บทที่ 6

6

ไล่ออก

หนึ่งเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก สริณยาปรับตัวเข้ากับงานได้แล้วเนื่องจากงานของเธอนั้นไม่ได้หนักหนาอะไรเลย ที่จริง...มันเบาเกินไปเสียด้วยซ้ำ

แค่ดูแลแมว เล่นกับแมว แล้วก็ทำความสะอาดพื้นที่ที่แมวทำเลอะ

เมื่อมีเวลาว่างมากจนเกินไป คนที่ไม่ชอบอยู่นิ่งๆ แบบเธอก็เริ่มหาอะไรทำเพื่อไม่ให้จิตว่างแล้วหวนไปคิดเรื่องการสืบอีก ในเมื่อตกลงใจแล้วว่าจะต้องทำให้ทุกคนเชื่อใจก่อน เธอก็ทำตามนั้น

ทุกวันก่อนขึ้นมาหมกตัวอยู่ในห้องนี้ เธอจะทักทายทุกคนที่พบ ชวนคุยนิดหน่อยถึงเรื่องดินฟ้าอากาศตามประสาคนที่ทำงานที่เดียวกัน แต่แน่นอน เธอเลือกที่จะเชื่อเฮียลี่โดยการทำตัวเป็นคนหัวอ่อนเชื่อฟัง เธอพูดคุยแต่เฉพาะกับผู้หญิง ไม่เสวนาสนิทสนมกับผู้ชายในร้าน ทำให้เฮียลี่ซึ่งจับตาดูเธออยู่ค่อยๆ ละสายตาไปจากเธอ

เธอใช้เวลาไม่นานก็ผูกมิตรกับพวกพนักงานเสิร์ฟผู้หญิงและคนครัวได้ แต่พวกสาวสวยโคโยตี้นี่สิที่เข้าถึงยาก แต่ละคนเล่นตัวและเห็นเธอไม่ต่างอะไรจากพนักงานทำความสะอาด ต่ำ...จนไม่มีค่าพอที่จะเสวนาด้วย

วันนี้เธอยังคงมาทำงานตามเวลา มาถึงก็ตรงไปยังห้องครัวก่อนเพื่อบอกแม่ครัวว่าวันนี้เธอจะกินอะไรเป็นอาหารเย็น โดยไม่ลืมหยอดคำหวานว่าอาหารที่แม่ครัวคนนั้นทำอร่อยมาก รสมือคล้ายแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดของเธอมาก

เธอจับเส้นแม่ครัวคนนี้ได้ตั้งแต่วันแรกๆ ที่คุยกัน แม่ครัวตัวอ้วนกลมที่ชื่อแม่ขำเป็นสาวอีสานซึ่งจากบ้านจากครอบครัวมาทำงานในเมืองกรุงเพื่อหาเงินส่งกลับไปเลี้ยงดูครอบครัว เธอจึงตีเนียนทำเป็นเข้าอกเข้าใจคนที่บากหน้าเข้ากรุงเพื่อหาเงินส่งกลับบ้านเหมือนกัน

ที่สริณยาเลือกเข้าทางแม่ขำนอกจากจะเป็นเพราะคุยด้วยง่ายแล้ว ตำแหน่งแม่ครัวซึ่งอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ผับเปิดทำให้แม่ขำรู้จักทุกคนภายในร้านเป็นอย่างดี เพราะพนักงานทุกคนที่นี่จะได้รับอาหารคนละหนึ่งมื้อเหมือนกัน และหากอยากกินอาหารดีๆ อร่อยๆ ทุกคนต่างก็ต้องทำดีกับแม่ครัวทั้งนั้น

ดังนั้นตอนนี้เธอจึงได้รู้เรื่องพนักงานของเดอะพราวผับจากคำบ่นของแม่ขำบ้าง

“คุณจอห์นน่ะกินง่าย กินอะไรก็ได้ เผ็ดก็กินได้ พวกลาบนี่คุณจอห์นก็ชอบ ถ้าวันไหนมีลาบไก่ให้พวกสาวๆ คุณจอห์นเป็นต้องขอแบ่งเอาไปกินประจำ ไม่เหมือนอีพวกสาวๆ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อพวกนั้นหรอก เลือกกิน อันนี้ก็กินไม่ได้ อันนั้นก็กินไม่เป็น ไม่รู้ว่าวิเศษวิโสมาจากไหน ก็กะ...” 

