห้องรึเปล่า”
“มี คนสุดท้ายแล้ว”
สริณยาได้ยินเสียงผู้หญิงเป็นคนตอบ เธอเอี้ยวตัวมาทางซ้ายให้พ้นร่างหนาของผู้ชายตรงหน้าเพื่อจะได้เห็นว่าใครเป็นคนพูด แต่พอสายตาเธอกวาดมองเหล่าหญิงสาวซึ่งยืนพิงผนังเล่นโทรศัพท์มือถือกันอยู่ก็ต้องเบิกตากว้าง
ผู้หญิงซึ่งยืนพิงผนังอยู่หน้าห้องนั้นยืนเรียงกันอยู่สามคน แต่ละคนเรียกว่าสวย น่ารักระดับเน็ตไอดอล บางคนใส่ชุดนักศึกษาที่รัดจนกระดุมเสื้อแทบปริ กระโปรงก็สั้นและผ่าสูงจนน่าเสียวไส้ แต่บางคน...ก็ยิ่งกว่านั้น เพราะใส่เสื้อกล้ามตัวจิ๋วกับกางเกงสั้นจู๋ เสื้อกล้ามสีขาวเนื้อค่อนข้างบางเสียจนสริณยาเห็นชัดเจนว่า...ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ใส่เสื้อชั้นใน
“ใครอะตรัณ”
เสียงถามของผู้หญิงซึ่งตัดผมสั้นและแต่งตัวเหมือนพ่อเทพบุตรที่พาเธอมาทำให้สริณยาที่กำลังมองสำรวจสาวๆ เพลินสะดุ้งแล้วหันมามองหน้าหญิงคนนั้น
ผู้หญิงคนนี้ไม่เรียกได้ว่าสวย แต่...หล่อ หล่อมากอีกแล้ว เดอะพราวผับเป็นแหล่งรวมคนงามสมคำเล่าลือจริงๆ
“อ้อ” ผู้ชายที่สริณยาเพิ่งรู้ว่าชื่อไพเราะสมตัวหันมามองเธอแวบหนึ่ง ยิ้มก่อนตอบ “เด็กมาสมัครงาน”
“เหรอ” ผู้หญิงผมสั้นถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนเดินเข้ามาดูสริณยาที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังของตรัณ
ดวงตาผู้หญิงผมสั้นคนนั้นกวาดมองสริณยาตั้งแต่หัวจดเท้าอย่างไม่เกรงใจแล้วแค่นหัวเราะ “ถ้ามาทำงานในครัวก็เอาไปให้ในครัวดูฝีมือสิ พาขึ้นมาบนนี้ทำไม”
“ในครัวไม่ขาดคน แล้วน้องเขา...ก็อยากเป็นโคโยตี้”
“ตลกละ” หญิงผมสั้นกวาดตามองสริณยาอีกครั้งแล้วก็ส่ายหน้ารัว
“จริง”
ยังไม่ทันได้ต่อปากต่อคำอะไรกันอีก ประตูซึ่งปิดสนิทก็เปิดออก จากนั้นหญิงสาวผมยาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งในชุดนักศึกษาก็เดินออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก
“ห่าเอ๊ย!”