คำหยาบคายเกือบหลุดออกมาจากปากของแม่ขำแล้ว ยังดีที่งับเอาไว้ทัน กระนั้นสริณยาก็ยังรู้ว่าแม่ขำตั้งใจจะพูดว่ายังไง ทว่าเธอยังคงทำแบ๊วเหมือนตามไม่ทัน ซึ่งบุคลิกใสๆ ไม่เป็นพิษเป็นภัยแบบนี้นี่แหละที่ทำให้ใครๆ ก็กล้าพูดเรื่องโน้นเรื่องนี้กับเธอ

“ลาบเหรอ หนูก็ชอบกินลาบนะจ๊ะแม่ขำ จิ้มกับข้าวเหนียว หรือกินกับขนมจีนก็อร่อย”

“งั้นกินไหมล่ะ ของยังเหลือนะ ฉันปรุงให้ใหม่ประเดี๋ยวก็เสร็จ”

สริณยาแสร้งทำหน้าเศร้า “คุณจอห์นให้หนูกินแต่ข้าวเย็นนี่จ๊ะ เรื่องข้าวกลางวันไม่ได้บอกให้กินได้”

“ปกติก่อนเข้างานแกกินอะไรมาล่ะ”

หญิงสาวส่ายหน้าดิก “ไม่ได้กินหรอก งานที่ทำไม่ได้ใช้แรงมาก เก็บท้องเอาไว้กินตอนเย็นเลยทีเดียวดีกว่า ประหยัด”

สายตาแม่ขำที่มองเธออ่อนยวบตามประสาคนที่มีลูกสาว พอเห็นผู้หญิงที่ตั้งใจทำงานโดยอดมื้อกินมื้อเพื่อเก็บเงินส่งทางบ้านนางก็มีไมตรีให้ “กี่โมงแล้วล่ะ โอ๊ย อีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าแกจะเข้างาน มาๆ แกมานั่งในครัวมา ฉันจะทำลาบให้แกกิน”

“จะดีเหรอจ๊ะ” สริณยาทำอิดเอื้อน จนแม่ขำเดินเข้ามาลากเธอไปนั่งที่โต๊ะไม้ขนาดใหญ่ภายในห้องครัวซึ่งตอนนี้มีทั้งคนที่นั่งและยืนทำงานที่โต๊ะนั้นหลายคน หลายคนยิ้มให้เธอเมื่อเธอส่งยิ้มให้ก่อน แต่มือก็เด็ดผัก หั่นผัก ซอยผักใส่ตะกร้าที่วางเอาไว้บนโต๊ะโดยไม่หยุดมือ

“อะ แกนั่งนี่ รอกะเดี๋ยว ฉันจะเอาของอร่อยมาให้”

“ขอบใจจ้ะแม่” สริณยาจงใจอย่างยิ่งที่จะเรียกแม่ขำสั้นๆ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแม่ขำให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพราะนอกจากแม่ขำจะรู้จักพนักงานทุกคนในร้านนี้แล้ว แม่ขำยังเป็นคนช่างจดช่างจำ ช่างเมาท์มอย หากเลือกหัวข้อให้ดีๆ แม่ขำเป็นพูดน้ำไหลไฟดับ

ดังนั้นแม่ขำจึงเป็นบุคลากรซึ่งเธอหมายมั่นปั้นมือว่าจะแคะ แกะ เกาเอาความลับของพนักงานทุกคนออกมาจากปากแม่ขำให้ได้

แต่...ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะทำเช่นนั้น

พอแม่ขำจากไป สริณยาก็หันมามองสาวๆ ลูกมือแม่ครัวที่ต่างก็กำลังทำหน้าที่ของตนมือเป็นระวิง

“โห นัน เก่งจัง ซอยกะหล่ำปลีแบบไม่มองก็ได้” หญิงสาวเริ่มแจกลูกยอ ซึ่งก็ทำให้ลูกมือในครัวที่ชื่อนันส่งยิ้มให้

“ไม่เก่งได้ไง ทำมาตั้งแต่เจ็ดขวบ” นันตอบแล้วเร่งความเร็วในการซอยราวกับจะอวด

“พี่อยากช่วยทุกคนบ้างจัง ถึงจะทำไม่เก่งเท่า แต่พอต้องมานั่งดูในขณะที่ทุกคนทำงานนี่มันก็รู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้”

สามสาวที่มีผิวสีคล้ำเข้มและอายุเกินยี่สิบขึ้นมานิดเดียวหันมามองสริณยาเป็นตาเดียว ก่อนคนที่หน้าตาดีที่สุดและดูจะไม่ค่อยชอบหน้าสริณยาที่สุดจะเป็นผู้เอ่ยขึ้น

“มีที่ไหนคนอยากทำงาน มีแต่คนอยากสบายนั่งเป็นคุณนายทั้งนั้น”

เมื่อได้ที นัน...สาวหน้าตาบ้านๆ ซึ่งเป็นมือหั่นซอยก็ไถ่ถาม “ห้องคุณจอห์นเป็นยังไงพี่ยา แล้วพี่ยาอยู่กับคุณจอห์น มี...แบบว่า...มีอะไรๆ กันรึเปล่า”

สริณยาตาแทบเหลือก รีบแก้ไขความเข้าใจผิดทันที “ไม่มี้ พี่เป็นลูกจ้างมาเลี้ยงแมว จะไปมีอะไรกับเจ้านายได้ไง แล้วระดับคุณจอห์นเขาไม่ลดตัวลงมามองพี่หรอก สาวๆ สวยๆ ที่นี่มีออกเยอะแยะไป”

สาวสวยหน้าตาคมขำที่สุดในห้องครัวนามว่านางเบ้ปากเล็กน้อย แล้วสับหมูแรงขึ้น “คุณจอห์นเขาไม่สนใจสาวๆ พวกนั้นหรอก พวกผู้หญิงหากิน!”

“เรียกโคโยตี้แบบนั้นไม่ดีเลยนะ อย่าเข้าใจพวกเขาผิดสิ เขาขายรูปร่างหน้าตาและความสนุกสนาน ไม่ใช่ขายตัว” ที่สริณยาพูดแก้แทนโคโยตี้ก็เพราะน้องสาวเธอเคยทำอาชีพนี้ และถูกมองว่าขายบริการเช่นเดียวกัน

นางยังคงมีสีหน้าดูถูกคนที่สวยกว่าตนเองอยู่เช่นเดิม “แกนั่นแหละที่ไม่รู้อะไร อย่ามาทำพูดดี อีพวกนั้นถ้าเงินถึงก็ยอมแหกให้ทุกคน”

สริณยายังไม่ทันได้แก้แทนใคร ก็มีเสียงแหลมปรี๊ดดังขัดขึ้นก่อนว่า

“อะไรนะ เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะ!”

ผู้พูดคือโคโยตี้ตัวท็อปชื่อน้องจอย ปกติแล้วจอยไม่เหยียบเข้ามาในสถานที่สกปรกแบบห้องครัวเด็ดขาด แต่วันนี้เธอหิวมากเนื่องจากเพิ่งไปสอบแล้วตีรถมาทำงานเลย เธอจึงเข้ามาขอให้แม่ครัวทำเนื้อสะเต๊ะที่เป็นอาหารขึ้นชื่อเมนูหนึ่งของเดอะพราวผับให้

ไม่คิดเลยว่าระหว่างหยุดรอแม่ครัวที่กำลังคลุกอะไรสักอย่างอยู่หน้าเตา เธอจะมาได้ยินคำดูถูกของพวกชั้นต่ำปากสุนัข

เพราะความที่เป็นตัวท็อป จอยจึงไม่เคยกลัวใคร เมื่อสวนกลับไปอย่างหาเรื่องแล้วก็ยกมือขึ้นเท้าสะเอว มองหน้าคนที่ถือปังตออย่างเอาเรื่อง

“ให้พูดอีกครั้งเหรอ ได้สิ อีพวกสวยๆ ข้างนอกมันก็หิ้วได้ทุกคนถ้าเงินถึง อีตัว กะหรี่!” นางกำปังตอในมือแน่น เธอก็ไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้นเหมือนกันตอนที่ถืออาวุธเอาไว้ในมือแบบนี้

สริณยาซึ่งอยู่กลางสนามรบลุกขึ้นมาก็ตอนนี้ เธอยกมือห้ามทั้งสองฝ่าย “พอเถอะค่ะ ทำงานด้วยกันอย่ามีเรื่องกันเลย”

“ใครทำงานกะอีนี่!” 

ทั้งน้องจอยตัวท็อปและนางมือปังตอต่างชี้นิ้วและตะโกนใส่กันด้วยประโยคเดียวกัน ก่อนน้องจอยจะเชิดหน้าพูดก่อน

“ฉันกับมันคนละชั้นกัน อย่ามาพูดเหมือนเท่าเทียมกัน ขยะแขยง”

“โอ๊ย กูสิต้องขยะแขยงมึง กูทำงานใช้แรงงาน ไม่ได้ใช้นาผืนน้อย ถึงจะต้องเหนื่อยแต่เงินที่ได้มาสะอาดกว่า เพราะฉะนั้นกูสิต้องขยะแขยงมึง!”