สิ่งที่นักศึกษาหน้าตาสะสวยคนนั้นสบถออกมาทำให้สริณยาสะดุ้ง ไม่คิดเลยว่านักศึกษาสมัยนี้จะพูดจาแบบนี้
“แม่งจะคัดนางฟ้านางสวรรค์รึไงวะ ไปเหอะ เสียเวลา เสียอารมณ์ อุตส่าห์ลดตัวมาสมัครที่นี่แล้ว แต่แม่งดันตาต่ำไม่เอากู”
สาวสามคนที่ยืนพิงผนังห้องรอเพื่อนอยู่ไม่ต้องถามว่าเพื่อนได้หรือไม่ได้ เพราะเพื่อนพูดออกมาชัดเจนแบบนั้นแล้ว สริณยาเห็นสาวบางคนปลอบเพื่อน บางคนร่วมด่า จากนั้นผู้หญิงสวยกลุ่มนั้นก็พากันเดินจากไป
เอ่อ...สวยแบบนั้นยังไม่ผ่าน แล้วเธอจะเหลือเหรอ
“เอาละ ถึงคิวน้องแล้ว เข้าไปได้”
เมื่อสุดหล่อหันมาพูดกับเธอ สริณยาก็ทำหน้าแหย เกือบเผ่นแล้วถ้าเขาไม่เดินไปเปิดประตูห้องให้เธออย่างสุภาพบุรุษเสียก่อน สริณยากัดริมฝีปากแน่น ก่อนกลั้นใจเดินเข้าไปในห้องนั้น
เป็นไงเป็นกันสิ! ไหนๆ มาถึงนี่แล้ว ยังไงก็ต้องลองดูสักตั้ง เป็นโคโยตี้ไม่ได้ก็ตื๊อขอทำหน้าที่อื่นแทนก็ได้นี่ จะงานอะไรเธอก็ทำได้ทั้งนั้น ขอเพียงแค่ให้ได้ทำงานที่นี่ก็พอ
เสียงประตูปิดทำให้บุรุษซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาหนังสีดำเงยหน้าขึ้นมามองเธอ
สริณยาใจหายวาบเมื่อเห็นดวงตาคมปลาบซึ่งกวาดมองเธอตั้งแต่หัวจดเท้า เขาถามด้วยน้ำเสียงดุไม่แพ้ดวงตาว่า
“ใคร เข้ามาทำไม!”
“ฉัน...ฉันมาสมัครงานค่ะ”
หัวคิ้วชายหน้าดุเสียงดุขมวดเข้าหากัน ดวงตาคมดุคู่นั้นกวาดตามมองเธออีกครั้งแล้วตวาด “ไม่ผ่าน ออกไปได้!”
“เดี๋ยวสิคะ คุณอย่าเพิ่งตัดสินใจสิคะ” สริณยาก้าวเท้าเข้ามาหาร่างซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาจนเห็นหน้าเขาชัดขึ้น
ผู้ชายที่นั่งอารมณ์เสียอยู่คนนี้ขาวมาก ขาวจนเรียกได้ว่าแทบจะเรืองแสง ผมเขาดำ คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ตาดุ ปากสีแดงจัดซ่อนอยู่ในไรหนวดเคราดกหนา หากเดาไม่ผิดเขาก็น่าจะเป็นลูกครึ่ง ลูกเสี้ยว ลูกผสม แต่น่าจะค่อนไปทางแขกขาวไม่ใช่ฝรั่ง ดวงตาคมและลึกคู่นั้นประกาศเชื้อชาติตนเองอยู่ และเขาน่าจะชื่อจอห์น เพราะพ่อเทพบุตรนามตรัณบอกว่าเขาจะพาเธอมาพบคุณจอห์นซึ่งเป็นเจ้าของนรกแห่งนี้
“อย่าทำให้ฉันต้องเสียเวลา ไปไป๊”
ชายที่น่าจะชื่อจอห์นโบกมือไล่ราวกับเห็นเธอเป็นแมลงหวี่แมลงวันที่น่ารำคาญ เห็นดังนั้นสริณยาก็ใช้แผนเรียกน้ำตา เธอทรุดกายลงคุกเข่าแล้วพยายามบีบน้ำตา
“ฉันขอร้อง อย่าไล่ฉันไปเลยค่ะ ฉันลำบากมาก พ่อฉันตกงาน แม่ก็ป่วย ฉันจำเป็นต้องหาเงินไปเลี้ยงดูครอบครัว ของานให้ฉันทำเถอะนะคะ จะเป็นงานอะไรก็ได้ค่ะ ฉันไม่เกี่ยงงานหนัก ไม่เกี่ยงได้เงินเดือนน้อย ขอแค่มีงานให้ฉันทำก็พอ”
ดวงตาคมดุคู่นั้นตวัดมองเธออย่างรำคาญมากขึ้น “ที่นี่ไม่ใช่สถานสงเคราะห์ ถ้าอยากได้คนเห็นใจก็ไปที่อื่น”
“ฉันไม่อยากได้คนเห็นใจ ฉันอยากได้งาน” สริณยาไม่ใช่นักแสดง ดังนั้นแม้จะพยายามร้องไห้แล้วเธอก็ยังร้องไม่ออก เลยได้แต่ทำหน้าตาน่าสงสาร โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะเห็นใจ
“ที่นี่ไม่มีงานที่เหมาะกับเธอ”
“ฉันเต้นได้นะคะ” สริณยารีบลุกขึ้นยืนแล้วเต้นยึกยือเหมือนไส้เดือนถูกขี้เถ้า เธอพยายามเต้นอย่างมาก แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นรอยยิ้มสังเวชจากคนดู
“ถอดเสื้อผ้าออก”
เมื่อถูกสั่งให้ทำในสิ่งที่กุลสตรีไม่มีวันทำกัน สริณยาก็ตัวแข็ง ชะงักค้างอยู่ในท่ายกมือสองข้างขึ้นตามเพลงกำมือขึ้นแล้วหมุนๆ
“โคโยตี้ที่นี่ต้องใส่บิกินีเต้น ถ้าเธอไม่กล้าถอดก็ออกไป”
สริณยากัดริมฝีปากแน่น ดวงตาแค้นเคืองจ้องเจ้าของร้านที่คิดจะเอาเปรียบเธอ แม้เธอจะเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าหากมาทำงานในสถานที่อโคจรแบบนี้ย่อมต้องเจอกับพวกสัตว์นรกอยู่แล้ว แต่ไม่คิดเลยจริงๆ ว่ามายังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ต้องเจอสัตว์ชั่วร้ายจำพวกที่ว่า
แต่เพื่อน้องดา เพื่อค้นหาคนที่ฆ่าน้องดา เรื่องแค่นี้เองทำไมพี่จะทำเพื่อน้องไม่ได้!
มือสั่นเทาดึงเสื้อยืดตัวโคร่งออกไปจากศีรษะ จากนั้นจึงดึงกางเกงยีนขายาวตามออกไป ใบหน้าสริณยาร้อนจี๋เมื่อทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงชั้นในสองชิ้นปกปิดเรือนร่าง แต่แค่นั้นยังอายไม่พอ เธอยังต้องเต้นอีก
หญิงสาวกัดฟันแน่น หลุบตาลงมองแต่พื้นเมื่อเริ่มเคลื่อนไหวร่างกายเลียนแบบท่าเต้นของเพื่อนๆ ที่เคยเห็นมา
เธอเต้นอยู่ไม่นานก็ได้ยินเสียงสั่ง
“หยุดๆ พอได้แล้ว อุบาทว์ลูกตา ไม่ผ่าน ยังไงก็ไม่ผ่าน!”
สริณยาอ้าปากหวอ ดวงตาที่มองแต่พื้นตวัดขึ้นมองเจ้าของเดอะพราวผับเขม็ง ความโกรธซึ่งแล่นไปทั่วร่างทำให้เธอตวาดกลับไปทันที “ฉันแก้ผ้าให้คุณดูแล้วนะ คุณควรให้งานฉันสิ เห็นไหมว่าคุณให้ฉันทำอะไรฉันก็ทำ!”
“ฉันไม่ได้พูดสักคำว่าถ้าเธอถอดเสื้อผ้าเต้นแล้วฉันจะให้งานเธอ ฉันพูดแค่ว่าโคโยตี้ที่นี่ต้องใส่บิกินีเต้น” ผู้ที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟากวาดตามองร่างเกือบเปลือยของเธออีกครั้ง ทำให้สริณยารีบคู้ตัวนั่งแล้วหยิบเสื้อยืดมาสวม ไม่ยอมให้คนที่ตั้งใจเอาเปรียบเธอฉวยโอกาสมองร่างเกือบเปลือยของเธอได้อีก “เธอใส่บิกินีได้ ๓๕-๒๕-๓๖ สัดส่วนพอได้ แต่เรื่องเต้น...อย่าได้คิดเต้นอีก อุบาทว์”
“ถ้าฉันอุบาทว์ คุณก็ทุเรศ ฉวยโอกาส!”