น้องจอยเต้นทั้งที่ไม่ได้อยู่บนเวที เธอชี้หน้านางแล้วพ่นคำหยาบคายออกมาบ้าง และนางก็ไม่ยอมแพ้ ทั้งสัตว์เลื้อยคลาน อวัยวะทั้งของหญิงของชายปลิวว่อนทั่วครัว

“มึง!” ปะทะด้วยคำพูดกันสักพักจอยก็ของขึ้น ชี้หน้าท้าเหยงๆ “แน่จริงมึงวางมีดลงสิวะ แล้วมาดูกันว่าใครแน่กว่ากัน”

นางก็คนจริงเหมือนกัน เมื่อถูกท้าก็สับปังตอลงกับเขียงแล้วพุ่งไปหาน้องจอยทันที

สองสาวต่างสีผิวแต่ขนาดรูปร่างใกล้เคียงกันกระโจนเข้าตะลุมบอนกันอยู่กลางห้องครัวโดยสริณยาได้แต่ยืนเอามือทาบอก ตกใจ เพราะตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยเห็นคนตบกันมาก่อน แต่ในขณะที่เธอตกใจ คนในครัวกลับแบ่งเป็นสองฝ่าย

ฝ่ายผู้หญิงอายุน้อยปรบมือกระทืบเท้าร้องเชียร์เพื่อนของตนเอง ฝ่ายผู้หญิงอายุมากก็ถอนหายใจแล้วเมินด้วยไม่ใช่เรื่องของตัว ตรงกันข้ามกับฝ่ายผู้ชายอายุน้อยที่จ้องคนสู้กันจนผ้าผ่อนหลุดลุ่ยตาเป็นมัน

นักสู้ทั้งสองตบ ข่วน กัด จิก ทึ้งกันพัลวันสักพัก ผู้ที่ก้าวเข้ามาแยกก็คือแม่ขำที่ยอมทิ้งหน้าเตาถือหม้อและกระบวยมาตีปังๆ เตือนคู่ชกทั้งคู่

“เฮ้ยๆ หยุดๆ อย่ามากัดกันเหมือนหมาในห้องครัวกู อีนาง! มึงกลับไปทำงานของมึงเลยไป ที่นี่เขาห้ามตีกันมึงไม่รู้เหรอ เดี๋ยวก็ได้ตกงานหรอกมึง”

แม่ขำเตือนด้วยความหวังดี ทว่าสำหรับคนที่เลือดเข้าตากลับไม่รับรู้และไม่ยอมรับความหวังดีนั้น ทั้งคู่ยังคงกรีดร้อง ฟัดกันนัว จนสริณยาทนไม่ไหวอีกต่อไป

เธอลงสนามไปด้วยเพื่อแยกทั้งคู่ออกจากกัน แต่...ดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่ผิด เพราะทันทีที่เธอปราดเข้าไปอยู่ตรงกลาง มือของสองสาวต่างก็ระดมเข้าหาเธอเพียงผู้เดียว บ้างตบเข้าที่คางเธอ บ้างดึงผมที่รวบเป็นหางม้าเอาไว้ ที่แขนและคอก็แสบเพราะถูกใครก็ไม่รู้ข่วน

“หยุด!”

ไม่ใช่เสียงแม่ขำอีกแล้วที่ตวาดดังลั่นครัว มันเป็นเสียงของผู้ชาย และเป็นเสียงที่ทำให้ทั้งน้องจอยและนางหยุดมือลงได้

สริณยาที่นั่งพังพาบอยู่บนพื้นระหว่างคู่กรณีเงยหน้ามองผู้ก้าวเข้ามาห้าม ตรัณนั่นเอง เขาสมกับที่เป็นเทวดาจริงๆ เขามาช่วยเธอได้ทันเวลาก่อนที่เธอจะถูกยำหนักไปกว่านี้

“ไม่รู้รึไงว่าเดอะพราวผับมีกฎห้ามทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน ไป ไปพบคุณจอห์นกับพี่เดี๋ยวนี้”

น้องจอยที่ถูกตบ ถูกทึ้งผมจนลดความงามไปเยอะลุกขึ้น แล้วเดินตามตรัณไปก่อนโดยไม่ลืมขู่คู่กรณีด้วยว่า “เตรียมเก็บข้าวเก็บของหางานใหม่เอาไว้ได้เลย สนามหลวงไงแก แถวนั้นคงเหมาะกับแกดี”

ได้ยินคำดูถูกแบบนั้นแล้ว นางซึ่งดูบอบช้ำมากกว่าน้องจอยก็ลุกขึ้นมาด่าตอบด้วยถ้อยคำเผ็ดร้อน

ตรัณชะงักเท้าที่กำลังจะเดินออกจากประตู แล้วหันมามองนางด้วยสายตาเย็นชา “หุบปากแล้วตามมา”

สายตาที่จ้องเขม็งทำให้นางคนกล้าหุบปากฉับ แล้วเดินคอตกตามน้องจอยออกไปจากครัว

“น้องด้วย บอกให้ตามมา ยังชักช้าอะไรอยู่อีก”

สริณยาที่นั่งอยู่บนพื้นเงยหน้ามองตรัณ...พ่อเทพบุตรของเธอ เธอต้องใช้เวลาคิดเกือบนาทีก่อนยกมือขึ้นชี้หน้าตนเองและถามกลับไปว่า “ฉันด้วยเหรอคะ”

   

ผู้หญิงทั้งสามถูกสั่งให้หยุดรอที่หน้าห้องของจิณณวัตร ตรัณเคาะประตูห้องก่อนเดินเข้าไปรายงานเจ้าของผับ 

ในช่วงที่ต้องยืนรออยู่หน้าห้องนั้นสีหน้าของนางดูแย่มาก น้ำตาคลอเอ่อ ปากเบะ ในขณะที่น้องจอยซึ่งใบหน้าฝั่งซ้ายแดงเพราะแรงตบกลับเชิดหน้าขึ้นไม่มองใคร ไม่สลด ทำเหมือนฉันไม่ผิด

ส่วนสริณยาน่ะหรือ...ก็ลูบไปตามบริเวณที่ถูกข่วนจนแสบเพื่อบรรเทาอาการ นี่ถ้าเธอไม่เจอฤทธิ์เจ้าพรินซ์ที่ฝากรอยเล็บเอาไว้บนตัวเธอทุกวี่วันแล้วละก็ เธอคงรู้สึกแย่กว่านี้

ตรัณใช้เวลารายงานเรื่องยุ่งไม่นานก็เปิดประตู และเรียกสาวทั้งสามเข้าไปในห้องที่สริณยาคุ้นเคย ทั้งสามถูกสั่งให้ยืนเรียงหน้ากระดานเรียงหนึ่งหน้าโต๊ะทำงานซึ่งจิณณวัตรนั่งอยู่

พอมายืนอยู่ตรงหน้าเจ้านายแบบนี้ นางยิ่งจ๋อยหนัก น้ำตาร่วงเผาะๆ และส่งเสียงสะอื้นออกมา น้องจอยยังคงเชิด ส่วนสริณยาก็มองจิณณวัตรที่กำลังจ้องเธออยู่เหมือนกัน

“ก่อนเข้ามาทำงานที่นี่ หัวหน้าของพวกคุณน่าจะบอกกฎของที่นี่ให้พวกคุณรับรู้แล้ว เดอะพราวผับห้ามพนักงานทะเลาะวิวาทตบตีกันเด็ดขาด บทลงโทษประการเดียวสำหรับเรื่องนี้คือการไล่ออก ไม่ว่าคนนั้นจะถูกหรือผิดก็ตาม” จิณณวัตรตัดสินความอย่างง่ายดายโดยไม่ฟังโจทก์หรือจำเลย 

การทำงานกับคนหมู่มากต้องมีกฎ กฎจะศักดิ์สิทธิ์ก็ต่อเมื่อมีการบังคับใช้ที่เข้มงวด กฎทุกข้อของเดอะพราวผับตั้งขึ้นมาจากประสบการณ์ในการทำงานของจิณณวัตร เขารู้ดีว่าการที่มีผู้หญิงร้อยพ่อพันแม่มาทำงานด้วยกันย่อมต้องมีเรื่องกระทบกระทั่งเกิดขึ้น วิธีจัดการคือต้องเด็ดขาด เพื่อมิให้คนอื่นๆ นำไปเป็นเยี่ยงอย่าง ดังนั้นแม้เขาจะรู้สึกเสียดายโคโยตี้ตัวท็อปของร้านไม่น้อย แต่กฎย่อมต้องเป็นกฎ

“ตรัณจะพาพวกคุณไปที่ห้องบัญชี รับเงินแล้วออกไปได้เลย ตั้งแต่วันนี้พวกคุณทั้งสามคนไม่ได้เป็นคนของเดอะพราวผับอีก”