“นี่ ฉันจะบอกอะไรให้นะ โคโยตี้ที่มาคัดเลือกก็ต้องเต้นในชุดบิกินีให้ฉันดูทุกคน บางคนเต้นเปลือยให้ดูด้วยซ้ำ มันเป็นเรื่องปกติของอาชีพนี้ ถ้ายังมียางอายอยู่ก็ไปทำอาชีพอื่นเถอะ ที่นี่ไม่เหมาะกับคนอย่างเธอ”
สริณยาซึ่งสวมกางเกงเรียบร้อยแล้วลุกขึ้นยืน เธอจ้องหน้าเจ้าของร้านโรคจิตอย่างแค้นเคืองก่อนแช่งเพราะทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ “ขอให้แกไม่ตายดี ขอให้ร้านแกเจ๊ง!”
ปกติแล้วสริณยาไม่เคยพูดจาอะไรแบบนี้เลย แต่วันนี้เธอพูดจาหยาบคายและทำในเรื่องที่ไม่คิดว่าชาตินี้จะทำทั้งนั้น เธอคงเป็นบ้า คงเสียสติไปชั่วคราวเพราะความอยากแก้แค้นแทนน้อง
ได้ยินคำแช่งแบบนั้นร่างสูงใหญ่ก็ลุกพรวดขึ้น ดวงตาเจ้าของร้านเป็นประกายวาววับก่อนชี้มือไปที่ประตูแล้วตวาด “ออกไปก่อนฉันจะหักคอเธอ!”
ไม่ต้องรอให้เขาขู่เป็นครั้งที่สอง สริณยาตาลีตาเหลือกวิ่งออกจากห้องไปแทบไม่ทันเมื่อต้องเผชิญหน้ากับโทสะอันเริงร้อนแบบนั้น
ทันทีที่ออกมาจากห้องคัดตัว หญิงสาวเห็นทอมคนเดิมและพ่อเทพบุตรสุดหล่อยืนพิงผนังห้องรอเธออยู่ สีหน้าของทั้งสองดูขบขันเป็นอย่างยิ่ง
“เป็นไงน้อง ได้งานไหม” เทพบุตรรูปหล่อนามตรัณถาม
เขาจะถามทำไม เสียงตวาดดังลั่นนั่นเขาไม่ได้ยินหรือ
“คุณรู้อยู่แล้วว่าฉันต้องไม่ได้งาน คุณส่งฉันเข้าไปทำไม” สีหน้าสริณยาเต็มไปด้วยความผิดหวัง ดวงตาเธอกล่าวหาเขา
ชายคนนั้นจ้องเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “พี่แค่อยากให้น้องรู้เท่านั้นว่าที่นี่ไม่เหมาะกับผู้หญิงแบบน้องหรอก งานที่นี่ไม่ใช่งานสบายได้เงินง่ายอย่างที่ผู้หญิงหลายคนคิด คนจะทำงานที่นี่ได้ต้องหน้าด้าน ต้องไม่มีศักดิ์ศรี อย่างน้องยังมีโอกาส ไปหางานอื่นทำเถอะ อย่าได้คิดมาทำงานในสถานที่แบบนี้เลย”
คำอธิบายของชายชื่อตรัณทำให้ความโกรธของสริณยาค่อยๆ จางหายไป เธอมองสุดหล่อคนนั้นนิ่งก่อนเอ่ยพึมพำ
“ขอบคุณ”
‘เราไม่เหมาะกับที่นี่ ไม่เหมาะกับที่นี่’
ตั้งแต่เดินออกมาจากเดอะพราวผับ สริณยาก็ท่องสองประโยคนั้นซ้ำๆ เพื่อให้ตนเองตัดใจ แต่ยิ่งบอกให้ตนตัดใจ เธอยิ่งตัดใจไม่ได้ หนทางทวงความยุติธรรมให้น้องสาวดูมืดมน ไร้ความเป็นไปได้
สุดท้ายแล้วเธอต้องปล่อยให้คนที่ฆ่าน้องลอยนวล ปล่อยให้มันไปหลอกผู้หญิงคนอื่นอีกอย่างนั้นหรือ...