ได้ยินคำสั่งที่น่าตกใจนั้นแล้ว สริณยาก็เบิกตากว้างก่อนตะโกนออกไปทันที “ทำไมฉันต้องถูกไล่ออกด้วยล่ะ”

“ตรัณ พาสามคนนี้ออกไปได้แล้ว”

ตรัณรับคำสั่ง ก่อนเปิดประตูห้องแล้วใช้สายตามองราวกับจะสะกดทุกคนให้เดินออกไป สองสาวที่ทะเลาะกันรู้ชะตากรรมและรู้นิสัยของเจ้านายตนเองดีจึงเลือกที่จะไม่ขัดขืน ยอมเดินออกไปโดยง่าย แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ทำผิดแบบสริณยา เธอไม่ยอม ไม่ยอมเด็ดขาด

เธอเข้ามาทำงานที่นี่อย่างยากลำบาก แต่ยังไม่ทันจะได้สืบเรื่องราวอะไรเลยก็ต้องไปแล้วอย่างนั้นหรือ โอ๊ย! เธอไม่ไปเด็ดขาด

“คุณต้องฟังฉันก่อนนะคะ ฉันไม่ได้จะแก้ตัว แต่ฉันจะพูดความจริง ฉันไม่ได้ทะเลาะกับน้องสองคนนี้เลย ฉันเข้าไปห้ามแล้วถูกลูกหลงต่างหาก ในกฎของคุณระบุเอาไว้ด้วยเหรอว่าคนทำความดี คนที่พยายามห้ามคนทะเลาะกันต้องถูกไล่ออก ถ้าไม่มีกฎแบบนั้นคุณก็ไล่ฉันออกไม่ได้นะ มันไม่ยุติธรรมสำหรับคนทำดีเลย”

สีหน้าของคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่ามันไม่ได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเลย ดวงตาของจิณณวัตรมองเธออย่างเบื่อหน่าย ก่อนพยักหน้าให้ตรัณเข้ามาจัดการกับคนดื้อด้าน

เธอถูกจับแขนเอาไว้ทั้งสองข้าง และพ่อเทพบุตรตรัณก็ใช้กำลังบังคับให้เธอเดินตามเขาออกไปจากห้อง

เรี่ยวแรงผู้หญิงจะสู้ผู้ชายได้อย่างไร ดังนั้นแม้สริณยาจะขัดขืนเต็มพิกัด เธอยังถูกลากออกไปจนเกือบจะถึงประตูห้องจนได้

“ไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรม คนทำดีไม่ได้ดี ฉันไม่ยอม ไม่ยอม!” 

สริณยาทำได้เพียงร้องขอความยุติธรรมอย่างหมดหวัง แต่ก่อนที่ศรัทธาในความดีของเธอจะถูกทำลาย น้องจอยที่เดินออกไปรอตรัณที่หน้าห้องก็เดินเร็วๆ กลับเข้ามา น้องจอยเดินผ่านเธอกับตรัณที่กำลังยื้อยุดกันอยู่ไปยืนตรงหน้าจิณณวัตร 

“เรื่องในวันนี้ ฉันกับอีนั่นสองคนเท่านั้นที่มีปากเสียงกัน ทะเลาะกัน แล้วลงไม้ลงมือกัน นั่น...” จอยสะบัดหน้าแล้วใช้คางชี้ไปยังสริณยา “ไม่เกี่ยวอะไรด้วย เขาแค่พยายามจะห้ามเลยโดยลูกหลงไปด้วยเท่านั้น”

ฟังน้องจอยให้ปากคำช่วยเหลือเธออย่างไม่คาดฝันแบบนี้แล้วสริณยาก็อ้าปากค้าง รู้สึกซึ้งในน้ำใจของโคโยตี้ตัวท็อปคนนี้เหมือนกัน ทว่าสิ่งที่เธอรู้สึกอย่างแรงกล้ามากกว่าความซึ้งใจก็คือ...ความลุ้น ลุ้นว่าเจ้านายจะกลับคำตัดสินหรือไม่

“จริงเหรอ”

น้องจอยเชิดหน้าขึ้น “ฉันกับผู้หญิงคนนั้นไม่รู้จักกัน ฉันจะออกหน้าช่วยเขาทำไม คุณจะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของคุณ จะไล่เขาออกรึเปล่าก็แล้วแต่คุณ สำหรับฉัน แค่ได้พูดความจริงออกไปก็สบายใจแล้ว” พูดจบจอยก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องแบบนางฟ้า