ก่อนที่น้ำตาแห่งความผิดหวังจะรินลงมา สริณยารีบเงยหน้าขึ้นห้ามมันเอาไว้เสียก่อน
หยาดน้ำตายังไม่ทันจางหาย ดวงตาที่ฝ้ามัวก็เห็นอะไรสีเหลืองๆ เคลื่อนไหวอยู่บนต้นไม้สูงซึ่งยืนต้นให้ร่มเงาอยู่หน้าลานจอดรถ
สริณยากะพริบตา ไล่น้ำตาให้ไหลออกมาแล้วจึงเห็นว่า อะไรเหลืองๆ ที่ตัดกับใบไม้สีเขียวนั่นก็คือ...แมว
มันเป็นแมวตัวใหญ่ สีเหลืองทอง หน้ากลม ตาโต จมูกสั้น ขนยาว บ่งบอกว่ามันน่าจะเป็นแมวเลือดผสมระหว่างแมวไทยกับเปอร์เซีย ที่คอแมวอ้วนตัวนั้นมีปลอกคอหนังสีดำสวมอยู่ ประกาศว่าแมวตัวนี้มีเจ้าของ
มีเจ้าของแล้วมาทำอะไรบนต้นไม้...ปีนต้นไม้เล่นหรือ
แรกทีเดียวสริณยาคิดเช่นนั้น ก่อนจะเปลี่ยนใจเมื่อเห็นแมวตัวนั้นร้องเบาๆ แล้วพยายามยืนขึ้น ทว่าพอมันยืน น้ำหนักตัวที่มากเกินพิกัดแมวทำให้กิ่งไม้ที่มันนอนอยู่ไหว แมวอ้วนตัวนั้นรีบหมอบกอดกิ่งไม้เอาไว้เหมือนเดิมและร้องเบาๆ อีกครั้ง
“เหมียวๆ” สริณยาร้องทักและเห็นแมวตัวที่อยู่เหนือหัวเธอจ้องลงมาแต่ไม่ร้องตอบ เธอจึงยื่นมือสองข้างขึ้นไปหา หวังให้แมวโดดลงมา “โดดลงมาสิ ฉันจะรับแกเอง”
คำเชิญชวนของเธอไม่ได้ทำให้แมวอ้วนย้ายก้นย้อยๆ ลงมา มันทำแค่มอง จ้องเธอนิ่ง สั่งด้วยสายตาให้เธอช่วยมัน แต่ตัวมันนั้นไม่คิดช่วยตัวเองอีกแล้ว
เห็นดังนั้นสริณยาก็ยกมือทั้งสองเท้าสะเอว เอาเข้าจริงตอนนี้เธอก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะช่วยใคร พูดตรงๆ ก็คือ ลำพังตัวเองยังช่วยตัวเองไม่ได้เลย ดังนั้นเมื่อแมวตัวนั้นเฉยใส่ เธอก็แยกเขี้ยวใส่มัน
“นี่แกรู้ไหม คนเราไม่ควรนั่งงอมืองอเท้ารอการช่วยเหลืออยู่เฉยๆ มันต้องขยับก้นทำอะไรเองบ้างสิ มาสิ โดดลงมา นับหนึ่งสองสามถ้าแกไม่โดดฉันจะไปแล้วนะ หนึ่ง...สอง...สาม”
เจ้าแมวอ้วนยังทอดสายตาลงมามองเธอนิ่งแต่ไม่ขยับตัวเลยสักนิด มีเพียงหางที่แกว่งไกวไปมาราวสำราญใจ
เห็นแล้วหมั่นไส้!