จิณณวัตรยิ้มมุมปากก่อนสั่งตรัณ “ปล่อยสริณยาไว้ที่นี่แล้วพาสองคนนั่นไปห้องบัญชี สำหรับจอย ให้เงินเดือนไปอีกสามเดือน ส่วนอีกคนให้เงินเดือนตามที่มาทำงานจริง”

หลังตรัณรับคำสั่ง เขาก็เดินออกไปจากห้องทำงานของจิณณวัตรแล้วปิดประตูตามหลัง สริณยาเหลือบมองเจ้านายที่นั่งกอดอกมองเธอ

นาทีนี้เธอไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำอย่างไร อธิบายความจริงอีกรอบ เดินไปทำงาน หรือขอบคุณที่เขาไม่ไล่เธอออก 

เอ๋...แต่เขายังไม่ได้บอกสักคำนี่ว่าจะไม่ไล่เธอออก

“คุณ...ไม่ไล่ฉันออกแล้วใช่ไหมคะ”

“เธอไม่ได้ทะเลาะกับพวกนั้นแต่พยายามเข้าไปห้ามเขา จริงรึเปล่า”

หญิงสาวรีบพยักหน้าถี่ยิบยิ่งกว่าความถี่ตอนนางสับหมูเสียอีก “จริงสิคะ จริงๆ”

“เข็ดรึยัง”

“เข็ด...อ๋อ เรื่องที่ไปห้ามเขาทะเลาะกันนี่เหรอคะ” สริณยายิ้มเจื่อนแล้วพยักหน้า “เข็ดค่ะ ต่อไปฉันจะไม่รีรออีกแล้ว พอเห็นเขาเริ่มต่อปากต่อคำกัน ฉันจะรีบเข้าไปแยกพวกเขาให้ออกไปห่างๆ กัน แบบนี้จะได้ไม่มีเรื่อง”

เจ้านายของเธอมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ หลังจากฟังเธอพูดจบ เอ๋...เธอพูดผิดตรงไหนอย่างนั้นหรือ

“ทำไมเธอถึงได้ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านเขานักนะ ตอนพรินซ์ ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงเดินผ่านไป ก็แค่แมวติดอยู่บนต้นไม้ มันขึ้นไปได้ก็ลงมาเองได้ มีแต่เธอนี่แหละที่ขึ้นไปช่วยจนตกต้นไม้ลงมา แล้วครั้งนี้คนสองคนทะเลาะกัน มันไม่เกี่ยวกับเธอเลยสักนิดแต่กลับถลาเข้าไปกลางวง แล้วดูซิ” จิณณวัตรชี้คางมาที่เธอ “หน้าตาหัวหูดูได้ที่ไหน แล้วแทนที่จะเข็ดหลาบ กลับบอกว่าถ้ามีคราวหน้าก็จะไปช่วยอีก ถามจริงๆ เถอะ รู้จักคำว่าสาระแนไหม”

“ฉันไม่ได้สาระแน!” สริณยาเถียง “ถ้าคุณเจอคนที่ต้องการความช่วยเหลือแล้วไม่ช่วย อยู่ในสถานการณ์ที่ห้ามศึกได้แล้วไม่ห้าม คุณจะเรียกตัวเองว่าคนดีได้เหรอ”

“ฉันไม่ใช่คนดีไง ถ้าดีแล้วต้องเดือดร้อน ไม่ดีก็ได้ เห็นแก่ตัวก็ได้”

“โลกเราจะสวยงามถ้าเรามีน้ำใจให้กันนะคะ” พูดออกไปแล้วสริณยาก็รู้สึกสะท้อนใจ โลกเราทุกวันนี้ไม่น่าอยู่ก็เพราะทุกคนคิดถึงแต่ตัวเองนี่แหละ ขอเพียง ‘กูรอด’ คนอื่นจะเป็นอย่างไรช่างมันสินะ

“ผู้หญิงโลกสวย”

แม้สริณยาจะเข้าใจดีว่าคำว่าโลกสวยมิใช่คำชม แต่เป็นคำประชดของคนในสมัยนี้ เธอก็ยังคงยิ้มได้เมื่อได้รับมงกุฎสาวโลกสวย และเธอก็จะยังโลกสวยต่อไปด้วย เธอจะไม่ถูกโลกเน่าๆ กลืนกินเด็ดขาด เธอจะเป็นผู้หญิงโลกสวยคนสุดท้ายในโลกให้ดู