“ถ้าสบายอารมณ์ขนาดนั้นก็นั่งต่อไปก็แล้วกัน”
สริณยาขยับสายกระเป๋าสะพายให้เลื่อนขึ้นไปบนไหล่ก่อนออกเดิน แต่พอเดินไปเพียงสามก้าว เสียงเมี้ยวเบาๆ ก็ดังขึ้น เมื่อเดินอีกสองก้าว ก็ได้ยินเสียงร้องของแมวดังขึ้นอีก
ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะช่วยใคร สริณยาผู้แสนดียังอดใจไม่ได้ ต้องหันกลับไปในที่สุด และก็เห็นแมวอ้วนตัวนั้นอ้าปากพะงาบๆ คล้ายจะร้องแต่ไม่มีเสียงออกมา
สุดท้ายหลังยืนชั่งใจอยู่เกือบนาที หญิงสาวก็จำต้องเดินกลับไปใต้ต้นไม้อีกครั้งแล้วยื่นมือขึ้นเหนือศีรษะ บอกแมวอ้วนอีกหน “เอ้า ลงมาสิ โดดลงมา ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ฉันรับแกได้อยู่แล้ว”
แมวตัวนั้นยังคงมองเธอนิ่งและร้องออกมาเสียงดัง ม้าาาาา
คนที่เลี้ยงแมวจะรู้ แมวไม่ได้ร้องแค่เหมียวๆ เหมือนที่เราคิดหรอก แมวมีเสียงร้องสารพัดสารพันเสียง และแมวอ้วนตัวนี้ก็ร้องเหมือนสั่งให้เธอขึ้นต้นไม้มาช่วยมัน
สริณยามองต้นไม้ที่ขึ้นอยู่นอกรั้วลานจอดรถ มันเป็นต้นอะไรก็ไม่รู้ แต่น่าจะปลูกอยู่ตรงนี้นานแล้ว นานจนคนที่สร้างลานจอดรถเกรงใจไม่ตัดมันทิ้ง แต่ล้อมรั้วโดยเว้นที่ให้ต้นไม้ต้นนี้เติบโต
ต้นไม้สูงใบเขียวต้นนี้ลำต้นยืดตรง กิ่งที่ใกล้ที่สุดอยู่สูงเกินกว่าที่เธอจะเอื้อมถึง แต่ดูเหมือนโชคยังดี ต้นไม้นี้สูงขึ้นไปราวหนึ่งเมตรก่อนแยกแขนงออกเป็นสองทางกลายเป็นต้นไม้รูปตัววาย มีช่องตรงกลางให้เธอโหนและปีนขึ้นไปได้
บอกเลยว่าสริณยาปีนต้นไม้ไม่เก่งนัก ดังนั้นกว่าจะขึ้นมายืนอยู่บนรอยแยกของต้นไม้รูปตัววายได้ก็ถึงกับหอบ หญิงสาวมองแมวอ้วนที่ตอนนี้นั่งหันก้นให้เธอ เจ้าแมวกวนนั่งอยู่บนกิ่งไม้ทางด้านซ้ายมือ อยู่ปลายกิ่งเสียด้วยมันจึงไม่มั่นคง
“มานี่สิ มาเร็ว แกนั่งอยู่ตั้งนานไม่หัก แกลุกแล้วเดินมามันก็คงไม่หักหรอกน่า” สริณยาพยายามปลอบใจแมว แต่มันทำเพียงหันมามองเธอแล้วร้อง
ม้าว...
หญิงสาวตบกิ่งไม้แรงจนเจ็บมือเพราะความหัวเสีย “ไอ้แมวดื้อ ฉันควรปล่อยให้แกอยู่บนนี้ใช่ไหม แกขึ้นมาเองได้แกก็ต้องลงเองได้สิ”
แม้จะพูดแบบนั้น สุดท้ายสริณยาก็ยังกระเสือกกระสนจนไปนั่งคร่อมกิ่งไม้ด้านซ้ายเอาไว้จนได้ กิ่งนี้ทอดยาวออกไปทางถนน สูงพอที่รถลอดผ่านได้จึงไม่ถูกตัด ตอนเธอเงยหน้ามองจากบนพื้น ไม้กิ่งนี้ดูไม่สูงเท่าใดนัก แต่พอมานั่งแล้วมองลงไป โห...สูงเอาเรื่องเลย สริณยาชักเข้าใจความรู้สึกของแมวอ้วนที่ไม่ยอมโดดแล้ว
คนเคยเลี้ยงแมวแนบลำตัวไปกับกิ่งไม้แล้วยื่นมือไปข้างหน้า ปลายนิ้วมือเธอสัมผัสก้นแมวได้เล็กน้อย และถูกหางแมวปัดป่ายไปมาราวไม่ต้องการให้เธอแตะตัวมัน
“นี่ ขยับเข้ามาสิ ไม่ต้องกลัวค่อยๆ ไถก้นลงมา กระดึ๊บๆ” หญิงสาวสอนให้แมวกลายร่างเป็นหนอน แต่มันไม่ฟังเธอเลย ยิ่งลูบก้น มันยิ่งขยับออกห่างเธอจนเกือบเสียหลักกลิ้งตกต้นไม้ ดีที่ว่าเจ้าแมวแสบยังจิกเล็บจับกิ่งไม้เอาไว้ได้ ดังนั้นแม้จะเสียการทรงตัวไปนิด เจ้าแมวอ้วนก็ยังค้างอยู่บนปลายกิ่ง โดยผลจากการดิ้นรนเอาตัวรอดทำให้ตอนนี้มันหันหน้ามาทางเธอแล้ว
แบบนี้น่าจะง่ายใช่ไหม สริณยากระดิกนิ้ว ร้องเรียก “เมี้ยว มิ้วๆๆ” เธอส่งภาษาแมวออกไปอย่างเป็นมิตร ทำให้แมวหยิ่งตัวนั้นจ้องและค่อยๆ คืบเข้ามาหาเธอ
ทีละนิดๆ ในที่สุดสริณยาก็สัมผัสหลังแมวได้ และไม่นานแมวอ้วนก็เดินเข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย หญิงสาวยันตัวนั่งพยายามอุ้มแมว แต่แมวซึ่งกำลังกลัวข่วนเธอแล้วจิกปลายเล็บกับเปลือกไม้แน่น ดูเหมือนมันจะไว้ใจกิ่งไม้มากกว่าไว้ใจเธอ
“โอ๊ย! ไอ้แมวไม่รู้จักคุณคน นี่ฉันช่วยแกนะแต่แกกลับข่วนฉัน งั้นอยู่ที่นี่ไปเลย เน่าตายอยู่ตรงนี้ไปเลย” เธอขู่เสียงดุก่อนเห็นป้ายอะไรบางอย่างติดอยู่ที่ปลอกคอแมว เมื่อเขม้นมองให้ชัดๆ ก็พบว่าเป็น...ป้ายชื่อ
“พรินซ์” อ่านชื่อจบสริณยาก็รู้สึกว่าเจ้าแมวอ้วนสีทองตัวนี้หูกระดิก เหมือนรับรู้ได้ว่าเธอเรียกมัน “นี่แกชื่อพรินซ์เหรอ อื้อหือ เจ้าชาย!” สริณยากระแทกเสียงอย่างขบขัน ก่อนลดตัวลงพูดกับเจ้าแมวอ้วนตัวนั้น “องค์ชายเพคะ เชิญเสด็จเข้ามาใกล้ๆ หม่อมฉันอีกนิด ขอดูเบอร์มือถือใต้ชื่อองค์ชายหน่อย หม่อมฉันจะได้ตามเด็จพ่อเด็จแม่องค์ชายมารับ”
องค์ชายมีหรือจะให้ความร่วมมือง่ายๆ ยิ่งเธอเรียก มันก็ยิ่งเชิด หันหน้าไปทางอื่นเสียอีก สริณยาไม่มีทางเลือก มือหนึ่งดึงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าสะพาย อีกมือกอดต้นไม้ให้แน่น แล้วคลานกระดึ๊บๆ เหมือนหนอนเข้าไปหาองค์ชาย
หญิงสาวไม่จับแมวอีกแล้ว เพราะกลัวมันจะหนีไปหรือไม่ก็ข่วนเธอเข้าให้อีก สิ่งที่เธอสนใจคือป้ายสลักสีเงินซึ่งคล้องอยู่กับปลอกคอสีดำ
โชคดีเหลือเกินที่ทั้งชื่อแมวและเบอร์โทรศัพท์ถูกสลักด้วยสีดำเธอจึงมองเห็นได้ชัดเจน หญิงสาวจำตัวเลขทีละสี่ตัว กดเลขนั้นที่หน้าจอโทรศัพท์ เมื่อครบแล้วก็รีบโทร. ออก
ความคิดเห็น |
---|