“ขอบคุณค่ะ” เพราะคิดเช่นนั้นเธอจึงเอ่ยขอบคุณเขา

“เอาละ ไปนั่งที่โซฟานั่นไปยายโลกสวย” จิณณวัตรพยักพเยิดไปยังโซฟาข้างประตูห้อง

“ทำไมคะ นี่มัน...” หญิงสาวพลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู แล้วพบว่าเลยเวลาเข้างานของเธอไปหลายนาทีแล้ว “ได้เวลาทำงานของฉันแล้วค่ะ ฉันจะไปเก็บห้องน้ำของพรินซ์ก่อน...พรินซ์ เมี้ยวๆ พี่ยามาแล้ว อยู่ไหนคะ เงียบเชียว”

“ฉันบอกให้ไปนั่งที่โซฟาก็ไปนั่ง ทำตามคำสั่งฉัน หรือไม่...จะออกไปจากที่นี่พร้อมผู้หญิงสองคนนั้นก็ยังทันนะ”

เรื่องอะไร! เธอไม่มีวันออกไปจากที่นี่จนกว่าจะรู้ว่าใครคือที่รักเด็ดขาด

ผู้หญิงที่ยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งที่ต้องทำเดินไปนั่งที่โซฟาอย่างว่าง่าย แล้วมองจิณณวัตรเลื่อนเก้าอี้หนังตัวใหญ่ไปด้านหลัง จากนั้นเอี้ยวตัวไปหยิบกล่องอะไรบางอย่าง

มันเป็นกล่องสีขาวมีเครื่องหมายกากบาทสีแดงอยู่ข้างกล่อง...กล่องปฐมพยาบาล

เจ้านายถือกล่องมาวางเอาไว้บนโต๊ะกาแฟตัวเตี้ยที่วางอยู่หน้าโซฟาหนัง เปิดกล่องออก แล้วหยิบเอาสำลีกับแอลกอฮอล์ออกมา

“โอ๊ย!” สริณยาถึงกับร้องแล้วครางซี้ดเมื่อแอลกอฮอล์เย็นๆ โดนผิวหนังที่ลำคอของเธอ

“อย่าร้อง แผลเท่าแมวข่วน”

“ถ้าเท่าแมวข่วนจริงๆ ก็ไม่ต้องทำแผลก็ได้ค่ะ ไม่ทำก็ไม่เจ็บ พอทำแล้วเจ็บเลย”

“ยังมีหน้ามาบ่น” จิณณวัตรซึ่งหยิบเอายาใส่แผลสดมาแต้มรอยข่วนบนคอให้สริณยาลงน้ำหนักมือหนักจนผู้มีแผลทำหน้าเหยเก แต่ไม่ร้องออกมาอีกแล้ว

ผู้หญิงคนนี้เป็นคนตลก บทจะดื้อก็ดื้อสุดขีด บทจะเชื่อฟังก็เชื่อฟังสุดขั้น เธอเป็นคนไม่มีตรงกลางเลยใช่หรือไม่

ชายหนุ่มดึงคอเสื้อยืดของสริณยาลงมาทำให้หญิงสาวก้มลงมามองและเห็นรอยข่วนพาดยาวเป็นรอยแดง จากลำคอนูนลงไปจนถึงเนินอก

จิณณวัตรเห็นแผลแล้วถอนหายใจ ผิวของผู้หญิงทั้งนุ่มทั้งขาว เวลามีแผลนูนแดงเป็นรอยแบบนี้มันเห็นชัด เขารู้ว่าเธอคงไม่เจ็บเท่าไหร่ แค่แสบๆ แต่เขาเห็นแล้วเสียดายแทน ไม่รู้ว่าจะเป็นแผลเป็นหรือไม่

“แล้วไปทำอะไรในครัวถึงได้เจ็บตัว บอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ทำสิ่งที่นอกเหนือจากหน้าที่”

สริณยาทำตาโต รีบแก้ตัวทันควัน “ฉันไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือหน้าที่เลยนะคะ ก็แค่...แม่ขำเขาเรียกไปกินข้าว”

“ก่อนมาทำงานไม่ได้กินมารึไง”

ใบหน้าจ๋อยๆ ส่ายไปมา “เสียดายเงิน ยังไงๆ ก็ต้องมากินที่นี่อยู่แล้วตอนมื้อเย็น ฉันเลย...”

“เดี๋ยวนะ นี่เธอหมายความว่าวันทั้งวัน เธอกินแค่มื้อเย็นมื้อเดียวอย่างนั้นเหรอ”

   

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น